ดู: 25332|ตอบกลับ: 114
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วิตามินและอาหารเสริม ทานอย่างไรให้เด้ง

[คัดลอกลิงก์]
วันนี้ก้องไปซื้อมาและครับ
เตรียมอุปกรณ์บ้างอะไรบ้าง ตามที่เพื่อนๆ แนะนำ

ไปซื้อ ใบบัวบกอัดเม็ดมาและครับ คาดว่า คงกินวันละสามเม็ด

จริงๆ ใบบัวบก มีประโยชน์เยอะนะครับนี่


เอามาฝากเพื่อนๆครับ ผม   ก้องซื้อจากข้างล่างเซนทรัลลาดพร้าวคัรบ กระปุกละ 120 มี100 เม็ด

อ่อ มีอย คัรบ

คะแนน

14

ดูบันทึกคะแนน

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-18 23:50:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ใบบัวบกมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาและมีสารแคลเซี่ยมมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิด เหมาะกับสุขภาพ



      ใบบัวบกมีสรรพคุณทางยา ในการแก้ช้ำใน ทำให้หายฟกช้ำได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศรีษะข้างเดียว บำรุงสุขภาพสมอง แก้ความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงสุขภาพได้ดี



          นอกจากนี้ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วยดูแลสุขภาพ เร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็ว



ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่

1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง
2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ
3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก
4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ
5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น



รู้ถึงประโยชน์ของใบบัวบกแล้ว ก็อย่าลืมหันมาหาทานกันได้ เพื่อสุขภาพที่ดี.
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-18 23:56:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มาสมานแผลต่อครับ

สมานแผลด้วย น้ำมะพร้าว

//
//

แล้วรู้หรือเปล่าว่าการดื่ม น้ำมะพร้าว ขณะเป็นแผลจะช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น ทั้งยังไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็นด้วยนะ ที่สำคัญยังทำให้ผิวพรรณของเราผุดผ่องซะด้วย ดื่มทีเดียวได้คุณประโยชน์ถึงสองเลยนะเนี่ย แล้วแบบนี้จะไม่ลองดื่มสักหน่อยเหรอจ๊ะ







ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-18 23:57:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิชาการต่อครับ

ใบบัวบกเป็นผักพื้นบ้านของไทยที่คนโบราณรู้ในสรรพคุณทางยา โดยจะใช้ใบสดตำละเอียดแล้วนำไปพอกบริเวณที่เป็นแผลเปื่อยในช่องปาก แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยในการสมานแผลและสามารถทำให้แผลที่เกิดลายนูนลดน้อยลง จากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบว่าใบบัวบกมีสารออกฤทธิ์ คือกรด Madecassic กรด Aslatic และ Aslaticoslde สามารถเร่งเนื้อเยื่อ และระงับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหนอง และลดการอักเสบ รวมทั้งยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราได้อีกด้วย

ร.ศ.ภญ.ดร.มยุรี ตันติสิระ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ หนึ่งในคณะผู้วิจัยที่ศึกษาวิจัยเรื่อง“โครงการศึกษาฤทธิ์และความเป็นพิษของสารสกัดมาตรฐานบัวบก” เปิดเผยว่า สารสกัดมาตรฐานบัวบกมีความจำเป็นในการทำงานวิจัยเนื่องจากตัวสมุนไพรมีฤทธิ์ทางยาไม่แน่นอน และสารบริสุทธิ์มีราคาแพงมาก มีการผลิตสารสกัดมาตรฐานบัวบกในหลายประเทศ แต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกสารดังกล่าวเป็นของตนเอง และจะมีมาตรฐานส่วนประกอบสารที่แตกต่างกันไป ซึ่งการทำงานวิจัยในแต่ละประเทศก็จะทำตามมาตรฐานของตนเท่านั้น ประเทศอื่นจะนำมาใช้อ้างอิงไม่ได้ คณะวิจัยจึงใช้เวลากว่า ๕ ปีในการหาสารสกัดมาตรฐานบัวบกที่จะนำมาใช้ในการทำงานวิจัยของประเทศไทย โดยขั้นตอนในการศึกษาวิจัยเริ่มจากการคัดเลือกสายพันธุ์บัวบก แหล่งที่ปลูก และนำผลผลิตตั้งแต่รากไปถึงจนก้านใบที่ออกตามฤดูกาล ทดลองตรวจหาสารออกฤทธิ์ รวมไปถึงการตรวจสอบปริมาณแสง สภาพดิน และปริมาณน้ำ โดยเบื้องต้นได้นำใบบัวบกสดจำนวน ๑,๐๐๐ กิโลกรัมมาทำให้แห้งเหลือ ๒๐๐ กิโลกรัม นำไปหั่นละเอียดและสกัดออกมาเป็นผงสีขาว เป็นสารออกฤทธิ์ในอัตราปริมาณ ๒ กิโลกรัม ก่อนจะนำไปตรวจทางเคมีเบื้องต้น เมื่อทราบผลจึงนำสารไปทดสอบกับหนูทดลอง ปรากฏว่าสารดังกล่าวมีฤทธิ์เร่งการสมานแผล ทั้งในบาดแผลกรีดด้วยของมีคมและแผลไฟไหม้ เมื่อนำไปทดลองแก้ไขสภาวะการบกพร่องของการเรียนรู้และทางความจำ โดยใช้วิธีปิดกั้นหลอดเลือดที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองชั่วคราวเพื่อให้หนูทดลองเกิดอาการเรียนรู้ช้าและลืม แล้วทดสอบด้วยการป้อนสารสกัดติดต่อกัน ๙๐ วัน พบว่าหนูทดลองมีการเรียนรู้ที่ดีขึ้นจนใกล้เคียงกับหนูทดลองปกติ จากนั้นเป็นการทดสอบความเป็นพิษ โดยให้สารสกัดบัวบกแก่หนูทดลอง ๓ ขนาด ได้แก่ ๑๐ มิลลิกรัม ๑๐๐ มิลลิกรัม และ ๑,๐๐๐ มิลลิกรัม เป็นเวลา ๓ เดือน พบว่า ไม่มีหนูทดลองทั้งเพศผู้และเพศเมียตัวใดตาย อีกทั้งยังมีการเจริญเติบโตที่เป็นปกติ เมื่อผ่าตัดดูเนื้อเยื่อก็ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่ามีความปลอดภัยในระดับสูง นอกจากนี้ในขั้นตอนสุดท้ายยังมีการเปลี่ยนสารเป็นสีขาวนวลเพื่อเพิ่มความสะดวกในการรักษาแผล เนื่องจากสารสกัดบัวบกทั่วไปจะมีสีเขียวคล้ายกับแผล เมื่อมาใช้ในการสมานแผลจะทำให้การวินิจฉัยเป็นไปได้ยาก

