เจ้าของ: kallypaulsmith
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วิตามินและอาหารเสริม ทานอย่างไรให้เด้ง

[คัดลอกลิงก์]
คุณมีรูปป่าวค่ะ กล่องมันเป็นอย่างไร
น่าลองนะคะ ใบบัวบกอัดเม็ดเนี้ย ว่าแต่ทำไป8วันแล้วมันยังจะช่วยอะไรไหมเนี้ย
พี่โอม คับ พอมี ความรู้ อาหาร ที่บำรุง ไต  ไหมคับ คุณลุงไตไม่ค่อยดีคับ
ต้นฉบับโพสโดย pond เมื่อ 2009-5-19 18:15



ไตไม่ดีในทางการแพทย์ของจีนมีหลายแบบอ่ะครับ

เหมือนหวัดอ่ะครับ ที่มีหวัดร้อนกับหวัดเย็น

ไม่ทราบว่า ที่ว่า ไม่ดีนี่เป็นแบบไหน เคยพบแพทย์รึยังครับ

หลายคนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดื่มน้ำมากๆ เป็นผลดีต่อไต

มีส่วนจริง แต่วิธีดื่มสำคัญมาก ช่วยให้ไตไม่ต้องทำงานหนัก

วิธีที่ถูกคือ การดื่มน้ำบ่อยๆ แต่ทีละน้อย ไม่ใช่ดื่มทีเป็นลิตร

ดื่มน้ำมากเป็นสิ่งดี แต่ต้องดื่มเป็น ดื่มบ่อยๆแต่พอควร ดีกว่าดื่มรวดเดียวเยอะๆ

การดื่มรวดเดียวมากๆกลับเป็นการทำร้ายไตโดยที่หลายคนคาดไม่ถึง

ไตที่ขาดพลังก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอ สุขภาพทรุดโทรมเร็วนะครับ

ไตไม่ค่อยดี บางทีจะมีอาการปวดหลังช่วงล่าง ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง

มือเท้าเย็น ขอบตาคล้ำ ปวดเมื่อย นอนไม่หลับฯลฯ

อาหารบำรุงไตก็พอรู้ พี่พอรู้เรื่องยาพวกสมุนไพรจีนบ้าง

เพราะ คลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก(กินเองซะเยอะ) แต่ก็สู้คุณหมอโดยตรงไม่ได้นะครับ

ที่บ้านเป็นคลังยาสมุนไพรจีนอ่ะครับ

แต่ตัวพี่ก็เน้นที่อาหารด้วยครับ

คนเป็นโรคไตต้องระวังอย่าทาน เกลือ ผงชูรสและอาหารพวกโปรตีนมากไปนะครับ

ตัวจะบวม ไตจะทำงานหนักนะครับ
29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-20 17:27:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-20 17:39

มาต่อครับ

อาหารที่ควรรับประทานหลังการผ่าตัด
ควรมีวิตามินเอเยอะๆ ด้วยนะครับ

วิตามินอีก็เช่นเดียวกัน


เอาเอก่อน

วิตามินเออยู่ในเครื่องในสัตว์ ปลาไหล นม เนย น้ำมันตับปลา ส่วนวิตามินเอในรูปแคโรทีน อยู่ในพืชผักสีเหลืองหรือสีส้ม เช่น แครอท แตงโม แอปริคอท ส้ม ฟัก ทอง ข้าวโพด มันฝรั่ง มันเทศ น้ำเต้า ในพืชผักสีเขียวและสีขาวก็มีบ้าง เช่น สาหร่ายทะเล ดอกกะหล่ำ แตงกวา หอมหัวใหญ่ เด็กๆ ต้องการวิตามินเอเพื่อร่างกายที่เจริญเติบโต โครงกระดูกแข็งแรงเจริญอาหาร เม็ดเลือดแดงได้รับการสร้างเสริม ฟันมีสารเคลือบ หนุ่มสาวและผู้ใหญ่ก็ต้องการวิตามินเอมาทำหน้าที่สำคัญๆ มากมาย ช่วยดูแลเซลล์ผิวหนังและเยื่อบุ ช่วยให้ผิวสวย ตาดี ผมงาม เล็บแข็งแรง
30#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-21 14:35:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิตามินอี คืออะไร?
วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (tocopherol) เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลือง และละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (alpha-tocopherol)

ประโยชน์ของวิตามินอีต่อร่างกาย
เนื่องจากผนังของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมีไขมันที่ไม่อิ่มตัวเป็นโครงสร้างหลัก โครงสร้างที่ว่านี้จะถูก ทำลายได้ง่ายด้วยกระบวนการออกซิเดชัน (oxidation) และส่งผลให้เกิดสารอนุมูลอิสระ (free radicals) ชนิดต่างๆ ตามมา ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างภายในเซลล์ที่สัมผัสกับสารอนุมูลอิสระ วิตามินอี เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ (potent antioxidant) ซึ่งมีผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ยังมีผลช่วยปกป้องการเสื่อมสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ (stabilize) ที่บุอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา ตับ เต้านม หลอดเลือด และเม็ดเลือดแดง ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความคงทนมากขึ้นด้วย
อาหารชนิดใดบ้างที่เป็นแหล่งของวิตามินอี? แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีอยู่ในปริมาณสูง ได้แก่ นม ไข่ ถั่ว ปลา เนื้อสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ น้ำมันพืชต่างๆ ผักที่กินใบ เช่น ผักกาดหอม ผักโขม เป็นต้น ถึงแม้ว่าวิตามินอีจะค่อนข้างทนต่อความร้อนและไม่ละลายในน้ำก็ตาม แต่การประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูงๆ เช่น การทอด รวมทั้งการเหม็นหืนของน้ำมันก็อาจทำให้วิตามินอีสูญเสีย สภาพไปได้
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
พี่โอม ขอบคุณมากคับ พี่ชาย ขอให้เ หน้าเด็กไป ตลอดเลยนะคับ
คุณ kallypaulsmith วิตามิน มาลงให้หมดเลยนะคับ อ่านเพลินดี คับ
พี่โอม ขอบคุณมากคับ พี่ชาย ขอให้เ หน้าเด็กไป ตลอดเลยนะคับ
คุณ kallypaulsmith วิตามิน มาลงให้หมดเลยนะคับ อ่านเพลิ ...
ต้นฉบับโพสโดย pond เมื่อ 2009-5-21 18:48



