ดู: 64387|ตอบกลับ: 135

การประคบเย็น/การประคบร้อน

[คัดลอกลิงก์]
การประคบเย็น / การประคบร้อน

การบาดเจ็บจากการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬา อาจมีได้ตั้งแต่ การหกล้มแล้วเกิดฟกช้ำของร่างกายส่วนต่างๆ ข้อเท้าแพลง กล้ามเนื้อฉีกขาด หรือปะทะกันจนเอ็นยืดหรือฉีกขาด หรือ ข้อเข่าบวมมีเลือดออก เป็นต้น คนทั่วไปนิยมที่จะให้การรักษาเบื้องต้นด้วยการใช้ยาหม่อง หรือครีมที่เมื่อนวดทาไปแล้วเกิดความร้อน และบีบนวดส่วนที่บวมหรือปวดภายหลังที่ได้รับการบาดเจ็บ ซึ่งเราขอแนะนำให้ใช้เป็นความเย็นแทนในเบื้องต้น โดยอาศัยหลักการดังต่อไปนี้

เมื่อมีการบาดเจ็บและเกิดการบวมขึ้น เพราะเส้นเลือดของส่วนที่ได้รับบาดเจ็บมีการฉีกขาด เลือดออกมาตรงตำแหน่งนั้น การใช้ความเย็นร่วมกับการออกแรงกดส่วนที่บวมนั้น ความเย็นจะไปช่วยทำให้เส้นเลือดหดตัว จะช่วยทำให้เลือดออกน้อยลง ดังนั้นอาการบวมก็จะน้อยลง การดูดซึมกลับของร่างกายเพื่อให้ยุบบวม ก็จะใช้เวลาน้อยลง ซึ่งตรงกันข้ามกับการใช้ความร้อน หรือ สิ่งที่นวดแล้วเกิดความร้อนในเบื้องต้น จะทำให้เส้นเลือดขยายตัว รวมทั้งไปนวดคลึงตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บ จะยิ่งทำให้เลือดออกและบวมมากขึ้น การดูดซึมกลับก็จะใช้เวลานานขึ้นขณะที่เส้นเลือดฝอยแตก มีอาการบวม หรือเลือดยังออกภายใต้ผิวหนังหรือในกล้ามเนื้อ การประคบร้อนจะเท่ากับไปเร่งให้เลือดออกมากขึ้น ในกรณีนี้จึงต้องใช้การประคบเย็นเพื่อห้ามเลือดไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยมาประคบร้อน


ประคบเย็น  =  ให้ประคบเย็นเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทันทีที่ได้รับความบาดเจ็บภายใน 24 ช.ม. บางคนจำสับสน ว่าประคบร้อนบ้างประคบเย็นบ้าง ก่อนที่จะทราบว่าร้อนหรือเย็นกันแน่ หลักการประคบร้อนและเย็นแตกต่างกันดังนี้ การประคบเย็น จะมีผลทำให้เลือดหมุนเวียนช้าลง ให้หยุดเลือดตกภายในนั้นให้ได้เร็ว เนื่องจากความบาดเจ็บภายใน (เช่นเส้นเอ็นหรือเนื้อเยื่อฉีกขาด มีการตกเลือดภายใน) นอกจากนี้ การประคบเย็นทำหน้าที่เหมือนให้ยาชาเฉพาะที่ ช่วยลดอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ช่วยคลายปวดเมื่อต้องเกร็งกล้ามเนื้ออยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานาน ๆ ประคบเย็นก่อน เพื่อให้เลือดหยุดและลดอาการอักเสบหรือบวม จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 48 ชั่วโมง หรือ 2 วัน จะเห็นว่าบริเวณที่อักเสบหรือบวมนั้น จะเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วง นั่นแสดงว่าเลือดหยุดแล้วแต่ยังมีเลือดคั่งค้างอยู่ ตอนนี้เราค่อยมาใช้วิธีประคบร้อน เพื่อกระจายเลือดคั่งค้างออกไปและช่วยให้มีเลือดมาไหลเวียนมากขึ้น ถือเป็นการดึงเอาเลือดเสีย หรือเลือดที่จับตัวแข็งให้ละลายออกไป”

