เจ้าของ: kallypaulsmith
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วิตามินและอาหารเสริม ทานอย่างไรให้เด้ง

[คัดลอกลิงก์]
51#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-17 15:55:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิตามิน..กินตอนไหนดี

วิตามินบี ถ้าคุณเป็นคนหลับยาก การกินวิตามินบีก่อนนอนจะทำให้คนนอนดึกอย่างคุณกลายเป็นคนนกฮูกมากขึ้นไปอีก เพราะวิตามินตัวนี้ช่วยให้กระฉับกระเฉง คนกินก็เลยตาแข็งหลับไม่ลงไปเลย

   วิตามินรวม วิตามินรวมเป็นที่รวมของวิตามินหลายชนิด ทั้งชนิดที่ย่อยง่ายและย่อยยาก แถมบางชนิดจะละลายได้เฉพาะในน้ำมันเท่านั้น จึงต้องทานวิตามินรวมก่อนหรือหลังอาหาร เพราะในอาหารที่เรากินเข้าไปจะมีน้ำมันอยู่ ทำให้สามารถย่อยวิตามินได้

   เซเลเนียม คนที่จะทานเซเลเนียมควรจะทานตอนท้องว่าง เช่น หลังจากตื่นนอนใหม่ๆ เพราะร่างกายจะดูดซึมแร่ธาตุได้ดีกว่า

   อีฟนิ่งพริมโรส ที่สาวๆ กินน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกันมักจะเพราะเชื่อคำโฆษณาที่ว่า กินแล้วผิวจะสวยหน้าจะใส และช่วยต่อต้านริ้วรอยได้ แต่คงไม่มีร้านค้าร้านไหนเตือนคุณว่า ห้ามกินน้ำมันชนิดนี้อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้าห้องผ่าตัด เพราะอาจจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด ส่วนคนที่กำลังกินยาต่อต้านการแข็งตัวของลิ่มเลือดก็ไม่เหมาะจะกินน้ำมันนี้เช่นกัน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงได้

   วิตามินซี การที่ร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีได้ทีละน้อยๆ เท่านั้น ส่วนที่เหลือจะถูกขับออกไป เวลากินวิตามินซีแบบเม็ด จึงควรจะกินแค่ครั้งละเม็ดก็พอ แต่กินวันละสองครั้ง หลังอาหารเช้า-เย็น วิตามินที่กินเข้าไปจะได้ไม่ถูกขับออกมาให้เสียของเปล่าๆ

   แร่ธาตุรวม นี่คือสารอาหารที่คนหลับยากต้องการ ถ้ากินก่อนนอน หัวถึงหมอนปุ๊ปคุณจะหลับสนิทไปทั้งคืน

คะแนน

1

ดูบันทึกคะแนน

52#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-17 16:10:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สูตรอาหารลดน้ำหนัก สลัดทูน่าประยุกต์

          สลัดทูน่านี้เป็นอาหารลดน้ำหนักที่มีประโยชน์ทีเดียว อร่อยแถมยังแคลอรี่ต่ำอีกด้วย น่าจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

          เทปลาทูน่ากระป๋อง (เอาชนิดในน้ำเกลือนะคะ อย่าเอาที่อยู่ในน้ำมัน) ใส่จาน บีบมะนาว 1 ผล โรยพริกไทยมากๆ จากนั้นซอยแตงกวาและผักกาดแก้วกับหอมใหญ่ลงไป โดยไม่ใส่น้ำสลัด (ใส่ผักได้เยอะเท่าที่ต้องการ)
ทานเป็นอาหารกลางวันหรือเย็นได้เลย
53#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-17 22:00:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
และแหล่งใหญ่ที่มีสร้างต้านอนุมูลอิสระมากอีกแหล่งหนึ่ง ก็คือ สารกลุ่มเฟลโวนอยด์ที่พบมากในเมล็ดและเปลือกขององุ่น มีสารเฟลโวนอยด์(Flavonoid) ที่เรียกว่า “โปรแอนโธไซยานิดิน” สารนี้เมื่อรวมตัวกันจะอยู่ในรูปของ “โอริโกเมริค โปรแอนโธไซยานิดิน” (Oligomeric proanthocyyanidin) หรือเรียกย่อๆ ว่า OPC มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและมากกว่าวิตามินอีถึง 20 และ 50 เท่าตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างเสริมสารคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผวิหนังแข็งแรงและยังลดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และในระยะหลังๆ ตั้งแต่ปี 1980 พบว่า มีการใช้สารกลุ่มไบโอเฟลโวนอยด์ที่เป็นสารสกัดเมล็ดองุ่นในการรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดและเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดฝอยเปราะ และใช้รักษาเบาหวานขึ้นตาและจอประสาทตาเสื่อม นอกจากนี้ คุณสมบัติในการเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ยังอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ ลดภูมแพ้จากยาต้านไวรัส ยาต้านมะเร็ง และเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย
      
       การเลือกใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ต้องดูปริมาณของสารออกฤทธิ์ เพื่อให้ได้ผลคุ้มค่า คือ ควรมีปริมาณสาร OPC สูงประมาณ 92-95% ขนาดที่ใช้ในการรักษาสุขภาพ คือ วันละ 50-100 มิลลิกรัม แต่ในกรณีที่ใช้บำบัดโรค ต้องใช้ขนาดสูงถึงวันละ 150-300 มิลลิกรัม
54#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-18 01:30:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สูตรน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ


   



สูตรน้ำผลไม้ที่ได้จากข้าหลวงประจำพระองค์ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
เป็นสูตรน้ำผลไม้ที่ได้จากข้าหลวงประจำพระองค์ฟ้าหญิง เป็นสูตรที่ในวังกำลังนิยมกันมาก นายหลวงทรงเสวยทุกวัน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณสดใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็งจะดีมาก มีคนแถวบ้านเป็นมะเร็ง อายุประมาณ 80 กว่าแล้ว ค่ะ ต้องให้คีโม แต่ปรากฏว่าพอรับประทานน้ำผลไม้สูตรนี้ไปเป็นเวลาประมาณไม่ถึง 1 เดื

      หากรับประทานไข่มาก จะมีปัญหาในภายหลังตอนโตเพราะร่างกายได้สะสมข้อมูลความจำของชีวประวัติไก่ไว้มากเกินไป
      
      รวมทั้งนมวัวที่มีข้อมูลของชีวประวัติ ตระกูลวัวไว้มาก เมื่อรวมกันในร่างกายจะทำให้เด็กสมัยใหม่ โตเร็ว กระดูกใหญ่ ในขณะเดียวกัน หน้าอกก็จะโตยื่นออกมามากจนเกินพอดีกลาย เป็นคนอาภัพในภายหลังเพราะเซลล์ในร่างกายตอนหนุ่มสาว ยังมีความหยางอยู่ จึงดูว่าหุ่นดี สวยงาม รูปงาม เพราะพลังหยางยังแกร่งพอที่จะยึดเหนี่ยวไว้ให้ได้ แต่พอเวลาผ่านไปอันสั้น ร่างกาย จะพัฒนาสู่ความเสื่อม เฉาเร็วกว่าปกติ เพราะเมื่อ ยังหนุ่มสาวอยู่ ร่างกายต้องทนแบกน้ำหนักและรองรับส่วนเกินนี้ไว้ให้กว่าสองเท่าตัว จนกล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป
      
      ในประเภทนมสัตว์ นมแพะ เนยทำจาก นมแพะ ถือว่าหยางมากเหมาะสำหรับคนเมืองหนาวเท่านั้น ที่บริโภคบ้านเราเป็นเมืองร้อน การบริโภค ดื่มนม จึงเป็นเรื่องผิดปกติ เป็นนโยบายส่งเสริมเยาวชนที่ควรได้รับการทบทวนก่อนจะสายเกินไป นมวัว เป็นอาหารของคนเมืองหนาว ที่มีหิมะตกมี 4 ฤดูกาล นมวัวเป็นผลิตผลของคาวบอย เมืองโคบาลที่มิใช่เมือง ไทยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หยินจัดที่สุดคือ วอดก้า (Vodka) เป็นเครื่องดื่มของคนเมืองหนาว ดื่มเพื่อเพิ่มความร้อนไว้ต้านความหนาว ที่มีหิมะตกหนัก ถัดมาคือ ไวน์ (Wine) ถัดมา คือ วิสกี้ (Whiskey)
      
      ถัดมาคือ เบียร์ที่ถือว่า หยินน้อยกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ถือว่าเหมาะสมก็คือ สาเก (Sake) ทั้งที่เดิมเป็นหยิน แต่เวลาดื่มนั้น หากแช่น้ำร้อนเป็นการปรับลดหยินลง กลายเป็นหยาง กลายเป็นสรรพคุณของยาบำรุงได้ เพราะบริโภคเมื่อยังอุุ่นอยู่ นี่คือเคล็ดลับของการปรับดุลของคนญี่ปุ่น ในกรณีเบียร์หรือไวน์หรือวิสกี้ก็ดี หากแทนที่เราจะลดความหยิน ซึ่งเป็นโทษกับสุขภาพร่างกายเรากลับไป เพิ่มความหยิน โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยการแช่เย็น (หยิน) ใส่น้ำแข็ง (หยิน) เติมโซดา คาร์บอเนต (เพิ่มหยิน) แล้วยังรับประทานใน ห้องแอร์ (หยิน) เวลากลางคืน (หยิน) สรุปรวมความแล้ว เราเพิ่มโทษความเป็นหยินขึ้น หลายเท่าทวีคูณ ทำให้เครื่องดื่มเหล่านี้ไม่เหมาะสมกับเลือดในร่างกาย นำไปสู่โรคตับและโรค เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในที่สุด

