เจ้าของ: joy234
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

[ดูแลผิว] เคล็บลับดูแลผิวพรรณ

[คัดลอกลิงก์]
76#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:11:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อย่างไรก็ตามหากผู้บริโภคท่านใดที่ไม่แพ้ง่ายสามารถทดลองนำครีมบำรุงผิวกาย ที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำมาทาผิวหน้า โดยเริ่มทาบริเวณข้างแก้มทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที หากพบว่าไม่มีอาการแดงหรือคันใด ๆ แสดงว่าท่านสามารถใช้ครีมทาผิวกายมาใช้ทาผิวหน้าได้เช่นกัน เนื่องจากประโยชน์ที่ได้จะคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ครีมบำรุงจะทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นโดยธรรมชาติแต่ ผู้ที่มีอาการแพ้ควรจะหยุดใช้โดยทันที
โดยทั่วไปองค์ประกอบของครีมบำรุงผิวจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คือ ส่วนที่เป็นน้ำและส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมัน

ส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมันจะทำหน้าที่สำคัญคือทำหน้าที่เคลือบผิวหนังเพื่อ ลดการสูญเสียความชื้นของผิวหนัง ช่วยให้ผิวหนังนุ่มนวลและยังทำหน้าที่ทดแทนน้ำมันธรรมชาติที่ถูกชะ ล้างออกไประหว่างการอาบน้ำอีกด้วย องค์ประกอบของส่วนน้ำมันและไขมันนี้มีทั้งชนิดที่สกัดได้จากธรรมชาติทั้งจาก พืชและจากสัตว์และได้จากการสังเคราะห์ โดยทั่วไปครีมบำรุงผิวกายองค์ประกอบในส่วนของน้ำมันและไขมันมักจะเป็นชนิด สังเคราะห์เป็นส่วนมาก เนื่องจากราคาไม่แพงและมักจะไม่เหม็นหืน แต่หากเป็นองค์ประกอบที่ได้จากพืชมีข้อดีมากมายเนื่องจากมีสารไวตามินและแร่ ธาตุโดยธรรมชาติอย่างละเล็กละน้อยเป็นองค์ประกอบ ซึ่งให้คุณค่าต่อผิวได้ดีแต่มีราคาแพง โดยทั่วไปมักจะพบน้ำมันสกัดจากธรรมชาติเหล่านี้ในครีมบำรุงผิวหน้า

สำหรับเดย์ครีม เป็นครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับทาตอนกลางวัน โดยทั่วไปผู้ผลิตมักจะมีการใส่สารกันแดดเพื่อปกป้องผิวหน้าจากรังสียูวีใน ระหว่างวันจึงเหมาะสำหรับทากลางวัน แต่สำหรับไนท์ครีมเป็น ครีมบำรุงผิวหน้าที่ผู้ผลิตออกแบบมาเพื่อใช้ทาผิวหน้าตอนกลางคืนก่อนนอน บางยี่ห้ออาจจะเป็นเพียงครีมบำรุงผิวชนิดพื้น ๆ กล่าวคือมีสารให้ความชุ่มชื้นผิวและสารน้ำมันเพื่อเคลือบผิวเท่านั้น

ถ้าเป็นกรณีนี้สามารถนำไปใช้ทาผิวตอนกลางวันได้ ไนท์ครีมบางยี่ห้อก็อาจจะมีการเติมสารส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมันมากเป็น พิเศษสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมากและผู้ที่นอนในห้องปรับอากาศซึ่งอากาศจะแห้ง มากกว่าปกติ ไนท์ครีมบางชนิดจะมีการเติมสารโปรตีนชนิดคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของ ผิวหน้า ซึ่งสามารถใช้ทาหน้าได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนได้อย่างปลอดภัย

แต่ไนท์ครีมบางชนิดจะมีการใส่กรดวิตามินเอหรือเรตินอลซึ่งสารดังกล่าวจะไว ต่อแสงมาก จึงควรที่ผู้บริโภคจะใช้ทาเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น หากนำมาทาตอนกลางวันผิวหน้าได้รับแสงแดดจะมีอาการแพ้ได้ง่าย เช่น มีอาการแดง คัน แสบ ผิวหน้าจะลอกได้ เป็นต้น

ข้อแนะนำที่สำคัญ คือ ผู้บริโภคควรจะอ่านรายละเอียดของฉลากเพื่อจะได้เลือกซื้อและเลือกใช้ให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
77#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:12:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น "คืนผิวสดใส"
วันนี้เรามีวิธีทำให้หน้าชุ่มชื้นคืนผิวสดใสมาฝากคุณ ผู้หญิงกันอีกเช่นเคยค่ะ และที่ำสำคัญไปยิ่งกว่านั้นก็คือ วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น ผิวสดใส นี้เป็นวิธีธรรมชาติด้วยซิน่า ซึ่งนอกจากจะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ผิวพรรณสดใสแล้ว ด้วย วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น ยังช่วยลดเรื่องอาการตาบวมของคนนอนดึกหรือคนชอบร้องไห้อีกด้วยค่ะ ฟังแค่นี้ก็น่าสนใจใน วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น "คืนผิวสดใส" นี้กันแล้วใช่ไหมค่ะล่ะค่ะ ที่สำคัญสูตรนี้ยังหาซื้อวัตถุดิบได้อย่างง่าย ๆ อีกด้วย ไม่เป็นอันตรายเพราะมาจากวัตถุดิบธรรมชาตินั้นวันนี้เราก็ขอเสนอ 2 วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น "คืนผิวสดใส" นี้กันเลยก็แล้วกันค่ะ
2 วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น "คืนผิวสดใส"

1. แช่ถุงชาเขียว (ซึ่งมีแอนตี้ออกซิแดนท์ตามธรรมชาติอันเข้มข้น) ในน้ำเย็น จากนั้นวางลงบนตาสักสองสามนาที ดวงตาจะสดใสขึ้นทันทีและลดอาการบวมได้ด้วย

2. การใช้ผ้าขนหนูสะอาด ๆ ชุบนมแบบไม่พร่องมันเนยเย็นเจี๊ยบบิดพอหมาดคลุมบนใบหน้าสัก 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น นมเย็นจะช่วยต้านการเกิดรอยแดงในขณะที่กรดแลกติกในนมจะช่วยขัดเซลล์ผิวที่ ตายแล้วพร้อมตรึงความชุ่มชื้นไว้ในผิว

