ดั้งโด่งดอทคอม

ชื่อกระทู้: วิตามินและอาหารเสริม ทานอย่างไรให้เด้ง [สั่งพิมพ์]

โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-18 23:49
ชื่อกระทู้: วิตามินและอาหารเสริม ทานอย่างไรให้เด้ง
วันนี้ก้องไปซื้อมาและครับ
เตรียมอุปกรณ์บ้างอะไรบ้าง ตามที่เพื่อนๆ แนะนำ

ไปซื้อ ใบบัวบกอัดเม็ดมาและครับ คาดว่า คงกินวันละสามเม็ด

จริงๆ ใบบัวบก มีประโยชน์เยอะนะครับนี่


เอามาฝากเพื่อนๆครับ ผม   ก้องซื้อจากข้างล่างเซนทรัลลาดพร้าวคัรบ กระปุกละ 120 มี100 เม็ด

อ่อ มีอย คัรบ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-18 23:50
ใบบัวบกมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาและมีสารแคลเซี่ยมมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิด เหมาะกับสุขภาพ



      ใบบัวบกมีสรรพคุณทางยา ในการแก้ช้ำใน ทำให้หายฟกช้ำได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศรีษะข้างเดียว บำรุงสุขภาพสมอง แก้ความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงสุขภาพได้ดี



          นอกจากนี้ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วยดูแลสุขภาพ เร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็ว



ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่

1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง
2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ
3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก
4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ
5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น



รู้ถึงประโยชน์ของใบบัวบกแล้ว ก็อย่าลืมหันมาหาทานกันได้ เพื่อสุขภาพที่ดี.
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-18 23:56
มาสมานแผลต่อครับ

สมานแผลด้วย น้ำมะพร้าว

//
//

แล้วรู้หรือเปล่าว่าการดื่ม น้ำมะพร้าว ขณะเป็นแผลจะช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น ทั้งยังไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้เห็นด้วยนะ ที่สำคัญยังทำให้ผิวพรรณของเราผุดผ่องซะด้วย ดื่มทีเดียวได้คุณประโยชน์ถึงสองเลยนะเนี่ย แล้วแบบนี้จะไม่ลองดื่มสักหน่อยเหรอจ๊ะ







ข้อมูลจาก คม ชัด ลึก
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-18 23:57
วิชาการต่อครับ

ใบบัวบกเป็นผักพื้นบ้านของไทยที่คนโบราณรู้ในสรรพคุณทางยา โดยจะใช้ใบสดตำละเอียดแล้วนำไปพอกบริเวณที่เป็นแผลเปื่อยในช่องปาก แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยในการสมานแผลและสามารถทำให้แผลที่เกิดลายนูนลดน้อยลง จากการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์พบว่าใบบัวบกมีสารออกฤทธิ์ คือกรด Madecassic กรด Aslatic และ Aslaticoslde สามารถเร่งเนื้อเยื่อ และระงับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดหนอง และลดการอักเสบ รวมทั้งยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราได้อีกด้วย

ร.ศ.ภญ.ดร.มยุรี ตันติสิระ ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ หนึ่งในคณะผู้วิจัยที่ศึกษาวิจัยเรื่อง“โครงการศึกษาฤทธิ์และความเป็นพิษของสารสกัดมาตรฐานบัวบก” เปิดเผยว่า สารสกัดมาตรฐานบัวบกมีความจำเป็นในการทำงานวิจัยเนื่องจากตัวสมุนไพรมีฤทธิ์ทางยาไม่แน่นอน และสารบริสุทธิ์มีราคาแพงมาก มีการผลิตสารสกัดมาตรฐานบัวบกในหลายประเทศ แต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกสารดังกล่าวเป็นของตนเอง และจะมีมาตรฐานส่วนประกอบสารที่แตกต่างกันไป ซึ่งการทำงานวิจัยในแต่ละประเทศก็จะทำตามมาตรฐานของตนเท่านั้น ประเทศอื่นจะนำมาใช้อ้างอิงไม่ได้ คณะวิจัยจึงใช้เวลากว่า ๕ ปีในการหาสารสกัดมาตรฐานบัวบกที่จะนำมาใช้ในการทำงานวิจัยของประเทศไทย โดยขั้นตอนในการศึกษาวิจัยเริ่มจากการคัดเลือกสายพันธุ์บัวบก แหล่งที่ปลูก และนำผลผลิตตั้งแต่รากไปถึงจนก้านใบที่ออกตามฤดูกาล ทดลองตรวจหาสารออกฤทธิ์ รวมไปถึงการตรวจสอบปริมาณแสง สภาพดิน และปริมาณน้ำ โดยเบื้องต้นได้นำใบบัวบกสดจำนวน ๑,๐๐๐ กิโลกรัมมาทำให้แห้งเหลือ ๒๐๐ กิโลกรัม นำไปหั่นละเอียดและสกัดออกมาเป็นผงสีขาว เป็นสารออกฤทธิ์ในอัตราปริมาณ ๒ กิโลกรัม ก่อนจะนำไปตรวจทางเคมีเบื้องต้น เมื่อทราบผลจึงนำสารไปทดสอบกับหนูทดลอง ปรากฏว่าสารดังกล่าวมีฤทธิ์เร่งการสมานแผล ทั้งในบาดแผลกรีดด้วยของมีคมและแผลไฟไหม้ เมื่อนำไปทดลองแก้ไขสภาวะการบกพร่องของการเรียนรู้และทางความจำ โดยใช้วิธีปิดกั้นหลอดเลือดที่ขึ้นไปเลี้ยงสมองชั่วคราวเพื่อให้หนูทดลองเกิดอาการเรียนรู้ช้าและลืม แล้วทดสอบด้วยการป้อนสารสกัดติดต่อกัน ๙๐ วัน พบว่าหนูทดลองมีการเรียนรู้ที่ดีขึ้นจนใกล้เคียงกับหนูทดลองปกติ จากนั้นเป็นการทดสอบความเป็นพิษ โดยให้สารสกัดบัวบกแก่หนูทดลอง ๓ ขนาด ได้แก่ ๑๐ มิลลิกรัม ๑๐๐ มิลลิกรัม และ ๑,๐๐๐ มิลลิกรัม เป็นเวลา ๓ เดือน พบว่า ไม่มีหนูทดลองทั้งเพศผู้และเพศเมียตัวใดตาย อีกทั้งยังมีการเจริญเติบโตที่เป็นปกติ เมื่อผ่าตัดดูเนื้อเยื่อก็ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด แสดงให้เห็นว่ามีความปลอดภัยในระดับสูง นอกจากนี้ในขั้นตอนสุดท้ายยังมีการเปลี่ยนสารเป็นสีขาวนวลเพื่อเพิ่มความสะดวกในการรักษาแผล เนื่องจากสารสกัดบัวบกทั่วไปจะมีสีเขียวคล้ายกับแผล เมื่อมาใช้ในการสมานแผลจะทำให้การวินิจฉัยเป็นไปได้ยาก

สำหรับการต่อยอดเพื่อใช้ประโยชน์จากสารดังกล่าว ศ.ภญ.ดร.มยุรี กล่าวว่า จะมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมถึงการใช้สารสกัดมาตรฐานบัวบกร่วมกับยาตัวอื่นว่าจะมีปฏิกิริยาต่อกันอย่างไร และจะนำมาทดลองในคน โดยเริ่มจากการทดลองกับแผลร้อนในว่าจะทำให้แผลหายเร็วขึ้นและลดอาการแสบร้อนหรือไม่ และในปี ๒๕๕๑ นี้ได้มีการทำวิจัยร่วมกับอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในการพัฒนาสารเพื่อนำไปรักษาโรคสะเก็ดเงิน และในอนาคตจะมีการวิจัยเพื่อนำไปใช้รักษาภาวะผมร่วงและภาวะหลงลืมต่อไป

ผลงานวิจัยเรื่อง“โครงการศึกษาฤทธิ์และความเป็นพิษของสารสกัดมาตรฐานบัวบก” ซึ่งมี รศ.ภก.ดร.เอกรินทร์ สายฟ้า ผู้อำนวยการแผนงานวิจัย คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ เป็นหัวหน้าคณะผู้วิจัย แล้วเสร็จเมื่อปลายปี ๒๕๕๐ คณะผู้วิจัยได้ร่วมกับสถาบันทรัพย์สินทางปัญญาแห่งจุฬาฯ ดำเนินการยื่นจดสิทธิบัตรกระบวนการเตรียมสารสกัดมาตรฐานบัวบก โดยตั้งชื่อสารสกัดว่า ECa 233 และมีบริษัทภาคเอกชนนำเทคโนโลยีไปต่อยอดในเชิงอุตสาหกรรม













www.eduzones.com
โดย: BOBBY    เวลา: 2009-5-19 00:08
ข้อมูลแน่นมากคัฟ ก้อง เยี่ยมๆ ไปเลย

อิ อิ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-19 00:14
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 00:19

ตัวแน่นด้วยปะ อิๆๆ

ต่อด้วย อาหารที่ควรทาน

จินดา สัตยาพร นำพืชหัวสี่ชนิดมาศึกษาผลต่อการแข็งตัวของเลือดคน

วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่อยู่รอบๆ ตัวเราและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน แถมบางทีก็อยู่ในครัวของเราเอง เหมือนหัวมัน หัวเผือก ที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ให้ศึกษาได้ไม่รู้จบ
นางสาวสุจินดา สัตยาพร หรือน้องบิวต์ โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) นักเรียนทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งสนใจวิทยาศาสตร์และจากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตพบว่า ผงแป้งมันสำปะหลังสามารถช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น จึงอยากจะทดลองเปรียบเทียบว่า ถ้าเป็นน้ำที่สกัดจากมันฝรั่ง (น้ำที่ได้จากการปั่นมันฝรั่งโดยเครื่องปั่นแบบแยกกาก) และผงมันฝรั่งว่าชนิดใดช่วยให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้นดีกว่ากัน และยังเปรียบเทียบผลที่ได้กับพืชหัวที่หาง่ายในเมืองไทยอย่างเช่น มันสำปะหลัง มันเทศ และเผือก โดยทำเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์เรื่อง “การเปรียบเทียบพืชหัวสี่ชนิดที่มีผลต่อการแข็งตัว ของเลือดคน” เป็นการศึกษาประสิทธิภาพของพืชหัว สี่ชนิดที่หาได้ทั่วไปในประเทศคือ มันฝรั่ง มันเทศ มันสำปะหลัง และเผือก ช่วยทำให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น โดยนำเลือดตัวอย่างมาผสมกับสารป้องกันเลือด แข็งตัวสามชนิดได้แก่ EDTA, lithium heparin และ sodium citrate แล้วศึกษาเปรียบเทียบเวลาที่ใช้ในการทำให้เลือดแข็งตัวภายหลังจากที่ผสมกับน้ำสกัดและผงแห้งของพืชทั้งสี่ชนิด ทำการทดลองจำนวน 5 ซ้ำต่อหนึ่งชุดการทดลอง
จากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำให้เลือดแข็งตัวของน้ำที่สกัดจากพืชชนิดต่างๆ พบว่า น้ำสกัดจากมันฝรั่งและมันสำปะหลังทำให้เลือดคน แข็งตัวได้ โดยเฉพาะน้ำสกัดจากมันฝรั่งทำให้เลือด แข็งตัวได้เร็วที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน้ำสกัดจากมันฝรั่งน่าจะมีสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวหรือสารเฮโมสแตต ละลายอยู่มากกว่าในน้ำสกัดจากมันสำปะหลัง
ขณะที่การเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำให้เลือดแข็งตัวของผงแห้งจากพืชทั้งสี่ชนิดดังกล่าวพบว่า ผงพืชทุกชนิดทำให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้นในอัตราใกล้เคียงกัน และมีแนวโน้มที่จะเร็วกว่าผลที่ได้จากน้ำสกัดของมันฝรั่งและมันสำปะหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าน่าจะพบสารเฮโมสแตตได้ในผงแห้งของพืช ดังกล่าวมากเป็นพิเศษ


โดย... ทศพร ภูผา
โดย: mystically    เวลา: 2009-5-19 00:23
น้ำมะพร้าวอ่อนดื่มเป็นประจำ

มาคอนเฟิร์มว่า ได้ผลมากๆๆๆๆ แผลหายไว ขาว ใส เด้ง

แต่ถ้าใบบัวบก พี่ขอบาย เพราะ มีความเป็นหยินสูง

ถ้าในบางคนที่มีธาตุหยินในร่างกายมากอยู่แล้ว

ทานใบบัวบกแล้ว ผลกลับตรงข้ามเลยครับ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-19 00:25
พี่โอม หยินในร่างกายมาก คือไรเหรอคับ ดูยังไงอะครับ

อ่อ ความร้อน เย็นปะ  หยิน หยาง แบบนี้

ปรัชญาจีนเชื่อว่า ธรรมชาติทุกอย่างมีหยินกับหยางอยู่ในตัวเพื่อให้เกิดความสมดุล หากสิ่งใดมีหยินและหยางไม่สมดุลกันก็จะทำให้เกิดปัญหา เช่น มนุษย์ที่เสียสมดุลระหว่างหยินกับหยางก็จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ หยินกับหยางคือสภาวการณ์สองอย่างที่ตรงกันข้าม ขัดแย้งกัน แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมกันคือ ในหยินย่อมมีหยางเป็นส่วนประกอบและในหยางก็ย่อมมีหยินร่วมอยู่ด้วยเสมอ หลายคนอาจงงว่า อะไรคือหยินและหยาง  

                 หยินก็คือผู้หญิง ความเย็น ความอ่อนโยน สีดำ ดวงจันทร์ ความนิ่ม ความมืด ความบอบบาง ส่วนหยางก็คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกันกับหยิน ได้แก่ ผู้ชาย ความร้อน ความเข้มแข็ง สีขาว ดวงอาทิตย์ ความแข็งแกร่ง ความสว่าง ในทุกสิ่งทุกอย่างต่างประกอบด้วยหยินและหยาง เช่น ผู้ชายก็มีความเป็นผู้หญิงของหยินปะปนอยู่ หากชายใดมีความเป็นหยินมากเกินไป ก็จะออกอาการกระตุ้งกระติ้ง ในขณะเดียวกัน หญิงใดมีความเป็นหยางมากเกินไปจะเกลียดการนุ่งกระโปรงเป็นที่สุด แต่ละเพศจึงจำเป็นต้องมีความเป็นหยินและหยางอยู่ในตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดการแข็งหรืออ่อนเกินไป จะต้องอยู่ในลักษณะสมดุล และยังมีความเชื่ออีกว่า หากหญิงและชายคู่ใดที่มีความเป็นหยินและหยางที่สมดุลกันได้ มีโอกาสมาแต่งงานกัน ก็จะทำให้ประสบความสุข ความเจริญรุ่งเรือง จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง ซึ่งความเป็นหยินและหยางของทั้งคู่จะถ่ายทอดเข้าสู่จิตวิญญาณและร่างกายของกันและกันโดยผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์  ในความร้อนก็ย่อมมีความเย็น และในความเย็นก็ย่อมมีความร้อนแฝงอยู่ ในสีดำย่อมมีสีขาว และในสีขาวก็ย่อมมีสีดำ เห็นได้จากเมื่อเราเผาถ่านไม้สีดำ จะได้ขี้เถ้าสีขาว แต่ถ้าเผากระดาษสีขาว ก็จะกลายเป็นกองเถ้าถ่านสีดำ แม้แต่ในอาหารการกิน ชาวจีนยังจัดให้มีความสมดุลระหว่างหยินและหยางหรือในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บแพทย์จีนก็ยังแบ่งโรคต่างๆออกเป็นโรคหยินและโรคหยาง เช่น โรคหวัด แบ่งเป็นหวัดหยินและหวัดหยาง ซึ่งจะต้องให้ยาที่ต่างกัน ทำให้สามารถรักษาได้อย่างถูกต้องแม่นยำกว่าแพทย์สมัยใหม่
โดย: ก้องตะวัน    เวลา: 2009-5-19 00:35
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
โดย: mystically    เวลา: 2009-5-19 00:36
พี่โอม หยินในร่างกายมาก คือไรเหรอคับ ดูยังไงอะครับ

อ่อ ความร้อน เย็นปะ  หยิน หยาง แบบนี้

ปรัชญาจีนเชื่อว ...
ต้นฉบับโพสโดย kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 00:25



ใช่ครับ แต่ละคนจะมีธาตุไม่เหมือนกัน

หยิน หยาง ในร่างกายไม่เท่ากัน

จะว่า ดูไง พี่ใช้สังเกตุเอานะครับ

เวลาเราทานอะไร เช่น ทุเรียน เป็นผลไม้หยาง

บางคนทานได้เยอะ แต่พี่ทาน1-2 เม็ด ถ้าทานมากไปก็จะร้อนใน เจ็บคอ

ก็จะแก้โดยการทานผลไม้ที่เป็นหยินช่วย เช่น มังคุด อ่ะครับ

พยายามทานให้สมดุลกับธาตุของเราเองอ่ะครับ



ข้อมูลเรื่องหยิน หยาง ที่เอามาลงข้างบน ถือว่า ใช้ได้

แต่ก็ยังไม่ถูกทั้งหมดซะทีเดียวอ่ะครับ

ไงก็ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะครับ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-19 00:42
ขอบคุณครับพี่โอม ใจดีครับ

มารักษาแผลกันต่อ

การดูแลแผลผ่าตัด
1. ไม่ให้แผลผ่าตัดเปียกน้ำจาการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน  
   