สำหรับการต่อยอดเพื่อใช้ประโยชน์จากสารดังกล่าว ศ.ภญ.ดร.มยุรี กล่าวว่า จะมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมถึงการใช้สารสกัดมาตรฐานบัวบกร่วมกับยาตัวอื่นว่าจะมีปฏิกิริยาต่อกันอย่างไร และจะนำมาทดลองในคน โดยเริ่มจากการทดลองกับแผลร้อนในว่าจะทำให้แผลหายเร็วขึ้นและลดอาการแสบร้อนหรือไม่ และในปี ๒๕๕๑ นี้ได้มีการทำวิจัยร่วมกับอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในการพัฒนาสารเพื่อนำไปรักษาโรคสะเก็ดเงิน และในอนาคตจะมีการวิจัยเพื่อนำไปใช้รักษาภาวะผมร่วงและภาวะหลงลืมต่อไป

ผลงานวิจัยเรื่อง“โครงการศึกษาฤทธิ์และความเป็นพิษของสารสกัดมาตรฐานบัวบก” ซึ่งมี รศ.ภก.ดร.เอกรินทร์ สายฟ้า ผู้อำนวยการแผนงานวิจัย คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ เป็นหัวหน้าคณะผู้วิจัย แล้วเสร็จเมื่อปลายปี ๒๕๕๐ คณะผู้วิจัยได้ร่วมกับสถาบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาฯ ดำเนินการยื่นจดสิทธิบัตรกระบวนการเตรียมสารสกัดมาตรฐานบัวบก โดยตั้งชื่อสารสกัดว่า ECa 233 และมีบริษัทภาคเอกชนนำเทคโนโลยีไปต่อยอดในเชิงอุตสาหกรรม













www.eduzones.com
ข้อมูลแน่นมากคัฟ ก้อง เยี่ยมๆ ไปเลย

อิ อิ
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-19 00:14:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 00:19