ด้วย 2 วิธีนี้ก็ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นและสดใสแล้วล่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
78#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:14:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หน้าใสไร้ริ้วรอย ด้วย 11 เคล็ดลับ
ผู้หญิงคนไหน ๆ ก็ฝันอยากจะมีใบหน้าใสไร้ริ้วรอยด้วยกัน ทั้ง แต่ก่อนที่คุณอยากจะมี หน้าใสไร้ริ้วรอย ได้ลอง สำหรวจพฤติกรรมเบื้องต้นอันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุแล้วหรือยัง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเราแต่อย่างใดเพราะวันนี้เราจะแนะนำ หน้าใสไร้ริ้วรอย ด้วย 11 เคล็ดลับ ที่จะทำให้คุณสวยได้ถ้าคุณปฏิบัติตามค่ะ
หน้าใสไร้ริ้วรอย
1. ไม่ควรนอนดึกหรืออดนอน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยใช้เวลาช่วงกลางคืนหมดไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือทำงานก็ตาม แต่ถ้าอยากหน้าใสไร้ริ้วรอยเมื่อถึงเวลาหัวค่ำแล้วก็ควรเข้านอนให้ตรงเวลาซะ หยุดกิจกรรมที่เคยชินเสียเดี๋ยวนี้ ร่างกายจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

2. ควรดื่มน้ำในปริมาณอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ซึ่งน้ำในที่นี้ไม่นับพวกน้ำหวาน น้ำอัดลม แต่ต้องเป็นน้ำเปล่าที่สะอาดไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป

3. ไม่ลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่าย ๆ แค่ขยับปากพูดคำว่า "อา อี เอ โอ อู" แค่นี้กล้ามเนื้อหน้าก็จะได้รับการดูแลไม่ให้เหี่ยวย่น

4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด และเครื่องดื่มจำพวกน้ำชา กาแฟ อีกทั้งต้องงดการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่คือตัวอันตรายที่จะทำให้หน้าของคุณดูแก่เกินอายุ

5. หลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสง แดดที่แรงจัด มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ก่อนวัยโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ถ้าหากจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดดก็อย่าลืมใช้ครีมกันแดด SPF สูง ๆ ทาป้องกันก่อนเดินทางออกจากบ้าน
6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่จะ ทำให้แก่ง่าย เช่น ในห้องแอร์ฯ ที่หนาวจัด ถ้าอยู่นาน ๆ ความเย็นที่ติดลบก็จะทำลายผิวหนังของคุณ

7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใบหน้าให้ สะอาดอยู่เสมอ ยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้วคุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการ รักษาสิวเท่านั้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้นที่สำคัญห้ามแกะ แคะ บีบเกา บริเวณที่เป็นสิวอย่างเด็ดขาด

8. ความเครียดก็เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้หน้าคุณหมองคล้ำ ความเครียดเกิดจากหลายสาเหตุทั้งเรื่องงาน เงิน ครอบครัว หรือความรัก เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญหาใดมารบกวนจิตใจคุณก็จงอย่างเครียดค่อย ๆ แก้ไขอย่างมีสติและพยายามสงบใจไม่ให้เป็นทุกข์

9. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ก็ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษควรที่จะใช้โลชั่นที่มี AHA หาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามันก็แนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิด ครีม

10. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน และคุณควรจำไว้ให้ขึ้นใจว่าทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงาน หรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรคฝุ่นละอองต่าง ๆ มาตลอดทั้งวัน และการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นใบหน้าได้

11. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยให้คุณล้างมาสคาร่าหรืออายแชโดว์ด้วยเครื่องสำอางที่ ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคาญเคืองผิวซึ่งอาจนำไปสู่การกำเนิดสิว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ first
79#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:15:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
8 ขั้นตอน ทำความสะอาดหน้า
ใบหน้าดีใบหน้าเนียนนุ่มน่าสัมผัสปราศจากความมันวาวแถมเต่งตึงและอวบอิ่มใบหน้าดูดีมีเลือดฝาดไม่ แห้งกร้าน ด้วย 8 ขั้นตอน ทำความสะอาดหน้า ที่ได้ผลจริง แล้วคุณกล้าพลาดขั้นตอน ทำความสะอาดหน้า ดี ๆ แบบนี้ได้หรือค่ะ
ทำความสะอาดหน้า
1 ใช้นมสด ที่ไม่ได้ผ่านความร้อนแตะบนสำลีหมุนวนบนใบหน้า คอ แก้ม 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น

2 แตงกวาฝาน นำมาเช็ดวนเป็นวงกลมเบา ๆ บนใบหน้า 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น

3 ฝานมะเขือเทศครึ่งลูก นำมาวน ๆ บนใบหน้า คอ 15 นาที และล้างออกด้วยน้ำเย็น

4 มะนาวฝาน นำมาคลึง ๆ ค่อนข้างแรง บนหน้า หรือคอ แต่แนะนำให้ทำ 3-4 วันครั้ง

ภายหลังจากที่ล้างหน้าด้วยนมหรือผลเหล่านี้แล้ว ให้ใช้ oat bran หรือ besan ผสมน้ำเปียก ๆ แล้วล้างพร้อมถูเบาๆ เพื่อขจัดเซลที่ตายออก ห้ามใช้สบู่ ใช้แต่น้ำเย็นที่สะอาด

5 ใช้แป้งข้าวเจ้า ทำความสะอาด ถ้าหน้ามันใช้มะนาวช่วย

6 ใช้ buttermilk นวดคลึงบริเวณใบหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