สุดยอด ของวิชาการ
35#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-25 05:00:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เอาข่าวฝากมาบอกครับ เรื่อง วิตามินอีและ จิงโก๊ะ และนอกเรื่องเรือ่งตัวเองหน่อยนึงครับ อิๆ

อ่านหนั้งสือเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมครับ
คุณหมอบอกว่า ให้งดทานวิตามิน อี และจิงโก๊ะหลังการผ่าตัด เพราะว่าทำให้เลือดไหลง่าย

เลยเอามาฝากเพื่อนๆนะครับ
36#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-28 15:56:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คลอโรฟิลล์

ความนิยมในการดื่มคลอโรฟิลล์

คลอโรฟิลล์ เป็นสินค้านำเข้าจากอเมริกา เป็นเครื่องดื่มที่ดารา นางแบบ นักเรียน นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ให้ความนิยม จนกลายเป็นแฟชั่น สุขภาพดี ใคร ๆ ก็ปรารถนาขนาด อ้อม-พิยดา อัครเศรณี นางเอกแถวหน้า พ.ศ.นี้ ยังดื่มเป็นประจำ รวมถึงแท่ง - ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง และดารณี กฤติบุญยาลัย รวมถึงนัท มีเรีย ก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของคลอโรฟิลล์ (สรุปความคร่าว ๆ จาก คอลัมน์ บันเทิงไทยรัฐ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙)


ความเป็นมาของคลอโรฟิลล์

สารประกอบคลอโรฟิลล์ได้รับการค้นพบสูตรโครงสร้างทางเคมีครั้งแรกเมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 20 โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ศาสตราจารย์ ฮาน์ส ฟิชเชอร์ (Hanns Fisher,M.D.)และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล (Noble’s Prize) เนื่องจากสามารถใช้ความเร้นลับของคลอโรฟิลล์ได้สำเร็จ และจากการค้นพบดังกล่าวทำให้เราทราบว่า สูตรโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับสูตรโครงสร้างของสารประกอบ ฮืม(Heme) ที่เป็นโครงสร้างหลักของเม็ดเลือดแดง(Red Blood Cell) ของคนเราอย่างมาก และจากการวิจัยทางการแพทย์ หลายการวิจัยก็ยืนยันได้ว่า ร่างกายของคนเราก็สามารถนำเอาสารคลอโรฟิลล์นี้ไปเป็นสารตั้งต้น (Precursor) ในการสร้างเม็ดเม็ดเลือดแดงได้เมื่อร่างกายต้องการโดยเฉพาะในภาวะที่ร่างกายของเราเกิดความบกพร่องในการสร้างเม็ดเลือดแดงเนื่องจากขาดสารอาหาร อย่างเช่น ในภาวะโลหิตจาง
( Anemia)ฯลฯ
เป็นที่ทราบกันดีว่าคลอโรฟลล์เป็นรงควัตถุที่พบในพืชที่มีสีเขียว และใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โครงสร้างของคลอโรฟิลล์นั้นคล้ายคลึงกับ ฮืม(Heme) ในฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง จึงมีผู้เรียกคลอโรฟิลล์ว่าเป็น “the blood of plants” จึงมีการศึกษาถึงฤทธิ์ของคลอโรฟิลล์ดังนี้


1. ต่อต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์ และลดอัตราการเกิดมะเร็ง
2. ฤทธิ์ในการต้านการติดเชื้อ
3. กำจัดกลิ่นที่เกิดจากอวัยวะภายในร่างกาย
4. ช่วยในการรักษาบาดแผล
5. รักษาอาการท้องผูก
6. ช่วยลดพิษหรืออาการข้างเคียงจากยาบางชนิดได้
7. รักษาภาวะนิ่วชนิด calcium oxalate stone
8. กระตุ้นการสร้างเลือดในผู้ป่วยโลหิตจางได้
9. ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย
10. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาออกชิเจนเข้าสู่เซลล์
11. ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับ และไต
12. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
13. ปรับสมดุลให้กับร่างกาย
14. ให้ความสดชื่น
15. ผิวพรรณสดใส
16. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
17. มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
18. เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฯลฯ


ส่วนประกอบสำคัญของ ลิควิด คลอโรฟิลล์
โซเดียมคอปเปอร์คลอโรฟิลล์ (Sodium Copper Chlorophyllin) เป็นการดัดแปลงโครงสร้างคลอโรฟิลล์ตามธรรมชาติ ทำให้ได้สารคลอโรฟิลล์ที่ยังคงมีสีเขียวอยู่ แต่มีความคงตัวและสามารถละลายน้ำได้ดี จึงนำมาใช้เป็นสีผสมอาหารสำหรับผสม ในเครื่องดื่ม ซึ่งองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) รับรองความปลอดภัยเฉพาะคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายน้ำเท่านั้น Chlorophyllin เป็นสารต้านทานปฏิกิริยา oxidation ที่มีประสิทธิภาพดีพอ ๆ กัย retinol b-carotene, วิตามินซีและวิตามินอี (g-tocopherol)Chlorophyllin มีฤทธิ์ต้านทานสารก่อกลายพันธุ์ประเภท chromium, chlordane, รังสีเอกซ์ ethidium bromide styrene oxide กลไกต้านการกลายพันธุ์ของ Chlorophyllin ยังไม่กระจ่างชัด อาจเป็นผลมาจาก Chlorophyllin เป็นตัวกำจัดอนุมูลอิสระ ทำปฏิกิริยากับ active group ของสารก่อกลายพันธุ์หรือป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสารก่อกลายพันธุ์เพื่อไปอยู่ในรูปที่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาโดยทางอ้อม
Alfalfa(Lucene) จัดเป็นพืชจำพวกตระกูลถั่วที่มีฝัก เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตก และแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชชนิดแรก ๆ ที่ใช้เพื่อการเพาะปลูกเติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก Alfalfa มีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของ Alfalfa สามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต
จึงมีประสิทธิ์ภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธ์กว่า อีกทั้งตัวของ Alfalfa เองก็จะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก “Alfalfa”มากกว่า 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มความเร็วและแข็งแรงให้กับม้า อีกทั้งยังใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม ด้วยคุณค่าทางอาหารที่มากมายชาวอาหรับจึงขนานนาม Alfalfa ให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล”
แก้ไขล่าสุด PERFECT เมื่อ 2009-5-29 00:02

เยี่ยมเลยคะ ขอปรบมือ มอบโล่ให้เลยคะ ความรู้เน้นๆ อ่านแล้วเอาความรู้นี่ไปแบ่งปันให้คนอื่นที่มีปัญหาทางร่างกายและเสริมสร้างให้ดีๆ ยิ่งขึ้น ห้องนี้ไม่ใช่สวยๆ งามๆ อย่างเดี่ยว สวยหล่ออย่างมีคุณภาพ ห้องนี้มีแต่คนใจดีมีน้ำใจ ไม่รักไม่ได้แล้ว อิอิ
38#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-29 00:24:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-29 00:26

ผลไม้สดมีประโยชน์กว่าน้ำผลไม้
ในยุคที่มีการตื่นตัวเรื่องการดูแลสุขภาพ หลายคนหลีกเลี่ยงน้ำอัดลม น้ำชา กาแฟ หันมาดื่มน้ำผลไม้แทน ซึ่งปัจจุบันก็มีน้ำผลไม้มากมายหลายชนิดนานายี่ห้อวางขาย ให้ได้ซื้อหาอย่างสะดวก สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาคั้นดื่มเอง

แต่รู้ไหมว่าน้ำผลไม้ทุกชนิดล้วนทำให้ฟันผุได้ทั้งสิ้น วิธีแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับสุขภาพฟัน ก็คือเลือกดื่มน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำหรือไม่ผสมน้ำตาลเลย และดื่มในระหว่างมื้ออาหาร

หากจะให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพสูงสุด การกินผลไม้สดย่อมดีกว่าดื่มน้ำผลไม้อย่างแน่นอน เพราะผลไม้จะให้กากใยอาหารมากกว่า อีกทั้งยังมีสารไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยในการดูดซึมวิตามินซีอยู่ด้วย ที่สำคัญผลไม้ไม่ทำให้เราฟันผุ
39#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-29 00:46:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
http://www.healthshop2u.com/catalog.php?idp=96

ดูรายละเอียดได้ที่นี่นะครับ

แต่ถ้าอยากได้เลย ร้านที่ขายสมุนไพรอะมีทุกร้านเลย
กินง่ายด้วย
ไม่ต้องมาอูดจมูกด้วยคัรบ

กินวันละ สามเม็ดนะ
40#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-1 00:07:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-6-1 00:11

นักวิจัยนำหนูขาวเพศเมีย อายุ 4 เดือน มาตัดรังไข่ออกและแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้น้ำมะพร้าวปริมาณ 100 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน และอีกกลุ่มไม่ให้น้ำมะพร้าวเป็นเวลา 5 สัปดาห์

ผล การตรวจสอบพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมะพร้าวจะมีอัตราการตายของเซลล์ประสาทน้อยกว่าหนูที่ไม่ ได้รับน้ำมะพร้าว แผลที่เกิดจากการผ่าตัดแห้งและหายได้เร็วกว่า มีขนที่นุ่มและผิวขาวใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นอก จากนี้ ทีมวิจัยกำลังศึกษาต่อในส่วนของการออกฤทธิ์สมานแผลของน้ำมะพร้าว เพื่อหาข้อสรุปว่า นอกจากการนำน้ำมะพร้าวมาใช้เป็นสารทดแทนฮอร์โมนสังเคราะห์สำหรับหญิงวัยทอง ได้แล้ว ยังสามารถออกฤทธิ์รักษาบาดแผลได้จริงหรือไม่


ธรรมชาติบำบัดถือว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

มะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นมะพร้าวกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก น้ำมะพร้าวหรือเนื้อมะพร้าวเป็นอาหารที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นๆอีกมากมาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม ฯลฯ

มะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีด่างสูง น้ำมะพร้าวและกะทิสามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไปได้ คนไทยถือกันว่ามะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่ามะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ

สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน ให้ดื่มแต่น้ำมะพร้าวอย่าให้ทานอย่างอื่น เพราะร่างกายจะดูดซึมกลูโคสไปใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
แม่ที่เพิ่งคลอดบุตรไม่มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกกิน สามารถให้น้ำมะพร้าวเสริมน้ำนมแม่ได้ เพราะมีความบริสุทธ์กว่านมผงหรือนมวัว ไม่มีสารเคมีเจือปนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็กถ้า ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีรอบเดือนติดต่อกันไม่หยุด ให้กินแต่น้ำมะพร้าวอย่างเดียว ครั้งที่ดื่มอาการเหล่านั้นอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งดีเพราะร่างกายถูกกระตุ้นให้ขับของเสียออกมา

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว ยังทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าว
41#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-1 02:36:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การสมานแผลพบว่าการ เสริมวิตามินซีในอาหารช่วยให้การสมานแผลเร็วขึ้น จากผลการทดลองสรุปได้ว่าการเสริมวิตามินซีในอาหาร 500 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม เพียงพอต่อการเจริญเติบโต และรักษาสุขภาพให้เป็นปกติ หากมีการเสริมวิตามินซีเพิ่มขึ้น ส่งผล ให้มีการสร้างแอนติบอดีสูงขึ้น และการสมานแผลเร็วขึ้น แสดงว่าการเสริมวิตามินซีสามารถช่วย เพิ่มความต้านทานโรคในปลากดเหลืองได้
ไม่รู้ผมคิดไปเองเปล่านะ
ตอนวันที่7-8 ผมว่ายังบวมๆอยู่เลย
พอไปหาน้ำใบบัวบกมาทาน
พอครบประมาณ10วัน
ผมว่าตรงเบ้าตามันยบลงอีกจนหน้าไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่เลยอะ
หรือว่ามันยุบตามปกติหรือเปล่าก็ไม่รู้อะครับ
43#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-3 00:31:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ข้างบน นี่ แค่นี้ ก็ทำหลายคนหวั่นไหวแล้วมั้งครับ

อิๆๆ
44#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-4 17:49:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-6-4 17:50

เฉาก๊วย เป็นผลผลิตต่อเนื่องจากการแปรรูปต้นเฉาก๊วย ซึ่งเป็นพืชในวงศ์ Lamiaceae (วงศ์มิ้นท์) วงศ์เดียวกับ สะระแหน่ กะเพรา โหระพา แมงลัก และ ยี่หร่า

วิธีทำเฉาก๊วยอย่างง่ายๆ คือ นำต้นเฉาก๊วยแห้งมาต้ม จนยางไม้และแพคตินละลายออกมาได้น้ำสีน้ำตาลดำ เรียกว่า ชาเฉาก๊วย จากนั้นก็กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำไปผสมกับแป้งพืช เพื่อให้เฉาก๊วยคงตัวเป็นเจลลี่ ซึ่งส่วนประกอบนั้น แต่ละเจ้าจะมีสูตรของตนเอง วิธีที่เป็นต้นตำรับโบราณนั้น นิยมผสมกับแป้งท้าวยายม่อม และแป้งมันสำปะหลัง อัตราส่วนตามความเหมาะสม โดยแป้งมันจะทำให้เนื้อเฉาก๊วยนิ่ม (ใส่มากจะเหลว) ส่วนแป้งท้าวยายม่อมจะให้เนื้อเฉาก๊วยคงรูปได้นาน อาจปรับปรุงโดยใส่แป้งข้าวเจ้าเพื่อให้แข็งตัวขึ้น หรือเพิ่มแป้งข้าวเหนียวให้มีความหนุบหนับ หรือใส่ส่วนผสมอื่นๆ ก็ได้ ปัจจุบัน มีผู้ค้าบางรายใส่สีผสมอาหารให้สีดำเข้มบ้าง ใส่วุ้น-เจลาติน เพื่อประหยัดต้นทุนก็มี

การรับประทานเฉาก๊วยแต่เดิมชาวจีนจะกินกับน้ำตาลทรายแดง โดยเอามาคลุกกับน้ำตาลให้เข้ากัน คนไทยนำมาดัดแปลงโดยหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ในน้ำเชื่อมและน้ำแข็ง กินกับข้าวโพด ลูกชิด หรือลูกตาลเชื่อมก็ได้[1]
45#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-4 17:54:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฝรั่ง มีชื่อภาษาท้องถิ่นว่า มะแกว มะก้วย มะก้วยกา มะมั่น มะถา มะจีน ย่าหมู ชมพู่ จุ่มโป มีชื่อภาษาอังกฤษว่า กัววา (Guava) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า พไซเดียม กัวจาวา (Psidium guajava L.) จัดอยู่ในวงศ์ ไมร์ทาซีอี้ (Myrtaceae) ฝรั่งจัดเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ปัจจุบันมีพัฒนาการไปหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งประเภทมีเมล็ดและไม่มีเมล็ด ฝรั่งพันธุ์แป้นสีทอง กลมสาลี่ ฯลฯ

ฝรั่ง มีคุณค่าทางโภชนาการคือ ในผลดิบของฝรั่งจะประกอบด้วย วิตามินซี ซึ่งมีอยู่ในปริมาณที่สูง มีเส้นใยประมาณ 2.9% นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ออกซาเลต เบต้าแคโรทีน โพแทสเซียม สำหรับใบของฝรั่ง จะมีน้ำมันหอมระเหยที่ชื่อยูจีนอล และสารฝาดจำพวกแทนนินในปริมาณ 8-10%