ตัวแน่นด้วยปะ อิๆๆ

ต่อด้วย อาหารที่ควรทาน

จินดา สัตยาพร นำพืชหัวสี่ชนิดมาศึกษาผลต่อการแข็งตัวของเลือดคน

วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่อยู่รอบๆ ตัวเราและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน แถมบางทีก็อยู่ในครัวของเราเอง เหมือนหัวมัน หัวเผือก ที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ให้ศึกษาได้ไม่รู้จบ
นางสาวสุจินดา สัตยาพร หรือน้องบิวต์ โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งสนใจวิทยาศาสตร์และจากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตพบว่า ผงแป้งมันสำปะหลังสามารถช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น จึงอยากจะทดลองเปรียบเทียบว่า ถ้าเป็นน้ำที่สกัดจากมันฝรั่ง (น้ำที่ได้จากการปั่นมันฝรั่งโดยเครื่องปั่นแบบแยกกาก) และผงมันฝรั่งว่าชนิดใดช่วยให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้นดีกว่ากัน และยังเปรียบเทียบผลที่ได้กับพืชหัวที่หาง่ายในเมืองไทยอย่างเช่น มันสำปะหลัง มันเทศ และเผือก โดยทำเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “การเปรียบเทียบพืชหัวสี่ชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัว ของเลือดคน” เป็นการศึกษาประสิทธิภาพของพืชหัว สี่ชนิดที่หาได้ทั่วไปในประเทศคือ มันฝรั่ง มันเทศ มันสำปะหลัง และเผือก ช่วยทำให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น โดยนำเลือดตัวอย่างมาผสมกับสารป้องกันเลือด แข็งตัวสามชนิดได้แก่ EDTA, lithium heparin และ sodium citrate แล้วศึกษาเปรียบเทียบเวลาที่ใช้ในการทำให้เลือดแข็งตัวภายหลังจากที่ผสมกับน้ำสกัดและผงแห้งของพืชทั้งสี่ชนิด ทำการทดลองจำนวน 5 ซ้ำต่อหนึ่งชุดการทดลอง
จากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำให้เลือดแข็งตัวของน้ำที่สกัดจากพืชชนิดต่างๆ พบว่า น้ำสกัดจากมันฝรั่งและมันสำปะหลังทำให้เลือดคน แข็งตัวได้ โดยเฉพาะน้ำสกัดจากมันฝรั่งทำให้เลือด แข็งตัวได้เร็วที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำสกัดจากมันฝรั่งน่าจะมีสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวหรือสารเฮโมสแตต ละลายอยู่มากกว่าในน้ำสกัดจากมันสำปะหลัง
ขณะที่การเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำให้เลือดแข็งตัวของผงแห้งจากพืชทั้งสี่ชนิดดังกล่าวพบว่า ผงพืชทุกชนิดทำให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้นในอัตราใกล้เคียงกัน และมีแนวโน้มที่จะเร็วกว่าผลที่ได้จากน้ำสกัดของมันฝรั่งและมันสำปะหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน่าจะพบสารเฮโมสแตตได้ในผงแห้งของพืช ดังกล่าวมากเป็นพิเศษ


โดย... ทศพร ภูผา
น้ำมะพร้าวอ่อนดื่มเป็นประจำ

มาคอนเฟิร์มว่า ได้ผลมากๆๆๆๆ แผลหายไว ขาว ใส เด้ง

แต่ถ้าใบบัวบก พี่ขอบาย เพราะ มีความเป็นหยินสูง

ถ้าในบางคนที่มีธาตุหยินในร่างกายมากอยู่แล้ว

ทานใบบัวบกแล้ว ผลกลับตรงข้ามเลยครับ
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-19 00:25:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พี่โอม หยินในร่างกายมาก คือไรเหรอคับ ดูยังไงอะครับ

อ่อ ความร้อน เย็นปะ  หยิน หยาง แบบนี้

ปรัชญาจีนเชื่อว่า ธรรมชาติทุกอย่างมีหยินกับหยางอยู่ในตัวเพื่อให้เกิดความสมดุล หากสิ่งใดมีหยินและหยางไม่สมดุลกันก็จะทำให้เกิดปัญหา เช่น มนุษย์ที่เสียสมดุลระหว่างหยินกับหยางก็จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ หยินกับหยางคือสภาวการณ์สองอย่างที่ตรงกันข้าม ขัดแย้งกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมกันคือ ในหยินย่อมมีหยางเป็นส่วนประกอบและในหยางก็ย่อมมีหยินร่วมอยู่ด้วยเสมอ หลายคนอาจงงว่า อะไรคือหยินและหยาง  

                 หยินก็คือผู้หญิง ความเย็น ความอ่อนโยน สีดำ ดวงจันทร์ ความนิ่ม ความมืด ความบอบบาง ส่วนหยางก็คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกันกับหยิน ได้แก่ ผู้ชาย ความร้อน ความเข้มแข็ง สีขาว ดวงอาทิตย์ ความแข็งแกร่ง ความสว่าง ในทุกสิ่งทุกอย่างต่างประกอบด้วยหยินและหยาง เช่น ผู้ชายก็มีความเป็นผู้หญิงของหยินปะปนอยู่ หากชายใดมีความเป็นหยินมากเกินไป ก็จะออกอาการกระตุ้งกระติ้ง ในขณะเดียวกัน หญิงใดมีความเป็นหยางมากเกินไปจะเกลียดการนุ่งกระโปรงเป็นที่สุด แต่ละเพศจึงจำเป็นต้องมีความเป็นหยินและหยางอยู่ในตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดการแข็งหรืออ่อนเกินไป จะต้องอยู่ในลักษณะสมดุล และยังมีความเชื่ออีกว่า หากหญิงและชายคู่ใดที่มีความเป็นหยินและหยางที่สมดุลกันได้ มีโอกาสมาแต่งงานกัน ก็จะทำให้ประสบความสุข ความเจริญรุ่งเรือง จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ซึ่งความเป็นหยินและหยางของทั้งคู่จะถ่ายทอดเข้าสู่จิตวิญญาณและร่างกายของกันและกันโดยผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์  ในความร้อนก็ย่อมมีความเย็น และในความเย็นก็ย่อมมีความร้อนแฝงอยู่ ในสีดำย่อมมีสีขาว และในสีขาวก็ย่อมมีสีดำ เห็นได้จากเมื่อเราเผาถ่านไม้สีดำ จะได้ขี้เถ้าสีขาว แต่ถ้าเผากระดาษสีขาว ก็จะกลายเป็นกองเถ้าถ่านสีดำ แม้แต่ในอาหารการกิน ชาวจีนยังจัดให้มีความสมดุลระหว่างหยินและหยางหรือในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บแพทย์จีนก็ยังแบ่งโรคต่างๆออกเป็นโรคหยินและโรคหยาง เช่น โรคหวัด แบ่งเป็นหวัดหยินและหวัดหยาง ซึ่งจะต้องให้ยาที่ต่างกัน ทำให้สามารถรักษาได้อย่างถูกต้องแม่นยำกว่าแพทย์สมัยใหม่
ก้องตะวัน สมาชิกนี้ถูกลบไปแล้ว
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
พี่โอม หยินในร่างกายมาก คือไรเหรอคับ ดูยังไงอะครับ