7 ใช้ก้อนน้ำแข็งธรรมดา คลึงและล้างใบหน้า

8 วางแอปเปิลฝานบา งๆ บนใบหน้าคุณ ทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อทำให้หน้าเต่ตึงกระชับ แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นธรรมดา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman Plus
80#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:15:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สูตร! ขัดริมฝีปาก "เพื่อริมฝีปากสวยใส"
หันมาใส่ใจริมฝีปากให้มากขึ้นด้วยการขัดริมฝีปากกันดีกว่า ค่ะ หากว่าริมฝีปากแห้งแตกอาจจะดูไม่ค่อยหน้ามองมากนักค่ะ และวันนี้เราก็มี สูตร ขัดริมฝีปาก มาฝากคุณผู้หญิงกันอีกด้วยค่ะ ให้คุณผู้หญิงได้ไปลองฝึก ขัดริมฝีปาก แบบง่าย ๆ กันเลยทีเดียวค่ะ สำหรับ สูตรขัดริมฝีปาก นี้ก็ยังเป็นสูตรธรรมชาติที่เรานำมาฝากกันอีกเช่นเคยค่ะ คุณผู้หญิงรู้ไหมค่ะว่าริมฝีปากนั้นคุณผู้ชายเองก็ชอบแอบมองเป็นอันดับต้น ๆ เหมือนกันนะค่ะ ถ้าหากอยากให้ริมฝีปากสวยใสก็ต้องมาลองใช้สูตร! ขัดริมฝีปาก "เพื่อริมฝีปากสวยใส" สูตรนี้กันเลยนะค่ะ

สูตร! ขัดริมฝีปาก

เริ่มจาก ผสมน้ำมันมะกอกหนึ่งช้อนชาเข้ากับน้ำผึ้งหนึ่งช้อนชา น้ำตาลทรายสองช้อนชา และน้ำมะนาวสดอีกเล็กน้อย คนส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันจนได้เป็นเนื้อทรายข้น ๆ

จากนั้น ใช้นิ้วหรือแปรงสีฟันถูส่วนผสมนั้นลงบนริมฝีปากเบา ๆ สักสองสามนาที แล้วล้างน้ำออกคุณก็จะได้ริมฝีปากที่เนียนนุ่มขึ้น โดยไม่ต้องทุ่มเงินซื้อผลิตภัณฑ์ราคาแพง ๆ ค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
81#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:18:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เคล็ดลับ "สครับปาก" ให้เนียนนุ่ม
วันนี้ชวนคุณผู้หญิงมาสครับปากให้เนียนนุ่มไม่ต้องลอกเป็น ขุยหรือว่าปากแตกแห้งอีกต่อไปค่ะ กับ เคล็ดลับ "สครับปาก" ให้เนียนนุ่ม ค่ะ ด้วย วิธีสครับปาก นี้จะช่วยในการกระตุ้นให้ริมฝีปากผลัดเซลล์ผิวใหม่เผยผิวที่สดใสแดงระเรื่อ กว่าที่เคย และไม่เพียงเท่านั้นเคล็ดลับ สครับปาก ยังช่วยให้ริมฝีปากของคุณเนียนขึ้นและนุ่มขึ้นอีกด้วยนะค่ะ ที่สำคัญ วิธีสครับปาก นี้ก็ยังเป็นการสครับปากที่สุดแสนจะง่ายได้อีกด้วยค่ะ ว่าแล้วไม่รอช้าเรามาเริ่ม เคล็ดลับ "สครับปาก" ให้เนียนนุ่ม กันเลยดีกว่าค่ะ
วิธี สครับปาก

เพียงขัดริมฝีปากด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มหลังแปรงฟันสัปดาห์ละครั้งเพื่อ ขจัดเซลล์เก่าให้หลุดออก และหากมีเวลาให้นำน้ำตาลเม็ดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะมาผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาวลงไปเล็กหน่อยแล้วขัดริมฝีปากสักครู่จึงล้างออก เพียงเท่านี้คุณก็จะมีริมฝีปากที่สดใสเนียนนุ่มไปอีกนาน...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine
82#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:19:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
"ปากแห้งแตก" แต่รักษาได้!!
อากาศหนาวปากแห้งแตกหรือแม้แต่ในวันที่อากาศธรรมดา ปากแห้งแตก อีก ลองมาดูวิธีรักษา ปากแห้งแตก ของเรากันค่ะ เพราะเรานั้นมีวิธีรักษาอาการริมฝีปากแห้งแตกมาฝากที่จะช่วยคุณได้มากที เดียวค่ะ รับรองว่า อาการปากแห้งแตก ของคุณจะบรรเทาไปได้เยอะจนริมฝีปากของคุณกลับมาสวยกิ๊งกันดั่งเดิมค่ะ คุณผู้หญิงที่มีอาการปากแห้งแตกลองใช้วิธีนี้ของเราดูนะค่ะ แต่ก่อนอื่นนั้นเราควรจะต้องรู้อาการปากแห้งแตกก่อนว่าสาเหตุที่แท้จริงของ อาการปากแห้งแตกว่าเกิดจากอะไร เช่น อาจจะมีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำน้อย ความเครียด หรือแม้แต่การพูดนาน ๆ ก็อาจเกิดอากาศปากแห้งแตกได้เช่นเดียวกันค่ะ หรือแม้แต่การรับประทานยารักษาโรคบางชนิดที่ทำให้คุณปากแห้งแตกได้เหมือนกัน ค่ะ รวมทั้งการรักษาโรคแบบใช้รังสีก็ทำให้ปากแห้งแตกได้เหมือนกันค่ะ

วิธีรักษา ปากแห้งแตก

อาการปากแห้งหากปล่อยทิ้งไว้อาการอาจรุนแรงจนริมฝีปากแห้งแตกลอกเป็นขุย หนักเข้าปากอาจเริ่มเจ่อบวมแดงจนเกิดอาการเจ็บแสบในยามขยับปากหรือรับประทาน อาหารที่มีรสเผ็ดร้อน นอกจากนี้ปากแห้งมากจนน้ำลายเหนียวก็สามารถส่งผลให้เชื้อโรคในช่องปากจะ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดกลิ่นปากตามมาอีกด้วย


สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้อาการปากแห้งคือการดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ หรือจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หากปากแห้งมากจนลอกเป็นขุยให้ใช้น้ำอุ่นผสมเกลือป่นเล็กน้อยใช้สำลีหรือ ทิชชู่ชุบให้เปียกพอหมาด ๆ แล้วใช้ปากคาบทิ้งไว้ 3-5 นาที หรือเช็ดไล้เบา ๆ ไปบนริมฝีปากจะช่วยให้ขุยต่าง ๆ หลุดลอกออกไปได้ และหมั่นทาลิปมันหรือปิโตรเลียมเจลบนริมฝีปากเป็นประจำ