อน ปรากฏว่ามีผมงอกขึ้น และ แข็งแรงขึ้นมาก จนหมอตกใจ ลองนำไปปั่นทานกันดูนะคะน่าจะดีต่อสุขภาพไม่มากก็น้อย

ส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วย

สูตรน้ำผักผลไม้

1.แอปเปิ้ล 1 ผล

2.แครอท 1 ลูก

3.ผักสลัด(ผักกาดแก้ว) 3 ใบ

4.ตั้งโอ๋ 2 ก้าน

5.มะนาว 1 ลูก

6.น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว

(ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้)

7.น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว

8.น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ

9.ฝรั่ง 1 ผล

10.มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก

11.น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ

นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร ในกรณีที่เป็นคนป่วย ให้รับประทานวันละ 1 ลิตร แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน
**ข้อมูลนี้ได้จากอีเมล์ ไม่รู้ต้นตอว่าใครเป็นคนนำมา แต่คิดว่ามีประโยชน์เลยเอามาฝากกัน**
เจ๋งจริง ต้องดันนนนนนนนนน
56#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-18 23:05:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิตามินกินอย่างไรให้ถูกวิธี

          วิตามินที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่มาจากอาหารที่เราทานเข้าไป และส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง วิตามินที่ดีจึงต้องสกัดจากอาหาร ถึงอย่างไร เราก็ไม่กินวิตามินแทนอาหาร และวิตามินไม่ใช่ยา แต่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic) ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย  มีหน้าที่ช่วยให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ถูกต้อง และช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะถ้าขาดวิตามินแล้วร่างกายจะหยุดทำงาน  

          ในที่นี้จะขอเล่าถึงวิตามินบางตัวที่มีความสำคัญต่อภูมิชีวิต (Immune System) เรา ซึ่งที่น่ารู้จักก็คือ วิตามินในกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ได้แก่ A, C, D และ E และกลุ่มวิตามิน B ชนิดต่างๆ

วิตามิน A

พบใน น้ำมันตับปลา ผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม และหัวบีทรู้ท

ประโยชน์
- ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน
- ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
- สร้างความต้านทานให้แก่ระบบหายใจ
- ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
- ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยลบจุดด่างดำ และจุดวัยสูงอายุ
- ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์

ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชายควรกินอาหารที่มีวิตามิน A 1,000 R.E. หรือเท่ากับ 5,000 I.U. ต่อวัน
- ผู้หญิงควรกินอาหารให้ได้วิตามิน A 800 R.E. หรือ 4,000 I.U. ต่อวัน
- หากกำลังตั้งครรภ์ควรกินเพิ่มเป็น 1,000 R.E. หรือ 5,000 I.U. ต่อวัน
- สำหรับการกินวิตามิน A เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 10,000 I.U.

  
วิตามิน  


[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]


วิตามิน C

ประโยชน์
- เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
- ช่วยแผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
- ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
- ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (MUTATION)
- ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตาย (SIDS) ในกรณีเด็กอ่อน
- ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
- ช่วยคลายเครียด

ปริมาณที่แนะนำ
- ในรายที่ขาดวิตามิน C ควรกิน เสริม วันละ 1,000 mg

  
วิตามิน  


[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]


วิตามิน D

พบมาก ในเนย นม เนยแข็ง และในแดด ดังนั้น เราจึงควรตากแดดวันละ 2-3 ชั่วโมง

ประโยชน์
- ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มพลังงาน และช่วยรักษาสิว ทั้งนี้หากกินร่วมกับวิตามิน B6 ในขนาดสูงๆ จะช่วยรักษาข้ออักสบ และโรคเรื้อนกวาง (สะเก็ดเงิน) ได้

ปริมาณที่แนะนำ
- ควรกินวิตามิน D เสริม วันละ 1,000 I.U
57#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-18 23:07:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิตามิน E

ประโยชน์
- หน้าที่สำคัญที่สุดของวิตามิน E เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญ (OXIDATION) โดยมีตัวออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด ช่วยลอความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ
- บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย
- ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ
- บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย
- ช่วยให้ผิวหนังสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น
- ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น และไม่อ่อนเพลียง่าย

ปริมาณที่แนะนำ
- ควรกินวิตามิน E เสริม ขนาดเม็ดละ 400 I.U. วันละ 2 เม็ด เช้า-เย็น
- ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเกิดความดันโลหิตสูงได้ในบางราย วิธีแก้อาการดังกล่าวคือ ควรกินในปริมาณ 100 I.U. ก่อน แล้วจึงเพิ่มปริมาณเป็น 200 I.U. และ 400 I.U. ตามลำดับ
- หากกินเหล็กและวิตามิน E พร้อมกัน จะเกิดภาวะที่ร่างกายไม่สามารถดูดวึมวิตามิน E ได้ วิธีแก้คือ ควรแยกกินวิตามิน E ก่อนธาตุเหล็ก 8-12 ชั่วโมง