2. ไม่เปิดผ้าปิดแผลผ่าตัดเอง เพราะจะนำเชื้อโรคเข้าสู่แผลผ่าตัดได้
   
3. หลังตัดไหมแล้วไม่ควรให้แผลถูกน้ำอีก 1 วัน เพื่อให้ผิวหนังที่มีรูไหมเย็บติดสนิทดีก่อน
   
4. ไม่แกะ หรือเกาแผลผ่าตัด เพราะจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่แผลผ่าตัดตามรอยถลอกของผิวหนังได้
   
5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างให้มีการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลผ่าตัดหายเร็ว ร่างกาย สามารถปรับคืนสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น อาหารที่ควรรับประทานคือ เนื้อสัตว์ ไข่ นม ผลไม้ และผักสด
   
6. เมื่อกลับบ้านรับประทานยาตามแพทย์สั่ง และให้มาพบแพทย์หลังผ่าตัด ให้ตรงตามวันและเวลาที่นัดไว้

ที่มา www.aikchol.com
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-19 00:45
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 01:03

วิตามินซี กับ แผล

วิตามินซี ทำไมจึงสำคัญ ?
วิตามินซี หรือกรดแอสคอร์บิค ( Ascorbic acid ) นั้นเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ และร่างกายของเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องอาศัยการรับ
ประทานเข้าไปเท่านั้น และด้วยความเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก วิตามินซีจึงจัดว่าเป็นอาหารเสริมที่เป็นที่นิยมแพร่หลายมากที่สุดในโลก และนอกจากคุณสมบัติในการป้องกันและบรรเทาอาการหวัดอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว วิตามินซียังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

ผลประโยชน์ของวิตามินซีที่มีต่อสุขภาพ
สภาวะ  หน้าที่ของวิตามินซี
อาการภูมิแพ้ต่างๆ ทำหน้าที่เป็นสารต้านภูมิแพ้จากะรรมชาติ
โรคหืด หอบ ช่วยลดอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากอาการหืดหอบ
สภาวะก่อนและหลังการผ่าตัด ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ซึ่งเปรียบเสมือนปูนซีเมนต์ที่เชื่อมเนื้อเยื่อเข้าด้วยกัน
วิตามินซีจึงมีส่วนช่วยในการสมานแผลต่างๆ
อาการบาดเจ็บอันเนื่องมาจากการเล่นกีฬา ข้อเท้าแพง เคล็ด และกล้ามเนื้อฉีกขาด ทำหน้าที่สำคัญในการเสริมสร้างสารไฮไดรคอร์ติโซน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมหมวกไต ซึ่ง
ทำหน้าที่ลดอาการอักเสบต่างๆได้
การติดสุรา และยาเสพติดต่างๆ แอลกอฮอล์ และยาบางชนิดจะไปลดจำนวนของวิตามินซีลง ร่างกายจึงจำเป็นต้องได้รับแอสคอบิค เอซิด ในปริมาณเพิ่มขึ้น เพื่อให้ร่างกายสามารถขจัดฤทธิ์และลดอาการสะสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งมีส่วนในการทำลายตับ
โรคเบาหวาน จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเนื่องจากโรคเบาหวานนั้น เป็นผลมาจากการขาดวิตามินซี ดังนั้นการเพิ่มปริมาณวิตามินซีนั้น จึงมีส่วนช่วยในการรักษาเป็นอย่างยิ่ง
บาดแผลต่างๆ คุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจนจะช่วยเสริมสร้างโครงสร้างต่างๆ ของเซลล์
โรคเริม (จากไวรัส ) วิตามินซีมีคุณสมบัติในการต้านไวรัส ช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ และลดระยะเวลาในการรักษา
โรคตับอักเสบ ช่วยต่อต้านโรคตับอักเสบจากการให้เลือด
การเกิดผื่นแดง หรือรอยซ้ำตามบริเวณผิวหนัง  คุณสมบัติในการเสริมสร้างคอลลาเจนของวิตามินซี จะช่วยในการเสริมสร้างโครงสร้างทางผิวหนัง ของร่างกายให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
เลือดออกตามไรฟัน การมีหนอง และเหงือกอักเสบ ด้วยคุณสมบัติในการเสริมสร้างคอลลาเจน จึงทำให้วิตามินซีมีบทบาทอย่างมากในการรักษาความแข็งแรงของเหงือกและฟัน
โรคจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอื่นๆ จากคุณสมบัติในการเสริมสร้างคอลลาเจน วิตามินซีจึงมีส่วนช่วยในการรักษาความแข็งแรง ของเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-19 00:49
ต่อด้วยฝรั่ง

ฝรั่งสีชมพู หรือ ฝรั่งขี้นก เป็นผลไม้ทรงกลม ขนาดปานกลาง
มีเนื้อทั้งสีขาว เหลือง ชมพู กลิ่นหอม เนื้อเละไม่กรอบแต่
มีสารอาหารมากมาย ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ มีวิตามิน A วิตามิน C
ที่มากกว่าส้มถึง 5 เท่าในปริมาณที่เท่ากัน เสริมสร้างและรักษา
สภาพของเนื้อเยื่อคอล ลาเจน ทำให้ผิวสมบูรณ์แข็งแรง
ช่วยสมานแผล ดูดซึมธาตุเหล็ก เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
ป้องกันหวัด และลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็ง มีใยอาหารที่ช่วย
ขับเคลื่อนอาหาร ลดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร มะเร็งลำไส้ใหญ่
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-19 00:52
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 01:02

อาหารก่อน และหลังผ่าตัด

อาหารสำหรับการผ่าตัด

การจัดอาหารก่อนและหลังผ่าตัดจะช่วยให้การผ่าตัดประสบความสำเร็จทำให้คนป่วยสบายขึ้น

การจัดอาหารก่อนผ่าตัด (Preoperative Diet)

การจัดอาหารก่อนผ่าตัดขึ้นกับสถานการณ์ว่าการผ่าตัดนั้นเป็นเหตุฉุกเฉินหรือเป็นเรื่องที่รอได้ อาหารช่วยให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาพที่เหมาะสมที่ที่สุดที่จะผ่าตัด ถ้าผู้ป่วยไม่ได้ทานอาหารเป็นเวลาหลายวันก่อนผ่าตัดจะทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงพอ

การจัดอาหารในรายที่ต้องผ่าตัดฉุกเฉิน

อาจต้องให้กลูโคสหรือสารละลายอย่างอื่นทางเส้นเลือด ถ้าเป็นการผ่าตัดที่รอได้ จะต้องให้อาหารคาร์โบไฮเดรตสูง และโปรตีน 150 กรัม เป็นเวลา 7 - 14 วันก่อนผ่าตัด ให้วิตามินสูงเท่าที่ให้ได้ โดยอาจให้ในรูปยา วิตามินซีจะช่วยให้แผลหายเร็ว วิตามินเค ช่วยการแข็งตัวของเลือดควรให้น้ำเพียงพออาจต้องทางเส้นเลือดในรูปน้ำเกลือ

ก่อนผ่าตัดไม่ควรรับประทานอาหาร เพราะอาหารที่ค้างในกระเพาะอาจทำให้ผู้ป่วยสำลักในระหว่างผ่าตัด ถ้าผ่าตัดเกี่ยวกับกระเพาะหรือลำไส้อาจจะต้องทำการสวนล้างลำไส้ก่อนผ่าตัด

อาหารหลังผ่าตัด

การจัดอาหารต้องจัดตามอาการเจ็บป่วยและการผ่าตัด ในวันแรกๆของการผ่าตัดอาจจะต้องงดอาหารก่อน อาหารประเภทโปรตีนจะช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายทำให้แผลหายเร็ว อาหารประเภทคาร์โบไอเดรตจะใช้ในการสร้างพลังงาน ควรเลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย
ตัวอย่างการจัดอาหารหลังผ่าตัด

ขั้นที่1 ไม่ให้อาหารใดๆ ทางปาก
ขั้นที่2 อมน้ำแข็งหรือจิบน้ำ
ขั้นที่3 น้ำชา.ซุบใส,เจลาติน และน้ำขิง
ขั้นที่4 อาหารเหลวใส
ขั้นที่5 อาหารเหลวธรรมดา
ขั้นที่6 อาหารอ่อน
ขั้นที่7 อาหารปกติ

การจำเปลี่ยนขั้นก็ดูสภาพคนไข้ การผ่าตัด และ โรคเป็นสำคัญ ถ้าเป็นผ่าที่ไม่เกี่ยวกับลำไส้เลยก็อาจไปขั้นที่ 7 ได้เลย  แต่ถ้าผ่าลำไส้ หรือในช่องท้อง ก็ต้องค่อยๆเริ่มจากขั้นที่ 1 ไป
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-19 01:00
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 01:01

กิน “วิตามินเค” ให้ถูกวิธี        
เขียนโดย Consumerthai     
Tuesday, 13 May 2008  
วิตามินเค เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน นอกจากร่างกายจะได้รับจากอาหารแล้ว ยังสามารถผลิตขึ้นเองได้ในลำไส้เล็ก การปรุงอาหารโดยปกติทั่วไป จะสูญเสียวิตามินเคเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แหล่งอาหาร
อาหารที่มีวิตามินเค ได้แก่ ผักใบเขียว เช่น บร็อกโคลี่ ผักโขม ผักกาดหอม กะหล่ำปลี ตับ นมและผลิตภัณฑ์นม

ประโยชน์ต่อร่างกาย
- ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อมีบาดแผลเลือดออก
- ช่วยให้ตับทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- ทำงานร่วมกับวิตามินดีในการควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย
- ช่วยเสริมสร้างเซลล์กระดูกและเนื้อเยื่อไต

ปริมาณที่แนะนำ
เนื่องจากการสังเคราะห์วิตามินเค ในลำไส้ของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน อาหารที่บริโภคก็ไม่เหมือนกัน จึงยากที่จะกำหนดปริมาณที่แนะนำ จากการศึกษาพบว่าประมาณร้อยละ 50 ของวิตามินเคได้มาจากการสังเคราะห์ของแบคทีเรียในลำไส้ และหากรับประทานอาหารอย่างสมดุล ร่างกายก็จะได้รับวิตามินเคอย่างเพียงพออยู่แล้ว หากจำเป็นต้องรับประทานวิตามินเคเสริม ควรใช้ตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น มิฉะนั้น อาจเกิดอันตราย เช่น ปัญหาการจับตัวของเลือด

ผู้ที่ต้องรับประทานยาที่ทำให้เลือดจาง ปริมาณวิตามินเคในอาหารอาจมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยา แพทย์อาจสั่งให้เลือกรับประทานอาหารเพื่อให้ยาทำงานได้ดีขึ้น

ผลของการขาดวิตามินเค
เด็กแรกเกิดและเด็กที่คลอดก่อนกำหนดมีโอกาสขาดวิตามินเคได้ง่าย เพราะเด็กยังไม่สามารถย่อยและดูดซึมไขมันได้ดี และในลำไล้ยังไม่มีแบคทีเรียที่จะสร้างวิตามินเคได้ นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ก็มีปริมาณไม่มากนัก เด็กจะมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง ลำไส้ หรือสมอง อาการอื่นๆ ได้แก่ ซึม กระสับกระส่าย ร้องกวน ไม่ดูดนม อาเจียน ไม่ค่อยรู้สึกตัว ชัก หมดสติ กระหม่อมด้านหน้าโป่งตึง อัมพาตหรือเสียชีวิตได้ เพื่อป้องกันการขาดวิตามินเค แพทย์มักฉีดวิตามินเคให้กับทารกหลังคลอดแล้ว หรือฉีดวิตามินเคให้มารดาก่อนคลอด

ในผู้ใหญ่มักไม่ขาดวิตามินเค ยกเว้นผู้ที่มีโรคเรื้อรังของระบบทางเดินอาหารบางชนิด โรคทางเดินน้ำดีอุดตัน โรคตับแข็ง และในคนที่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน จะมีผลในการทำลายแบคทีเรียที่สังเคราะห์วิตามินเคในลำไส้ นอกจากนี้คนที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด อาจเสี่ยงต่อการตกเลือดได้ง่าย

ภาวะการขาดวิตามินเคจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด หรือหยุดยากเวลามีบาดแผล มีเลือดกำเดาออก มีการตกเลือดหรือเลือดออกภายใน เช่น ในลำไส้เล็ก เลือดออกมากับปัสสาวะ เลือดออกที่ตา เลือดออกหลังผ่าตัด ถ้าเลือดออกมากอาจทำให้ช็อกถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้น ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด และมีประวัติเลือดหยุดยาก แพทย์อาจให้วิตามินเคแก่คนไข้ก่อนผ่าตัด เพื่อช่วยให้เลือดหยุดได้ง่ายขึ้น
ผลของการได้รับมากไป
ภาวะวิตามินเคเป็นพิษ คือ การได้รับวิตามินเคมากเกินไป อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและทางเดินหายใจ และยังทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกในคนที่ขาดเอนไซม์ G6PD (glucose -6-phosphate dehydrogenase) ส่วนในหญิงตั้งครรภ์ ถ้าได้รับในปริมาณสูง จะทำให้เกิดโรคดีซ่านในเด็กแรกคลอดได้

สารหรืออาหารต้านฤทธิ์ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาแอสไพริน และมลพิษทางอากาศ เป็นต้น


ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-19 01:06
อาหารที่มีโปรตีนสูง



ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วชนิดต่างๆ ทั้งถั่วฝักสดและถั่วเมล็ดแห้ง ไข่ต่างๆโดยเฉพาะไข่ขาว น้ำนม เนยแข็ง และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่ว เช่น ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ได้แก่ เต้าหู้ เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ น้ำนมถั่วเหลือง และซีอิ้วขาวเป็นต้น โดยชนิดของอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง ปรากฏตามตารางข้างล่างนี้
          โปรตีนที่ได้จากไข่ขาว น้ำนม และเนื้อสัตว์ต่างๆ ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นครบทุกชนิด และมีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย  ส่วนโปรตีนที่ได้จากพืช ธัญพืชต่างๆและถั่วต่างๆ อาจมีกรดอะมิโนจำเป็นบางชนิดขาดไป หรือมีปริมาณน้อย "




อธิบายตาราง คำว่า เปอร์เซ็นต์ (%) ในที่นี้ เช่น หมูหยอง มีโปรตีน 55.2 % แต่เมื่อดูไข่ขาว เห็นว่ามีโปรตีน แค่ 10.7 % อย่างนี้ เมื่อดูเผินๆ เราคิดว่าน่าจะกินหมูหยองมากกว่า เพราะให้โปรตีนมากกว่า แต่ความจริงแล้ว ลองคิดดูว่า หมูหยองมีขนาดเบามาก ดังนั้นถ้าต้องการโปรตีน 55.2 กรัม คุณต้องทานหมูหยองถึง 55.2 กก. ซึ่งมากมายมหาศาล ในขณะที่ถ้าเป็นไข่ไก่ ถ้าคุณต้องการโปรตีน 55.2 กรัม คุณก็ทานไข่ไก่ไม่กี่ใบเท่านั้น เพราะไข่ไก่ใบหนึ่งมีน้ำหนัก (ความหนาแน่น) มากกว่าหมูหยองที่มีปริมาตรเท่ากัน




ชื่ออาหาร %โปรตีน ชื่ออาหาร %โปรตีน

   
   
หมูหยอง 55.2 งาดำ 17.1
ฟองเต้าหู้ 47.0 เมล็ดทานตะวัน 16.7
ยีสต์แห้ง 36.9 ปลาไหล 16.5
ถั่วเหลือง 34.1 กุ้งน้ำจืด 16.2
ถั่วพู(เมล็ดแห้ง) 32.0 เต้าหู้เหลือง 15.6
เมล็ดฟักทองแห้ง 29.4 ปลาหมึกสด 15.3
ถั่วลิสงคั่ว(ไม่มีเปลือก) 28.6 ปลาร้า 13.9
เนยแข็ง 25.4 รำข้าว 13.8
ถั่วเขียว 24.4 ไข่เป็ดทั้งฟอง 13.2
เมล็ดแตงโมแห้ง 22.7 ถั่วเหลืองฝักอ่อน 13.0
ถั่วดำ 22.7 ไข่ไก่ทั้งฟอง 12.9
ปลาทู 21.5 ข้าวโพดคั่ว 12.7
เนื้อกบ 20.9 หอยแครงสด 12.2
ถั่วแดงหลวง 20.3 ลูกเดือย 12.0
เนื้อวัวไม่มีมัน 20.0 เต้าเจี้ยว 12.0
เลือดไก่ 20.0 ไข่ขาว 10.7
ตับหมู 19.9 เต้าหู้ยี้ 10.1
งาขาว 19.7 หอยแมลงภู่ 9.1
กะปิ 19.5 ใบแค 8.7
ถั่วมะแฮะ 19.4 ยอดกะถินและฝักอ่อน 8.4
ปลาช่อน 19.1 สะตอ 8.0
ตับวัว 19.0 เต้าหู้ขาวอ่อน 7.9
เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 18.4 ถั่วงอกหัวโต 7.7
มันฮ่อ 18.2 ใบขี้เหล็ก 7.4
ปลาดุก 18.2 น้ำปลาอย่างดี 6.1
เนื้อไก่ 18.0 เห็ดโคน 4.2
ตับไก่ 17.8 เห็ดฟาง 2.1
เนื้อควาย 17.7 เห็ดหูหนูสด 1.0