ถ้าริมฝีปากแห้งแตกอีกครั้งหน้าก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
83#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:20:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิธีแวกซ์ขน "อย่างถูกวิธี!!!"
"ขน" อีกหนึ่งเหตุผลที่ผู้หญิงบางคนไม่อยากมีวันนี้เราจึงมีเคล็ดลับดี ๆ กับวิธีแวกซ์ขนอย่าง ถูกวิธีเพื่อให้คุณผู้หญิงได้มีผิวสวยและเรียบเนียนมาฝากค่ะ สำหรับ วิธีแวกซ์ขน ที่เรานำมาฝากในวันนี้คงจะช่วยให้คุณผู้หญิงหลาย ๆ ท่านเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเองได้ดียิ่งขึ้น และ วิธีแวกซ์ขน ที่เราจะบอกต่อไปนี้สามารถนำไป แวกซ์ขนขา แวกซ์ขนรักแรก แวกซ์ขนบิกินี่ หรือ แวกซ์ขนแขน ก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ ด้วย วิธีแวกซ์ขน ที่ถูกต้องจะทำให้คุณไม่เป็นขนคุดหรือหนังไก่อีกด้วยนะค่ะ ว่าแล้วเราก็มาทำความรู้จักกับ วิธีแวกซ์ขนอย่างถูกวิธี กันดีกว่าค่ะ
วิธีแวกซ์ขน

ทำไมต้องแวกซ์ขน

การแวกซ์ขนเป็นวิธีการถอนขนแบบทั้งรากทั้งโคนที่เร็วและมีประสิทธิภาพสามารถ กำจัดขนได้คราวละมาก ๆ ครอบคลุมได้เกือบทุกส่วนของร่างกายไม่ว่าจะเป็นใต้วงแขน น่อง หน้าท้อง หรือแม้แต่จุดสุดหวง โดยคุณทำเองที่บ้านได้ ฃแต่ถ้าทำไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้ผิวอักเสบหรือมีปัญหาขนคุดได้ ถ้ายังไม่มั่นใจคุณอาจพึ่งพาบริการของซาลอนและสปาต่าง ๆ ที่แว็กซ์โดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งแม้จะแพงกว่า แต่ก็รวดเร็ว ถูกวิธี และย่นระยะเวลาความเจ็บปวดลงได้มากกว่าทำเอง ทั้งยังทำให้ผิวคงความเนียนสวยได้นาน 6-8 สัปดาห์เลยทีเดียว แถมเส้นขนที่งอกขึ้นมาใหม่จะมีสีอ่อนลงและมีปริมาณน้อยลงด้วย

แวกซ์แบบไหนดี

ไม่ว่าจะเลือกทำเองหรือทำที่สปาสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเป็นอันดับแรก คือ ประเภทของผลิตภัณฑ์แว็กซ์ขนที่มีอยู่ในท้องตลาด

- แวกซ์ร้อน ก่อนใช้ต้องนำขี้ผึ้งไปอุ่นให้หลอมเหลวเสียก่อนแล้วจึงนำมาป้ายบนผิวหนัง เส้นขนก็จะฝังอยู่ในขี้ผึ้งเมื่อขี้ผึ้งแข็งตัวก็นับหนึ่ง...สอง...สาม แล้วดึงออกในทิศทางตรงกันข้าม เส้นขนก็จะหลุดติดออกมาด้วยอย่างง่ายดาย วิธีนี้จะเจ็บปวดหน้อยกว่าการแว็กซ์แบบอื่นๆ


- แวกซ์เย็น ผลิตภัณฑ์แบบนี้มักเป็นแถบสำเร็จรูปเคลือบด้วยขี้ผึ้งมาเรียบร้อยใช้ปิดลงบน ผิวหนังในทิศทางเดียวกับเส้นขน เวลาดึงออกก็ดึงในทิศทางตรงกันข้ามเหมือนแบบแรก เหมาะกับคนที่ผิวค่อนข้างบอบบางมากกว่าแบบแรกเพราะว่ามีโอกาสเกิดการระคาย เคืองน้อยกว่า


- แวกซ์น้ำตาล กำจัดขนโดยใช้หลักการเดียวกับสองวิธีแรก แต่เปลี่ยนจากขี้ผึ้งมาเป็นน้ำตาลเหนียวเหมือนคาราเมลแทน ทาลงบนผิวหนังแล้วใช้ผ้าแถบปิดทับลงไปก่อนจะดึงออกในทิศทางตรงกันข้าม ข้อดีคือทำความสะอาดได้ง่ายกว่าเพียงใช้น้ำล้างทำความสะอาดตามปกติเท่านั้น


การเตรียมตัวก่อนแวกซ์

ก่อนการแวกซ์ควรเตรียมตัวเองให้พร้อมโดยอย่างแรกต้องแน่ใจก่อนว่าเส้นขนนั้น มีความยาวประมาณ 1/8 นิ้ว ผิวหนังบริเวณนั้นไม่มีการอักเสบ ต้องระวังไม่ให้เส้นขนสัมผัสกับน้ำก่อนการแวกซ์เพราะเส้นขนที่ดูดซึมน้ำไป แล้วจะค่อนข้างอ่อนนุ่มและไม่ควรทาโลชั่นใด ๆ ลงบนผิวก่อนทำเพราะที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะทำให้การแวกซ์ยากขึ้น (ขนที่หยาบและแห้งสนิทจะติดแวกซ์ได้ดีกว่า) นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่าไม่ควรแวกซ์ในช่วงที่มีประจำเดือน เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ร่างกายบวมน้ำและผิวหนังจะระคายเคืองง่ายกว่าปกติ



วิธีดูแลผิวหลังแวกซ์

แม้สติจะเลือนหายไปบ้างเพราะความเจ็บปวดจากการแวกซ์ แต่ถึงอย่างไรคุณก็ต้องไม่ลืมทำความสะอาดแวกซ์ส่วนเกินที่ติดอยู่บนผิวหนัง ให้สะอาดด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นหมาด ๆ แล้วใช้มือนวดคลึงเบา ๆ ตามด้วยโลชั่นเพื่อช่วยปลอบประโลมผิวหรือใช้น้ำแข็งประคบก็ได้ บางคนอาจรู้สึกว่าผิวหนังส่วนที่แว็กซ์นั้นดูคล้ำขึ้นเล็กน้อยจึงควรหลีก เลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หลังทำ หรือถ้าจำเป็นจริง ๆ ต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ


คนที่ทำบิกินี่แวกซ์อาจจะต้องดูแลบริเวณนั้นเป็นพิเศษ โดยต้องขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบริเวณนั้นด้วยฟองน้ำนุ่มและหลีกเลี่ยงการสวม กางเกงที่คับเกินไปในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังทำ เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองและขนคุดตามมาได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก อสมท.