  
วิตามิน  


[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]


วิตามิน B

วิตามิน B1 หรือ Thiamin

ประโยชน์
- จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อย หัวใจ และกล้ามเนื้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยแก้อาการเมาคลื่น และเมาอากาศ
- ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตและรักษางูสวัด (Herpes Zoster) ให้หายเร็วขึ้น

ปริมาณที่แนะนำ
- ถ้าต้องการกินวิตามินชนิดนี้เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 1 เม็ดหลังอาหาร เม็ดละ 100 mg
- หากเกิดอาการเครียด ตื่นเต้น เจ็บป่วยโดยเฉพาะหลังผ่าตัด ควรกินวิตามิน B1 ร่วมกับวิตามิน B Complex (วิตามินบีรวม)
- คนที่ควรกินวิตามิน B1 เสริม คือ
- คนที่ชอบกินของหวานๆ กับแป้งขาวมากๆ หรือสูบบุหรี่ และดื่มเหล้าจัด ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคขาดวิตามิน B1 ได้
- คนที่กินยาลดกรดในกระเพาะเป็นประจำ เพราะยาลดกรดจะทำลายวิตามิน B1 ในอาหารให้เหลือน้อยลง
- ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดเป็นประจำ


วิตามิน B6 หรือ Pyridoxine

ประโยชน์
- ช่วยเปลี่ยนแอมิโนแอซิดให้เป็นวิตามินอีกตัวคือ Niacin หรือวิตามิน B3 ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตให้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และแร่ธาตุแมกนีเซียม
- ช่วยบรรเทาโรคเกิดระบบประสาทและผิวหนัง
- ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้ และอาเจียน
- ช่วยบรรเทาอาการปากแห้ง และคอแห้ง
- ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชา และช่วยขับปัสสาวะ

ข้อแนะนำสำหรับบางคน
- ผู้ที่กินยาคุมกำเนิดควรกินวิตามิน B6 เป็นประจำ
- ผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าต้องใช้อินซูลิน ควรกินวิตามิน B6 ควบ และปรับอัตราการใช้อินซูลินให้ได้ตามส่วนของน้ำตาลในเลือด


วิตามิน B12 หรือ Cobalamin

ประโยชน์
- ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
- ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร
- ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี
- ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดี และมีสมาธิ

ข้อแนะนำสำหรับบางคน
- ผู้หญิงที่อ่อนเพลียเพราะประจำเดือนมามาก ควรกินวิตามิน B12 เสริม
- ผู้ที่เป็นมังสะวิรัติอย่างเคร่งครัด ก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเช่นกัน
- ผู้ที่ติดเหล้าหรือดื่มจัดก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเป็นประจำ
58#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-18 23:07:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิตามิน B3 หรือ Niacin

ประโยชน์
- ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด
- รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
- ช่วยอาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้น
- ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน
- ช่วยบรรเทาโรคอาไทรทิสและข้ออักเสบ
- ช่วยกระตุ้นและแก้ไขความบกพร่องทางเซ็กซ์
- ช่วยลดความดันโลหิตสูง

ปริมาณที่แนะนำ
- สามารถกินวิตามิน B3 เสริมได้ตั้งแต่ 100 - 2,000 mg ต่อวัน
- สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจควรใช้ในปริมาณที่สูงถึงวันละ 7,000-8,000 mg


วิตามิน B5 หรือ Pantoyhenic Acid

ประโยชน์
- ช่วยสร้างแอนติบอดี้ซึ่งเป็นตัวสำคัญของ Immune System หรือภูมิชีวิต
- เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาลเพื่อสร้างพลังงาน วิตามินB5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล
- ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
- ช่วยให้ร่างกายหายจากการช็อคหลังการผ่าตัดใหญ่
- ช่วยให้อาการอ่อนเพลียหายเร็วขึ้น

ปริมาณที่แนะนำ
- ในรายที่ขาดวิตามิน B5 ควรกินเสริมวันละ 2 เม็ด เม็ดละ 100 mg


วิตามิน B Complex

ประโยชน์
- ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นก ลูโคส ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน
- ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
- ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปาก และตับ
- ในกลุ่มชีวจิตเราเชื่อว่าเมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป การดูดซึมของลำไส้จะทรุดโทรมลง ต้องแก้ไขด้วยการบริหารร่างกายและใช้วิตามินกลุ่ม B Complex