สรรพคุณของฝรั่งและวิธีใช้ ส่วนที่ใช้ประโยชน์ของฝรั่งคือ ผล ราก และใบ ซึ่งแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณแตกต่างกันดังต่อไปนี้ ค่ะ
ผลฝรั่ง จัดเป็นแหล่งวิตามินซีราคาถูก ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ใช้แก้โรคท้องร่วง ท้องเสีย ใช้ระงับกลิ่นปากและเป็นยารักษาโรคในช่องปาก วิตามินซีและ
เบต้าแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันอันตรายต่อเซลล์และหลอดเลือด
อุดตัน โพแทสเซียมทำให้ความดันและการทำงานของหัวใจเป็นปกติ
ใบเพสลาดและผลดิบ ใช้แก้ท้องร่วง ใบแก่สด 10-15 ใบ เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกินน้ำตาม หรือตากให้แห้งแล้วบดเป็นผง บรรจุแคปซูล 250 มิลลิกรัม กินครั้งละ 3-5 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมงใช้แก้โรคท้องร่วง ท้องเสียได้ ในปัจจุบันมียาจากใบฝรั่งชื่อ "กวาว่าแคปซูล" ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ใช้แก้ท้องเสีย สำหรับผลฝรั่งดิบหากหั่นให้เป็นแว่นๆ แล้วจึงนำไปตากแห้ง บดเป็นผง ใช้รับประทานครั้งละครึ่งถึง 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อนดื่มหรือใช้ใบแก่สด 15-20 ใบมาล้างน้ำให้สะอาด ตำให้แหลกโดยใส่เกลือเล็กน้อย ต้มแล้วรินเอาแต่น้ำมาดื่ม หรือจะใช้ใบแก่สดประมาณ 10-15 ใบ มาปิ้งไฟ แล้วชงน้ำดื่ม หรือจะใช้ผลฝรั่งอ่อนๆ กว้านเอาเมล็ดออก ปอกเปลือกทิ้งไปแล้วนำเนื้อฝรั่งที่ได้มาจิ้มเกลือรับประทานหรือต้มน้ำดื่มก็ได้นะคะ จะสามารถใช้แก้อาการท้องเสียได้
สารสกัดจากผลดิบของฝรั่ง เมื่อสกัดด้วยเมทานอล สารที่ได้จะสามารถลดอาการอักเสบ แก้ปวด แก้ไข้ได้นะคะ
ใบฝรั่ง ช่วยดับกลิ่นได้เป็นอย่างดีนะคะ เรื่องนี้พวกคอสุราทราบกันดีอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นเหม็นในตู้เย็นและตู้กับข้าว ให้ใช้ใบสด 10 ใบ นำมาขยี้ให้พอช้ำๆแล้ววางไว้ หรืออาจจะใช้ผลฝรั่งสุกวางไว้ เพื่อดับกลิ่นก็ได้ค่ะ
รากฝรั่ง แก้น้ำเหลืองเสีย ทำน้ำเหลืองให้เเห้ง
46#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-17 15:49:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นักวิชาการแบ่งวิตามินออกเป็น 2 ชนิดตามคุณสมบัติของวิตามิน ชนิดแรกคือวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายจะนำวิตามินไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำเป็นตัวพาไป ได้แก่ วิตามินบีรวม และวิตามินซี วิตามินบีรวมประกอบด้วยวิตามินบีหลายตัว ที่รู้จักแพร่หลายคือ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 โฟเลต และไนอะซิน ส่วนวิตามินอีกชนิดหนึ่งคือ วิตามินที่ละลายในน้ำมัน นั่นคือการที่ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำมันเป็นตัวนำ วิตามินในกลุ่มนี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค

    ร่างกายต้องการวิตามินบี 1 วันละ 1.5 มิลลิกรัม อาหารที่มีวิตามินบี 1 สูงจากการวิเคราะห์อาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม ได้แก่ เนื้อหมู (0.69 มิลลิกรัม) ข้าวกล้อง (0.34 มิลลิกรัม) เมล็ดฟักทองแห้ง (0.40 มิลลิกรัม) ถั่วลิสงต้ม (0.56 มิลลิกรัม) ถั่วเขียว (0.66 มิลลิกัม) รำข้าว (1.26 มิลลิกรัม) ลูกเดือย (0.41 มิลลิกรัม) เป็นต้น แต่ถ้ากินปลาดิบ กินหมาก ดื่มน้ำชา หรือเคี้ยวเมี่ยง ควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีวิตามินบี 1 สารที่อยู่ในอาหารดังกล่าวข้างต้นจะขัดขวางไม่ให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินบี 1 ไปใช้ประโยชน์ จึงไม่ควรกินอาหารดังกล่าวพร้อมอาหารมื้อหลัก หากเราได้รับวิตามินบี 1 ไม่พียงพอจะมีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีอาการเหน็บชา คือชาตามมือตามเท้าทั้งสองข้าง ต่างจากอาการเป็นเหน็บตรงที่จะชาเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเกิดจากอวัยวะส่วนนั้นถูกกดทับเป็นเวลานานๆ ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงส่วนนั้นไม่สะดวกจึงมีอาการเป็นเหน็บขึ้น (บางคนก็เรียกอาการที่เกิดขึ้นดังกล่าวว่าเป็นเหน็บชา จึงทำให้เข้าใจผิดว่าอาการเป็นเหน็บกับโรคเหน็บชาเป็นชนิดเดียวกัน) การเป็นเหน็บแก้ไขโดยอย่าอยู่ในท่าเดิมนานๆ หรือท่าที่ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เช่น การนั่งพับเพียบนาน ๆ ก็ทำให้เป็นเหน็บได้ง่าย