84#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:21:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สูตรแว๊กขน "ด้วยตัวเอง"
เรื่องขน ๆ ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติอะนะ แต่ถ้าเมื่อเกิดกับผู้หญิงแบบว่าไม่ควรจะเกิดก็อย่างว่าแหละคนเราเลือกเกิด ไม่ได้ คุณผู้หญิงที่มีขนเยอะก็ต้องทำใจกันไป แต่ต่อไปนี้จะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้วค่ะเพราะเรามีสูตรแว๊กขนที่ คุณก็สามารถที่จะทำด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องเข้าร้านราคาแพงให้เปลืองกระเป๋า และ สูตรแว๊กขน ก็เป็นสูตรแบบธรรมชาติ ๆ ที่จะทำให้ขนของคุณขึ้นช้าและบางลงเรื่อย ๆ แต่ต้องทำบ่อย ๆ นะจะช่วยคุณได้เยอะเลย เมื่อไม่ขนก็ไม่ต้องโดนใคร ๆ ล้ออีกต่อไป แล้วที่สำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายต้องจำไว้ว่าการโกนขนจะทำให้ขนขึ้นเร็วแล้ว ก็เป็นขนคุด ตุ่มไก่ แถมรักแร้ดำอีกต่างหาก จงหลีกเลี่ยงการโกนขนอย่างเด็ดขาดแล้วหันมาแว็กขนแทนกันเถอะ ว่าแล้วเราก็มาเริ่มลงมือปฏิบัติการ สูตรแว๊กขน กันเถอะค่ะ
สูตรแว๊กขน

1. เริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์กันก่อน
    - หม้อหุงข้าวไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ หม้ออะไรก็ได้ค่ะ
    - น้ำตาลครึ่งกิโล
    - มะนาว 5 ลูก
    - น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ (ไม่มีไม่เป็นไร)
    - ช้อน 1 อัน
    - ผ้าฝ้าย (ถ้าไม่มีใช้ผ้าอะไรก็ได้ที่ไม่หนาและไม่เบามากนักและต้องเป็นผ้าที่ไม่มีขนนะ)
    - แป้งฝุ่น 1 กระป๋อง

2. นำน้ำตาลที่เตรียมไว้เทลงในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า (หม้ออื่นแต่อันนี้ต้องตั้งไฟฟ้าเอาเองนะจ๊ะและเป็นการตั้งไฟแบบอ่อน ๆ) บีบน้ำมะนาวแล้วเทใส่ในหม้อแล้วตามด้วยน้ำผึ้งแล้วใช้ช้อนคนทุกอย่างให้เข้า กัน คนจนกว่าส่วนผสมทุกอย่างจะลายเข้ากันกลายเป็นน้ำหลังจากนั้นให้ปิดไฟ คนต่อไปอีกสักพักให้เหนียวหนืดและพออุ่น ๆ

3. ตอนนี้ก็มาถึง วิธีแว๊กขน แล้วนะจ๊ะ ให้นำสูตรแว๊กขนที่เราได้ทำเรียบร้อยแล้ว ใช้ช้อนทาบริเวณขนที่จะแว๊กแต่ก่อนหน้านั้นให้ทำความสะอาดบริเวณที่จะแว๊กซะ ก่อนแล้วเมื่อผิวแห้งให้นำแป้งฝุ่นมาทาจากนั้นค่อนนำแว๊กมาทาทับ หลักจากที่เริ่มทาแว๊กขนก็ให้รีบนำผ้าฝ้ายที่เตรียมไว้มากดทับด้วยความรวด เร็ว จากนั้นก็ดึงขนแบบย้อนทางเป็นอันว่าเรียบร้อย

4. ขั้นตอนสุดท้ายแล้วนะค่ะ หลังจากที่ทำการแว็กขนเรียบร้อยแล้วก็ให้ทำความสะอาดผิวอีกรอบหนึ่ง แล้วประคบด้วยน้ำแข็งหรือใช้น้ำเย็นก็ได้ ความเย็นจะช่วยให้รูขุมขนของคุณกระชับและเล็กลงค่ะ จากนั้นค่อยลงครีมบำรุงอีกทีหนึ่งเป็นอันว่าขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยค่ะ

เอา ล่ะค่ะสำหรับคุณผู้หญิงที่อยากมีผิวเรียบเนียนไร้เส้นขนก็ลองนำสูตรวิธีแว๊ก ขนด้วยตัวเองลองไปใช้ที่บ้านกันดูนะค่ะ แล้วคุณก็ได้เผยผิวสวย ๆ ได้อย่างไม่ต้องอายใครอีกต่อไปค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สังคมผู้หญิง n3k
85#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:23:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทำไมถึงเป็นสิว? "คำถามนี้มีคำตอบ"
เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ทำไมถึงเป็นสิว? นะเหรอ อืม...แม้ว่าเรื่องสิวจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติแต่ก็สร้าง ความกังวลใจให้ใคร ๆ หลายได้เยอะเลย จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า ทำไมถึงเป็นสิว? จริง ๆ แล้วสิวสามารถเกิดได้หลายปัจจัยทั้งสภาพแวดล้อมและตัวของเราเองที่เวลาออกไป ข้างนอกจับโน้นจับนี้แล้วก็ลืมมาจับหน้าของตัวเองก็ทำให้เกิดสิวอุดตันได้ ค่ะ วันนี้จะมาตอบคำถามที่ว่า ทำไมถึงเป็นสิว แบบเบื้องกันก่อนนะ
ทำไมถึงเป็นสิว ?