ปริมาณที่แนะนำ
- ตามปกติผู้ที่กินอาหารตามสูตรของชีวจิต จะได้รับวิตามิน 2 ชนิดนี้เพียงพอ
- ถ้าเป็นอาหาร วันหนึ่งๆ เรามีวิตามิน 2 ชนิดนี้รวมกันวันละ 300-400 mg ก็เพียงพอแล้วแต่ถ้าใช้เป็นยาต้องใช้ถึงวันละ 3,000-5,000 mg
สมแล้วที่ กำลังจะเป็น ดร. เนี่ย อ่ะ สู้ๆ ผม ขอ copy แล้วเอาไป อ่าน  นะ ครับ น้อง ก้อง

คะแนน

1

ดูบันทึกคะแนน

61#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-23 14:53:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชาดำสามารถช่วยแก้อาการเครียดอย่างรวดเร็วจากสภาพความตึงเครียดในแต่ละวัน


ตามที่รายงานจาก การศึกษาของ UCL (University College London) ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญทางข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ แสดงถึงชาดำ ว่ามีผลต่อระดับฮอร์โมนความเครียด ในร่างกาย มีชื่อว่า คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งหลั่งจากต่อมหมวกไตเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อร่างกายต้องตอบสนองต่อสภาวะเครียด

มีงานวิจัยก่อนหน้านี้ เกียวกับผลงานวิจัยพบว่าถ้าดื่มชาเป็นประจำสม่ำเสมอ อาจจะช่วยแก้ไขความทรงจำให้จำดียิ่งขึ้น หรือชาน่าจะนำมาใช้ในการรักษาโรคได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรค Alzheimer อ้างอิงจากรายงานในวารสาร “Phytotherapy Research ” ซึ่งชาดำถือว่าเป็นอาหารเช้าในประเพณีที่ใช้ดื่มกันเป็นประจำของคนประเทศอังกฤษ อีกทั้งชาดำยังมีผลต่อการยับยั้งการทำงานบางชนิดของเอนไซม์ ที่มีชื่อว่า “Butyrylcholinesterase” (BuChE) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีส่วนร่วมในการก่อโปรตีน Amyloid beta (AB) ในสมอง โดยเป็นสาเหตุหลักต่อโรคความจำเสื่อม๖หรือ โรคAlzheimer (www.vcharkarn.com/include/vcafe/ ... id=27&Pid=24562)

ชาดำ (black tea) หรือ อาจเรียกอีกชื่อ ว่า ชาฝรั่ง โดยการนำ ยอดอ่อนของชาที่นำมาบดเ แล้วหมักจนได้กลิ่นหอมก่อนนำมาอบแห้ง จึงทำให้ใบชามีสีเข้ม รสขมฝาด เนื่องจากสาร แทนนิน(tannin) ที่อยู่ในชา ซึ่งมีวิธีการเตรียมได้โดยการเอาใบชาที่เก็บมาได้ เอามากองสุมไว้ เพื่อให้เกิดการหมัก (fermentation) เกิดขึ้น มีการบดใบชาเพื่อช่วยเร่งการหมักให้เร็วยิ่งขึ้น ในขั้นตอนการหมักนี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในใบชา เมื่อหมักจนได้ที่ตามที่ต้องการแล้ว ก็จะนำไปทำให้แห้ง ใบชาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม (www.ku.ac.th/e-magazine/april48/know/tannins.html) นอกจากนี้ ยังนิยมนำชาชนิดนี้แต่งกลิ่นรสต่างๆ ทำให้ได้ชาที่มีรสชาติแตกต่างกันออกไป


เร็วๆนี้ที่ผ่านมาการศึกษาเกี่ยวกับชาดำได้ ถูกตีพิมพ์ใน วารสาร Psychopharmacology โดยหัวหน้าทีมวิจัย ชื่อว่า ศ. แอนดิว เตรบโต โดยพบว่า ข้อมูลทางการวิจัยคนที่ดื่มชาดำในการทดลอง สามารถจะลดความเครียดได้ง่ายและฟื้นตัวจากความเครียดได้เร็ว กว่า คนที่ไม่กินชา หรือได้รับชาดำหลอก ในการทดลอง

กลุ่มอาสาสมัครที่ใช้ในการวิจัยในการดื่มชาต่อผลการคลายตัวจากอาการเครียด ได้มีทำการ ศึกษา ในวัยรุ่นชายทั้งหมด 75 คน ถูกแบ่งเป็น สองกลุ่ม และติดตามผลการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลารวมทั้งสิ้น หกเดือน ในงานวิจัยได้ มีการให้หรือจัดกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครได้รับ ชาดำ ชาปกติ กาแฟ 4 ครั้ง ต่อวัน