ตัวเลขสีแดง หมายถึง มีปริมาณโปรตีนต่ำ
โดย: ก้องตะวัน    เวลา: 2009-5-19 01:11
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-19 05:02
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-19 05:06

อิๆๆ คนโสดไงครับ ว่างจัด ฟุ้งซ้าน อิๆๆ

ต่อเรื่องอาหารนะครับ

อาหารรักษาแผลตอนที่ 1


โปรตีน
ปกติร่างกายต้องการโปรตีนเพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กล้ามเนื้อ ยิ่งกล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้นเท่าไร เราก็ต้องการโปรตีนมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้เซลล์เม็ดเลือดแดงและเนื้อเยื่อต่างๆ ก็ต้องการโปรตีนด้วยเช่นกัน แต่เมื่อกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่อกระดูกเกิดบาดเจ็บ จะทำให้ร่างกายหยุดชะงักการลำเลียงโปรตีนไปยังส่วนต่างๆ ช่วงนี้ร่างกายจะต้องการโปรตีนเพิ่มขึ้นเป็น 80 - 110 กรัมต่อวัน จากเดิมที่เคยต้องการเพียง 75 - 100 กรัมต่อวัน
โปรตีนในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นและข้อต่อกระดูกสามารถซ่อมแซมตัวเองได้รวดเร็ว และกระบวนการลำเลียงโปรตีนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานเป็นปกติ
อาหารที่อุดมด้วยโปรตีนสูง คือ ไข่ ถั่วเหลือง เนื้อไม่ติดมัน ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม(ไขมันต่ำ) โดยโปรตีนเหล่านี้จะมีกรดแอมิโนที่ทำหน้าที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนส่งไปยังกล้ามเนื้อ กระดูก เซลล์เม็ดเลือดแดง และอวัยวะภายในส่วนต่างๆ

บาดแผลที่บวมเป่งหรือเกิดอักเสบ รวมถึงอาการปวดแสบนั้น คือสัญญาณบอกกับเราว่าได้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายและทำลายเนื้อเยื่อเสียหาย วิตามินอีและเบต้าแคโรทีช่วยรักษาเนื้อเยื่อให้ดีขึ้น ป้องกันอาการบวมและปวดแสบ
การกินผักผลไม้วันละหลายครั้งจะช่วยให้ร่างกายได้สารอาหาร แร่ธาตุที่จำเป็นและพอเพียงที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักใบเขียวและผลไม้ อย่างกีวี แอ๊ปเปิ้ล ส้ม ต่างก็มีวิตามินอีสูง ซึ่งร่างกายควรจะได้รับ 400 I.U. ต่อวัน



วิตามินซี
ในขณะที่ร่างกายเกิดบาดแผล โปรตีนที่มีชื่อว่า "คอลลาเจน" จะสร้างเนื้อเยื่อมาช่วยสมานแผลให้ปิดสนิท กระบวนการซ่อมแซมตัวเองจึงต้องอาศัยวิตามินซีเป็นตัวหลักในการผลิตคอลลาเจน ซึ่งหากร่างกายไม่ได้รับวิตามินซีอย่างพอเพียงติดต่อกันเป็นเวลาหลายอาทิตย์ เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นจะทำให้แผลหายช้าและปิดไม่สนิท เนื่องจากผลิตคอลลาเจนออกมาได้น้อยเกินไป อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี คือ ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว สตรอว์เบอร์รี่ รวมถึงผังต่างๆ เช่น บร็อคเคอลี กำหล่ำปลี ร่างกายควรได้รับวิตามินซีจำนวน 100 - 250 มิลลิกรัมต่อวัน

จากพันธทิพย์
โดย: tigerbalm    เวลา: 2009-5-19 05:29
มาโหวตให้ครับ คุณจขกท

โอม หยินนี่ผู้หญิง หยางนี่ผู้ชายใช่เหรอเปล่า

แล้วดูยังไงว่าอาหารไรคือหยินหยาง
และรู้ได้ไงว่าหยินหรือหยางมากกว่า

แล้วเพศที่สามนี้ เรียกว่าไรอะเหยินเหรอ เอิ๊กๆ
โดย: mystically    เวลา: 2009-5-19 06:29
มาโหวตให้ครับ คุณจขกท

โอม หยินนี่ผู้หญิง หยางนี่ผู้ชายใช่เหรอเปล่า

แล้วดูยังไงว่าอาหารไรคือหยินหยาง
แล ...
ต้นฉบับโพสโดย tigerbalm เมื่อ 2009-5-19 05:29



งี้ต้องอธิบายกันยาวหลายหน้าเลยมังครับพี่พล

เอาพอสังเขปก่อนนะครับ

เค้าเปรียบเทียบเอานะครับ

หยาง คือ ความเข้มแข็ง เลยเปรียบกับเพศชาย เป็นต้น

หยิน คือ ความนุ่มนวล อ่อนโยน เลยเปรียบกับเพศหญิง เป็นต้น

แต่ทั้งหยินและหยางคือ ของคู่กันที่มีความหมายตรงข้ามกัน

เช่น มืดกับสว่าง ร้อนกับเย็น ขาวกับดำ ทำนองนี้นะครับ

แต่ไม่เกี่ยวกับผู้ชายมีหยินมากจะตุ้งติ้ง มันไม่ขนาดนั้นมังครับ

ส่วนผลไม้และอาหาร มันถูกแยกเป็นหยิน หยาง ตามตำรา หรือ ดูตามลักษณะของมันก็ได้ครับ

มีโอกาสจะขยายความให้เพิ่มเติมนะครับ ถ้านำไปใช้จะเกิดประโยชน์มากเลยครับ
โดย: Arty    เวลา: 2009-5-19 10:21
กระทู้นี้เริดมากค่ะ
{:13_868:}
โดย: somjeed    เวลา: 2009-5-19 10:34
ข้อมูลเยอะดีค่า เอาไปใช้ประโยชน์ได้มากเล้ยยย


ขอบคุณนะค่ะ
โดย: kikie    เวลา: 2009-5-19 16:40
ไม่ชอบทุเรียน ชอบทานมังคุด อยากเป็นหยิน   << เกี่ยวไม๊ 555

ต้องสังเกตจากการทานหรอคะ หนูไม่ค่อยสังเกตเร้ย ทานได้ทุกอย่าง ทานมันอย่างเดียว 555
โดย: pond    เวลา: 2009-5-19 18:15
พี่โอม คับ พอมี ความรู้ อาหาร ที่บำรุง ไต  ไหมคับ คุณลุงไตไม่ค่อยดีคับ
โดย: onon    เวลา: 2009-5-19 18:30
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
โดย: NamWun    เวลา: 2009-5-19 20:51
คุณมีรูปป่าวค่ะ กล่องมันเป็นอย่างไร
โดย: karni    เวลา: 2009-5-19 23:35
น่าลองนะคะ ใบบัวบกอัดเม็ดเนี้ย ว่าแต่ทำไป8วันแล้วมันยังจะช่วยอะไรไหมเนี้ย
โดย: mystically    เวลา: 2009-5-20 01:45
พี่โอม คับ พอมี ความรู้ อาหาร ที่บำรุง ไต  ไหมคับ คุณลุงไตไม่ค่อยดีคับ
ต้นฉบับโพสโดย pond เมื่อ 2009-5-19 18:15



ไตไม่ดีในทางการแพทย์ของจีนมีหลายแบบอ่ะครับ

เหมือนหวัดอ่ะครับ ที่มีหวัดร้อนกับหวัดเย็น

ไม่ทราบว่า ที่ว่า ไม่ดีนี่เป็นแบบไหน เคยพบแพทย์รึยังครับ

หลายคนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดื่มน้ำมากๆ เป็นผลดีต่อไต

มีส่วนจริง แต่วิธีดื่มสำคัญมาก ช่วยให้ไตไม่ต้องทำงานหนัก

วิธีที่ถูกคือ การดื่มน้ำบ่อยๆ แต่ทีละน้อย ไม่ใช่ดื่มทีเป็นลิตร

ดื่มน้ำมากเป็นสิ่งดี แต่ต้องดื่มเป็น ดื่มบ่อยๆแต่พอควร ดีกว่าดื่มรวดเดียวเยอะๆ

การดื่มรวดเดียวมากๆกลับเป็นการทำร้ายไตโดยที่หลายคนคาดไม่ถึง

ไตที่ขาดพลังก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอ สุขภาพทรุดโทรมเร็วนะครับ

ไตไม่ค่อยดี บางทีจะมีอาการปวดหลังช่วงล่าง ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง

มือเท้าเย็น ขอบตาคล้ำ ปวดเมื่อย นอนไม่หลับฯลฯ

อาหารบำรุงไตก็พอรู้ พี่พอรู้เรื่องยาพวกสมุนไพรจีนบ้าง

เพราะ คลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก(กินเองซะเยอะ) แต่ก็สู้คุณหมอโดยตรงไม่ได้นะครับ

ที่บ้านเป็นคลังยาสมุนไพรจีนอ่ะครับ

แต่ตัวพี่ก็เน้นที่อาหารด้วยครับ

คนเป็นโรคไตต้องระวังอย่าทาน เกลือ ผงชูรสและอาหารพวกโปรตีนมากไปนะครับ

ตัวจะบวม ไตจะทำงานหนักนะครับ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-20 17:27
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-20 17:39

มาต่อครับ

อาหารที่ควรรับประทานหลังการผ่าตัด
ควรมีวิตามินเอเยอะๆ ด้วยนะครับ

วิตามินอีก็เช่นเดียวกัน


เอาเอก่อน

วิตามินเออยู่ในเครื่องในสัตว์ ปลาไหล นม เนย น้ำมันตับปลา ส่วนวิตามินเอในรูปแคโรทีน อยู่ในพืชผักสีเหลืองหรือสีส้ม เช่น แครอท แตงโม แอปริคอท ส้ม ฟัก ทอง ข้าวโพด มันฝรั่ง มันเทศ น้ำเต้า ในพืชผักสีเขียวและสีขาวก็มีบ้าง เช่น สาหร่ายทะเล ดอกกะหล่ำ แตงกวา หอมหัวใหญ่ เด็กๆ ต้องการวิตามินเอเพื่อร่างกายที่เจริญเติบโต โครงกระดูกแข็งแรงเจริญอาหาร เม็ดเลือดแดงได้รับการสร้างเสริม ฟันมีสารเคลือบ หนุ่มสาวและผู้ใหญ่ก็ต้องการวิตามินเอมาทำหน้าที่สำคัญๆ มากมาย ช่วยดูแลเซลล์ผิวหนังและเยื่อบุ ช่วยให้ผิวสวย ตาดี ผมงาม เล็บแข็งแรง
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-21 14:35
วิตามินอี คืออะไร?
วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (tocopherol) เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับเป็นประจำทุกวัน มีลักษณะเป็นน้ำมันสีเหลือง และละลายได้ดีในไขมัน เช่นเดียวกับวิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินเค วิตามินอี มีหลายชนิด ได้แก่ แอลฟา เบตา แกมมา และซิกมา โทโคเฟอรอล โดยชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด คือ แอลฟาโทโคเฟอรอล (alpha-tocopherol)

ประโยชน์ของวิตามินอีต่อร่างกาย
เนื่องจากผนังของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมีไขมันที่ไม่อิ่มตัวเป็นโครงสร้างหลัก โครงสร้างที่ว่านี้จะถูก ทำลายได้ง่ายด้วยกระบวนการออกซิเดชัน (oxidation) และส่งผลให้เกิดสารอนุมูลอิสระ (free radicals) ชนิดต่างๆ ตามมา ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างภายในเซลล์ที่สัมผัสกับสารอนุมูลอิสระ วิตามินอี เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ (potent antioxidant) ซึ่งมีผลในการป้องกันการทำลายเซลล์ หรือลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระได้ นอกจากนี้ยังมีผลช่วยปกป้องการเสื่อมสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ (stabilize) ที่บุอยู่ตามอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา ตับ เต้านม หลอดเลือด และเม็ดเลือดแดง ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความคงทนมากขึ้นด้วย
อาหารชนิดใดบ้างที่เป็นแหล่งของวิตามินอี? แหล่งอาหารที่มีวิตามินอีอยู่ในปริมาณสูง ได้แก่ นม ไข่ ถั่ว ปลา เนื้อสัตว์ เช่น เป็ด ไก่ น้ำมันพืชต่างๆ ผักที่กินใบ เช่น ผักกาดหอม ผักโขม เป็นต้น ถึงแม้ว่าวิตามินอีจะค่อนข้างทนต่อความร้อนและไม่ละลายในน้ำก็ตาม แต่การประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูงๆ เช่น การทอด รวมทั้งการเหม็นหืนของน้ำมันก็อาจทำให้วิตามินอีสูญเสีย สภาพไปได้
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
โดย: pond    เวลา: 2009-5-21 18:48
พี่โอม ขอบคุณมากคับ พี่ชาย ขอให้เ หน้าเด็กไป ตลอดเลยนะคับ
คุณ kallypaulsmith วิตามิน มาลงให้หมดเลยนะคับ อ่านเพลินดี คับ
โดย: mystically    เวลา: 2009-5-22 00:40
พี่โอม ขอบคุณมากคับ พี่ชาย ขอให้เ หน้าเด็กไป ตลอดเลยนะคับ
คุณ kallypaulsmith วิตามิน มาลงให้หมดเลยนะคับ อ่านเพลิ ...
ต้นฉบับโพสโดย pond เมื่อ 2009-5-21 18:48




โดย: artsarts    เวลา: 2009-5-22 01:40
สุดยอด ของวิชาการ
โดย: kikie    เวลา: 2009-5-22 04:27
โหวต
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-25 05:00
เอาข่าวฝากมาบอกครับ เรื่อง วิตามินอีและ จิงโก๊ะ และนอกเรื่องเรือ่งตัวเองหน่อยนึงครับ อิๆ

อ่านหนั้งสือเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมครับ
คุณหมอบอกว่า ให้งดทานวิตามิน อี และจิงโก๊ะหลังการผ่าตัด เพราะว่าทำให้เลือดไหลง่าย

เลยเอามาฝากเพื่อนๆนะครับ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-28 15:56
คลอโรฟิลล์

ความนิยมในการดื่มคลอโรฟิลล์

คลอโรฟิลล์ เป็นสินค้านำเข้าจากอเมริกา เป็นเครื่องดื่มที่ดารา นางแบบ นักเรียน นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ให้ความนิยม จนกลายเป็นแฟชั่น สุขภาพดี ใคร ๆ ก็ปรารถนาขนาด อ้อม-พิยดา อัครเศรณี นางเอกแถวหน้า พ.ศ.นี้ ยังดื่มเป็นประจำ รวมถึงแท่ง - ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง และดารณี กฤติบุญยาลัย รวมถึงนัท มีเรีย ก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของคลอโรฟิลล์ (สรุปความคร่าว ๆ จาก คอลัมน์ บันเทิงไทยรัฐ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙)


ความเป็นมาของคลอโรฟิลล์

สารประกอบคลอโรฟิลล์ได้รับการค้นพบสูตรโครงสร้างทางเคมีครั้งแรกเมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 20 โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ศาสตราจารย์ ฮาน์ส ฟิชเชอร์ (Hanns Fisher,M.D.)และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล (Noble’s Prize) เนื่องจากสามารถใช้ความเร้นลับของคลอโรฟิลล์ได้สำเร็จ และจากการค้นพบดังกล่าวทำให้เราทราบว่า สูตรโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับสูตรโครงสร้างของสารประกอบ ฮืม(Heme) ที่เป็นโครงสร้างหลักของเม็ดเลือดแดง(Red Blood Cell) ของคนเราอย่างมาก และจากการวิจัยทางการแพทย์ หลายการวิจัยก็ยืนยันได้ว่า ร่างกายของคนเราก็สามารถนำเอาสารคลอโรฟิลล์นี้ไปเป็นสารตั้งต้น (Precursor) ในการสร้างเม็ดเม็ดเลือดแดงได้เมื่อร่างกายต้องการโดยเฉพาะในภาวะที่ร่างกายของเราเกิดความบกพร่องในการสร้างเม็ดเลือดแดงเนื่องจากขาดสารอาหาร อย่างเช่น ในภาวะโลหิตจาง
( Anemia)ฯลฯ
เป็นที่ทราบกันดีว่าคลอโรฟลล์เป็นรงควัตถุที่พบในพืชที่มีสีเขียว และใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โครงสร้างของคลอโรฟิลล์นั้นคล้ายคลึงกับ ฮืม(Heme) ในฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง จึงมีผู้เรียกคลอโรฟิลล์ว่าเป็น “the blood of plants” จึงมีการศึกษาถึงฤทธิ์ของคลอโรฟิลล์ดังนี้


1. ต่อต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์ และลดอัตราการเกิดมะเร็ง
2. ฤทธิ์ในการต้านการติดเชื้อ
3. กำจัดกลิ่นที่เกิดจากอวัยวะภายในร่างกาย
4. ช่วยในการรักษาบาดแผล
5. รักษาอาการท้องผูก
6. ช่วยลดพิษหรืออาการข้างเคียงจากยาบางชนิดได้
7. รักษาภาวะนิ่วชนิด calcium oxalate stone
8. กระตุ้นการสร้างเลือดในผู้ป่วยโลหิตจางได้
9. ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย
10. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาออกชิเจนเข้าสู่เซลล์
11. ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับ และไต
12. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
13. ปรับสมดุลให้กับร่างกาย
14. ให้ความสดชื่น
15. ผิวพรรณสดใส
16. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
17. มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
18. เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฯลฯ


ส่วนประกอบสำคัญของ ลิควิด คลอโรฟิลล์
โซเดียมคอปเปอร์คลอโรฟิลล์ (Sodium Copper Chlorophyllin) เป็นการดัดแปลงโครงสร้างคลอโรฟิลล์ตามธรรมชาติ ทำให้ได้สารคลอโรฟิลล์ที่ยังคงมีสีเขียวอยู่ แต่มีความคงตัวและสามารถละลายน้ำได้ดี จึงนำมาใช้เป็นสีผสมอาหารสำหรับผสม ในเครื่องดื่ม ซึ่งองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (US FDA) รับรองความปลอดภัยเฉพาะคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายน้ำเท่านั้น Chlorophyllin เป็นสารต้านทานปฏิกิริยา oxidation ที่มีประสิทธิภาพดีพอ ๆ กัย retinol b-carotene, วิตามินซีและวิตามินอี (g-tocopherol)Chlorophyllin มีฤทธิ์ต้านทานสารก่อกลายพันธุ์ประเภท chromium, chlordane, รังสีเอกซ์ ethidium bromide styrene oxide กลไกต้านการกลายพันธุ์ของ Chlorophyllin ยังไม่กระจ่างชัด อาจเป็นผลมาจาก Chlorophyllin เป็นตัวกำจัดอนุมูลอิสระ ทำปฏิกิริยากับ active group ของสารก่อกลายพันธุ์หรือป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสารก่อกลายพันธุ์เพื่อไปอยู่ในรูปที่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาโดยทางอ้อม
Alfalfa(Lucene) จัดเป็นพืชจำพวกตระกูลถั่วที่มีฝัก เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันตก และแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เป็นพืชชนิดแรก ๆ ที่ใช้เพื่อการเพาะปลูกเติบโตได้ในแถบทุกอากาศทั่วโลก Alfalfa มีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่รากของ Alfalfa สามารถชอนไชลงไปได้ลึกกว่า 130 ฟุต
จึงมีประสิทธิ์ภาพในการดูดซึมธาตุอาหารได้มากกว่าและบริสุทธ์กว่า อีกทั้งตัวของ Alfalfa เองก็จะไม่สะสมสารพิษ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จาก “Alfalfa”มากกว่า 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์ เพื่อเพิ่มความเร็วและแข็งแรงให้กับม้า อีกทั้งยังใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม ด้วยคุณค่าทางอาหารที่มากมายชาวอาหรับจึงขนานนาม Alfalfa ให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล”
โดย: PERFECT    เวลา: 2009-5-28 23:59
แก้ไขล่าสุด PERFECT เมื่อ 2009-5-29 00:02

เยี่ยมเลยคะ ขอปรบมือ มอบโล่ให้เลยคะ ความรู้เน้นๆ อ่านแล้วเอาความรู้นี่ไปแบ่งปันให้คนอื่นที่มีปัญหาทางร่างกายและเสริมสร้างให้ดีๆ ยิ่งขึ้น ห้องนี้ไม่ใช่สวยๆ งามๆ อย่างเดี่ยว สวยหล่ออย่างมีคุณภาพ ห้องนี้มีแต่คนใจดีมีน้ำใจ ไม่รักไม่ได้แล้ว อิอิ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-29 00:24
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-5-29 00:26

ผลไม้สดมีประโยชน์กว่าน้ำผลไม้
ในยุคที่มีการตื่นตัวเรื่องการดูแลสุขภาพ หลายคนหลีกเลี่ยงน้ำอัดลม น้ำชา กาแฟ หันมาดื่มน้ำผลไม้แทน ซึ่งปัจจุบันก็มีน้ำผลไม้มากมายหลายชนิดนานายี่ห้อวางขาย ให้ได้ซื้อหาอย่างสะดวก สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาคั้นดื่มเอง

แต่รู้ไหมว่าน้ำผลไม้ทุกชนิดล้วนทำให้ฟันผุได้ทั้งสิ้น วิธีแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับสุขภาพฟัน ก็คือเลือกดื่มน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำหรือไม่ผสมน้ำตาลเลย และดื่มในระหว่างมื้ออาหาร

หากจะให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพสูงสุด การกินผลไม้สดย่อมดีกว่าดื่มน้ำผลไม้อย่างแน่นอน เพราะผลไม้จะให้กากใยอาหารมากกว่า อีกทั้งยังมีสารไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยในการดูดซึมวิตามินซีอยู่ด้วย ที่สำคัญผลไม้ไม่ทำให้เราฟันผุ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-5-29 00:46
http://www.healthshop2u.com/catalog.php?idp=96

ดูรายละเอียดได้ที่นี่นะครับ

แต่ถ้าอยากได้เลย ร้านที่ขายสมุนไพรอะมีทุกร้านเลย
กินง่ายด้วย
ไม่ต้องมาอูดจมูกด้วยคัรบ

กินวันละ สามเม็ดนะ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-1 00:07
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-6-1 00:11

นักวิจัยนำหนูขาวเพศเมีย อายุ 4 เดือน มาตัดรังไข่ออกและแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้น้ำมะพร้าวปริมาณ 100 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน และอีกกลุ่มไม่ให้น้ำมะพร้าวเป็นเวลา 5 สัปดาห์

ผล การตรวจสอบพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมะพร้าวจะมีอัตราการตายของเซลล์ประสาทน้อยกว่าหนูที่ไม่ ได้รับน้ำมะพร้าว แผลที่เกิดจากการผ่าตัดแห้งและหายได้เร็วกว่า มีขนที่นุ่มและผิวขาวใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

นอก จากนี้ ทีมวิจัยกำลังศึกษาต่อในส่วนของการออกฤทธิ์สมานแผลของน้ำมะพร้าว เพื่อหาข้อสรุปว่า นอกจากการนำน้ำมะพร้าวมาใช้เป็นสารทดแทนฮอร์โมนสังเคราะห์สำหรับหญิงวัยทอง ได้แล้ว ยังสามารถออกฤทธิ์รักษาบาดแผลได้จริงหรือไม่


ธรรมชาติบำบัดถือว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที และยังเป็นประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายด้วย

มะพร้าวมีลำต้นสูง ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้นมะพร้าวกว่าจะถึงลูกมะพร้าวที่อยู่ข้างบน น้ำมะพร้าวที่ได้มาจึงบริสุทธิ์มาก น้ำมะพร้าวหรือเนื้อมะพร้าวเป็นอาหารที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยกลูโคสที่ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นๆอีกมากมาย เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม ฯลฯ

มะพร้าวเป็นผลไม้ที่มีด่างสูง น้ำมะพร้าวและกะทิสามารถรักษาโรคที่เกิดจากร่างกายมีความเป็นกรดมากเกินไปได้ คนไทยถือกันว่ามะพร้าวเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงเส้นเอ็น ใช้รักษาโรคกระดูกได้ ส่วนคนจีนเชื่อว่ามะพร้าวมีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่เป็นทั้งหยินและหยาง มีสรรพคุณในการขับพยาธิ

สำหรับคนไข้ที่อาเจียนและท้องร่วงในเวลาเดียวกัน ให้ดื่มแต่น้ำมะพร้าวอย่าให้ทานอย่างอื่น เพราะร่างกายจะดูดซึมกลูโคสไปใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
แม่ที่เพิ่งคลอดบุตรไม่มีน้ำนมเพียงพอให้ลูกกิน สามารถให้น้ำมะพร้าวเสริมน้ำนมแม่ได้ เพราะมีความบริสุทธ์กว่านมผงหรือนมวัว ไม่มีสารเคมีเจือปนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็กถ้า ผู้หญิงคนไหนที่เป็นสิวหรือมีรอบเดือนติดต่อกันไม่หยุด ให้กินแต่น้ำมะพร้าวอย่างเดียว ครั้งที่ดื่มอาการเหล่านั้นอาจจะเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งดีเพราะร่างกายถูกกระตุ้นให้ขับของเสียออกมา

น้ำมะพร้าวดื่มได้ทุกวัน ทุกเพศทุกวัย เพราะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติ นอกจากจะมีประโยชน์แล้ว ยังทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่เป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลม อย่างไรก็ตาม คนเป็นโรคไตและโรคเบาหวานไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าว
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-1 02:36
การสมานแผลพบว่าการ เสริมวิตามินซีในอาหารช่วยให้การสมานแผลเร็วขึ้น จากผลการทดลองสรุปได้ว่าการเสริมวิตามินซีในอาหาร 500 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม เพียงพอต่อการเจริญเติบโต และรักษาสุขภาพให้เป็นปกติ หากมีการเสริมวิตามินซีเพิ่มขึ้น ส่งผล ให้มีการสร้างแอนติบอดีสูงขึ้น และการสมานแผลเร็วขึ้น แสดงว่าการเสริมวิตามินซีสามารถช่วย เพิ่มความต้านทานโรคในปลากดเหลืองได้
โดย: bankcup    เวลา: 2009-6-3 00:17
ไม่รู้ผมคิดไปเองเปล่านะ
ตอนวันที่7-8 ผมว่ายังบวมๆอยู่เลย
พอไปหาน้ำใบบัวบกมาทาน
พอครบประมาณ10วัน
ผมว่าตรงเบ้าตามันยบลงอีกจนหน้าไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่เลยอะ
หรือว่ามันยุบตามปกติหรือเปล่าก็ไม่รู้อะครับ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-3 00:31
ข้างบน นี่ แค่นี้ ก็ทำหลายคนหวั่นไหวแล้วมั้งครับ

อิๆๆ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-4 17:49
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-6-4 17:50

เฉาก๊วย เป็นผลผลิตต่อเนื่องจากการแปรรูปต้นเฉาก๊วย ซึ่งเป็นพืชในวงศ์ Lamiaceae (วงศ์มิ้นท์) วงศ์เดียวกับ สะระแหน่ กะเพรา โหระพา แมงลัก และ ยี่หร่า

วิธีทำเฉาก๊วยอย่างง่ายๆ คือ นำต้นเฉาก๊วยแห้งมาต้ม จนยางไม้และแพคตินละลายออกมาได้น้ำสีน้ำตาลดำ เรียกว่า ชาเฉาก๊วย จากนั้นก็กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำไปผสมกับแป้งพืช เพื่อให้เฉาก๊วยคงตัวเป็นเจลลี่ ซึ่งส่วนประกอบนั้น แต่ละเจ้าจะมีสูตรของตนเอง วิธีที่เป็นต้นตำรับโบราณนั้น นิยมผสมกับแป้งท้าวยายม่อม และแป้งมันสำปะหลัง อัตราส่วนตามความเหมาะสม โดยแป้งมันจะทำให้เนื้อเฉาก๊วยนิ่ม (ใส่มากจะเหลว) ส่วนแป้งท้าวยายม่อมจะให้เนื้อเฉาก๊วยคงรูปได้นาน อาจปรับปรุงโดยใส่แป้งข้าวเจ้าเพื่อให้แข็งตัวขึ้น หรือเพิ่มแป้งข้าวเหนียวให้มีความหนุบหนับ หรือใส่ส่วนผสมอื่นๆ ก็ได้ ปัจจุบัน มีผู้ค้าบางรายใส่สีผสมอาหารให้สีดำเข้มบ้าง ใส่วุ้น-เจลาติน เพื่อประหยัดต้นทุนก็มี

การรับประทานเฉาก๊วยแต่เดิมชาวจีนจะกินกับน้ำตาลทรายแดง โดยเอามาคลุกกับน้ำตาลให้เข้ากัน คนไทยนำมาดัดแปลงโดยหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ในน้ำเชื่อมและน้ำแข็ง กินกับข้าวโพด ลูกชิด หรือลูกตาลเชื่อมก็ได้[1]
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-4 17:54
ฝรั่ง มีชื่อภาษาท้องถิ่นว่า มะแกว มะก้วย มะก้วยกา มะมั่น มะถา มะจีน ย่าหมู ชมพู่ จุ่มโป มีชื่อภาษาอังกฤษว่า กัววา (Guava) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า พไซเดียม กัวจาวา (Psidium guajava L.) จัดอยู่ในวงศ์ ไมร์ทาซีอี้ (Myrtaceae) ฝรั่งจัดเป็นต้นไม้ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ปัจจุบันมีพัฒนาการไปหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งประเภทมีเมล็ดและไม่มีเมล็ด ฝรั่งพันธุ์แป้นสีทอง กลมสาลี่ ฯลฯ

ฝรั่ง มีคุณค่าทางโภชนาการคือ ในผลดิบของฝรั่งจะประกอบด้วย วิตามินซี ซึ่งมีอยู่ในปริมาณที่สูง มีเส้นใยประมาณ 2.9% นอกจากนี้ยังมี แคลเซียม ออกซาเลต เบต้าแคโรทีน โพแทสเซียม สำหรับใบของฝรั่ง จะมีน้ำมันหอมระเหยที่ชื่อยูจีนอล และสารฝาดจำพวกแทนนินในปริมาณ 8-10%

สรรพคุณของฝรั่งและวิธีใช้ ส่วนที่ใช้ประโยชน์ของฝรั่งคือ ผล ราก และใบ ซึ่งแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณแตกต่างกันดังต่อไปนี้ ค่ะ
ผลฝรั่ง จัดเป็นแหล่งวิตามินซีราคาถูก ช่วยป้องกันและรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน ใช้แก้โรคท้องร่วง ท้องเสีย ใช้ระงับกลิ่นปากและเป็นยารักษาโรคในช่องปาก วิตามินซีและ
เบต้าแคโรทีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันอันตรายต่อเซลล์และหลอดเลือด
อุดตัน โพแทสเซียมทำให้ความดันและการทำงานของหัวใจเป็นปกติ
ใบเพสลาดและผลดิบ ใช้แก้ท้องร่วง ใบแก่สด 10-15 ใบ เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกินน้ำตาม หรือตากให้แห้งแล้วบดเป็นผง บรรจุแคปซูล 250 มิลลิกรัม กินครั้งละ 3-5 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมงใช้แก้โรคท้องร่วง ท้องเสียได้ ในปัจจุบันมียาจากใบฝรั่งชื่อ "กวาว่าแคปซูล" ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ใช้แก้ท้องเสีย สำหรับผลฝรั่งดิบหากหั่นให้เป็นแว่นๆ แล้วจึงนำไปตากแห้ง บดเป็นผง ใช้รับประทานครั้งละครึ่งถึง 1 ช้อนชา ชงกับน้ำร้อนดื่มหรือใช้ใบแก่สด 15-20 ใบมาล้างน้ำให้สะอาด ตำให้แหลกโดยใส่เกลือเล็กน้อย ต้มแล้วรินเอาแต่น้ำมาดื่ม หรือจะใช้ใบแก่สดประมาณ 10-15 ใบ มาปิ้งไฟ แล้วชงน้ำดื่ม หรือจะใช้ผลฝรั่งอ่อนๆ กว้านเอาเมล็ดออก ปอกเปลือกทิ้งไปแล้วนำเนื้อฝรั่งที่ได้มาจิ้มเกลือรับประทานหรือต้มน้ำดื่มก็ได้นะคะ จะสามารถใช้แก้อาการท้องเสียได้
สารสกัดจากผลดิบของฝรั่ง เมื่อสกัดด้วยเมทานอล สารที่ได้จะสามารถลดอาการอักเสบ แก้ปวด แก้ไข้ได้นะคะ
ใบฝรั่ง ช่วยดับกลิ่นได้เป็นอย่างดีนะคะ เรื่องนี้พวกคอสุราทราบกันดีอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นเหม็นในตู้เย็นและตู้กับข้าว ให้ใช้ใบสด 10 ใบ นำมาขยี้ให้พอช้ำๆแล้ววางไว้ หรืออาจจะใช้ผลฝรั่งสุกวางไว้ เพื่อดับกลิ่นก็ได้ค่ะ
รากฝรั่ง แก้น้ำเหลืองเสีย ทำน้ำเหลืองให้เเห้ง
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-17 15:49
นักวิชาการแบ่งวิตามินออกเป็น 2 ชนิดตามคุณสมบัติของวิตามิน ชนิดแรกคือวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายจะนำวิตามินไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำเป็นตัวพาไป ได้แก่ วิตามินบีรวม และวิตามินซี วิตามินบีรวมประกอบด้วยวิตามินบีหลายตัว ที่รู้จักแพร่หลายคือ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 โฟเลต และไนอะซิน ส่วนวิตามินอีกชนิดหนึ่งคือ วิตามินที่ละลายในน้ำมัน นั่นคือการที่ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ต้องมีน้ำมันเป็นตัวนำ วิตามินในกลุ่มนี้ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค

    ร่างกายต้องการวิตามินบี 1 วันละ 1.5 มิลลิกรัม อาหารที่มีวิตามินบี 1 สูงจากการวิเคราะห์อาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม ได้แก่ เนื้อหมู (0.69 มิลลิกรัม) ข้าวกล้อง (0.34 มิลลิกรัม) เมล็ดฟักทองแห้ง (0.40 มิลลิกรัม) ถั่วลิสงต้ม (0.56 มิลลิกรัม) ถั่วเขียว (0.66 มิลลิกัม) รำข้าว (1.26 มิลลิกรัม) ลูกเดือย (0.41 มิลลิกรัม) เป็นต้น แต่ถ้ากินปลาดิบ กินหมาก ดื่มน้ำชา หรือเคี้ยวเมี่ยง ควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีวิตามินบี 1 สารที่อยู่ในอาหารดังกล่าวข้างต้นจะขัดขวางไม่ให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินบี 1 ไปใช้ประโยชน์ จึงไม่ควรกินอาหารดังกล่าวพร้อมอาหารมื้อหลัก หากเราได้รับวิตามินบี 1 ไม่พียงพอจะมีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง มีอาการเหน็บชา คือชาตามมือตามเท้าทั้งสองข้าง ต่างจากอาการเป็นเหน็บตรงที่จะชาเฉพาะที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเกิดจากอวัยวะส่วนนั้นถูกกดทับเป็นเวลานานๆ ทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงส่วนนั้นไม่สะดวกจึงมีอาการเป็นเหน็บขึ้น (บางคนก็เรียกอาการที่เกิดขึ้นดังกล่าวว่าเป็นเหน็บชา จึงทำให้เข้าใจผิดว่าอาการเป็นเหน็บกับโรคเหน็บชาเป็นชนิดเดียวกัน) การเป็นเหน็บแก้ไขโดยอย่าอยู่ในท่าเดิมนานๆ หรือท่าที่ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก เช่น การนั่งพับเพียบนาน ๆ ก็ทำให้เป็นเหน็บได้ง่าย

    วิตามินบี 2 มีหน้าที่สำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากพลังงานได้อย่างเต็มที่ ร่างกายต้องการวิตามินบี 2 วันละ 1.7 มิลลิกรัม ซึ่งอาหารที่มีวิตามินบี 2 มาก โดยวิเคราะห์จากอาหารส่วนที่กินได้ 100 กรัม ได้แก่ นมสด (0.16 มิลลิกรัม) ไข่ไก่ (0.40 มิลลิกรัม) เนื้อวัว (0.34 มิลลิกรัม) เห็ดฟาง (0.33 มิลลิกรัม) ตับไก่ (1.32 มิลลิกรัม) ตับวัว (1.68 มิลลิกรัม) เป็นต้น หากได้รับไม่เพียงพอจะมีแผลที่มุมปากทั้งสองข้าง (ปากนกกระจอก) ถ้ามีแผลที่มุมปากเพียงข้างเดียวไม่ได้เกิดจากการขาดวิตามินบี 2 แต่เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็กที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร หากเราดื่มนมเป็นประจำทุกวันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินบี 2 เพราะนมที่ไม่ถูกแสงหรือความร้อน 2 แก้วก็เท่ากับปริมาณวิตามินบี 2 ที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวันแล้ว

    วิตามินบี 6 ร่างกายต้องการเพียงวันละ 1.8-2.2 มิลลิกรัมต่อวัน วิตามินชนิดนี้มีหน้าที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ของโปรตีนในร่างกาย พบมากในอาหารที่ให้โปรตีน ได้แก่ ถั่วเหลือง ตับสัตว์ ไข่ และนม คนไทยมักไม่ขาดวิตามินชนิดนี้ ยกเว้นในคนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีการใช้ยารักษาวัณโรค เป็นต้น

    วิตามินบี 12 ร่างกายต้องการเพียง 2 ไมโครกรัมต่อวัน แหล่งอาหารที่ให้วิตามินบี 12 คือ เนื้อสัตว์ทั้งสัตว์บกและสัตว์ทะเล เครื่องในสัตว์ และอาหารหมักดองจากสัตว์ ดังนั้นผู้ที่เสี่ยงต่อการขาดวิตามินบี 12 คือผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติแบบเคร่งครัดเป็นเวลานาน ซึ่งจะทำให้เกิดโรคโลหิตจาง คนที่กินอาหารครบ 5 หมู่ปกติจึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินบี 12 เพราะในหนึ่งวันร่างกายต้องการในปริมาณน้อยมาก
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-17 15:49
โฟเลต หรือกรดโฟลิก ร่างกายต้องการเพียง 200 ไมโครกรัมต่อวัน หากเป็นหญิงตั้งครรภ์จะต้องการมากขึ้นเป็น 400 ไมโครกรัมต่อวัน วิตามินชนิดนี้มีความสำคัญในการช่วยสร้างเม็ดเลือดและเซลล์ต่าง ๆ โฟเลตเกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงสร้างของเซลล์ จึงทำให้มีการเสริมโฟเลตในอาหารประเภทนมและมีการโฆษณาในกลุ่มเป้าหมายคือหญิงตั้งครรภ์ นอกจากนี้ผู้ที่เป็นตับแข็งก็ต้องการโฟเลตเพิ่มมากขึ้นกว่าคนปกติ อาหารที่มีโฟเลตสูง ได้แก่ ตับ (30-50 ไมโครกรัม) ผักใบเขียว (9 ไมโครกรัม) และน้ำส้มคั้นที่คั้นแล้วดื่มทันที (50-100 ไมโครกรัม) เป็นต้น

    ไนอะซิน ร่างกายต้องการวันละ 20 มิลลิกรัม คนที่เสี่ยงต่อการขาดไนอะซินคือคนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำและกินอาหารไม่ครบถ้วน อาการของโรคคือรู้สึกแสบร้อนรอบปาก เบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ปวดศีรษะ หากเป็นมาก ๆ จะมีอาการทางประสาท ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ผิวหนังเมื่อถูกแดดจะแสบร้อน ปลายและขอบลิ้นบวมแดง อาหารที่มีไนอะซินมาก ได้แก่ เนื้อวัว (6.7 มิลลิกรัม) ตับวัว (12.8 มิลลิกรัม) เนื้อเป็ด (11.7 มิลลิกรัม) รำข้าว (29.8 มิลลิกรัม) ใบกระถิน (5.4 มิลลิกรัม) ใบตำลึง (3.8 มิลลิกรัม) เห็ด (4.9 มิลลิกรัม) เนื้อไก่ (8.0 มิลลิกรัม) เป็นต้น

    วิตามินซี เป็นวิตามินที่รู้จักกันดี มีมากในผักและผลไม้สด ในแต่ละวันร่างกายของเราต้องการประมาณ 60 มิลลิกรัม หากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ประจำร่างกายจะต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้นอีก 40 เปอร์เซ็นต์ หน้าที่สำคัญของวิตามินซีคือป้องกันการทำลายเซลล์ต่างๆ ช่วยสังเคราะห์สารต่าง ๆ เช่น สร้างฮอร์โมน เยื่อบุหลอดเลือดต่างๆ ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กในกระเพาะอาหารและลำไส้ คนที่ขาดวิตามินซีจึงมักมีอาการปรากฏตามบริเวณต่าง ๆ ที่มีหลอดเลือดมาหล่อเลี้ยงมากๆ เช่น ไรฟัน ทำให้เกิดโรคเลือดออกตามไรฟันหรือลักปิดลักเปิด หากเกิดบริเวณเยื่อกระดูกก็จะทำให้ปวดกระดูก อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ฝรั่ง (160 มิลลิกรัม) มะขามเทศ (133 มิลลิกรัม) มะละกอสุก (73 มิลลิกรัม) มะม่วงดิบ (62 มิลลิกรัม) กะหล่ำดอก (72 มิลลิกรัม) ใบตำลึง (48 มิลลิกรัม) ดอกโสน (51 มิลลิกรัม) ใบคะน้า (140 มิลลิกรัม) มะเขือเทศสุก (23 มิลลิกรัม) เป็นต้น

    รายละเอียดของวิตามินบีรวมและวิตามินซีที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติละลายในน้ำ ดังนั้นการล้าง การปรุง หรือเตรียมอาหารทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานจะทำให้วิตามินกลุ่มนี้สลายไปเรื่อย ๆ จึงควรระวังในเรื่องนี้ด้วย ตัวอย่างเช่นหากจะหุงข้าวแล้วเกรงว่าข้าวสารจะสกปรก จึงซาวข้าวหลายๆ ครั้ง การทำเช่นนี้ก็สูญเสียวิตามินบีไปแล้ว หรือปอกผลไม้ทิ้งไว้ไม่กินทันที หรือคั้นน้ำส้มทิ้งไว้ในตู้เย็นหรือทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องก็ตาม วิตามินซีก็จะสูญเสียไปได้ ดังนั้นเพื่อให้ได้วิตามินครบถ้วนจึงควรให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนในการเตรียมและปรุงอาหาร ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากอาหารที่เรากินนั่นเอง

    นอกจากการกินให้ครบถ้วนและเพียงพอแล้ว ในปัจจุบันผู้คนยังให้ความสนใจในการนำวิตามินมาใช้เป็นยากันมาก ตัวอย่างเช่นการแนะนำให้กินวิตามินซีในปริมาณสูง ๆ ในรูปของเม็ดยา เช่น 100 มิลลิกรัมขึ้นไปเพื่อป้องกันโรคหวัด โรคมะเร็ง หรือช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นสดใส ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดยืนยัน ในทางกลับกันมีรายงานวิจัยรายงานว่าการกินวิตามินซีสูง ๆ ดังกล่าวติดต่อกันนาน ๆ จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในไต อุจจาระร่วง ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กมากเกินไป ดังนั้นขอแนะนำให้กินผักผลไม้สดเป็นประจำจึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้ได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอและไม่มีผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งนี้หากต้องการกินในรูปของน้ำผักหรือน้ำผลไม้เพื่อให้ได้รับวิตามินซีต้องดื่มทันทีที่คั้นเสร็จ มิฉะนั้นวิตามินซีจะสลายสูญเสียไป

      

ที่มา : http://www.gourmetthai.com
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-17 15:50
วิตามินเอ เป็นวิตามินที่ทำหน้าที่ปกป้องเยื่อบุต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น เยื่อบุลำไส้ เยื่อบุทางเดินหายใจ เป็นต้น เมื่อขาดวิตามินเอ เยื่อบุต่างๆ จะเหี่ยวฝ่อ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งวิตามินเอจะช่วยให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรง และยังช่วยให้สามารถมองเห็นในที่มืดได้ดี ถ้าขาดวิตามินเอจะทำให้การปรับตัวของตาในที่มืดไม่ดี คนสมัยก่อนเรียกอาการดังกล่าวว่า “ตามัวตาฟาง” และวิตามินเอยังมีบทบาทช่วยในการเจริญเติบโตของอวัยวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ กระดูก สมอง และอื่นๆ นอกจากนี้ยังพบว่าวิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ซึ่งการขาดวิตามินเอทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอ มองเห็นไม่ดีในเวลากลางคืน ติดเชื้อง่าย และในเด็กเล็กหากขาดวิตามินเออย่างรุนแรงจะทำให้เสียชีวิตได้ ในทางตรงกันข้าม หากได้รับในปริมาณมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ ผิวแห้ง ผมร่วง ถ้าเป็นในเด็กจะทำให้ปวดกระดูก สำหรับหญิงมีครรภ์ถ้าได้รับวิตามินเอมากเกินไปจะทำให้แท้งได้

    เมื่อรู้จักวิตามินเอก็ต้องรู้จักเบตา-แคโรทีนควบคู่ไปด้วย เพราะเบตา-แคโรทีนคือสารตั้งต้นของวิตามินเอ เมื่อกินอาหารที่มีเบตา-แคโรทีน ร่างกายของเราจะเปลี่ยนเบตา-แคโรทีนให้เป็นวิตามินเอได้ ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินเอ 800 ไมโครกรัม อาร์อี หรือ 2,664 หน่วยสากล หากเป็นเบตา-แคโรทีนจะเท่ากับ 4,800 ไมโครกรัม (จากเอกสาร “สารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป” จัดทำโดยคณะอนุกรรมการพิจารณาการแสดงคุณค่าทางโภชนาการบนฉลากของอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข)

    อาหารที่ให้วิตามินเอสูง ได้แก่ ตับสัตว์ทุกชนิด เครื่องในสัตว์ ไข่ นม เป็นต้น ส่วนเบตา-แคโรทีนพบมากในพืชผักผลไม้สีเหลืองและสีส้มแดง เช่น มะละกอ แครอต ผักหวาน ผักชีฝรั่ง ตำลึง ฟักทอง ผักกระเฉด ใบชะพลู มะเขือเทศ ผักบุ้ง คะน้า เป็นต้น

    การกินอาหารที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยให้ได้รับวิตามินเอหรือเบตา-แคโรทีน โดยควรกินควบคู่กับอาหารที่มีไขมันด้วย จะช่วยให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี ซึ่งการกินอาหารธรรมชาติดังกล่าวนี้จะไม่ทำให้ได้รับวิตามินเอมากเกินความต้องการของร่างกาย แต่หากกินในรูปของเม็ดยาหรือในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอาจทำให้ได้รับในปริมาณมากเกินไป และวิตามินชนิดนี้ถ้าร่างกายใช้ไม่หมดก็จะสะสมไว้ในร่างกาย ไม่สามารถขับทิ้งได้ง่ายเหมือนวิตามินที่ละลายในน้ำ นอกจากนี้ในต่างประเทศมีรายงานว่าพบผู้ที่กินเบตา-แคโรทีนในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นมะเร็งที่ปอดด้วย
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-17 15:51
วิตามินดี เป็นวิตามินที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก การดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสไปใช้ในร่างกาย จึงช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินดีเพียง 5 ไมโครกรัม หรือ 200 หน่วยสากล ซึ่งนับว่าต้องการในปริมาณที่น้อยมาก และร่างกายของคนเรายังสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เองจากแสงแดดอ่อน ๆ คนไทยเราโชคดีที่บ้านเรามีแสงแดดมาก จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินดี ยกเว้นในคนที่ไม่ได้รับหรือไม่ถูกแสงแดดเลย ซึ่งก็เป็นไปได้ยาก เพราะนอกจากร่างกายจะสังเคราะห์วิตามินดีได้จากแสงแดดแล้ว ในอาหารที่เรากินกัน เช่น ไข่แดง นม ปลาที่มีไขมัน ตลอดจนธัญพืช ก็มีวิตามินดีอยู่มาก คนไทยจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินดีเหมือนชาติตะวันตกที่ประเทศเขาไม่ค่อยมีแสงแดด นอกจากนี้การได้รับวิตามินดีสูงเกินไปอาจทำให้มีแคลเซียมตกตะกอนเป็นหินปูนเกาะอยู่ที่ไต (นิ่วในไต) ได้
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-17 15:52
วิตามินอี เป็นวิตามินอีกชนิดหนึ่งที่มีคนให้ความสนใจค่อนข้างมาก มีหน้าที่สำคัญคือช่วยให้เยื่อบุและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เพราะวิตามินอีจะทำให้ผนังเซลล์ทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมได้ดี ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินอีเพียง 10 มิลลิกรัม อัลฟา ที อี หรือ 15 หน่วยสากล ซึ่งเป็นปริมาณที่น้อยมาก แต่ก็ขาดไม่ได้ เพราะถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์ ระบบประสาท และการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ในทางกลับกัน หากได้รับมากเกินไป 30- 200 เท่าของปริมาณที่แนะนำ และกินติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้มีอาการเริ่มตั้งแต่ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ซึม จนกระทั่งริมฝีปากอักเสบ และกล้ามเนื้อไม่มีแรง นอกจากนี้ยังมีรายงานการวิจัยพบว่าการกินวิตามินอีในปริมาณสูงกว่าที่แนะนำทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตได้ ซึ่งการได้รับวิตามินอีในปริมาณสูงๆ นั้นจะเกิดขึ้นได้จากการกินในรูปของเม็ดยา เพราะหากได้รับจากอาหารจะไม่ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีมากเกินไปจนเกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ

    อาหารที่มีวิตามินอีสูงคือน้ำมันพืชต่าง ๆ เช่น น้ำมันจากจมูกข้าวสาลี น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันจากเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด เป็นต้น ดังนั้นหากใช้น้ำมันพืชดังกล่าวปรุงอาหารเป็นประจำก็ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดวิตามินอี นอกจากนี้ในท้องตลาดปัจจุบันยังพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในน้ำมันปาล์มด้วย

    วิตามินอีได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ในปัจจุบันนอกจากจะพบว่ามีการเสริมวิตามินอีในอาหารหรือผลิตออกจำหน่ายในรูปเม็ดยาแล้ว ยังมีการเสริมวิตามินอีลงในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วแทบไม่พบปัญหาการขาดวิตามินอีในคนไทย ยกเว้นในคนที่มีลำไส้ผิดปกติในการดูดซึมซึ่งไม่สามารถดูดซึมไขมันได้ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินอีไปใช้ได้ เพราะวิตามินอีเป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน นอกจากนี้อาจพบได้ในทารกที่คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากร่างกายทารกยังมีการสะสมวิตามินอีได้น้อย ดังนั้นคนปกติทั่วไปจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินอี และถ้าคิดจะซื้อวิตามินอีในรูปของเม็ดยามากินควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