    วิตามินบี 2 มีหน้าที่สำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากพลังงานได้อย่างเต็มที่ ร่างกายต้องการวิตามินบี 2 วันละ 1.7 มิลลิกรัม ซึ่งอาหารที่มีวิตามินบี 2 มาก โดยวิเคราะห์จากอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม ได้แก่ นมสด (0.16 มิลลิกรัม) ไข่ไก่ (0.40 มิลลิกรัม) เนื้อวัว (0.34 มิลลิกรัม) เห็ดฟาง (0.33 มิลลิกรัม) ตับไก่ (1.32 มิลลิกรัม) ตับวัว (1.68 มิลลิกรัม) เป็นต้น หากได้รับไม่เพียงพอจะมีแผลที่มุมปากทั้งสองข้าง (ปากนกกระจอก) ถ้ามีแผลที่มุมปากเพียงข้างเดียวไม่ได้เกิดจากการขาดวิตามินบี 2 แต่เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็กที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร หากเราดื่มนมเป็นประจำทุกวันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินบี 2 เพราะนมที่ไม่ถูกแสงหรือความร้อน 2 แก้วก็เท่ากับปริมาณวิตามินบี 2 ที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวันแล้ว

    วิตามินบี 6 ร่างกายต้องการเพียงวันละ 1.8-2.2 มิลลิกรัมต่อวัน วิตามินชนิดนี้มีหน้าที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของโปรตีนในร่างกาย พบมากในอาหารที่ให้โปรตีน ได้แก่ ถั่วเหลือง ตับสัตว์ ไข่ และนม คนไทยมักไม่ขาดวิตามินชนิดนี้ ยกเว้นในคนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีการใช้ยารักษาวัณโรค เป็นต้น

    วิตามินบี 12 ร่างกายต้องการเพียง 2 ไมโครกรัมต่อวัน แหล่งอาหารที่ให้วิตามินบี 12 คือ เนื้อสัตว์ทั้งสัตว์บกและสัตว์ทะเล เครื่องในสัตว์ และอาหารหมักดองจากสัตว์ ดังนั้นผู้ที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินบี 12 คือผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัดเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้เกิดโรคโลหิตจาง คนที่กินอาหารครบ 5 หมู่ปกติจึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินบี 12 เพราะในหนึ่งวันร่างกายต้องการในปริมาณน้อยมาก
47#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-17 15:49:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
โฟเลต หรือกรดโฟลิก ร่างกายต้องการเพียง 200 ไมโครกรัมต่อวัน หากเป็นหญิงตั้งครรภ์จะต้องการมากขึ้นเป็น 400 ไมโครกรัมต่อวัน วิตามินชนิดนี้มีความสำคัญในการช่วยสร้างเม็ดเลือดและเซลล์ต่าง ๆ โฟเลตเกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงสร้างของเซลล์ จึงทำให้มีการเสริมโฟเลตในอาหารประเภทนมและมีการโฆษณาในกลุ่มเป้าหมายคือหญิงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ผู้ที่เป็นตับแข็งก็ต้องการโฟเลตเพิ่มมากขึ้นกว่าคนปกติ อาหารที่มีโฟเลตสูง ได้แก่ ตับ (30-50 ไมโครกรัม) ผักใบเขียว (9 ไมโครกรัม) และน้ำส้มคั้นที่คั้นแล้วดื่มทันที (50-100 ไมโครกรัม) เป็นต้น

    ไนอะซิน ร่างกายต้องการวันละ 20 มิลลิกรัม คนที่เสี่ยงต่อการขาดไนอะซินคือคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำและกินอาหารไม่ครบถ้วน อาการของโรคคือรู้สึกแสบร้อนรอบปาก เบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ปวดศีรษะ หากเป็นมาก ๆ จะมีอาการทางประสาท ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ผิวหนังเมื่อถูกแดดจะแสบร้อน ปลายและขอบลิ้นบวมแดง อาหารที่มีไนอะซินมาก ได้แก่ เนื้อวัว (6.7 มิลลิกรัม) ตับวัว (12.8 มิลลิกรัม) เนื้อเป็ด (11.7 มิลลิกรัม) รำข้าว (29.8 มิลลิกรัม) ใบกระถิน (5.4 มิลลิกรัม) ใบตำลึง (3.8 มิลลิกรัม) เห็ด (4.9 มิลลิกรัม) เนื้อไก่ (8.0 มิลลิกรัม) เป็นต้น

    วิตามินซี เป็นวิตามินที่รู้จักกันดี มีมากในผักและผลไม้สด ในแต่ละวันร่างกายของเราต้องการประมาณ 60 มิลลิกรัม หากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ประจำร่างกายจะต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้นอีก 40 เปอร์เซ็นต์ หน้าที่สำคัญของวิตามินซีคือป้องกันการทำลายเซลล์ต่างๆ ช่วยสังเคราะห์สารต่าง ๆ เช่น สร้างฮอร์โมน เยื่อบุหลอดเลือดต่างๆ ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กในกระเพาะอาหารและลำไส้ คนที่ขาดวิตามินซีจึงมักมีอาการปรากฏตามบริเวณต่าง ๆ ที่มีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงมากๆ เช่น ไรฟัน ทำให้เกิดโรคเลือดออกตามไรฟันหรือลักปิดลักเปิด หากเกิดบริเวณเยื่อกระดูกก็จะทำให้ปวดกระดูก อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ฝรั่ง (160 มิลลิกรัม) มะขามเทศ (133 มิลลิกรัม) มะละกอสุก (73 มิลลิกรัม) มะม่วงดิบ (62 มิลลิกรัม) กะหล่ำดอก (72 มิลลิกรัม) ใบตำลึง (48 มิลลิกรัม) ดอกโสน (51 มิลลิกรัม) ใบคะน้า (140 มิลลิกรัม) มะเขือเทศสุก (23 มิลลิกรัม) เป็นต้น