อ่อ ความร้อน เย็นปะ  หยิน หยาง แบบนี้

ปรัชญาจีนเชื่อว ...
ต้นฉบับโพสโดย kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 00:25



ใช่ครับ แต่ละคนจะมีธาตุไม่เหมือนกัน

หยิน หยาง ในร่างกายไม่เท่ากัน

จะว่า ดูไง พี่ใช้สังเกตุเอานะครับ

เวลาเราทานอะไร เช่น ทุเรียน เป็นผลไม้หยาง

บางคนทานได้เยอะ แต่พี่ทาน1-2 เม็ด ถ้าทานมากไปก็จะร้อนใน เจ็บคอ

ก็จะแก้โดยการทานผลไม้ที่เป็นหยินช่วย เช่น มังคุด อ่ะครับ

พยายามทานให้สมดุลกับธาตุของเราเองอ่ะครับ



ข้อมูลเรื่องหยิน หยาง ที่เอามาลงข้างบน ถือว่า ใช้ได้

แต่ก็ยังไม่ถูกทั้งหมดซะทีเดียวอ่ะครับ

ไงก็ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะครับ
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-19 00:42:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบคุณครับพี่โอม ใจดีครับ

มารักษาแผลกันต่อ

การดูแลแผลผ่าตัด
1. ไม่ให้แผลผ่าตัดเปียกน้ำจาการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน  
   
2. ไม่เปิดผ้าปิดแผลผ่าตัดเอง เพราะจะนำเชื้อโรคเข้าสู่แผลผ่าตัดได้
   
3. หลังตัดไหมแล้วไม่ควรให้แผลถูกน้ำอีก 1 วัน เพื่อให้ผิวหนังที่มีรูไหมเย็บติดสนิทดีก่อน
   
4. ไม่แกะ หรือเกาแผลผ่าตัด เพราะจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่แผลผ่าตัดตามรอยถลอกของผิวหนังได้
   
5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างให้มีการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลผ่าตัดหายเร็ว ร่างกาย สามารถปรับคืนสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น อาหารที่ควรรับประทานคือ เนื้อสัตว์ ไข่ นม ผลไม้ และผักสด
   
6. เมื่อกลับบ้านรับประทานยาตามแพทย์สั่ง และให้มาพบแพทย์หลังผ่าตัด ให้ตรงตามวันและเวลาที่นัดไว้

ที่มา www.aikchol.com
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-19 00:45:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 01:03

วิตามินซี กับ แผล

วิตามินซี ทำไมจึงสำคัญ ?
วิตามินซี หรือกรดแอสคอร์บิค ( Ascorbic acid ) นั้นเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องอาศัยการรับ
ประทานเข้าไปเท่านั้น และด้วยความเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก วิตามินซีจึงจัดว่าเป็นอาหารเสริมที่เป็นที่นิยมแพร่หลายมากที่สุดในโลก และนอกจากคุณสมบัติในการป้องกันและบรรเทาอาการหวัดอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว วิตามินซียังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

ผลประโยชน์ของวิตามินซีที่มีต่อสุขภาพ
สภาวะ  หน้าที่ของวิตามินซี
อาการภูมิแพ้ต่างๆ ทำหน้าที่เป็นสารต้านภูมิแพ้จากะรรมชาติ
โรคหืด หอบ ช่วยลดอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากอาการหืดหอบ
สภาวะก่อนและหลังการผ่าตัด ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ซึ่งเปรียบเสมือนปูนซีเมนต์ที่เชื่อมเนื้อเยื่อเข้าด้วยกัน
วิตามินซีจึงมีส่วนช่วยในการสมานแผลต่างๆ
อาการบาดเจ็บอันเนื่องมาจากการเล่นกีฬา ข้อเท้าแพง เคล็ด และกล้ามเนื้อฉีกขาด ทำหน้าที่สำคัญในการเสริมสร้างสารไฮไดรคอร์ติโซน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมหมวกไต ซึ่ง
ทำหน้าที่ลดอาการอักเสบต่างๆได้
การติดสุรา และยาเสพติดต่างๆ แอลกอฮอล์ และยาบางชนิดจะไปลดจำนวนของวิตามินซีลง ร่างกายจึงจำเป็นต้องได้รับแอสคอบิค เอซิด ในปริมาณเพิ่มขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถขจัดฤทธิ์และลดอาการสะสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งมีส่วนในการทำลายตับ
โรคเบาหวาน จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเนื่องจากโรคเบาหวานนั้น เป็นผลมาจากการขาดวิตามินซี ดังนั้นการเพิ่มปริมาณวิตามินซีนั้น จึงมีส่วนช่วยในการรักษาเป็นอย่างยิ่ง
บาดแผลต่างๆ คุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจนจะช่วยเสริมสร้างโครงสร้างต่างๆ ของเซลล์
โรคเริม (จากไวรัส ) วิตามินซีมีคุณสมบัติในการต้านไวรัส ช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ และลดระยะเวลาในการรักษา
โรคตับอักเสบ ช่วยต่อต้านโรคตับอักเสบจากการให้เลือด
การเกิดผื่นแดง หรือรอยซ้ำตามบริเวณผิวหนัง  คุณสมบัติในการเสริมสร้างคอลลาเจนของวิตามินซี จะช่วยในการเสริมสร้างโครงสร้างทางผิวหนัง ของร่างกายให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
เลือดออกตามไรฟัน การมีหนอง และเหงือกอักเสบ ด้วยคุณสมบัติในการเสริมสร้างคอลลาเจน จึงทำให้วิตามินซีมีบทบาทอย่างมากในการรักษาความแข็งแรงของเหงือกและฟัน
โรคจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่นๆ จากคุณสมบัติในการเสริมสร้างคอลลาเจน วิตามินซีจึงมีส่วนช่วยในการรักษาความแข็งแรง ของเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-19 00:49:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต่อด้วยฝรั่ง