    วิตามินเค เป็นวิตามินที่มีคนรู้จักและกล่าวถึงน้อยกว่าวิตามินชนิดอื่นที่กล่าวมา มีหน้าที่สำคัญคือช่วยทำให้เลือดแข็งตัว และช่วยสร้างโปรตีนชนิดที่มีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ในแต่ละวันร่างกายต้องการวิตามินเคเพียง 80 ไมโครกรัม ซึ่งนอกจากอาหารประเภทใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม ที่มีวิตามินเคแล้ว ยังพบได้ในตับสัตว์และเนย รวมทั้งแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ของคนเรายังสามารถสังเคราะห์วิตามินเคได้อีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ควรกังวลว่าจะขาดวิตามินเค ยกเว้นในกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ร่างกายยังสะสมวิตามินเคได้น้อย เมื่อคลอดออกมาแพทย์ก็จะฉีดวิตามินเคให้ คุณพ่อคุณแม่ที่มีทารกคลอดก่อนกำหนดจึงไม่ต้องวิตกว่าลูกของตนจะขาดวิตามินเค และผู้ที่จะมีปัญหาอีกกลุ่มคือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการดูดซึมไขมัน จึงทำให้ไม่สามารถดูดซึมวิตามินเคได้ เนื่องจากวิตามินเคเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จึงต้องมีไขมันเป็นตัวนำเพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เมื่อร่างกายมีปัญหาการดูดซึมไขมันจึงดูดซึมวิตามินเคไม่ได้ ส่งผลให้ขาดวิตามินเค นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคน ที่ควรจะได้รับวิตามินเคมากกว่าคนปกติทั่วไป เพราะเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเค คือผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ผู้ที่เป็นโรคตับ ได้แก่ ดีซ่าน ตับแข็ง ซึ่งควรได้รับวิตามินเคมากกว่าคนทั่วไป
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-17 15:55
วิตามิน..กินตอนไหนดี

วิตามินบี ถ้าคุณเป็นคนหลับยาก การกินวิตามินบีก่อนนอนจะทำให้คนนอนดึกอย่างคุณกลายเป็นคนนกฮูกมากขึ้นไปอีก เพราะวิตามินตัวนี้ช่วยให้กระฉับกระเฉง คนกินก็เลยตาแข็งหลับไม่ลงไปเลย

   วิตามินรวม วิตามินรวมเป็นที่รวมของวิตามินหลายชนิด ทั้งชนิดที่ย่อยง่ายและย่อยยาก แถมบางชนิดจะละลายได้เฉพาะในน้ำมันเท่านั้น จึงต้องทานวิตามินรวมก่อนหรือหลังอาหาร เพราะในอาหารที่เรากินเข้าไปจะมีน้ำมันอยู่ ทำให้สามารถย่อยวิตามินได้

   เซเลเนียม คนที่จะทานเซเลเนียมควรจะทานตอนท้องว่าง เช่น หลังจากตื่นนอนใหม่ๆ เพราะร่างกายจะดูดซึมแร่ธาตุได้ดีกว่า

   อีฟนิ่งพริมโรส ที่สาวๆ กินน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสกันมักจะเพราะเชื่อคำโฆษณาที่ว่า กินแล้วผิวจะสวยหน้าจะใส และช่วยต่อต้านริ้วรอยได้ แต่คงไม่มีร้านค้าร้านไหนเตือนคุณว่า ห้ามกินน้ำมันชนิดนี้อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนเข้าห้องผ่าตัด เพราะอาจจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด ส่วนคนที่กำลังกินยาต่อต้านการแข็งตัวของลิ่มเลือดก็ไม่เหมาะจะกินน้ำมันนี้เช่นกัน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลงได้

   วิตามินซี การที่ร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีได้ทีละน้อยๆ เท่านั้น ส่วนที่เหลือจะถูกขับออกไป เวลากินวิตามินซีแบบเม็ด จึงควรจะกินแค่ครั้งละเม็ดก็พอ แต่กินวันละสองครั้ง หลังอาหารเช้า-เย็น วิตามินที่กินเข้าไปจะได้ไม่ถูกขับออกมาให้เสียของเปล่าๆ

   แร่ธาตุรวม นี่คือสารอาหารที่คนหลับยากต้องการ ถ้ากินก่อนนอน หัวถึงหมอนปุ๊ปคุณจะหลับสนิทไปทั้งคืน
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-17 16:10
สูตรอาหารลดน้ำหนัก สลัดทูน่าประยุกต์

          สลัดทูน่านี้เป็นอาหารลดน้ำหนักที่มีประโยชน์ทีเดียว อร่อยแถมยังแคลอรี่ต่ำอีกด้วย น่าจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

          เทปลาทูน่ากระป๋อง (เอาชนิดในน้ำเกลือนะคะ อย่าเอาที่อยู่ในน้ำมัน) ใส่จาน บีบมะนาว 1 ผล โรยพริกไทยมากๆ จากนั้นซอยแตงกวาและผักกาดแก้วกับหอมใหญ่ลงไป โดยไม่ใส่น้ำสลัด (ใส่ผักได้เยอะเท่าที่ต้องการ)
ทานเป็นอาหารกลางวันหรือเย็นได้เลย
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-17 22:00
และแหล่งใหญ่ที่มีสร้างต้านอนุมูลอิสระมากอีกแหล่งหนึ่ง ก็คือ สารกลุ่มเฟลโวนอยด์ที่พบมากในเมล็ดและเปลือกขององุ่น มีสารเฟลโวนอยด์(Flavonoid) ที่เรียกว่า “โปรแอนโธไซยานิดิน” สารนี้เมื่อรวมตัวกันจะอยู่ในรูปของ “โอริโกเมริค โปรแอนโธไซยานิดิน” (Oligomeric proanthocyyanidin) หรือเรียกย่อๆ ว่า OPC มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซีและมากกว่าวิตามินอีถึง 20 และ 50 เท่าตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างเสริมสารคอลลาเจนในผิวหนัง ทำให้ผวิหนังแข็งแรงและยังลดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย และในระยะหลังๆ ตั้งแต่ปี 1980 พบว่า มีการใช้สารกลุ่มไบโอเฟลโวนอยด์ที่เป็นสารสกัดเมล็ดองุ่นในการรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดและเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดฝอยเปราะ และใช้รักษาเบาหวานขึ้นตาและจอประสาทตาเสื่อม นอกจากนี้ คุณสมบัติในการเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ยังอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ ลดภูมแพ้จากยาต้านไวรัส ยาต้านมะเร็ง และเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย
      
       การเลือกใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ต้องดูปริมาณของสารออกฤทธิ์ เพื่อให้ได้ผลคุ้มค่า คือ ควรมีปริมาณสาร OPC สูงประมาณ 92-95% ขนาดที่ใช้ในการรักษาสุขภาพ คือ วันละ 50-100 มิลลิกรัม แต่ในกรณีที่ใช้บำบัดโรค ต้องใช้ขนาดสูงถึงวันละ 150-300 มิลลิกรัม
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-18 01:30
สูตรน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ


   



สูตรน้ำผลไม้ที่ได้จากข้าหลวงประจำพระองค์ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์
เป็นสูตรน้ำผลไม้ที่ได้จากข้าหลวงประจำพระองค์ฟ้าหญิง เป็นสูตรที่ในวังกำลังนิยมกันมาก นายหลวงทรงเสวยทุกวัน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณสดใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็งจะดีมาก มีคนแถวบ้านเป็นมะเร็ง อายุประมาณ 80 กว่าแล้ว ค่ะ ต้องให้คีโม แต่ปรากฏว่าพอรับประทานน้ำผลไม้สูตรนี้ไปเป็นเวลาประมาณไม่ถึง 1 เดื

      หากรับประทานไข่มาก จะมีปัญหาในภายหลังตอนโตเพราะร่างกายได้สะสมข้อมูลความจำของชีวประวัติไก่ไว้มากเกินไป
      
      รวมทั้งนมวัวที่มีข้อมูลของชีวประวัติ ตระกูลวัวไว้มาก เมื่อรวมกันในร่างกายจะทำให้เด็กสมัยใหม่ โตเร็ว กระดูกใหญ่ ในขณะเดียวกัน หน้าอกก็จะโตยื่นออกมามากจนเกินพอดีกลาย เป็นคนอาภัพในภายหลังเพราะเซลล์ในร่างกายตอนหนุ่มสาว ยังมีความหยางอยู่ จึงดูว่าหุ่นดี สวยงาม รูปงาม เพราะพลังหยางยังแกร่งพอที่จะยึดเหนี่ยวไว้ให้ได้ แต่พอเวลาผ่านไปอันสั้น ร่างกาย จะพัฒนาสู่ความเสื่อม เฉาเร็วกว่าปกติ เพราะเมื่อ ยังหนุ่มสาวอยู่ ร่างกายต้องทนแบกน้ำหนักและรองรับส่วนเกินนี้ไว้ให้กว่าสองเท่าตัว จนกล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป
      
      ในประเภทนมสัตว์ นมแพะ เนยทำจาก นมแพะ ถือว่าหยางมากเหมาะสำหรับคนเมืองหนาวเท่านั้น ที่บริโภคบ้านเราเป็นเมืองร้อน การบริโภค ดื่มนม จึงเป็นเรื่องผิดปกติ เป็นนโยบายส่งเสริมเยาวชนที่ควรได้รับการทบทวนก่อนจะสายเกินไป นมวัว เป็นอาหารของคนเมืองหนาว ที่มีหิมะตกมี 4 ฤดูกาล นมวัวเป็นผลิตผลของคาวบอย เมืองโคบาลที่มิใช่เมือง ไทยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่หยินจัดที่สุดคือ วอดก้า (Vodka) เป็นเครื่องดื่มของคนเมืองหนาว ดื่มเพื่อเพิ่มความร้อนไว้ต้านความหนาว ที่มีหิมะตกหนัก ถัดมาคือ ไวน์ (Wine) ถัดมา คือ วิสกี้ (Whiskey)
      
      ถัดมาคือ เบียร์ที่ถือว่า หยินน้อยกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ถือว่าเหมาะสมก็คือ สาเก (Sake) ทั้งที่เดิมเป็นหยิน แต่เวลาดื่มนั้น หากแช่น้ำร้อนเป็นการปรับลดหยินลง กลายเป็นหยาง กลายเป็นสรรพคุณของยาบำรุงได้ เพราะบริโภคเมื่อยังอุุ่นอยู่ นี่คือเคล็ดลับของการปรับดุลของคนญี่ปุ่น ในกรณีเบียร์หรือไวน์หรือวิสกี้ก็ดี หากแทนที่เราจะลดความหยิน ซึ่งเป็นโทษกับสุขภาพร่างกายเรากลับไป เพิ่มความหยิน โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยการแช่เย็น (หยิน) ใส่น้ำแข็ง (หยิน) เติมโซดา คาร์บอเนต (เพิ่มหยิน) แล้วยังรับประทานใน ห้องแอร์ (หยิน) เวลากลางคืน (หยิน) สรุปรวมความแล้ว เราเพิ่มโทษความเป็นหยินขึ้น หลายเท่าทวีคูณ ทำให้เครื่องดื่มเหล่านี้ไม่เหมาะสมกับเลือดในร่างกาย นำไปสู่โรคตับและโรค เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในที่สุด

อน ปรากฏว่ามีผมงอกขึ้น และ แข็งแรงขึ้นมาก จนหมอตกใจ ลองนำไปปั่นทานกันดูนะคะน่าจะดีต่อสุขภาพไม่มากก็น้อย

ส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วย

สูตรน้ำผักผลไม้

1.แอปเปิ้ล 1 ผล

2.แครอท 1 ลูก

3.ผักสลัด(ผักกาดแก้ว) 3 ใบ

4.ตั้งโอ๋ 2 ก้าน

5.มะนาว 1 ลูก

6.น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว

(ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้)

7.น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว

8.น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ

9.ฝรั่ง 1 ผล

10.มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก

11.น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ

นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร ในกรณีที่เป็นคนป่วย ให้รับประทานวันละ 1 ลิตร แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน
**ข้อมูลนี้ได้จากอีเมล์ ไม่รู้ต้นตอว่าใครเป็นคนนำมา แต่คิดว่ามีประโยชน์เลยเอามาฝากกัน**
โดย: plastic_surgery    เวลา: 2009-6-18 09:51
เจ๋งจริง ต้องดันนนนนนนนนน
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-18 23:05
วิตามินกินอย่างไรให้ถูกวิธี

          วิตามินที่ร่างกายได้รับส่วนใหญ่มาจากอาหารที่เราทานเข้าไป และส่วนหนึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง วิตามินที่ดีจึงต้องสกัดจากอาหาร ถึงอย่างไร เราก็ไม่กินวิตามินแทนอาหาร และวิตามินไม่ใช่ยา แต่เป็นสารสกัดจากสิ่งมีชีวิต (Organic) ที่จำเป็นสำหรับร่างกาย  มีหน้าที่ช่วยให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ถูกต้อง และช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะถ้าขาดวิตามินแล้วร่างกายจะหยุดทำงาน  

          ในที่นี้จะขอเล่าถึงวิตามินบางตัวที่มีความสำคัญต่อภูมิชีวิต (Immune System) เรา ซึ่งที่น่ารู้จักก็คือ วิตามินในกลุ่มแอนติออกซิแดนท์ ได้แก่ A, C, D และ E และกลุ่มวิตามิน B ชนิดต่างๆ

วิตามิน A

พบใน น้ำมันตับปลา ผักสีต่างๆ เช่น แครอท ผักโขม และหัวบีทรู้ท

ประโยชน์
- ช่วยบำรุงสายตา และแก้โรคตามัวตอนกลางคืน
- ช่วยให้กระดูก ผม ฟัน และเหงือกแข็งแรง
- สร้างความต้านทานให้แก่ระบบหายใจ
- ช่วยสร้างภูมิชีวิตให้ดีขึ้น และทำให้หายป่วยเร็วขึ้น
- ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ลดอาการอักเสบของสิว ช่วยลบจุดด่างดำ และจุดวัยสูงอายุ
- ช่วยบรรเทาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์

ปริมาณที่แนะนำ
- ผู้ชายควรกินอาหารที่มีวิตามิน A 1,000 R.E. หรือเท่ากับ 5,000 I.U. ต่อวัน
- ผู้หญิงควรกินอาหารให้ได้วิตามิน A 800 R.E. หรือ 4,000 I.U. ต่อวัน
- หากกำลังตั้งครรภ์ควรกินเพิ่มเป็น 1,000 R.E. หรือ 5,000 I.U. ต่อวัน
- สำหรับการกินวิตามิน A เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 10,000 I.U.

  
วิตามิน  


[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]


วิตามิน C

ประโยชน์
- เป็นตัวสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน ทั้งยังเป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
- ช่วยแผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
- ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างเม็ดเลือดทางอ้อม
- ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ (MUTATION)
- ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคนอนหลับตาย (SIDS) ในกรณีเด็กอ่อน
- ช่วยแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
- ช่วยคลายเครียด

ปริมาณที่แนะนำ
- ในรายที่ขาดวิตามิน C ควรกิน เสริม วันละ 1,000 mg

  
วิตามิน  


[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]


วิตามิน D

พบมาก ในเนย นม เนยแข็ง และในแดด ดังนั้น เราจึงควรตากแดดวันละ 2-3 ชั่วโมง

ประโยชน์
- ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยในการย่อยอาหาร เพิ่มพลังงาน และช่วยรักษาสิว ทั้งนี้หากกินร่วมกับวิตามิน B6 ในขนาดสูงๆ จะช่วยรักษาข้ออักสบ และโรคเรื้อนกวาง (สะเก็ดเงิน) ได้

ปริมาณที่แนะนำ
- ควรกินวิตามิน D เสริม วันละ 1,000 I.U
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-18 23:07
วิตามิน E

ประโยชน์
- หน้าที่สำคัญที่สุดของวิตามิน E เป็นตัวแอนติออกซิแดนท์ คือทำให้เกิดการเผาผลาญ (OXIDATION) โดยมีตัวออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้ดีขึ้น เป็นตัวช่วยไขกระดูกในการสร้างเลือด ช่วยขยายเส้นเลือด ช่วยต้านการแข็งตัวของเลือด ช่วยลอความสามารถในการจับตัวเป็นลิ่มเลือด และลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ
- บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย
- ช่วยให้ระบบสืบพันธุ์ เซลล์ประสาท และกล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ
- บำรุงตับซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับเลือดมากมาย
- ช่วยให้ผิวหนังสดใส และช่วยสมานแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกให้หายเร็วขึ้น
- ช่วยให้ปอดทำงานดีขึ้น และไม่อ่อนเพลียง่าย

ปริมาณที่แนะนำ
- ควรกินวิตามิน E เสริม ขนาดเม็ดละ 400 I.U. วันละ 2 เม็ด เช้า-เย็น
- ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจเกิดความดันโลหิตสูงได้ในบางราย วิธีแก้อาการดังกล่าวคือ ควรกินในปริมาณ 100 I.U. ก่อน แล้วจึงเพิ่มปริมาณเป็น 200 I.U. และ 400 I.U. ตามลำดับ
- หากกินเหล็กและวิตามิน E พร้อมกัน จะเกิดภาวะที่ร่างกายไม่สามารถดูดวึมวิตามิน E ได้ วิธีแก้คือ ควรแยกกินวิตามิน E ก่อนธาตุเหล็ก 8-12 ชั่วโมง


  
วิตามิน  


[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]


วิตามิน B

วิตามิน B1 หรือ Thiamin

ประโยชน์
- จำเป็นต่อการทำงานของสมอง ระบบประสาท ระบบย่อย หัวใจ และกล้ามเนื้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยแก้อาการเมาคลื่น และเมาอากาศ
- ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตและรักษางูสวัด (Herpes Zoster) ให้หายเร็วขึ้น