ข้อมูลพบว่ามีการลดลงของฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ในเลือดของกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัคร หลังจากมีเหตุการ์ณที่เครียดทีถูกจัดตั้งเกิดขึ้น โดยนักวิจัยศึกษาเทียบกับกลุ่มควบคุม ผู้ที่ดื่มชาหลอก หรือ (placebo tea) ในช่วงเวลาเดียวกัน


อีกกลุ่มเป็นที่ใช้เป็นกลุ่มที่เป็นการวิจัยที่ควบคุม คือ ให้ ดื่มชาหลอก หรือ (placebo tea) มีรสชาเหมือนชาทั้วไปแต่ไม่มีส่วนประกอบทางเคมีของชาเลย หรือไม่มี สารที่ไม่ก่อเกิดขบวนการทางเภสัชในการรักษา จุดประสงค์ที่นำมาใช้ คือ
เพื่อจ่ายให้แก่คนไข้ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกที่ดีขึ้นต่ออาการของตน บรรเทาอาการอาการเครียด

ทั้งสองกลุ่มการวิจัยมีการตั้งสถานการ์ณ์ความเครียด ให้เกิดขี้น เช่น การกล่าวหาว่ากลุ่มดังกล่าว ขโมยของ หรือมีข่มขู่ว่าจะไม่จ้างงาน เป็นต้น ทำให้อาสาสมัครเกิดสภาพความเครียดขึ้น ซึ่ง กลุ่มอาสาสมัคร ถูกวัด ทั้ง ฮอร์โมน cortisol รวมทั้งวัดความดันโลหิตเลือด และ จำนวนเกร็ดเลือด และจากนั้นมีการให้อาสาสมัครดังกล่าว มีการได้ ตอบโต้และเถียงในแต่ละราย หน้ากล้องถ่ายด้วยเพื่อติดตามผลการทำลองด้วย


จากผลการทำลองพบว่าทั้งสองกลุ่มด้วยมีการเพิ่มขึ้นอย่างมากของความดันโลหิต อัตตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึน รวมทั้งค่าที่เกี่ยวของกับความเครียดทีสูงขึ้น


นักวิจัยจาก UCL ยังพบว่า การทำงานของเกล็ดเลือด มีความสัมพันธ์ต่อ การจับตัวของโลหิตด้วย และ การเกิดโรคหัวใจด้วย




อ้างอิง
http://www.vcharkarn.com/include ... id=27&Pid=24562
ขอบคุณค่าาา

หายงงไปเยอะเลย
ความรู้อัดแน่น ชอบๆๆๆ ขอบคุณนะคะที่หามาให้อ่าน
ยาวมากมาก ยิ่งอ่านยิ่งมันส์
65#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-7-3 12:42:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ดูดีบ้าง อะไรบ้าง เพื่อนๆ

ณ จุดนี้
มีอีกมั้ยอ่าก้องจ๋า กำลังอ่านมันส์เรย
เพิ่งรู้ว่าน้ำมันตับปลา แก้ไทรอยด์ได้ด้วย
ยังงี้ต้องกิงๆๆๆๆๆ
มีเรื่อง omega3 มั่งม้า กินแระมันจะหายเอ๋อ หายโก๊ะมิ
ข้อมูลแน่นมั๊กๆ ชอบจายๆ
71#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-7-7 22:24:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จากนิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 21 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2540 ]


โอเมก้า 3 (Omega - 3.s.)
พญ.จันทรา เจณณวาสิน


--------------------------------------------------------------------------------

ภาวะหัวใจวาย (HEART ATTACK) เป็นต้นเหตุสำคัญ ที่คร่าชีวิตชายหญิง โดยเกิดจากเส้นเลือด ที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน เนื่องจากมีแผ่นไขมันอุดตัน

ช่วงระหว่างปี ค.ศ.1970 จนถึงปี ค.ศ.1980 นักวิจัยพยายามค้นคว้าหาหนทาง แก้ไขปัญหานี้ แล้วพบว่าชาวเอสกิโม ที่อาศัยอยู่บนเกาะกรีนแลนด์ แถบขั้วโลกเหนือ ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น จนน้ำแข็งจับ และมีอาชีพส่วนใหญ่เป็นชาวประมง มีวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์คือ รับประทานปลาเป็นอาหารหลัก นั้นมีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่ปัญหาการดื่มสุรามาก นักโบราณคดีด้านมนุษยศาสตร์ (Anthropologist) สันนิษฐานว่า ที่มนุษย์เรามีวิวัฒนาการ มาตามลำดับเป็นเวลาหลายพันปีนั้น ดำรงชีวิตอยู่ด้วย อาหารส่วนใหญ่ที่มีกรดไขมัน อันเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ กลุ่มกรดไขมัน ที่รวมเรียกชื่อว่า "โอเมก้า - 3" (Omega -3-fats) ซึ่งพบมากในปลา โดยเฉพาะปลาทะเลธัญพืช และเมล็ดพืช (Nut and seeds) บางชนิด รวมทั้งพืชผักใบเขียว ต่อมาเมื่อเวลาผ่านพ้นไป คนเรารับประทาน อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า - 3 น้อยลงจนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลายชนิด นับตั้งแต่โรคหัวใจวาย โรคครรภ์เป็นพิษ (Preclampsia) โรคไขข้ออักเสบชนิดรูห์มาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) รวมทั้งโรคอื่น ๆ อีกมาก แม้แต่โรคซึมเศร้า (Depression) และความก้าวร้าว