ฝรั่งสีชมพู หรือ ฝรั่งขี้นก เป็นผลไม้ทรงกลม ขนาดปานกลาง
มีเนื้อทั้งสีขาว เหลือง ชมพู กลิ่นหอม เนื้อเละไม่กรอบแต่
มีสารอาหารมากมาย ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ มีวิตามิน A วิตามิน C
ที่มากกว่าส้มถึง 5 เท่าในปริมาณที่เท่ากัน เสริมสร้างและรักษา
สภาพของเนื้อเยื่อคอล ลาเจน ทำให้ผิวสมบูรณ์แข็งแรง
ช่วยสมานแผล ดูดซึมธาตุเหล็ก เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ป้องกันหวัด และลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็ง มีใยอาหารที่ช่วย
ขับเคลื่อนอาหาร ลดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร มะเร็งลำไส้ใหญ่
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-19 00:52:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 01:02

อาหารก่อน และหลังผ่าตัด

อาหารสำหรับการผ่าตัด

การจัดอาหารก่อนและหลังผ่าตัดจะช่วยให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จทำให้คนป่วยสบายขึ้น

การจัดอาหารก่อนผ่าตัด (Preoperative Diet)

การจัดอาหารก่อนผ่าตัดขึ้นกับสถานการณ์ว่าการผ่าตัดนั้นเป็นเหตุฉุกเฉินหรือเป็นเรื่องที่รอได้ อาหารช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่เหมาะสมที่ที่สุดที่จะผ่าตัด ถ้าผู้ป่วยไม่ได้ทานอาหารเป็นเวลาหลายวันก่อนผ่าตัดจะทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงพอ

การจัดอาหารในรายที่ต้องผ่าตัดฉุกเฉิน

อาจต้องให้กลูโคสหรือสารละลายอย่างอื่นทางเส้นเลือด ถ้าเป็นการผ่าตัดที่รอได้ จะต้องให้อาหารคาร์โบไฮเดรตสูง และโปรตีน 150 กรัม เป็นเวลา 7 - 14 วันก่อนผ่าตัด ให้วิตามินสูงเท่าที่ให้ได้ โดยอาจให้ในรูปยา วิตามินซีจะช่วยให้แผลหายเร็ว วิตามินเค ช่วยการแข็งตัวของเลือดควรให้น้ำเพียงพออาจต้องทางเส้นเลือดในรูปน้ำเกลือ

ก่อนผ่าตัดไม่ควรรับประทานอาหาร เพราะอาหารที่ค้างในกระเพาะอาจทำให้ผู้ป่วยสำลักในระหว่างผ่าตัด ถ้าผ่าตัดเกี่ยวกับกระเพาะหรือลำไส้อาจจะต้องทำการสวนล้างลำไส้ก่อนผ่าตัด

อาหารหลังผ่าตัด

การจัดอาหารต้องจัดตามอาการเจ็บป่วยและการผ่าตัด ในวันแรกๆของการผ่าตัดอาจจะต้องงดอาหารก่อน อาหารประเภทโปรตีนจะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายทำให้แผลหายเร็ว อาหารประเภทคาร์โบไอเดรตจะใช้ในการสร้างพลังงาน ควรเลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย
ตัวอย่างการจัดอาหารหลังผ่าตัด

ขั้นที่1 ไม่ให้อาหารใดๆ ทางปาก
ขั้นที่2 อมน้ำแข็งหรือจิบน้ำ
ขั้นที่3 น้ำชา.ซุบใส,เจลาติน และน้ำขิง
ขั้นที่4 อาหารเหลวใส
ขั้นที่5 อาหารเหลวธรรมดา
ขั้นที่6 อาหารอ่อน
ขั้นที่7 อาหารปกติ