ด้วยชีวิตประจำวันที่ต้องเจอกับแสงแดดและความร้อน ก่อให้เกิดสิ่งสกปรกสะสมความมันส่วนเกิน การอุดตันรูขุมขน และการก่อตัวของสิวในผิว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสิวชนิดต่าง ๆ และริ้วรอยแผลเป็นจากสิว

สาเหตุการเกิดสิว เบื้องต้น

- ปากรูขุมขนที่ถูกปกคลุมด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว (ขี้ไคล หรือ Keratin)

- ต่อมไขมัน

- รูขุมขนกว้าง

- เกิดจากการที่สิวอุดตัน มีการติดเชื้อแบคทีเรีย


ประเภทของสิว

- สิวอุดตัน

- สิวอักเสบ

ปกติหมอผิวหนังก็จะใช้วิธีการรักษาหลายอย่างตั้งแต่การใช้ยาทา ยากินเพื่อควบคุมฮอร์โมน ยาฉีดเพื่อให้สิวแห้งยุบตัวเร็ว และก้าวล้ำไปกว่านั้นก็ถึงขั้นรักษาด้วยเลเซอร์ เพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้แข็งแรงกระชับขึ้นกว่าเดิมทั้งนี้ก็อย่าลืมว่า ขึ้นอยู่กับระดับอารมณ์และการพักผ่อนของคุณด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman Plus

86#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:25:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กำจัดสิว ต้นเหตุที่แท้จริง
มีคำพูดอยู่หนึ่งคำที่เรามักคุ้นหูกับคำพูดที่ว่า เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถึงจะเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างไรก็คงที่จะอดกังวลใจอยากกำจัดสิวไป โดยเร็วใช่ไหมล่ะค่ะ และยิ่งหากว่าต้องออกไปเข้าสังคมสังสรรคเกิดเป็นสิวเต็มหน้ารองพื้นชนิดใด เฉดสีไหนก็เอาไม่อยู่จะยิ่งทำให้กังวลใจกันไปใหญ่เลย กลัวคนทักบ้าง กลัวคนว่าบ้าง กลัวคนนินทา ยิ่งทำให้รู้สึกอับอายไปกันใหญ่ วันนี้เรามา กำจัดสิว ต้นเหตุที่แท้จริงด้วยกันเถอะค่ะ แล้วคุณจะได้ไม่ต้องพบเจอกับเรื่องสิว ๆ ที่ไม่สิวถ้าเกิดมาเจอบนหน้าของคุณอีกต่อไปค่ะ แล้วเมื่อ กำจัดสิว ได้แล้วต่อไปก็เดินเชิดหยิ่งกันได้แล้วค่ะ เอาชนิดที่เรียกว่า ไม่สวย ไม่เริด ไม่ได้หรอก อิอิอิ

กำจัดสิว

ดร.เมอร์ฟราน เมลการ์ สมาชิกสมาคม โรคผิวหนังของประเทศฟิลิปปินส์ อธิบายสาเหตุของการเกิดสิวว่า สิว เกิดจากการเจริญเติบโตของ follicular ที่เปลี่ยนแปลงไปทําให้มีการผลิตซีบัมเพิ่มขึ้น

แบคทีเรีย ที่ชื่อว่า Propionibacterium acnes จึงเจริญเติบโตได้ดีและทําให้เกิดการอักเสบในที่สุด มีความซับซ้อนและรุนแรงแต่ในความเป็นจริง สิว เกิดจากสารเคมีในผิวหนังมนุษย์ซึ่งถูกกระตุ้นได้โดยแบคทีเรียที่ซุกซน การผลิตซีบัมที่มากเกินจะไปอุดตันรูขุมขนทําให้เป็นที่อาศัยของแบคทีเรียจาก สิ่งสกปรกต่าง ๆ รูขุมขนจึงเกิดการอักเสบและเกิดผลที่ไม่น่ายินดีนัก ซึ่งก็คือ สิว นั่นเอง

โดยปกติสิวที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นจะเป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ตามพัฒนาการของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ทั้งชายและหญิงที่ย่างเข้าสู่วัย 30 และมากกว่านั้นอาจยังต้องทรมานกับโรคผิวหนังชนิดนี้อยู่ กุญแจสําคัญในการป้องกันและจัดการกับปัญหานี้คือ การเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการรักษา

วิธีรักษาสิวบนใบหน้า

วิธีการรักษาสิวที่ได้ผลในช่วงเวลาดังกล่าวอาจช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ซึ่ง ก็นําเราเข้าไปสู่ทฤษฎีที่คุ้นเคยกันว่า การล้างหน้าบ่อย ๆ ช่วยลดการเกิดสิวได้ สําหรับการล้างหน้าด้วยสบู่ที่ไม่ผสมไขมันหรือเคลนเซอร์ทําความสะอาดใบหน้า ซึ่งจะช่วยลดซีบัมได้แล้ว ทาด้วยโทนเนอร์หรือน้ำยาทําความสะอาดหลังล้างหน้าจากนั้นตามด้วยยาฆ่าเชื้อ แบคทีเรียเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เพียง 3 ขั้นตอนที่ช่วยควบคุมการเกิดสิว รักษาสิว และช่วยให้หน้าใสเปล่งประกายผิวสุขภาพดี


ขอขอบคุณข้อมูลจาก daradaily

87#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:26:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลดสิวอักเสบ ด้วย สูตรว่านหางจระเข้
หากคุณผู้หญิงที่มักจะตื่นมาเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ ๆ อยู่บ่อย ๆ บนใบหน้า วันนี้เรามีวิธีลดสิวอักเสบด้วย สูตรว่านหางจระเข้มาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายค่ะ แต่ก่อนที่จะทำการ ลดสิวอักเสบ ด้วยตัวเองนั้น ต้องขอเตือนกันสักนิดว่าห้ามแคะ แกะ และเกา สิวเม็ดนั้น ๆ เป็นอันขาด เพราะว่ายิ่งคุณผู้หญิงทั้ง แคะ แกะ เกา แล้วนอกจากสิวอักเสบจะไม่ลดลงแล้วยังทำจะให้เกิดอาการเฮ่อสิวอักเสบอีกต่าง หาก เพราะเมื่อคุณผู้หญิงแคะ แกะ เกา จะทำให้สิวอักเสบเกิดการติดเชื้อและบวมขึ้นมาใหญ่กว่าเดิมได้ค่ะ ฉะนั้นเรามาทำการลดสิวอักเสบ ด้วย สูตรว่านหางจระเข้ กันดีกว่าค่ะ
วิธี ลดสิวอักเสบ

