|
สำหรับประเทศไทยการผ่าตัดเกิดขึ้นครั้งแรกในต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อหมอบรัดเลย์ มิชชันนารีชาวอเมริกัน ได้ผ่าตัดเอาฝีขนาดใหญ่เหนือคิ้วซ้ายของชายชาวพระนครที่มีลักษณะเหมือนก้อนเนื้อขนาดใหญ่ในวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2378 โดยการผ่าตัดในครั้งนั้นไม่ได้ใช้ยาสลบแต่อย่างใดแต่การผ่าตัดก็สามารถลุล่วงไปได้ด้วยดี
ศัลยกรรมตกแต่งซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนี้ เป็นศาสตร์ย่อยของการศัลยกรรมในความหมายทั่วไปซึ่งสามารถแบ่งศัลยกรรมตกแต่งออกได้เป็นสองลักษณะด้วยกันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการทำศัลยกรรมเป็นหลักใหญ่
1.ศัลยกรรมเสริมสร้าง ( Reconstructive Surgery )
เป็นการศัลยกรรมเพื่อเป้าหมายในการรักษา ปรับปรุง ส่วนที่ผิดปรกติของร่างกายไม่ว่าจะเป็นเพราะความผิดปรกติที่ติดตัวมาตั้งแต่ครั้งยังถือกำเนิดหรือความผิดปรกติที่เกิดขึ้นในภายหลังทั้งจากอุบัติเหตุและเหตุจำเป็นอย่างอื่น ศัลยกรรมประเภทนี้มุ่งเน้นไปในทางการรักษา หรือฟื้นฟูส่วนที่ร่างกายเกิดผิดปรกติไป เช่น การผ่าตัดโรคปากแหว่ง เพดานโหว่ ที่ผู้ป่วยบางรายเป็นโรคดังกล่าวมาแต่กำเนิด หรือการผ่าตัดอวัยวะที่พิการ อย่างเช่นอาการ ผนังหัวใจรั่ว หัวใจพิการ การตัด หลอดเลือดตีบ เป็นต้น โดยต้องการให้อาการผิดปรกติของอวัยวะในร่างกายกลับใช้งานได้เป็นปรกติอย่างเดิม
2. ศัลยกรรมความงาม ( Aesthetic Surgery )
ศัลยกรรมประเภทนี้ มีเป้าหมายหลักในการเสริมความงามโดยเฉพาะ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมและกลายเป็นกระแสในหมู่คนหนุ่มคนสาวและวัฒนธรรมเกาหลี หลายๆคนเก็บหอมรอมริบเพื่อหวังว่าสักวันจะมีรูปร่างใบหน้าที่สวยงาม ชวนมอง บางรายตั้งเป้าว่าจะบินไปเปลี่ยนโฉมถึงดินแดนกิมจิอันถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งศัลยกรรม
ในระยะแรกของการศัลยกรรมความงามในเมืองไทยนั้นเน้นไปที่การแก้ไขเยียวยาความบกพร่องของร่างกายเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ในสังคมอย่างปรกติสุข ก่อนที่จะเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่คนกลางคืนและเปลี่ยนไปตามยุคสมัย จนในปัจจุบันค่านิยมในการทำศัลยกรรมเริ่มแพร่หลายในกลุ่มคนทั่วไปทั้งในพนักงานบริษัท และ กลุ่มนิสิตนักศึกษา โดยอวัยวะซึ่งเป็นที่นิยมในการทำศัลยกรรมความงามในปัจจุบันนั้น มักเน้นไปที่การ ลบรอยแผลเป็น รักษาผิวจากรอยสิว ทำหน้าใส กรีดตาสองชั้น เสริมจมูก เสริมคาง ตัดกรามทำหน้าเรียว เสริมหน้าอก ฉีดปากอวบอิ่มหรือผ่าตัดปากบาง
วิทยาความก้าวหน้าในทางด้านศัลยกรรมเพื่อความงามของไทยนั้น ถือได้ว่าจัดอยู่ในระดับแถวหน้าเลยทีเดียว เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่าแท้จริงแล้ว วิชาการศัลยกรรมเพื่อความงามของไทยนั้น ก้าวหน้ากว่าประเทศเกาหลีมากกว่า 30 ปี จึงไม่น่าแปลกใจที่ในแต่ละปีจะมีชาวต่างชาติมุ่งหน้ามาเมืองไทย โดยมีเป้าหมายหลักในการทำศัลยกรรมความงาม ด้วยค่าแรงที่ถูกกว่าและฝีมืออยู่ในระดับที่เชื่อถือได้ เป็นสองเหตุผลที่ทำให้คนต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทำศัลยกรรมในเมืองไทย เช่นเดียวกับสถานบริการเกี่ยวกับศัลยกรรมในเมืองไทยที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด
แต่การเนรมิตความงามด้วยการทำศัลยกรรมนั้น อาจจะไม่ได้ดั่งใจในทุกคนและทุกคราวไป บ่อยครั้งที่เราเห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่ออื่นๆ พบว่าหลายรายการทำศัลยกรรมไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นแต่ในทางกลับกันกลับส่งผลเสียต่างๆมากมาย อาจจะถึงขั้นทำให้เสียโฉมไปเลยก็ ในขณะที่ศัลยแพทย์เองก็ไม่สามารถรับรองได้ร้อยเปอร์เซ็น ในแง่ของความปลอดภัยและผลกระทบที่อาจจะได้รับหลังการทำศัลยกรรมเสริมความงาม ดังนั้นการจะตัดสินใจทำศัลยกรรมจึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ก่อนจะมีการตัดสินใจอะไรลงไป ไม่ว่าจะเป็นเพศใดวัยใด |
|