การจำเปลี่ยนขั้นก็ดูสภาพคนไข้ การผ่าตัด และ โรคเป็นสำคัญ ถ้าเป็นผ่าที่ไม่เกี่ยวกับลำไส้เลยก็อาจไปขั้นที่ 7 ได้เลย  แต่ถ้าผ่าลำไส้ หรือในช่องท้อง ก็ต้องค่อยๆเริ่มจากขั้นที่ 1 ไป
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-19 01:00:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 01:01

กิน “วิตามินเค” ให้ถูกวิธี        
เขียนโดย Consumerthai     
Tuesday, 13 May 2008  
วิตามินเค เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน นอกจากร่างกายจะได้รับจากอาหารแล้ว ยังสามารถผลิตขึ้นเองได้ในลำไส้เล็ก การปรุงอาหารโดยปกติทั่วไป จะสูญเสียวิตามินเคเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แหล่งอาหาร
อาหารที่มีวิตามินเค ได้แก่ ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี่ ผักโขม ผักกาดหอม กะหล่ำปลี ตับ นมและผลิตภัณฑ์นม

ประโยชน์ต่อร่างกาย
- ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อมีบาดแผลเลือดออก
- ช่วยให้ตับทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ทำงานร่วมกับวิตามินดีในการควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย
- ช่วยเสริมสร้างเซลล์กระดูกและเนื้อเยื่อไต

ปริมาณที่แนะนำ
เนื่องจากการสังเคราะห์วิตามินเค ในลำไส้ของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน อาหารที่บริโภคก็ไม่เหมือนกัน จึงยากที่จะกำหนดปริมาณที่แนะนำ จากการศึกษาพบว่าประมาณร้อยละ 50 ของวิตามินเคได้มาจากการสังเคราะห์ของแบคทีเรียในลำไส้ และหากรับประทานอาหารอย่างสมดุล ร่างกายก็จะได้รับวิตามินเคอย่างเพียงพออยู่แล้ว หากจำเป็นต้องรับประทานวิตามินเคเสริม ควรใช้ตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น มิฉะนั้น อาจเกิดอันตราย เช่น ปัญหาการจับตัวของเลือด

ผู้ที่ต้องรับประทานยาที่ทำให้เลือดจาง ปริมาณวิตามินเคในอาหารอาจมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยา แพทย์อาจสั่งให้เลือกรับประทานอาหารเพื่อให้ยาทำงานได้ดีขึ้น

ผลของการขาดวิตามินเค
เด็กแรกเกิดและเด็กที่คลอดก่อนกำหนดมีโอกาสขาดวิตามินเคได้ง่าย เพราะเด็กยังไม่สามารถย่อยและดูดซึมไขมันได้ดี และในลำไล้ยังไม่มีแบคทีเรียที่จะสร้างวิตามินเคได้ นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ก็มีปริมาณไม่มากนัก เด็กจะมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง ลำไส้ หรือสมอง อาการอื่นๆ ได้แก่ ซึม กระสับกระส่าย ร้องกวน ไม่ดูดนม อาเจียน ไม่ค่อยรู้สึกตัว ชัก หมดสติ กระหม่อมด้านหน้าโป่งตึง อัมพาตหรือเสียชีวิตได้ เพื่อป้องกันการขาดวิตามินเค แพทย์มักฉีดวิตามินเคให้กับทารกหลังคลอดแล้ว หรือฉีดวิตามินเคให้มารดาก่อนคลอด

ในผู้ใหญ่มักไม่ขาดวิตามินเค ยกเว้นผู้ที่มีโรคเรื้อรังของระบบทางเดินอาหารบางชนิด โรคทางเดินน้ำดีอุดตัน โรคตับแข็ง และในคนที่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน จะมีผลในการทำลายแบคทีเรียที่สังเคราะห์วิตามินเคในลำไส้ นอกจากนี้คนที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด อาจเสี่ยงต่อการตกเลือดได้ง่าย

ภาวะการขาดวิตามินเคจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด หรือหยุดยากเวลามีบาดแผล มีเลือดกำเดาออก มีการตกเลือดหรือเลือดออกภายใน เช่น ในลำไส้เล็ก เลือดออกมากับปัสสาวะ เลือดออกที่ตา เลือดออกหลังผ่าตัด ถ้าเลือดออกมากอาจทำให้ช็อกถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด และมีประวัติเลือดหยุดยาก แพทย์อาจให้วิตามินเคแก่คนไข้ก่อนผ่าตัด เพื่อช่วยให้เลือดหยุดได้ง่ายขึ้น
ผลของการได้รับมากไป
ภาวะวิตามินเคเป็นพิษ คือ การได้รับวิตามินเคมากเกินไป อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและทางเดินหายใจ และยังทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกในคนที่ขาดเอนไซม์ G6PD (glucose -6-phosphate dehydrogenase) ส่วนในหญิงตั้งครรภ์ ถ้าได้รับในปริมาณสูง จะทำให้เกิดโรคดีซ่านในเด็กแรกคลอดได้

สารหรืออาหารต้านฤทธิ์ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาแอสไพริน และมลพิษทางอากาศ เป็นต้น


ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-19 01:06:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาหารที่มีโปรตีนสูง



ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วชนิดต่างๆ ทั้งถั่วฝักสดและถั่วเมล็ดแห้ง ไข่ต่างๆโดยเฉพาะไข่ขาว น้ำนม เนยแข็ง และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่ว เช่น ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ได้แก่ เต้าหู้ เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ น้ำนมถั่วเหลือง และซีอิ้วขาวเป็นต้น โดยชนิดของอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง ปรากฏตามตารางข้างล่างนี้
          โปรตีนที่ได้จากไข่ขาว น้ำนม และเนื้อสัตว์ต่างๆ ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นครบทุกชนิด และมีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย  ส่วนโปรตีนที่ได้จากพืช ธัญพืชต่างๆและถั่วต่างๆ อาจมีกรดอะมิโนจำเป็นบางชนิดขาดไป หรือมีปริมาณน้อย "




อธิบายตาราง คำว่า เปอร์เซ็นต์ (%) ในที่นี้ เช่น หมูหยอง มีโปรตีน 55.2 % แต่เมื่อดูไข่ขาว เห็นว่ามีโปรตีน แค่ 10.7 % อย่างนี้ เมื่อดูเผินๆ เราคิดว่าน่าจะกินหมูหยองมากกว่า เพราะให้โปรตีนมากกว่า แต่ความจริงแล้ว ลองคิดดูว่า หมูหยองมีขนาดเบามาก ดังนั้นถ้าต้องการโปรตีน 55.2 กรัม คุณต้องทานหมูหยองถึง 55.2 กก. ซึ่งมากมายมหาศาล ในขณะที่ถ้าเป็นไข่ไก่ ถ้าคุณต้องการโปรตีน 55.2 กรัม คุณก็ทานไข่ไก่ไม่กี่ใบเท่านั้น เพราะไข่ไก่ใบหนึ่งมีน้ำหนัก (ความหนาแน่น) มากกว่าหมูหยองที่มีปริมาตรเท่ากัน




ชื่ออาหาร %โปรตีน ชื่ออาหาร %โปรตีน

   
   
หมูหยอง 55.2 งาดำ 17.1
ฟองเต้าหู้ 47.0 เมล็ดทานตะวัน 16.7
ยีสต์แห้ง 36.9 ปลาไหล 16.5
ถั่วเหลือง 34.1 กุ้งน้ำจืด 16.2
ถั่วพู(เมล็ดแห้ง) 32.0 เต้าหู้เหลือง 15.6
เมล็ดฟักทองแห้ง 29.4 ปลาหมึกสด 15.3
ถั่วลิสงคั่ว(ไม่มีเปลือก) 28.6 ปลาร้า 13.9
เนยแข็ง 25.4 รำข้าว 13.8
ถั่วเขียว 24.4 ไข่เป็ดทั้งฟอง 13.2
เมล็ดแตงโมแห้ง 22.7 ถั่วเหลืองฝักอ่อน 13.0
ถั่วดำ 22.7 ไข่ไก่ทั้งฟอง 12.9
ปลาทู 21.5 ข้าวโพดคั่ว 12.7
เนื้อกบ 20.9 หอยแครงสด 12.2
ถั่วแดงหลวง 20.3 ลูกเดือย 12.0
เนื้อวัวไม่มีมัน 20.0 เต้าเจี้ยว 12.0
เลือดไก่ 20.0 ไข่ขาว 10.7
ตับหมู 19.9 เต้าหู้ยี้ 10.1
งาขาว 19.7 หอยแมลงภู่ 9.1
กะปิ 19.5 ใบแค 8.7
ถั่วมะแฮะ 19.4 ยอดกะถินและฝักอ่อน 8.4
ปลาช่อน 19.1 สะตอ 8.0
ตับวัว 19.0 เต้าหู้ขาวอ่อน 7.9
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 18.4 ถั่วงอกหัวโต 7.7
มันฮ่อ 18.2 ใบขี้เหล็ก 7.4
ปลาดุก 18.2 น้ำปลาอย่างดี 6.1
เนื้อไก่ 18.0 เห็ดโคน 4.2
ตับไก่ 17.8 เห็ดฟาง 2.1
เนื้อควาย 17.7 เห็ดหูหนูสด 1.0

ตัวเลขสีแดง หมายถึง มีปริมาณโปรตีนต่ำ

คะแนน

1

ดูบันทึกคะแนน

ก้องตะวัน สมาชิกนี้ถูกลบไปแล้ว
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-5-19 05:02:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 05:06

อิๆๆ คนโสดไงครับ ว่างจัด ฟุ้งซ้าน อิๆๆ

ต่อเรื่องอาหารนะครับ

อาหารรักษาแผลตอนที่ 1


โปรตีน
ปกติร่างกายต้องการโปรตีนเพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กล้ามเนื้อ ยิ่งกล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้นเท่าไร เราก็ต้องการโปรตีนมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้เซลล์เม็ดเลือดแดงและเนื้อเยื่อต่างๆ ก็ต้องการโปรตีนด้วยเช่นกัน แต่เมื่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อกระดูกเกิดบาดเจ็บ จะทำให้ร่างกายหยุดชะงักการลำเลียงโปรตีนไปยังส่วนต่างๆ ช่วงนี้ร่างกายจะต้องการโปรตีนเพิ่มขึ้นเป็น 80 - 110 กรัมต่อวัน จากเดิมที่เคยต้องการเพียง 75 - 100 กรัมต่อวัน
โปรตีนในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและข้อต่อกระดูกสามารถซ่อมแซมตัวเองได้รวดเร็ว และกระบวนการลำเลียงโปรตีนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานเป็นปกติ
อาหารที่อุดมด้วยโปรตีนสูง คือ ไข่ ถั่วเหลือง เนื้อไม่ติดมัน ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม(ไขมันต่ำ) โดยโปรตีนเหล่านี้จะมีกรดแอมิโนที่ทำหน้าที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนส่งไปยังกล้ามเนื้อ กระดูก เซลล์เม็ดเลือดแดง และอวัยวะภายในส่วนต่างๆ