ร่างกายของเราต้องการกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty acid) ในการมีชีวิตอยู่ อย่างมีประสิทธิภาพ สองชนิด กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า - 3 นั้น เป็นหนึ่งในกลุ่มกรดไขมัน ที่ร่างกายมนุษย์ขาดไม่ได้ สารสำคัญที่อยู่ในกลุ่มโอเมก้า - 3 นี้แบ่งได้เป็นสองชนิดใหญ่ คือ ชนิดที่หนึ่งได้แก่พวก EPA และ DHA

(EPA ย่อมาจาก EICOSAPANTAENOIC ACID)
(DHA ย่อมาจาก DOCOSAHEXANOIC ACID)

ซึ่งพบมากในปลาอ้วน ๆ ใต้ทะเลลึก เช่น ปลาซาลมอน และแม็คเคอเรล (SALMON AND MACKEREL ซึ่งมีไขมันที่เรียกว่า FISH OIL น้ำมันปลา (มิใช่น้ำมันตับปลา) จำนวนสูงกว่าปลาน้ำจืด ส่วนชนิดที่สองชื่อ กรดอัลฟาไลโนเลอิก (ALPHA - LINOLEIC ACID) ซึ่งเป็นกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า - 3 ซึ่งพบมากในอาหารพวกธัญพืช ร่างกายของเราสามารถเปลี่ยนแปลงกรดไขมันที่มีอยู่ในพืชตัวนั้น ให้เป็นกรด ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า คือ EPA และ DHA น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันตัวนี้สูง คือ Canola oil และ FAXSEED oil ส่วนพืชพวกข้าวโพด, ถั่วเหลือง, เมล็ดทานตะวัน และผลิตภัณฑ์ทางอาหาร ที่ทำจากพืชและน้ำมันพวกนี้ เช่น เนยเทียม ย่อมมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ตัวนี้อยู่มากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านโภชนาการเสนอแนะว่า ร่างกายคนเราควรได้รับ กรดไขมัน ทั้งสองชนิด ในสัดส่วนที่สมดุลกัน เช่น หนึ่งต่อหนึ่ง คือ มิใช่ว่า รับประทานกรดไขมัน ชนิดหนึ่ง สูงกว่าอีกชนิดหนึ่ง
72#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-7-7 22:24:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กลไกการทำงานของกรดไขมันในร่างกายเรานั้นเชื่อกันว่า เกี่ยวข้องกับ การทำงานของ เซลล์ทุกชนิดของร่างกายโดยเฉพาะ DHA ซึ่งพบมากในน้ำนม และรกอั นเป็นแหล่งสำคัญ ของการผลิตฮอร์โมนสำหรับทารกในครรภ์นั้น มีความสำคัญในการเจริญเติบโต ของสมองของทารกเช่นเดียวกับเซลล์ชนิดอื่น ๆ ทุก ๆ วัน ร่างกายของคนเรา ผลิตสารกลุ่มหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติ คล้ายฮอร์โมน ชื่อ "EICOSANOIDS" สารกลุ่มนี้มี ส่วนเกี่ยวข้อง ในการควบคุม ระบบการแข็งตัวของเลือด การหดตัวของหลอดเลือด และการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ซึ่งเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อ ที่อยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และอยู่นอกกการบังคับด้วย เส้นประสาท ชนิดที่บังคับแขนขา คือ เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ ระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น กล้ามเนื้อของมดลูก นอกจากนี้ สารนี้ ยังจำเป็นในกรณีที่ ร่างกายเกิดการอักเสบ เพราะต่อสู้กับเชื้อโรคหรือความผิดปกติต่าง ๆ ในการผลิตกลุ่มสารชื่อ EICOSANOIDS นี้ร่างกายต้องใช้วัตถุดิบ คือ ทั้งกรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) และ กลุ่มโอเมก้า - 3 แต่ถ้าร่างกายได้รับกลุ่มโอเมก้า - 3 น้อยไป และมีกรดไลโนเลอิก เป็นสัดส่วนเกินพอดี เมื่อเทียบกับกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า - 3 แล้ว ร่างกายของเรา ย่อมมีปัญหา เกี่ยวกับลิ่มเลือดแข็งตัว ปวดท้องน้อยเวลามีประจำเดือน และข้ออักเสบ ดังกล่าว