การประคบร้อน  =  ส่วนการประคบร้อนนั้นจะให้ผลที่ตรงกันข้าม ความร้อนจะทำให้ไปกระตุ้นเลือดหมุนเวียนที่ดีขึ้น ช่วยให้เกิดการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและเนื้อเยื่อผังผืดต่าง ๆ ซึ่งสถานการณ์เลือดที่ตกภายในหมดสิ้นไปแล้ว แต่เรากลับต้องการให้มีการกระตุ้นรักษาตนเอง (Healing) จากโปรตีนที่มากับเลือด การที่เลือดหมุนเวียนมาก ก็คือ การนำเอาสารประกอบที่สังเคราะห์จากอาหารโปรตีนที่กินเข้าไป เพื่อทำให้ส่วนที่บาดเจ็บดีเหมือนเก่า
โดยการประคบร้อนนั้นถือเป็นการกระจายเลือดลมที่ยังคั่งค้างอยู่ในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย หรือบริเวณกล้ามเนื้อผิวหนัง ซึ่งจะช่วยให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น และหลักการประคบร้อนก็มีอยู่ว่า ต้องไม่กระทำต่อผู้ป่วยที่เกิดอาการบวม แดง ร้อน ภายใน 24 หรือ 48 ชั่วโมง

กล่าวโดยสรุป การใช้ความเย็นประคบ จะใช้ภายใน 24-48 ชม. หลังได้รับการบาดเจ็บ ส่วนการใช้ความร้อนจะเริ่มใช้หลังจาก 48 ชั่วโมงไปแล้วนะคะ

วิธีประคบ
นำน้ำแข็งหรือcool/hot-pack มาประคบบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ ถ้าเย็นเกินไปให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าขนหนูเป็นฉนวนกันปะทะโดยตรง ทำให้ลดความเย็นยะเยือกจัดจนเกินไป นานราว 10 – 15 นาที แล้วสลับพัก ทำซ้ำ วันละ 3 – 4 ครั้ง โดยกระจายเวลาประคบให้ห่างกันออกไป 3 – 4 ช.ม.ครั้งหนึ่ง การประคบร้อนก็เป็นแบบเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนเป็นวัตถุร้อนเท่านั้น

คะแนน

79

ดูบันทึกคะแนน

โพสต์ 2009-5-22 14:20:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ^^
โพสต์ 2009-5-22 14:23:08 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณมากๆครับ ข้อมูลดีมากอ่ะ เอาคะแนนไปเลยอ่ะครับ

เป็นข้อมูลที่เพื่อนๆอากรู้กันอยู่แล้วด้วยอ่ะ
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-22 16:28:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ยินดีค่ะ พอดีเห็นบางคนยังไม่เข้าใจก็เลยหาข้อมูลมาฝากกันจะได้หายเร็วๆ กันทุกคน

แสดงความคิดเห็น

แล้วคนช้ำง่ายจะมีวิธีที่ช่วยไม่ให้ช้ำมากเกินไปไหมค่ะ  โพสต์ 2011-11-5 23:48
โพสต์ 2009-5-22 21:11:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เจ๋งมาก คุนจขกท   ได้ใจเต็มๆ
ก้องตะวัน สมาชิกนี้ถูกลบไปแล้ว
โพสต์ 2009-5-22 23:03:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
โพสต์ 2009-5-23 00:45:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ข้อมูลดีจังครับ

ขอบคุณนะครับ
โพสต์ 2009-5-23 03:30:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด
โหข้อมูลดีมากๆเลยคะ เราเป็นคนหนึงที่สับสนมาก ระหว่างประคบร้อนกับเย็นอะคะ ขอบคุงมากๆๆเน้อ
โพสต์ 2009-5-23 10:23:56 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ดีมากเลย  เจ๋งจิงๆ  นำไปใช้ได้เลย
โพสต์ 2009-5-23 11:30:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณค่ะ
โพสต์ 2009-5-23 12:45:41 | ดูโพสต์ทั้งหมด
"เย็นไว้ก่อน ร้อนตามมาทีหลัง"
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-5 09:54:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
อายุเท่าใดจึงทำการเสริมจมูกได้?

ในแต่ละประเทศก็มีมาตรฐานการกำหนดอายุที่ไม่เท่ากัน การเจริญเติบโตเต็มที่ของเด็กที่จะก้าวสู่ผู้ใหญ่ได้เต็มตัวขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์ พันธุกรรม อาหาร ฯลฯ ซึ่งจะแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้ว ควรทำในอายุที่มากกว่า 18 ปีในผู้หญิง และมากกว่า 19 ปีในผู้ชาย เพราะในช่วงวัยนี้ การเจริญเติบโตของจมูกน่าจะเต็มที่แล้ว
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-5 09:54:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
หลังการผ่าตัดจะมีอาการอย่างไร และจะปฏิบัติตัวอย่างไร?