    รายละเอียดของวิตามินบีรวมและวิตามินซีที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติละลายในน้ำ ดังนั้นการล้าง การปรุง หรือเตรียมอาหารทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานจะทำให้วิตามินกลุ่มนี้สลายไปเรื่อย ๆ จึงควรระวังในเรื่องนี้ด้วย ตัวอย่างเช่นหากจะหุงข้าวแล้วเกรงว่าข้าวสารจะสกปรก จึงซาวข้าวหลายๆ ครั้ง การทำเช่นนี้ก็สูญเสียวิตามินบีไปแล้ว หรือปอกผลไม้ทิ้งไว้ไม่กินทันที หรือคั้นน้ำส้มทิ้งไว้ในตู้เย็นหรือทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องก็ตาม วิตามินซีก็จะสูญเสียไปได้ ดังนั้นเพื่อให้ได้วิตามินครบถ้วนจึงควรให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนในการเตรียมและปรุงอาหาร ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากอาหารที่เรากินนั่นเอง

    นอกจากการกินให้ครบถ้วนและเพียงพอแล้ว ในปัจจุบันผู้คนยังให้ความสนใจในการนำวิตามินมาใช้เป็นยากันมาก ตัวอย่างเช่นการแนะนำให้กินวิตามินซีในปริมาณสูง ๆ ในรูปของเม็ดยา เช่น 100 มิลลิกรัมขึ้นไปเพื่อป้องกันโรคหวัด โรคมะเร็ง หรือช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นสดใส ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดยืนยัน ในทางกลับกันมีรายงานวิจัยรายงานว่าการกินวิตามินซีสูง ๆ ดังกล่าวติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในไต อุจจาระร่วง ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กมากเกินไป ดังนั้นขอแนะนำให้กินผักผลไม้สดเป็นประจำจึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้ได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอและไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งนี้หากต้องการกินในรูปของน้ำผักหรือน้ำผลไม้เพื่อให้ได้รับวิตามินซีต้องดื่มทันทีที่คั้นเสร็จ มิฉะนั้นวิตามินซีจะสลายสูญเสียไป

      

ที่มา : http://www.gourmetthai.com
48#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-17 15:50:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ทำหน้าที่ปกป้องเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เยื่อบุลำไส้ เยื่อบุทางเดินหายใจ เป็นต้น เมื่อขาดวิตามินเอ เยื่อบุต่างๆ จะเหี่ยวฝ่อ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งวิตามินเอจะช่วยให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรง และยังช่วยให้สามารถมองเห็นในที่มืดได้ดี ถ้าขาดวิตามินเอจะทำให้การปรับตัวของตาในที่มืดไม่ดี คนสมัยก่อนเรียกอาการดังกล่าวว่า “ตามัวตาฟาง” และวิตามินเอยังมีบทบาทช่วยในการเจริญเติบโตของอวัยวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก สมอง และอื่นๆ นอกจากนี้ยังพบว่าวิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ซึ่งการขาดวิตามินเอทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอ มองเห็นไม่ดีในเวลากลางคืน ติดเชื้อง่าย และในเด็กเล็กหากขาดวิตามินเออย่างรุนแรงจะทำให้เสียชีวิตได้ ในทางตรงกันข้าม หากได้รับในปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ ผิวแห้ง ผมร่วง ถ้าเป็นในเด็กจะทำให้ปวดกระดูก สำหรับหญิงมีครรภ์ถ้าได้รับวิตามินเอมากเกินไปจะทำให้แท้งได้

    เมื่อรู้จักวิตามินเอก็ต้องรู้จักเบตา-แคโรทีนควบคู่ไปด้วย เพราะเบตา-แคโรทีนคือสารตั้งต้นของวิตามินเอ เมื่อกินอาหารที่มีเบตา-แคโรทีน ร่างกายของเราจะเปลี่ยนเบตา-แคโรทีนให้เป็นวิตามินเอได้ ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินเอ 800 ไมโครกรัม อาร์อี หรือ 2,664 หน่วยสากล หากเป็นเบตา-แคโรทีนจะเท่ากับ 4,800 ไมโครกรัม (จากเอกสาร “สารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป” จัดทำโดยคณะอนุกรรมการพิจารณาการแสดงคุณค่าทางโภชนาการบนฉลากของอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข)

    อาหารที่ให้วิตามินเอสูง ได้แก่ ตับสัตว์ทุกชนิด เครื่องในสัตว์ ไข่ นม เป็นต้น ส่วนเบตา-แคโรทีนพบมากในพืชผักผลไม้สีเหลืองและสีส้มแดง เช่น มะละกอ แครอต ผักหวาน ผักชีฝรั่ง ตำลึง ฟักทอง ผักกระเฉด ใบชะพลู มะเขือเทศ ผักบุ้ง คะน้า เป็นต้น