บาดแผลที่บวมเป่งหรือเกิดอักเสบ รวมถึงอาการปวดแสบนั้น คือสัญญาณบอกกับเราว่าได้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายและทำลายเนื้อเยื่อเสียหาย วิตามินอีและเบต้าแคโรทีช่วยรักษาเนื้อเยื่อให้ดีขึ้น ป้องกันอาการบวมและปวดแสบ
การกินผักผลไม้วันละหลายครั้งจะช่วยให้ร่างกายได้สารอาหาร แร่ธาตุที่จำเป็นและพอเพียงที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักใบเขียวและผลไม้ อย่างกีวี แอ๊ปเปิ้ล ส้ม ต่างก็มีวิตามินอีสูง ซึ่งร่างกายควรจะได้รับ 400 I.U. ต่อวัน



วิตามินซี
ในขณะที่ร่างกายเกิดบาดแผล โปรตีนที่มีชื่อว่า "คอลลาเจน" จะสร้างเนื้อเยื่อมาช่วยสมานแผลให้ปิดสนิท กระบวนการซ่อมแซมตัวเองจึงต้องอาศัยวิตามินซีเป็นตัวหลักในการผลิตคอลลาเจน ซึ่งหากร่างกายไม่ได้รับวิตามินซีอย่างพอเพียงติดต่อกันเป็นเวลาหลายอาทิตย์ เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นจะทำให้แผลหายช้าและปิดไม่สนิท เนื่องจากผลิตคอลลาเจนออกมาได้น้อยเกินไป อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี คือ ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว สตรอว์เบอร์รี่ รวมถึงผังต่างๆ เช่น บร็อคเคอลี กำหล่ำปลี ร่างกายควรได้รับวิตามินซีจำนวน 100 - 250 มิลลิกรัมต่อวัน

จากพันธทิพย์
มาโหวตให้ครับ คุณจขกท

โอม หยินนี่ผู้หญิง หยางนี่ผู้ชายใช่เหรอเปล่า

แล้วดูยังไงว่าอาหารไรคือหยินหยาง
และรู้ได้ไงว่าหยินหรือหยางมากกว่า

แล้วเพศที่สามนี้ เรียกว่าไรอะเหยินเหรอ เอิ๊กๆ
มาโหวตให้ครับ คุณจขกท

โอม หยินนี่ผู้หญิง หยางนี่ผู้ชายใช่เหรอเปล่า

แล้วดูยังไงว่าอาหารไรคือหยินหยาง
แล ...
ต้นฉบับโพสโดย tigerbalm เมื่อ 2009-5-19 05:29



งี้ต้องอธิบายกันยาวหลายหน้าเลยมังครับพี่พล

เอาพอสังเขปก่อนนะครับ

เค้าเปรียบเทียบเอานะครับ

หยาง คือ ความเข้มแข็ง เลยเปรียบกับเพศชาย เป็นต้น

หยิน คือ ความนุ่มนวล อ่อนโยน เลยเปรียบกับเพศหญิง เป็นต้น

แต่ทั้งหยินและหยางคือ ของคู่กันที่มีความหมายตรงข้ามกัน

เช่น มืดกับสว่าง ร้อนกับเย็น ขาวกับดำ ทำนองนี้นะครับ

แต่ไม่เกี่ยวกับผู้ชายมีหยินมากจะตุ้งติ้ง มันไม่ขนาดนั้นมังครับ

ส่วนผลไม้และอาหาร มันถูกแยกเป็นหยิน หยาง ตามตำรา หรือ ดูตามลักษณะของมันก็ได้ครับ

มีโอกาสจะขยายความให้เพิ่มเติมนะครับ ถ้านำไปใช้จะเกิดประโยชน์มากเลยครับ
กระทู้นี้เริดมากค่ะ
{:13_868:}
ข้อมูลเยอะดีค่า เอาไปใช้ประโยชน์ได้มากเล้ยยย


ขอบคุณนะค่ะ
ไม่ชอบทุเรียน ชอบทานมังคุด อยากเป็นหยิน   << เกี่ยวไม๊ 555

ต้องสังเกตจากการทานหรอคะ หนูไม่ค่อยสังเกตเร้ย ทานได้ทุกอย่าง ทานมันอย่างเดียว 555
พี่โอม คับ พอมี ความรู้ อาหาร ที่บำรุง ไต  ไหมคับ คุณลุงไตไม่ค่อยดีคับ
onon สมาชิกนี้ถูกลบไปแล้ว
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้