ว่านหางจระเข้มีสารที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และสารออกฤทธิ์สมานแผล จึงทำให้สิวอักเสบยุบลงได้ทันใจลองสูตรนี้ดูสิคะ
สูตรว่านหางจระเข้

- ตัดว่านหางจระเข้แล้วนำไปแช่น้ำประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ยางสีเหลืองไหลออกมา จากนั้นปอกเปลือกจนเหลือแต่วุ้นใส ๆ นำไปล้างยางออกให้หมด นำวุ้นออกมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ หรือบดละเอียด คั้นเอาแต่น้ำวุ้นว่านหางจระเข้มาใช้

- กลางคืน ล้างหน้าให้สะอาด ใช้น้ำวุ้นทาบริเวณที่เป็นสิวแห้งและยุบลง

- กลางวัน ล้างหน้าให้สะอาด ใช้น้ำวุ้นแต้มบริเวณหัวสิว (สามารถทาครีมบาง ๆ ทับได้)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา
88#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:28:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
น่ารู้! เรื่อง ฝ้า กระ
วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเจ้า ฝ้า กระ กันดีกว่าค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะคุณผู้หญิงทั้งหลายยิ่งต้องควรจะระมัดระวังอย่างมาก แต่สาเหตุหลักของ ฝ้า กระ นั้นมักจะเกิดจากแสงแดดเป็นหลักฉะนั้นจะออกไปไหนมาไหนก็ควรจะทาครีมกันแดด และพกร่มติดตัวทุกครั้งด้วยนะจ๊ะ เอาล่ะเรามาดูวิธีรักษา ป้องกัน การเกิด ฝ้า กระ กันดีกว่าค่ะ
ฝ้า กระ
ดร.คิม ดอง คุน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังจากประเทศเกาหลีกล่าวว่า ผู้หญิงเอเชียส่วนใหญ่ใส่ใจกับเรื่องผิวคล้ำจากการผลิตเม็ดสีผิวที่มากเกิน ไปหรือการผลิตเม็ดสีที่ไม่เท่ากัน ซึ่งทุกสภาพผิวมีโอกาสได้รับผลจากการผลิตเม็ดสีที่ผิดปกติโดยขึ้นอยู่กับผล กระทบจากภายนอกได้ เช่น แสงแดดหรือปัจจัยภายในร่างกายอย่างฮอร์โมนหรือจากสภาพผิวที่ได้รับการถ่าย ทอดตามกรรมพันธุ์ของแต่ละคน โดยมากการผลิตเม็ดสีผิวที่ผิดปกติมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากสำหรับผู้ที่มีผิว มันและเป็นไปตามลักษณะเชื้อชาติ


"การรักษาประกอบด้วยหลายวิธี เนื่องจากความผิดปกตินี้เกิดจากปัจจัยที่มีความซับซ้อนแต่กรณีที่เกิดขึ้นบน ผิวชั้นหนังกำพร้า สามารถควบคุมได้ด้วยครีม แต่ถ้าเป็นบริเวณที่ลึกกว่านั้น เช่น เนื้อเยื่อ ก็ไม่สามารถรักษาด้วยครีมตัวใดตัวหนึ่งหรือแม้แต่การศัลยกรรมขัดผิวหนัง เพื่อรักษาแผลเป็น หรือการใช้เลเซอร์ โดยปกติแล้วจะให้การรักษาแบบตรงจุด เช่น การลอกผิว หรือการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion) ซึ่งดูเหมือนว่าจะส่งผลการรักษาได้รวดเร็ว" ผู้เชี่ยวชาญอธิบาย


พร้อมกันนี้ ดร.คิม ยังกล่าวด้วยว่า ลักษณะของจุดด่างดำหรือปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอมีหลายประเภท ซึ่งบางคนเป็นแล้วเป็นอีกอย่าง จุดด่างดำหรือปานดำ (Age or Liver Spots) เป็นลักษณะการเกิดรอยดำที่ไม่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์ แต่มีสาเหตุมากจากอันตรายของแสงแดดและปัจจัยภายนอก และไม่ได้เกี่ยวเนื่องใด ๆ จากกระบวนการทำงานของตับ รอยดำเป็นปื้นเล็ก ๆ เหล่านี้มักพบบริเวณมือ หน้า และบริเวณที่ต้องเผชิญกับแสงแดดบ่อยครั้ง
ฝ้า มีลักษณะคล้ายกับจุดด่างดำแต่มีบริเวณที่กระจายกว้างกว่า ส่วนมากฝ้าเป็นผลจากการเปลี่ยนเเปลงฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์หรือผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด เพราะระบบภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายคลึงกับช่วงตั้งครรภ์


กระ คือจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ ซึ่งสามารถเกิดบริเวณใดก็ได้ในร่างกายแต่ส่วนมากมักพบบริเวณหน้าและมือ ความแตกต่างของจุดด่างดำและนั่นคือการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หูด ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเม็ดสีเช่นกัน เกิดขึ้นจากการขยายตัวทีละเล็กละน้อยของผิวที่มีสีน้ำตาลอ่อนจนเข้มขึ้น ส่วนมากมักเกิดขึ้นในบริเวณหนังศีรษะ หน้า คอ หน้าอก และแผ่นหลังส่วนมากมักเกิดขึ้นในวัย 40-50 ปี โดยอาจขยายมาจากจุดด่างดำนั่นเอง


อย่างไรก็ตามก่อนจบการพุดคุย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผิวพรรณจากเกาหลีแนะนำว่า การปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นประจำจำเป็นที่สุด เพราะการเผชิญกับแสงแดดอย่างรุนแรงเพียงหนึ่งวันกลับต้องใช้เวลารักษาหลาย เดือนเลยทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก

89#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:29:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รู้! รักษาฝ้า เพื่อหน้าสวย
"ฝ้า" เมื่อได้ยินคำนี้ผู้หญิงหลายคนคงไม่อยากได้ยินหรือไม่อยากเจอกับตัวเองเลยด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าต้องมาเป็นบนใบสวย ๆ คงจะอดไม่ได้ที่จะกลุ้มอกกลุ้มใจกันเหลือเกิน ฉะนั้นวันนี้เราจึงมีคำแนะนำในการ รักษาฝ้า แต่ก่อนหน้านั้นเรามาการรู้จักกับ ฝ้า กันก่อนค่ะ