หลังการผ่าตัด 24-48 ชม. แรกจำเป็นต้องนอนศรีษะสูงและประคบด้วยความเย็นเพื่อลดความบวมบริเวณจมูก หลังจาก 48 ชม.ไปแล้ว จะเปลี่ยนเป็นการประคบด้วยน้ำอุ่นแทน การบวมจะมากที่สุดใน 72 ชม.แรก หลังจากนั้นก็จะค่อยๆยุบลงภายใน 7-10 วัน โดยส่วนใหญ่เมื่อความบวมลดลงแล้ว ผิวบริเวณจมูกจะเปลี่ยนให้เห็นเป็นสีม่วง, สีเขียวและสีเหลืองตามลำดับ และหายไปในที่สุด การบวมมากหรือน้อย และการยุบบวมช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับการทำผ่าตัดว่า แพทย์ได้แก้ไขให้มากน้อยเท่าใด โดยมากแพทย์จะนัดตัดไหมที่เย็บไว้ที่จมูกประมาณ 7 วันหลังการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม คนไข้ที่ไม่ได้ทำการแก้ไขมากนักก็มักจะยุบบวมเร็ว และเริ่มเข้าที่ที่ระยะประมาณ 1-3 เดือน และจะยุบเกือบ 100 % ที่ระยะประมาณ 3 เดือน การยุบบวมดังกล่าวเป็นการประมาณการณ์ของคนส่วนใหญ่ ซึ่งท่านอาจจะยุบบวมเร็วหรือช้ากว่านี้ก็ได้ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หักโหม หลีกเลี่ยงการถูกกระแทกบริเวณจมูก ในช่วงเดือนแรกๆ การปฏิบัติตัวหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งที่ท่านจะต้องใส่ใจ เพราะท่านจะได้รับคำแนะนำที่เฉพาะตัว และอาจต้องมีการดูแลที่พิเศษแตกต่างไปจากผู้อื่น
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-5 09:54:54 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ผลในระยะยาวหลังการผ่าตัดจะเป็นอย่างไรในคนไข้ส่วนใหญ่ หากจำเป็นต้องแก้ไขใหม่ ระยะเวลาใดเหมาะสมที่สุด?

คนส่วนใหญ่มักจะคาดหวังให้จมูกสวยเข้าที่อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น แต่ตามธรรมชาติของการยุบบวมและการเข้าที่ของระบบเนื้อเยื่อ หลอดเลือดและระบบน้ำเหลืองของเนื้อเยื่อที่ได้รับการผ่าตัด จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนหรือนานกว่านั้น การจะเห็นรูปทรงของจมูกเข้าที่สวยงามจึงควรจะอยู่ในระยะเวลาที่เกิน 6 เดือนไปแล้ว หรือในบางคนที่ได้รับการตกแต่งแก้ไขมากอาจจะเข้าที่ที่ประมาณ 1 ปี หากจำเป็นต้องมีการแก้ไขใหม่ ระยะเวลาที่เหมาะสม คือ พ้นจาก 6 เดือนไปแล้วในคนไข้ที่ผ่าตัดตกแต่งไม่มากนัก และพ้น 1 ปีไปแล้ว ในคนไข้ที่ผ่าตัดตกแต่งแก้ไขเนื้อเยื่อจมูก (soft tissue),ในคนไข้ที่เป็นจมูกแก้ไขที่เคยทำมาแล้วจากที่อื่น,และในคนไข้ที่เคยฉีดวัสดุแปลกปลอมมา เรามักพบว่า คนไข้ส่วนใหญ่ที่ใจร้อนและขาดการรอคอยมักจะรบเร้าให้แพทย์ทำการผ่าตัดแก้ไขใหม่ก่อนเวลาอันสมควร ซึ่งผลของการผ่าตัดแก้ไขใหม่นั้นอาจทำให้ยิ่งแย่ไปกว่าเดิมและเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ การแก้ไขในเวลาที่เหมาะสมน่าอยู่ในดุลพินิจของแพทย์
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-5 09:55:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด
หากเคยทำจมูกมาแล้วจากที่อื่น หรือเคยฉีดวัสดุแปลกปลอมเข้าไปในจมูก จะทำการแก้ไขได้หรือไม่?