    การกินอาหารที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้ได้รับวิตามินเอหรือเบตา-แคโรทีน โดยควรกินควบคู่กับอาหารที่มีไขมันด้วย จะช่วยให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี ซึ่งการกินอาหารธรรมชาติดังกล่าวนี้จะไม่ทำให้ได้รับวิตามินเอมากเกินความต้องการของร่างกาย แต่หากกินในรูปของเม็ดยาหรือในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจทำให้ได้รับในปริมาณมากเกินไป และวิตามินชนิดนี้ถ้าร่างกายใช้ไม่หมดก็จะสะสมไว้ในร่างกาย ไม่สามารถขับทิ้งได้ง่ายเหมือนวิตามินที่ละลายในน้ำ นอกจากนี้ในต่างประเทศมีรายงานว่าพบผู้ที่กินเบตา-แคโรทีนในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นมะเร็งที่ปอดด้วย
49#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-17 15:51:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิตามินดี เป็นวิตามินที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก การดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสไปใช้ในร่างกาย จึงช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินดีเพียง 5 ไมโครกรัม หรือ 200 หน่วยสากล ซึ่งนับว่าต้องการในปริมาณที่น้อยมาก และร่างกายของคนเรายังสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เองจากแสงแดดอ่อน ๆ คนไทยเราโชคดีที่บ้านเรามีแสงแดดมาก จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินดี ยกเว้นในคนที่ไม่ได้รับหรือไม่ถูกแสงแดดเลย ซึ่งก็เป็นไปได้ยาก เพราะนอกจากร่างกายจะสังเคราะห์วิตามินดีได้จากแสงแดดแล้ว ในอาหารที่เรากินกัน เช่น ไข่แดง นม ปลาที่มีไขมัน ตลอดจนธัญพืช ก็มีวิตามินดีอยู่มาก คนไทยจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินดีเหมือนชาติตะวันตกที่ประเทศเขาไม่ค่อยมีแสงแดด นอกจากนี้การได้รับวิตามินดีสูงเกินไปอาจทำให้มีแคลเซียมตกตะกอนเป็นหินปูนเกาะอยู่ที่ไต (นิ่วในไต) ได้
50#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-6-17 15:52:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิตามินอี เป็นวิตามินอีกชนิดหนึ่งที่มีคนให้ความสนใจค่อนข้างมาก มีหน้าที่สำคัญคือช่วยให้เยื่อบุและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เพราะวิตามินอีจะทำให้ผนังเซลล์ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ดี ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินอีเพียง 10 มิลลิกรัม อัลฟา ที อี หรือ 15 หน่วยสากล ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก แต่ก็ขาดไม่ได้ เพราะถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ ระบบประสาท และการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ในทางกลับกัน หากได้รับมากเกินไป 30- 200 เท่าของปริมาณที่แนะนำ และกินติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้มีอาการเริ่มตั้งแต่ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ซึม จนกระทั่งริมฝีปากอักเสบ และกล้ามเนื้อไม่มีแรง นอกจากนี้ยังมีรายงานการวิจัยพบว่าการกินวิตามินอีในปริมาณสูงกว่าที่แนะนำทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตได้ ซึ่งการได้รับวิตามินอีในปริมาณสูงๆ นั้นจะเกิดขึ้นได้จากการกินในรูปของเม็ดยา เพราะหากได้รับจากอาหารจะไม่ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีมากเกินไปจนเกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

    อาหารที่มีวิตามินอีสูงคือน้ำมันพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันจากจมูกข้าวสาลี น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันจากเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด เป็นต้น ดังนั้นหากใช้น้ำมันพืชดังกล่าวปรุงอาหารเป็นประจำก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินอี นอกจากนี้ในท้องตลาดปัจจุบันยังพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในน้ำมันปาล์มด้วย

    วิตามินอีได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ในปัจจุบันนอกจากจะพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในอาหารหรือผลิตออกจำหน่ายในรูปเม็ดยาแล้ว ยังมีการเสริมวิตามินอีลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วแทบไม่พบปัญหาการขาดวิตามินอีในคนไทย ยกเว้นในคนที่มีลำไส้ผิดปกติในการดูดซึมซึ่งไม่สามารถดูดซึมไขมันได้ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินอีไปใช้ได้ เพราะวิตามินอีเป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน นอกจากนี้อาจพบได้ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากร่างกายทารกยังมีการสะสมวิตามินอีได้น้อย ดังนั้นคนปกติทั่วไปจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินอี และถ้าคิดจะซื้อวิตามินอีในรูปของเม็ดยามากินควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

    วิตามินเค เป็นวิตามินที่มีคนรู้จักและกล่าวถึงน้อยกว่าวิตามินชนิดอื่นที่กล่าวมา มีหน้าที่สำคัญคือช่วยทำให้เลือดแข็งตัว และช่วยสร้างโปรตีนชนิดที่มีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินเคเพียง 80 ไมโครกรัม ซึ่งนอกจากอาหารประเภทใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม ที่มีวิตามินเคแล้ว ยังพบได้ในตับสัตว์และเนย รวมทั้งแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของคนเรายังสามารถสังเคราะห์วิตามินเคได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินเค ยกเว้นในกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ร่างกายยังสะสมวิตามินเคได้น้อย เมื่อคลอดออกมาแพทย์ก็จะฉีดวิตามินเคให้ คุณพ่อคุณแม่ที่มีทารกคลอดก่อนกำหนดจึงไม่ต้องวิตกว่าลูกของตนจะขาดวิตามินเค และผู้ที่จะมีปัญหาอีกกลุ่มคือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการดูดซึมไขมัน จึงทำให้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินเคได้ เนื่องจากวิตามินเคเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จึงต้องมีไขมันเป็นตัวนำเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อร่างกายมีปัญหาการดูดซึมไขมันจึงดูดซึมวิตามินเคไม่ได้ ส่งผลให้ขาดวิตามินเค นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคน ที่ควรจะได้รับวิตามินเคมากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเค คือผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ผู้ที่เป็นโรคตับ ได้แก่ ดีซ่าน ตับแข็ง ซึ่งควรได้รับวิตามินเคมากกว่าคนทั่วไป

คะแนน

1

ดูบันทึกคะแนน

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้