ปริมาณที่แนะนำ
- ถ้าต้องการกินวิตามินชนิดนี้เป็นอาหารเสริมควรกินวันละ 1 เม็ดหลังอาหาร เม็ดละ 100 mg
- หากเกิดอาการเครียด ตื่นเต้น เจ็บป่วยโดยเฉพาะหลังผ่าตัด ควรกินวิตามิน B1 ร่วมกับวิตามิน B Complex (วิตามินบีรวม)
- คนที่ควรกินวิตามิน B1 เสริม คือ
- คนที่ชอบกินของหวานๆ กับแป้งขาวมากๆ หรือสูบบุหรี่ และดื่มเหล้าจัด ซึ่งมีโอกาสเป็นโรคขาดวิตามิน B1 ได้
- คนที่กินยาลดกรดในกระเพาะเป็นประจำ เพราะยาลดกรดจะทำลายวิตามิน B1 ในอาหารให้เหลือน้อยลง
- ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้หญิงที่กินยาคุมกำเนิดเป็นประจำ


วิตามิน B6 หรือ Pyridoxine

ประโยชน์
- ช่วยเปลี่ยนแอมิโนแอซิดให้เป็นวิตามินอีกตัวคือ Niacin หรือวิตามิน B3 ช่วยร่างกายสร้างภูมิต้านทานแอนติบอดี และช่วยสร้างเซลล์โลหิตให้ดียิ่งขึ้น
- ช่วยร่างกายสร้างน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร และแร่ธาตุแมกนีเซียม
- ช่วยบรรเทาโรคเกิดระบบประสาทและผิวหนัง
- ช่วยบรรเทาการคลื่นไส้ และอาเจียน
- ช่วยบรรเทาอาการปากแห้ง และคอแห้ง
- ช่วยแก้การเป็นตะคริว แขนขาชา และช่วยขับปัสสาวะ

ข้อแนะนำสำหรับบางคน
- ผู้ที่กินยาคุมกำเนิดควรกินวิตามิน B6 เป็นประจำ
- ผู้ป่วยเบาหวาน ถ้าต้องใช้อินซูลิน ควรกินวิตามิน B6 ควบ และปรับอัตราการใช้อินซูลินให้ได้ตามส่วนของน้ำตาลในเลือด


วิตามิน B12 หรือ Cobalamin

ประโยชน์
- ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง
- ช่วยให้เด็กเติบโตและเจริญอาหาร
- ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดี
- ช่วยให้สมองไม่ฟุ้งซ่าน ความจำดี และมีสมาธิ

ข้อแนะนำสำหรับบางคน
- ผู้หญิงที่อ่อนเพลียเพราะประจำเดือนมามาก ควรกินวิตามิน B12 เสริม
- ผู้ที่เป็นมังสะวิรัติอย่างเคร่งครัด ก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเช่นกัน
- ผู้ที่ติดเหล้าหรือดื่มจัดก็ควรกินวิตามิน B12 เสริมเป็นประจำ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-18 23:07
วิตามิน B3 หรือ Niacin

ประโยชน์
- ช่วยทำลายพิษหรือท็อกซินจากมลพิษ แอลกอฮอล์ และยาเสพติด
- รักษาโรคทางจิตและโรคเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง
- ช่วยอาการต่างๆ ของผู้ป่วยเบาหวานให้ดีขึ้น
- ช่วยรักษาโรคปวดหัวไมเกรน
- ช่วยบรรเทาโรคอาไทรทิสและข้ออักเสบ
- ช่วยกระตุ้นและแก้ไขความบกพร่องทางเซ็กซ์
- ช่วยลดความดันโลหิตสูง

ปริมาณที่แนะนำ
- สามารถกินวิตามิน B3 เสริมได้ตั้งแต่ 100 - 2,000 mg ต่อวัน
- สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจควรใช้ในปริมาณที่สูงถึงวันละ 7,000-8,000 mg


วิตามิน B5 หรือ Pantoyhenic Acid

ประโยชน์
- ช่วยสร้างแอนติบอดี้ซึ่งเป็นตัวสำคัญของ Immune System หรือภูมิชีวิต
- เมื่อร่างกายเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ให้เป็นน้ำตาลเพื่อสร้างพลังงาน วิตามินB5 จะเป็นตัวสำคัญในการเปลี่ยนไขมันเป็นน้ำตาล
- ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
- ช่วยให้ร่างกายหายจากการช็อคหลังการผ่าตัดใหญ่
- ช่วยให้อาการอ่อนเพลียหายเร็วขึ้น

ปริมาณที่แนะนำ
- ในรายที่ขาดวิตามิน B5 ควรกินเสริมวันละ 2 เม็ด เม็ดละ 100 mg


วิตามิน B Complex

ประโยชน์
- ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นก ลูโคส ช่วยในการย่อยหรือแตกตัวของโปรตีนและไขมัน
- ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
- ช่วยให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยบำรุงผิวหนัง เส้นผม ตา ปาก และตับ
- ในกลุ่มชีวจิตเราเชื่อว่าเมื่ออายุ 70 ปีขึ้นไป การดูดซึมของลำไส้จะทรุดโทรมลง ต้องแก้ไขด้วยการบริหารร่างกายและใช้วิตามินกลุ่ม B Complex

ปริมาณที่แนะนำ
- ตามปกติผู้ที่กินอาหารตามสูตรของชีวจิต จะได้รับวิตามิน 2 ชนิดนี้เพียงพอ
- ถ้าเป็นอาหาร วันหนึ่งๆ เรามีวิตามิน 2 ชนิดนี้รวมกันวันละ 300-400 mg ก็เพียงพอแล้วแต่ถ้าใช้เป็นยาต้องใช้ถึงวันละ 3,000-5,000 mg
โดย: jthanisa    เวลา: 2009-6-18 23:29
สมแล้วที่ กำลังจะเป็น ดร. เนี่ย อ่ะ สู้ๆ ผม ขอ copy แล้วเอาไป อ่าน  นะ ครับ น้อง ก้อง
โดย: summer_summer    เวลา: 2009-6-19 00:21
ขอบคุณข้อมูลดีๆ ค่ะ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-6-23 14:53
ชาดำสามารถช่วยแก้อาการเครียดอย่างรวดเร็วจากสภาพความตึงเครียดในแต่ละวัน


ตามที่รายงานจาก การศึกษาของ UCL (University College London) ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญทางข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ แสดงถึงชาดำ ว่ามีผลต่อระดับฮอร์โมนความเครียด ในร่างกาย มีชื่อว่า คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งหลั่งจากต่อมหมวกไตเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อร่างกายต้องตอบสนองต่อสภาวะเครียด

มีงานวิจัยก่อนหน้านี้ เกียวกับผลงานวิจัยพบว่าถ้าดื่มชาเป็นประจำสม่ำเสมอ อาจจะช่วยแก้ไขความทรงจำให้จำดียิ่งขึ้น หรือชาน่าจะนำมาใช้ในการรักษาโรคได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรค Alzheimer อ้างอิงจากรายงานในวารสาร “Phytotherapy Research ” ซึ่งชาดำถือว่าเป็นอาหารเช้าในประเพณีที่ใช้ดื่มกันเป็นประจำของคนประเทศอังกฤษ อีกทั้งชาดำยังมีผลต่อการยับยั้งการทำงานบางชนิดของเอนไซม์ ที่มีชื่อว่า “Butyrylcholinesterase” (BuChE) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีส่วนร่วมในการก่อโปรตีน Amyloid beta (AB) ในสมอง โดยเป็นสาเหตุหลักต่อโรคความจำเสื่อม๖หรือ โรคAlzheimer (www.vcharkarn.com/include/vcafe/ ... id=27&Pid=24562)

ชาดำ (black tea) หรือ อาจเรียกอีกชื่อ ว่า ชาฝรั่ง โดยการนำ ยอดอ่อนของชาที่นำมาบดเ แล้วหมักจนได้กลิ่นหอมก่อนนำมาอบแห้ง จึงทำให้ใบชามีสีเข้ม รสขมฝาด เนื่องจากสาร แทนนิน(tannin) ที่อยู่ในชา ซึ่งมีวิธีการเตรียมได้โดยการเอาใบชาที่เก็บมาได้ เอามากองสุมไว้ เพื่อให้เกิดการหมัก (fermentation) เกิดขึ้น มีการบดใบชาเพื่อช่วยเร่งการหมักให้เร็วยิ่งขึ้น ในขั้นตอนการหมักนี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในใบชา เมื่อหมักจนได้ที่ตามที่ต้องการแล้ว ก็จะนำไปทำให้แห้ง ใบชาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้ม (www.ku.ac.th/e-magazine/april48/know/tannins.html) นอกจากนี้ ยังนิยมนำชาชนิดนี้แต่งกลิ่นรสต่างๆ ทำให้ได้ชาที่มีรสชาติแตกต่างกันออกไป


เร็วๆนี้ที่ผ่านมาการศึกษาเกี่ยวกับชาดำได้ ถูกตีพิมพ์ใน วารสาร Psychopharmacology โดยหัวหน้าทีมวิจัย ชื่อว่า ศ. แอนดิว เตรบโต โดยพบว่า ข้อมูลทางการวิจัยคนที่ดื่มชาดำในการทดลอง สามารถจะลดความเครียดได้ง่ายและฟื้นตัวจากความเครียดได้เร็ว กว่า คนที่ไม่กินชา หรือได้รับชาดำหลอก ในการทดลอง

กลุ่มอาสาสมัครที่ใช้ในการวิจัยในการดื่มชาต่อผลการคลายตัวจากอาการเครียด ได้มีทำการ ศึกษา ในวัยรุ่นชายทั้งหมด 75 คน ถูกแบ่งเป็น สองกลุ่ม และติดตามผลการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เป็นเวลารวมทั้งสิ้น หกเดือน ในงานวิจัยได้ มีการให้หรือจัดกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครได้รับ ชาดำ ชาปกติ กาแฟ 4 ครั้ง ต่อวัน

ข้อมูลพบว่ามีการลดลงของฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ในเลือดของกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัคร หลังจากมีเหตุการ์ณที่เครียดทีถูกจัดตั้งเกิดขึ้น โดยนักวิจัยศึกษาเทียบกับกลุ่มควบคุม ผู้ที่ดื่มชาหลอก หรือ (placebo tea) ในช่วงเวลาเดียวกัน


อีกกลุ่มเป็นที่ใช้เป็นกลุ่มที่เป็นการวิจัยที่ควบคุม คือ ให้ ดื่มชาหลอก หรือ (placebo tea) มีรสชาเหมือนชาทั้วไปแต่ไม่มีส่วนประกอบทางเคมีของชาเลย หรือไม่มี สารที่ไม่ก่อเกิดขบวนการทางเภสัชในการรักษา จุดประสงค์ที่นำมาใช้ คือ
เพื่อจ่ายให้แก่คนไข้ทำให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกที่ดีขึ้นต่ออาการของตน บรรเทาอาการอาการเครียด

ทั้งสองกลุ่มการวิจัยมีการตั้งสถานการ์ณ์ความเครียด ให้เกิดขี้น เช่น การกล่าวหาว่ากลุ่มดังกล่าว ขโมยของ หรือมีข่มขู่ว่าจะไม่จ้างงาน เป็นต้น ทำให้อาสาสมัครเกิดสภาพความเครียดขึ้น ซึ่ง กลุ่มอาสาสมัคร ถูกวัด ทั้ง ฮอร์โมน cortisol รวมทั้งวัดความดันโลหิตเลือด และ จำนวนเกร็ดเลือด และจากนั้นมีการให้อาสาสมัครดังกล่าว มีการได้ ตอบโต้และเถียงในแต่ละราย หน้ากล้องถ่ายด้วยเพื่อติดตามผลการทำลองด้วย


จากผลการทำลองพบว่าทั้งสองกลุ่มด้วยมีการเพิ่มขึ้นอย่างมากของความดันโลหิต อัตตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึน รวมทั้งค่าที่เกี่ยวของกับความเครียดทีสูงขึ้น


นักวิจัยจาก UCL ยังพบว่า การทำงานของเกล็ดเลือด มีความสัมพันธ์ต่อ การจับตัวของโลหิตด้วย และ การเกิดโรคหัวใจด้วย




อ้างอิง
http://www.vcharkarn.com/include ... id=27&Pid=24562
โดย: ma-meow    เวลา: 2009-7-1 10:38
ขอบคุณค่าาา

หายงงไปเยอะเลย
โดย: plaa    เวลา: 2009-7-3 07:09
ความรู้อัดแน่น ชอบๆๆๆ ขอบคุณนะคะที่หามาให้อ่าน
โดย: GoLFeY    เวลา: 2009-7-3 11:05
ยาวมากมาก ยิ่งอ่านยิ่งมันส์
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-3 12:42
ดูดีบ้าง อะไรบ้าง เพื่อนๆ

ณ จุดนี้
โดย: plaa    เวลา: 2009-7-3 12:47
มีอีกมั้ยอ่าก้องจ๋า กำลังอ่านมันส์เรย
โดย: ople_a1    เวลา: 2009-7-3 17:14
เพิ่งรู้ว่าน้ำมันตับปลา แก้ไทรอยด์ได้ด้วย
ยังงี้ต้องกิงๆๆๆๆๆ
โดย: plaa    เวลา: 2009-7-4 22:48
มีเรื่อง omega3 มั่งม้า กินแระมันจะหายเอ๋อ หายโก๊ะมิ
โดย: anuyut    เวลา: 2009-7-4 23:28
ข้อมูลแน่นมั๊กๆ ชอบจายๆ
โดย: Ferocious_Angel    เวลา: 2009-7-7 21:59
สุดยอดไปเลยค่ะ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-7 22:24
จากนิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 21 ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2540 ]


โอเมก้า 3 (Omega - 3.s.)
พญ.จันทรา เจณณวาสิน


--------------------------------------------------------------------------------

ภาวะหัวใจวาย (HEART ATTACK) เป็นต้นเหตุสำคัญ ที่คร่าชีวิตชายหญิง โดยเกิดจากเส้นเลือด ที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน เนื่องจากมีแผ่นไขมันอุดตัน

ช่วงระหว่างปี ค.ศ.1970 จนถึงปี ค.ศ.1980 นักวิจัยพยายามค้นคว้าหาหนทาง แก้ไขปัญหานี้ แล้วพบว่าชาวเอสกิโม ที่อาศัยอยู่บนเกาะกรีนแลนด์ แถบขั้วโลกเหนือ ซึ่งมีอากาศหนาวเย็น จนน้ำแข็งจับ และมีอาชีพส่วนใหญ่เป็นชาวประมง มีวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์คือ รับประทานปลาเป็นอาหารหลัก นั้นมีอัตราการเกิดโรคหัวใจต่ำที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่ปัญหาการดื่มสุรามาก นักโบราณคดีด้านมนุษยศาสตร์ (Anthropologist) สันนิษฐานว่า ที่มนุษย์เรามีวิวัฒนาการ มาตามลำดับเป็นเวลาหลายพันปีนั้น ดำรงชีวิตอยู่ด้วย อาหารส่วนใหญ่ที่มีกรดไขมัน อันเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คือ กลุ่มกรดไขมัน ที่รวมเรียกชื่อว่า "โอเมก้า - 3" (Omega -3-fats) ซึ่งพบมากในปลา โดยเฉพาะปลาทะเลธัญพืช และเมล็ดพืช (Nut and seeds) บางชนิด รวมทั้งพืชผักใบเขียว ต่อมาเมื่อเวลาผ่านพ้นไป คนเรารับประทาน อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า - 3 น้อยลงจนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลายชนิด นับตั้งแต่โรคหัวใจวาย โรคครรภ์เป็นพิษ (Preclampsia) โรคไขข้ออักเสบชนิดรูห์มาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) รวมทั้งโรคอื่น ๆ อีกมาก แม้แต่โรคซึมเศร้า (Depression) และความก้าวร้าว

ร่างกายของเราต้องการกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty acid) ในการมีชีวิตอยู่ อย่างมีประสิทธิภาพ สองชนิด กรดไขมันกลุ่มโอเมก้า - 3 นั้น เป็นหนึ่งในกลุ่มกรดไขมัน ที่ร่างกายมนุษย์ขาดไม่ได้ สารสำคัญที่อยู่ในกลุ่มโอเมก้า - 3 นี้แบ่งได้เป็นสองชนิดใหญ่ คือ ชนิดที่หนึ่งได้แก่พวก EPA และ DHA

(EPA ย่อมาจาก EICOSAPANTAENOIC ACID)
(DHA ย่อมาจาก DOCOSAHEXANOIC ACID)