ทั้ง 2 กรณีนี้จัดเป็นงานแก้ไจจมูกทั้งสิ้น ในกรณีที่เคยทำมาแล้ว แพทย์จะดูความเหมาะสมว่าจะแก้ไขให้ได้มากน้อยเพียงใด เนื่องจากศัลยแพทย์ตกแต่งท่านนั้นไม่เคยเห็นโครงสร้างเดิมของท่านมาก่อน การแก้ไขจึงเป็นงานที่ยากขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เพราะการเลาะพังผืดเก่าออกนั้นใช้เวลาในการเลาะค่อนข้างนาน อีกทั้งผลลัพธ์ที่ออกมาอาจไม่ได้ดังที่ควรจะเป็น สำหรับการฉีดวัสดุแปลกปลอมเข้าไปในจมูกนั้น การแก้ไขก็จะยิ่งยากมากขึ้น วัสดุที่คนไข้ได้รับการฉีดมานั้นมักเป็นซิลิโคนเหลวซึ่งค่อนข้างอันตราย เพราะซิลิโคนเหลวจะเข้าไปจับกับเนื้อเยื่อของจมูกและก่อตัวให้เกิดเป็นพังผืดขึ้น ในเวลาต่อมา บางท่านอาจมีการบวมแดง อักเสบ หรือในบางท่าน เนื้อเยื่ออาจจับตัวกันเป็นกลุ่มๆ ทำให้ผิวของจมูกไม่เรียบเป็นตะปุ่มตะป่ำ การเลาะซิลิโคนที่จับตัวกับเนื้อเยื่อแล้วนั้นจะค่อนข้างยากเพราะอยู่ปะปนกันไปหมด ทำให้ยากต่อการเอาซิลิโคนออกให้หมด ผลลัพธ์จากการแก้ไขอาจไม่ได้ดั่งที่คาดหวัง และระยะเวลาในการยุบบวมและการเข้าที่จะเนิ่นนานขึ้น คนไข้ที่เข้ารับการแก้ไขจึงต้องลดความคาดหวังลง และยอมรับในข้อจำกัดของการทำศัลยกรรม หากท่านเป็นคนไข้ในกลุ่มนี้ ก่อนการตัดสินใจ ท่านควรปรึกษาแพทย์และทำความเข้าใจกับผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และผลลัพธ์นั้นไม่สามารถเป็นไปอย่างที่ท่านต้องการได้ทั้งหมด

คะแนน

1

ดูบันทึกคะแนน

 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-5 09:55:53 | ดูโพสต์ทั้งหมด
หลุมพราง (pitfall) ที่พบบ่อยในการทำศัลยกรรมจมูกคืออะไร?

หลุมพรางที่พบบ่อยในคนไข้ที่มาทำศัลยกรรมจมูก ได้แก่


คนไข้มีความคาดหวังกับผลที่จะได้เกินความเป็นจริง ดังที่กล่าวแล้วในหัวข้อต้นๆ เพราะพื้นฐานของจมูกที่ไม่เท่ากัน ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่เหมือนกัน ท่านจึงต้องปรึกษาและทำความเข้าใจข้อจำกัดทั้งในตัวท่านเองและข้อจำกัดทางด้านการแพทย์
คนไข้มักต้องการให้จมูกยุบบวมและสวยอย่างรวดเร็วโดยไม่เข้าใจว่าธรรมชาติของการยุบบวมของเนื้อเยื่อนั้นต้องการระยะเวลาหนึ่ง หากจะทำการแก้ไขก็ต้องเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมกับการยุบบวมของเนื้อเยื่อด้วย การแก้ไขก่อนเวลาอันควรจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
คนไข้มักฉีดสารบางตัวเข้าไปที่จมูก หากได้รับการฉีดจากแพทย์หรือไม่ใช่แพทย์โดยไม่ทราบว่าสารชนิดนั้นคืออะไร เมื่อคนไข้มาพบศัลยแพทย์ก็มักจะคาดหวังการขูดเอาสารตัวนั้นออกจากเนื้อเยื่อของจมูกควรจะเอาออกได้หมด ในความเป็นจริง ศัลยแพทย์อาจไม่สามารถเอาออกได้หมดแม้จะต้องมีการเปิดเข้าไปในช่องจมูกเพื่อขูดออกหลายครั้งก็ตาม
ในบางท่านมักใช้คอมพิวเตอร์ตกแต่งภาพจมูกของตนเอง และคาดหวังว่าจะได้ตรงตามภาพนั้น ในความเป็นจริง คอมพิวเตอร์เป็นเพียงการสร้างภาพอิมเมจเท่านั้น คอมพิวเตอร์ไม่สามารถวิเคราะห์ไปถึงโครงสร้างกระดูก วิเคราะห์ลักษณะความหนาบางของเนื้อเยื่อจมูก และวิเคราะห์ชนิดและความยืดหยุ่นของผิวหนังซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดในการทำศัลยกรรมตกแต่งจมูก แพทย์อาจไม่สามารถจะทำตามอิมเมจซึ่งคอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมาได้
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-5 09:56:18 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ก่อนการตัดสินใจควรทำอะไรบ้าง?