เวลานี้ นักวิจัยยังไม่เสนอข้อตกลงที่แน่นอน ว่าคนเราควรได้รับสารกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า - 3 เป็นจำนวนเท่าใด เพื่อนแพทย์คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่เขาซื้อปลาทะเล เช่น ซาลมอน มารับประทานทุกวันระดับโคเลสเตอรอล ที่สูงเกินปกติไปมากนั้น ได้ลดลงต่ำกว่าระดับเดิม จนอยู่ในขั้นปกติ ภายในเวลา 3 เดือนเท่านั้น แต่ทั้งนี้ต้องรวมทั้งการออกกำลังกายด้วย ส่วนปลาที่เขาซื้อมารับประทานนั้น เป็นปลาที่จับจากทะเล มิใช่ปลาเลี้ยง ดิฉันไม่ทราบว่า ปลาจากสองแหล่งนั้น มีจำนวนกรดไขมันโอเมก้า - 3 มากน้อยกว่ากัน จนคุ้มกับราคาปลา ราคาถูกแพงต่างกันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากรายงานที่ส่งเสริมการรับประทานปลาทะเล รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่สกัดมา ซึ่งวางขายตามหิ้งของร้านขายยา ซึ่งมีชื่อว่า "น้ำมันปลา" (Fish oil) นั้น มีมากมาย เป็นต้นว่า


ในกลุ่มเด็ก 468 คนในทวีปออสเตรเลีย ซึ่งได้รับประทานปลาทะเล ที่อุดมด้วย กรดโอเมก้า - 3 อย่างน้อยหนึ่งครึ่งต่อสัปดาห์ เป็นกลุ่มที่เป็นโรคหอบหืดน้อยกว่า กลุ่มเด็กที่รับประทานปลาถึง 25 เปอร์เซ็นต์ (Medical Journal Australia Feb 5-1996)
ที่เมืองซีแอตเติล สตรีจำนวน 324 คนที่รับประทานปลา โดยเฉพาะปลาซามอล ไม่ว่าในรูปอบหรือย่าง อย่างน้อยสองครั้งต่อสัปดาห์ มีอัตราการเกิดโรคข้ออักเสบ ชนิดรูห์มาตอยด์ต่ำลง ส่วนสตรีที่เกิดปัญหานี้ ถ้าได้รับน้ำมันปลา ในรูปผลิตภัณฑ์ เม็ดอาหารเสริม จะมีอาการอักเสบของข้อลดลง (Epidemiology May 1996)
สตรีที่ปวดท้องช่วงมีประจำเดือนมากเพราะมีการผลิตสารกลุ่ม EICOSANOIDS สูง จนทำให้เกิดมดลูกหดตัวอย่างมาก อาการเจ็บปวดจะลดลง เมื่อเธอรับประทาน น้ำมันปลาเป็นเวลาสองเดือน (ทดลองในกลุ่มสตรี 37 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนน้อย American Journal of OB-GYN April 1996 )
กลุ่มมารดาที่ตั้งครรภ์ ถ้ารับประทานอาหารที่มีกรดโอเมก้า - 3 จะเกิด ปัญหา ทางการตั้งครรภ์เป็นพิษต่ำลง (Epidemiology May 1995)
ส่วนโรคลำไส้เล็กอักเสบเรื้อรัง และมะเร็งเต้านมนั้น การได้รับอาหาร กลุ่มกรดไขมันโอเมก้า - 3 ซึ่งมีพวก EPA และ DHA สูง ช่วยทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีอาการดีขึ้น และเกิดอาการกำเริบน้อยลง (New England Journal of Medicine June 13 1996)
ก้องตะวัน สมาชิกนี้ถูกลบไปแล้ว
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
ก้องตะวัน สมาชิกนี้ถูกลบไปแล้ว
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
โอ้ว..แม่เจ้า เจอกูรูวิตามินแล้ว ต้องขอปรึกษาซะแล้ว คือว่าตอนนี้กุ้งกินวิตามินอยู่
ก็มี Bio C 1000 mg. + Q10 10 mg.+ Vit E 400 IU วันละครั้งตอนเช้า
(ตอนแรกมี Vit A ด้วยแต่พอกินแล้วไรหนวดมันขึ้นอ่ะค่ะ เลยเลิกกินเลย สงสัยอยู่ว่า ไอ้เจ้า Vit A เนี่ย
มันมีผลกับฮอร์โมนตัวนี้รึปล่าวคะ )
ถ้าหากจะกินช่วยเรื่องผิวพรรณกับริ้วรอยนี่เพียงพอรึยังอ่ะคะ รึว่าต้องกินตัวไหนเสริมอีกคะ พอดีหน้ามีริ้วรอยอ่ะค่ะ
แอบอายอยู่เหมือนกัน อยากจะให้มันหายไวๆ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้