ซึ่งพบมากในปลาอ้วน ๆ ใต้ทะเลลึก เช่น ปลาซาลมอน และแม็คเคอเรล (SALMON AND MACKEREL ซึ่งมีไขมันที่เรียกว่า FISH OIL น้ำมันปลา (มิใช่น้ำมันตับปลา) จำนวนสูงกว่าปลาน้ำจืด ส่วนชนิดที่สองชื่อ กรดอัลฟาไลโนเลอิก (ALPHA - LINOLEIC ACID) ซึ่งเป็นกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า - 3 ซึ่งพบมากในอาหารพวกธัญพืช ร่างกายของเราสามารถเปลี่ยนแปลงกรดไขมันที่มีอยู่ในพืชตัวนั้น ให้เป็นกรด ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า คือ EPA และ DHA น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันตัวนี้สูง คือ Canola oil และ FAXSEED oil ส่วนพืชพวกข้าวโพด, ถั่วเหลือง, เมล็ดทานตะวัน และผลิตภัณฑ์ทางอาหาร ที่ทำจากพืชและน้ำมันพวกนี้ เช่น เนยเทียม ย่อมมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ตัวนี้อยู่มากเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านโภชนาการเสนอแนะว่า ร่างกายคนเราควรได้รับ กรดไขมัน ทั้งสองชนิด ในสัดส่วนที่สมดุลกัน เช่น หนึ่งต่อหนึ่ง คือ มิใช่ว่า รับประทานกรดไขมัน ชนิดหนึ่ง สูงกว่าอีกชนิดหนึ่ง
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-7 22:24
กลไกการทำงานของกรดไขมันในร่างกายเรานั้นเชื่อกันว่า เกี่ยวข้องกับ การทำงานของ เซลล์ทุกชนิดของร่างกายโดยเฉพาะ DHA ซึ่งพบมากในน้ำนม และรกอั นเป็นแหล่งสำคัญ ของการผลิตฮอร์โมนสำหรับทารกในครรภ์นั้น มีความสำคัญในการเจริญเติบโต ของสมองของทารกเช่นเดียวกับเซลล์ชนิดอื่น ๆ ทุก ๆ วัน ร่างกายของคนเรา ผลิตสารกลุ่มหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติ คล้ายฮอร์โมน ชื่อ "EICOSANOIDS" สารกลุ่มนี้มี ส่วนเกี่ยวข้อง ในการควบคุม ระบบการแข็งตัวของเลือด การหดตัวของหลอดเลือด และการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ซึ่งเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อ ที่อยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และอยู่นอกกการบังคับด้วย เส้นประสาท ชนิดที่บังคับแขนขา คือ เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ ระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น กล้ามเนื้อของมดลูก นอกจากนี้ สารนี้ ยังจำเป็นในกรณีที่ ร่างกายเกิดการอักเสบ เพราะต่อสู้กับเชื้อโรคหรือความผิดปกติต่าง ๆ ในการผลิตกลุ่มสารชื่อ EICOSANOIDS นี้ร่างกายต้องใช้วัตถุดิบ คือ ทั้งกรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) และ กลุ่มโอเมก้า - 3 แต่ถ้าร่างกายได้รับกลุ่มโอเมก้า - 3 น้อยไป และมีกรดไลโนเลอิก เป็นสัดส่วนเกินพอดี เมื่อเทียบกับกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า - 3 แล้ว ร่างกายของเรา ย่อมมีปัญหา เกี่ยวกับลิ่มเลือดแข็งตัว ปวดท้องน้อยเวลามีประจำเดือน และข้ออักเสบ ดังกล่าว

เวลานี้ นักวิจัยยังไม่เสนอข้อตกลงที่แน่นอน ว่าคนเราควรได้รับสารกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า - 3 เป็นจำนวนเท่าใด เพื่อนแพทย์คนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่เขาซื้อปลาทะเล เช่น ซาลมอน มารับประทานทุกวันระดับโคเลสเตอรอล ที่สูงเกินปกติไปมากนั้น ได้ลดลงต่ำกว่าระดับเดิม จนอยู่ในขั้นปกติ ภายในเวลา 3 เดือนเท่านั้น แต่ทั้งนี้ต้องรวมทั้งการออกกำลังกายด้วย ส่วนปลาที่เขาซื้อมารับประทานนั้น เป็นปลาที่จับจากทะเล มิใช่ปลาเลี้ยง ดิฉันไม่ทราบว่า ปลาจากสองแหล่งนั้น มีจำนวนกรดไขมันโอเมก้า - 3 มากน้อยกว่ากัน จนคุ้มกับราคาปลา ราคาถูกแพงต่างกันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากรายงานที่ส่งเสริมการรับประทานปลาทะเล รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่สกัดมา ซึ่งวางขายตามหิ้งของร้านขายยา ซึ่งมีชื่อว่า "น้ำมันปลา" (Fish oil) นั้น มีมากมาย เป็นต้นว่า


ในกลุ่มเด็ก 468 คนในทวีปออสเตรเลีย ซึ่งได้รับประทานปลาทะเล ที่อุดมด้วย กรดโอเมก้า - 3 อย่างน้อยหนึ่งครึ่งต่อสัปดาห์ เป็นกลุ่มที่เป็นโรคหอบหืดน้อยกว่า กลุ่มเด็กที่รับประทานปลาถึง 25 เปอร์เซ็นต์ (Medical Journal Australia Feb 5-1996)
ที่เมืองซีแอตเติล สตรีจำนวน 324 คนที่รับประทานปลา โดยเฉพาะปลาซามอล ไม่ว่าในรูปอบหรือย่าง อย่างน้อยสองครั้งต่อสัปดาห์ มีอัตราการเกิดโรคข้ออักเสบ ชนิดรูห์มาตอยด์ต่ำลง ส่วนสตรีที่เกิดปัญหานี้ ถ้าได้รับน้ำมันปลา ในรูปผลิตภัณฑ์ เม็ดอาหารเสริม จะมีอาการอักเสบของข้อลดลง (Epidemiology May 1996)
สตรีที่ปวดท้องช่วงมีประจำเดือนมากเพราะมีการผลิตสารกลุ่ม EICOSANOIDS สูง จนทำให้เกิดมดลูกหดตัวอย่างมาก อาการเจ็บปวดจะลดลง เมื่อเธอรับประทาน น้ำมันปลาเป็นเวลาสองเดือน (ทดลองในกลุ่มสตรี 37 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนน้อย American Journal of OB-GYN April 1996 )
กลุ่มมารดาที่ตั้งครรภ์ ถ้ารับประทานอาหารที่มีกรดโอเมก้า - 3 จะเกิด ปัญหา ทางการตั้งครรภ์เป็นพิษต่ำลง (Epidemiology May 1995)
ส่วนโรคลำไส้เล็กอักเสบเรื้อรัง และมะเร็งเต้านมนั้น การได้รับอาหาร กลุ่มกรดไขมันโอเมก้า - 3 ซึ่งมีพวก EPA และ DHA สูง ช่วยทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีอาการดีขึ้น และเกิดอาการกำเริบน้อยลง (New England Journal of Medicine June 13 1996)
โดย: ก้องตะวัน    เวลา: 2009-7-7 22:40
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
โดย: ก้องตะวัน    เวลา: 2009-7-8 11:34
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
โดย: Yes_isMe    เวลา: 2009-7-8 14:27
โอ้ว..แม่เจ้า เจอกูรูวิตามินแล้ว ต้องขอปรึกษาซะแล้ว คือว่าตอนนี้กุ้งกินวิตามินอยู่
ก็มี Bio C 1000 mg. + Q10 10 mg.+ Vit E 400 IU วันละครั้งตอนเช้า
(ตอนแรกมี Vit A ด้วยแต่พอกินแล้วไรหนวดมันขึ้นอ่ะค่ะ เลยเลิกกินเลย สงสัยอยู่ว่า ไอ้เจ้า Vit A เนี่ย
มันมีผลกับฮอร์โมนตัวนี้รึปล่าวคะ )
ถ้าหากจะกินช่วยเรื่องผิวพรรณกับริ้วรอยนี่เพียงพอรึยังอ่ะคะ รึว่าต้องกินตัวไหนเสริมอีกคะ พอดีหน้ามีริ้วรอยอ่ะค่ะ
แอบอายอยู่เหมือนกัน อยากจะให้มันหายไวๆ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-8 14:30
วิตามิน เอ กินมากไม่ดีนะครับ มีผลต่อระบบในร่างกาย อยากินเยอะ ถ้าจะกิน กินวันเว้นวันจะดีกว่า

ส่วน วิตามินซี ละลายได้ครั้งละ 500 เท่านั้น ดังนั้น หักกิน ครั้งละครึ่งเม็ดพอนะครับ โอเคป่ะ ณ จุดนี้


ส่วนเรื่อ บำรุงผิวพรรณ ต้องกิน พริมโรส วิตามินอี คิว10 และ เกรปซีดดดดดดดดดดดดดส์
โดย: bluezone    เวลา: 2009-7-8 14:42
วิต อี กินแล้วผิวมันจิงป่ะอ่ะ ก้อง
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-8 14:43
จริง สุดๆ ณ จุดนั้นครับ

อาทิตย์แรก กนิทุกวัน
ถัดไป
ดังนั้น วิธีแก้ก็คือ ต้องกินวันเว้นวันอะครับ
แต่ยังไงก็มันอยู่ดี ระวังสิวขึ้นด้วยนะครับ
ทางที่ดีต้องซํบมันตลอด

เพื่อหน้าใส ผิวสวยบ้างอะไรบ้างนะครับ
โดย: bluezone    เวลา: 2009-7-8 14:44
ตอบไวมั่ก ๆ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-8 14:47
ไวทุกเรื่อง
โดย: shift-w    เวลา: 2009-7-8 14:51
ของดีมีค่า
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-8 15:32
รีบน

ยุทธการ ไปไหนมา นุดี ตายแล้วมะช่ายเหรอ
โดย: plaa    เวลา: 2009-7-8 16:12
ขอบคุณนะคะที่รัก(ของคนอื่น)
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-8 16:39
ก้องรักทุกคน
โดย: bluezone    เวลา: 2009-7-8 16:51
แต่ทุกคนรักน้องทราย
โดย: Yes_isMe    เวลา: 2009-7-9 08:55
ขอบคุณนะคะ ข้อมูลเพียบเลย เกิดแน่เราทีนี้ อิอิ
โดย: ก้องตะวัน    เวลา: 2009-7-9 15:49
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
โดย: ก้องตะวัน    เวลา: 2009-7-13 18:44
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
โดย: amsomegal    เวลา: 2009-7-13 19:37
ตอนนี้กิน vit a 10,000 iu.
vit c 1000 mg.
vit b. รวม 100 mg.
royal jelly 1000 mg.

ดื่มนมวัววันละลิตร มากไปมั้ยคะ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-13 19:48
อายุเท่าไหร่อะครับ ณ จุดนี้
รีบน
โดย: hyunae    เวลา: 2009-7-13 21:36
ขอบคุณมากค่ะสำหรับความรู้ดีๆ กูรู้ตัวจริงเลยนะเนี่ย
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-20 01:01
ขอบคุณมากค่ะสำหรับความรู้ดีๆ กูรู้ตัวจริงเลยนะเนี่ย
ต้นฉบับโพสโดย hyunae เมื่อ 2009-7-13 21:36





ซ่าส  ไม่ซ่าส์ โซดาเรียกพี่ครับ
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-20 01:02
แก้ไขล่าสุด kallypaulsmith เมื่อ 2009-7-20 01:03
ตอนนี้กิน vit a 10,000 iu.
vit c 1000 mg.
vit b. รวม 100 mg.
royal jelly 1000 mg.

ดื่มนมวัววันละลิตร มากไปมั้ยคะ
ต้นฉบับโพสโดย amsomegal เมื่อ 2009-7-13 19:37


กำลังดีครับ แต่วิตามินเอ ให้กินวันเว้นวันนะครับไม่ดีต่อตับครับกินมากไป

ซ่าส์ไม่ซ่าส์ โซดาเรียกพี่
โดย: kallypaulsmith    เวลา: 2009-7-20 02:30
สารสกัดจากถั่วขาว เทรนด์ใหม่ของคนควบคุมน้ำหนัก


คนมีน้ำหนักตัวมากขึ้น เหตุออกกำลังกายและเดินน้อยลง กำลังเป็นเสมือนโรคระบาดที่ลุกลามไปทั่วโลก สาเหตุสำคัญประการหนึ่งเกิดจากภาวะโภชนาการไม่สมดุล อันเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็นโรคความดัน ไขมันในเส้นเลือดสูง โรคหัวใจ เป็นต้น ดังนั้น วิธีป้องกันภาวะโรคอ้วนอย่างง่ายๆ จึงควรเริ่มต้นที่การรับประทานอาหารอย่างถูกต้องนั่นคือการควบคุมอาหารอย่างถูกวิธี ทั้งนี้ Phase 2 คือ สารสกัดจากถั่วขาวซึ่งมีสาร Phaseolamin มีฤทธิ์ในการทำให้เอ็นไซม์อะไมเลสเป็นกลาง ดังนั้น แป้งหรือคาร์โบไฮเดรตที่บริโภคเข้าไปไม่สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ ร่างกายจึงได้รับพลังงานจากแป้งน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งมีผลทำให้การสะสมของไขมันที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนรูปของน้ำตาลเป็นไขมันลดลงด้วย เมื่อร่างกายได้รับพลังงานน้อยลงไม่เพียงพอกับความต้องการในแต่ละวันร่างกายจึงต้องเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้มากขึ้น จึงทำให้น้ำหนักลดลงโดยที่ไม่ต้องอดอาหาร และไม่มีผลกระทบกับสารอาหารชนิดอื่นๆ เพราะการทำงานของ Phase 2 จะยับยั้งกระบวนการเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลโดยแป้งที่ไม่ถูกย่อยจะทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มนานขึ้น จึงช่วยลดความอยากอาหารไปด้วยในตัว หลังจากนั้นแป้งจะถูกขับถ่ายออกจากร่างกายตามกลไกปกติ ดังนั้น การควบคุมการบริโภคคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เหมาะสมต่อการใช้พลังงานในแต่ละวันโดยไม่เหลือสะสมไว้เป็นไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกายจึงเป็นแนวทางที่ผู้รักสุขภาพทั้งหลายให้ความสนใจ



    เภสัชกร เชอร์รี่ โทร์โคส กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีการค้นคว้าเชิงลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโรคอ้วนกับกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม และการใช้สารสกัดจากธรรมชาติเพื่อการลดน้ำหนัก จึงทำให้เกิดเทรนด์การบริโภคอาหารเพื่อควบคุมคาร์โบไฮเดรตซึ่งมีตัวช่วยให้ง่ายขึ้นด้วยการบริโภคสารสกัดจากถั่วขาวร่วมกับมื้ออาหารไม่ว่าจะเป็นอาหารหวานหรือคาว เพราะสารสกัดจากถั่วขาวจะช่วยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยคาร์โบไฮเดรตให้เป็นน้ำตาล เมื่อแป้งไม่ถูกย่อยเป็นน้ำตาลก็จะไม่ถูกเปลี่ยนเป็นไขมันส่วนเกินเมื่อมีการรับประทานมากเกินความจำเป็น ในทางตรงกันข้ามการที่เอ็นไซม์ไม่ย่อยคาร์โบไฮเดรต ร่างกายก็จะต้องนำเอาไขมันที่เก็บสะสมออกมาใช้งาน จึงทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสารสกัดตัวนี้มีน้ำหนักตัวลดลง ทั้งนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับการควบคุมอาหารและการบริโภคอย่างถูกต้องคือกุญแจสำคัญสำหรับการมีสุขภาพที่ดีด้วย
โดย: mudukdik    เวลา: 2009-7-25 18:59
คุณkallypaulsmith  ยางยืดขาวเขาเอาไว้ทำไรอะตรงรูปอะ ใช่ที่ใส่รัดทรงให้อึ๋มปะ อิอิ
โดย: ก้องตะวัน    เวลา: 2009-7-27 01:39
หมายเหตุ: ผู้โพสต์ถูกแบนหรือถูกลบ โพสต์นี้ถูกปิดโดยอัตโนมัติ
โดย: ople_a1    เวลา: 2009-7-27 15:09
มีใครเคยทาน อิมิดีน เรเดียนซ์ บ้างมั๊ยคะ มันเป็นวิตามินที่สกัด
จากปลาทะเลน้ำลึก พอดีเปิ้ลไปหาหมอแร้วเค้าแนะนำให้ทาน
เค้าบอกว่า ทานแร้วผิวพรรณจะดีขึ้น เลยอยากทราบว่ามีใครเคยทาน
บ้างแร้วหรือยัง ผลเป็นยังไงบ้าง แร้วหาซื้อได้ที่ไหนบ้าง
เพราะว่าเปิ้ลซื้อที่ร้านหมอมาหนึ่งกล่อง มีสามสิบแคปซูล
ราคา 2150 บาท อะ แพงมากมาย ถามหมอ หมอก้อบอกว่า
เป็นสินค้านำเข้า ไม่มีขายตามร้านทั่วไป เลยอยากทราบว่า
เพื่อนๆพอรู้จักกันมั๊ยแร้วหาซื้อได้ที่ไหนบ้างคะ
โดย: dada    เวลา: 2009-7-28 12:55
ตกลงทานวิตอีในช่วงหลังทำได้ไหมคะ

คือเราทานอยุ่ ช่วยเรื่องผิวจริงๆ

พอดีไปอ่านรีฯนึง บอกว่าหมอให้งดทานอีกับแป้ะก้วย
โดย: estee    เวลา: 2009-10-2 19:20
มีใครเคยทาน อิมิดีน เรเดียนซ์ บ้างมั๊ยคะ มันเป็นวิตามินที่สกัด
จากปลาทะเลน้ำลึก พอดีเปิ้ลไปหาหมอแร้วเค้ ...
ต้นฉบับโพสโดย ople_a1 เมื่อ 2009-7-27 15:09


รุ่นนี้ไม่เคยทานครับ

ทานแต่รุ่นไทม์ ฟอมูเลชั่น

แต่ยืนยันว่า อิมมิดีน ดีมากกกครับ
โดย: Ezii    เวลา: 2009-11-1 02:40
ความรุ้ปึ้กมาก ก
อิอิ




ยินดีต้อนรับสู่ ดั้งโด่งดอทคอม (http://dungdong.com:8080/) Powered by Discuz! X3.2