ก่อนการตัดสินใจท่านควรจะ

หาข้อมูลและศึกษาให้เข้าใจถึงผลดีและผลเสียที่อาจมี เปรียบเทียบผลดีผลเสียนั้น หากมีผลเสียจะเกิดอะไรได้บ้าง และท่านรับได้มากแค่ไหน
ปรึกษาศัลยแพทย์ที่ท่านมั่นใจ คุยกับแพทย์ในรายละเอียด ข้อจำกัดของการผ่าตัดในกรณีของท่านคืออะไร โรคประจำตัวคืออะไร รับประทานยาอะไรเป็นประจำหรือไม่ เคยผ่าตัดมาก่อนแล้วหรือไม่ ถ้าเคย ผ่ามาแล้วกี่ครั้ง เคยฉีดสารแปลกปลอมมาหรือไม่
มั่นใจว่าท่านสามารถทำตามคำแนะนำของแพทย์ในการดูแลตนเองหลังการผ่าตัดได้อย่างเคร่งครัด
หาคนมาเป็นเพื่อนและพาท่านกลับบ้านได้หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-5 09:56:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
การตัดปีกจมูก(alar dissection) ตัดเพื่ออะไร และวิธีการที่ใช้ในปัจจุบันคืออะไร?

ปีกจมูก คือ ส่วนที่เป็นกระดูกอ่อน (cartilage) ของจมูกและกางออกมาเป็นปีก 2 ข้าง ประกอบเป็นส่วนหลังคาของรูจมูก ในบางคนที่ปีกจมูกกว้างเกินไปก็จำเป็นที่จะต้องตัดและตกแต่งใหม่เพื่อให้ได้สัดส่วนที่สวยงาม การตัดปีกจมูกออกมากน้อยเพียงใด นอกจากจะคำนึงถึงความสวยงามแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความสะดวกในการหายใจด้วย เพราะการตัดปีกจมูกออกมากเกินไปจะทำให้รูจมูกเล็กลงมากจนทำให้หายใจได้ลำบาก วิธีการตัดปีกจมูกอาจทำได้ 2 วิธี คือ การตัดจากภายในรูจมูก วิธีนี้จะค่อนข้างยากสำหรับศัลยแพทย์ แต่มีข้อดี คือ จะไม่เห็นรอยแผลเป็น อีกวิธีคือ การตัดที่ภายนอกปีกจมูก วิธีนี้สะดวกในการทำ แต่คนไข้จำเป็นต้องดูแลแผลให้ดีเพื่อหลีกเลี่ยงแผลเป็นในระยะยาว การตัดปีกจากภายในหรือภายนอกขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสม
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-5 09:58:15 | ดูโพสต์ทั้งหมด
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าศัลยแพทย์ตกแต่งท่านใดมีความชำนาญในเรื่องเสริมและตกแต่งจมูก?

สิ่งที่สำคัญ คือ การได้มีโอกาสปรึกษาและพูดคุยกับแพทย์ก่อนการตัดสินใจ การได้สอบถามรายละเอียดและความเป็นไปได้ในการตกแต่ง รวมทั้งผลที่ควรจะเป็นหลังการผ่าตัดแล้วเป็นหัวใจที่สำคัญ เพราะแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องรายละเอียดของจมูกและรายละเอียดในเรื่องของโครงหน้าโดยรวมทั้งหมด การตกแต่งจมูกไม่เพียงแต่จะตกแต่งให้จมูกดีขึ้น แต่ยังต้องเข้าได้กับโครงหน้าโดยรวมอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในบางคนอาจมีคางที่สั้นหรือมีมุมคางที่หลบเข้าด้านใน บางครั้งศัลยแพทย์อาจแนะนำให้ต้องเสริมคางด้วย mentoplasty  ศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีความชำนาญจะช่วยวิเคราะห์และแนะนำท่านได้ การได้มีโอกาสดูผลงานของแพทย์ท่านนั้นก็จะทำให้ท่านพอทราบสไตล์การดีไซน์ของแพทย์ท่านนั้นได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจะทำให้น้ำหนักในการเลือกแพทย์ที่จะทำการผ่าตัดให้ท่านมีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากท่านเคยประสบอุบัติเหตุบริเวณจมูกและใบหน้า ท่านควรเล่าให้แพทย์ฟังโดยละเอียด หรือหากท่านเคยทำการผ่าตัดเสริมแต่งจมูกมาแล้วกี่ครั้ง แล้วเหตุผลที่จำเป็นต้องแก้ไขคืออะไร ท่านควรให้รายละเอียดกับแพทย์ให้มากที่สุดเท่าที่ท่านจะให้ได้

คะแนน

1

ดูบันทึกคะแนน

 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-5 10:01:03 | ดูโพสต์ทั้งหมด
การเสริมแต่งจมูกจะทำอย่างไร และวัสดุที่ใช้ในปัจจุบันคืออะไร?

การเสริมแต่งจมูกอาจทำภายใต้การดมยาสลบ (general anesthesia) หรือ การให้ยาชาเฉพาะที่ (local anesthesia) ขึ้นอยู่กับว่า คุณจำเป็นต้องได้รับการตกแต่งมากน้อยแค่ไหน หากตกแต่งมากก็จะต้องใช้เวลานานมาก ซึ่งการใช้ยาชาเฉพาะที่อาจจะไม่เพียงพอ แพทย์จะเปิดแผลเล็กๆประมาณ 1 ซม. ที่รูจมูกด้านในตรงบริเวณก้นย้อยของจมูก และเปิดช่องเข้าไปโดยช่องนั้นจะอยู่ระหว่างกระดูกของจมูกและเนื้อเยื่อผิวหนัง การใส่แกน, การตกแต่งเนื้อเยื่อจมูกให้เล็กลงทำได้โดยผ่านช่องนี้ วัสดุที่ใช้ในปัจจุบันยังคงเป็นซิลิโคนที่เป็น solid stage (เป็นซิลิโคนที่อยู่ในสถานะของแข็ง) ซิลิโคนเป็นวัสดุสังเคราะห์ที่ใช้ในการเสริมจมูกมานานแล้ว และขณะนี้ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ เพราะซิลิโคนมีปฏิกิริยากับเนื้อเยื่อค่อนข้างน้อย จึงสามารถอยู่กับเนื้อเยื่อจมูกได้นานโดยไม่มีการเสื่อมสลาย และไม่จำเป็นต้องมาถอดซิลิโคนออกเพื่อเปลี่ยนซิลิโคนอันใหม่ทุกๆกี่ปี และแกนจมูกนี้จะอยู่กับเราตลอดไป ซิลิโคนมีความอ่อนแข็งหรือนิ่มหลายระดับ ขึ้นอยู่กับศัลยแพทย์ตกแต่งจะเป็นผู้พิจารณาใช้ชนิดใด
เครดิตข้อมูลจาก http://www.kusolfacial.com/service01_a.php?id=1
โพสต์ 2009-6-12 21:47:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
พี่ค่ะ แล้วหลังจาก ทำจมูก กี่วันอะค่ะ

ถึงจะประคบร้อนได้อะค่ะ
โพสต์ 2009-6-17 16:05:51 | ดูโพสต์ทั้งหมด
48 ชม. ประคบร้อนได้ครับ
โพสต์ 2009-6-24 13:33:38 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอถามหน่อยจ้า
ถ้าเสริมจมุกมาแล้ว เราไม่ได้ประคบ ร้อน+เย็นอะ
มูกเราจะเป็นไรไม๊ละคะ
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-25 14:11:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ถามว่าถ้าทำจมูกแล้วไม่ประคบ
จะเป็นไรไหม ตอบว่าไม่เป็นไรแต่จะหายช้าเท่านั่นเอง
การประคบก็ช่วยลดการอักเสบหายบวมได้เร็วขึ้น
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้