ฝ้า คือ แผ่นสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้มบนใบหน้ามักพบที่แก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปากและคาง นอกจากนี้อาจพบได้ที่คอและแขนด้านนอกพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายโดยเฉพาะใน ระหว่างการตั้งครรภ์และในวัย 30 และ 40 ปีขึ้นไป

ฝ้าเกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสีซึ่งอยู่ในชั้นหนังกำพร้ามีการสร้างเม็ดสี เมลานินออกมามากผิดปกติ และส่งเม็ดสีให้เซลล์ผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมากกว่าปกติด้วย
รักษาฝ้า
ควรแนะนำข้อปฏิบัติตัวแก่ผู้ป่วย คือ อย่าถูกแดดมาก (เวลาอยู่กลางแจ้งควรใส่หมวกหรือกางร่ม) ควรหลบแสงไฟแรง ๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอมและเครื่องสำอางที่สำคัญควรพักผ่อนให้เพียงพอและ อย่าเครียด

การใช้ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีโดยไม่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีและ เร่งเซลล์ผิวหนังชั้นบนซึ่งมีเม็ดสีเมลานินที่สร้างขึ้นมาแล้วให้หลุดลอกออก ไป (ยารักษาฝ้าในปัจจุบันมักประกอบด้วยสารหลายชนิดที่สำคัญคือ ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) กรดวิตามินเอและสเตอรอยด์เป็นยารักษาฝ้าที่มีประสิทธิภาพดีแต่อาจเกิดผลข้าง เคียงจากการระคายเคืองได้จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์)

การป้องกันไม่ให้เกิดฝ้ามากขึ้นโดยหลีกเลี่ยงแสงแดดและใช้ครีมกันแดดที่มี ค่าป้องกันสูง หลีกเลี่ยงการได้รับฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด เครื่องสำอาง และน้ำหอมที่มีฮอร์โมนหรือสเตอรอยด์เป็นส่วนผสม

การลอกฝ้าควรใช้ในรายที่แพทย์เห็นสมควรโดยใช้ยาลอกฝ้า ได้แก่ ไฮโดรควิโนนขนาด 2-4% ทาวันละ 2 ครั้งจะช่วยลดการสร้างเม็ดสี ทำให้ฝ้าจางลงได้ยานี้อาจทำให้แพ้ได้ จึงควรทดสอบโดยทาที่แขนแล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน(ห้ามล้างออก) ดูว่ามีผื่นแดงหรือไม่ถ้ามีก็ห้ามใช้ยานี้

ใช้ยากันแสง ได้แก่ พาบา (PABA ซึ่งย่อมาจาก Para-amin Benzoic Acid) ทาตอนเช้าหรือก่อนออกแดด ควรใช้ชนิดที่มีความสามารถในการกรองแสง (Sun Protective Factior/SPF) มากกว่า 15 ขึ้นไป ยานี้อาจทำให้แสบตา แสบจมูก เป็นสิวหรือแพ้ได้ โดยทั่วไปมักจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าอาการจะดีขึ้นและจะต้องใช้ยากันแสง ไปเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันการกลับเป็นฝ้าอีก ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1-2 เดือน หรือแพ้ยาที่ทารักษาฝ้าหรือสงสัยเป็นโรคอื่นควรปรึกษาแพทย์ทางโรคผิวหนัง การใช้แสงเลเซอร์ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า คือ

ฮอร์โมนการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ เช่น ในระหว่างการตั้งครรภ์หรือวัยหมดประจำเดือนและการได้รับฮอร์โมนจากภาย นอกร่างกายทำให้มีโอกาสเป็นฝ้าได้มาก เช่น รับประทานยาคุมกำเนิด การใช้เครื่องสำอางบางชนิดที่มีฮอร์โมนผสมอยู่

แสงแดดหรือรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นเซลล์ให้สร้างเม็ดสีมากขึ้น ทำให้เกิดฝ้าและมีส่วนสำคัญที่ทำให้ฝ้าเข็มขึ้นอีกด้วย เชื่อว่าเกิดจากแสงอัลตราไวโอเลต A,B และ Visible Light จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-15.00 น.

- ความเครียด สารเคมี (เช่น น้ำมันดิน) น้ำหอม เครื่องสำอาง ก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดฝ้าหรือรอยด่างดำบนใบหน้าได้

- ผู้ที่เป็นโรคบางชนิด เช่น เนื้องอกของรังไข่ โรคแอลดิสัน ก็อาจทำให้หน้าเป็นฝ้าดำได้เช่นกัน

- พันธุกรรม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในผู้ที่เป็นฝ้าที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน

- ผลข้างเคียงจากยา เช่น ยากันชัก เป็นต้น

90#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:30:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับฝ้า

1. ฝ้าที่เกิดจากการตั้งครรภ์ โดยการกินหรือฉีดยาคุมกำเนิดอาจหายได้เองหลังคลอดหรือหลังหยุดใช้ยาคุม กำเนิด (อาจใช้เวลาเป็นสองเท่าของระยะเวลาที่กินยาคุมกำเนิด เช่น ถ้ากินยาอยู่นาน 1 ปี ก็อาจใช้เวลาถ้า 2 ปี กว่าฝ้าจะหาย)

2. ฝ้าอาจมีสาเหตุจากโรคที่ซ่อนเร้นภายในร่างกาย เช่น เนื้องอกของรังไข่ โรคแอดดิสัน เป็นต้น นอกจากนี้ โรคเอสแอลอี ก็อาจมีผื่นแดงขึ้นที่แก้มคล้ายรอยฝ้าได้ ดังนั้นถ้าพบมีอาการผิดสังเกตอื่น ๆ เช่น อ่อนเพลีย เป็นลมบ่อย ปวดข้อ ผมร่วง เป็นไข้เรื้อรัง เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

3. ยารักษาฝ้าบางชนิดอาจมีสารเคมีที่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ทำให้หน้าขาววอกเป็นรอยแดงหรือเป็นรอยด่างอย่างน่าเกลียด ดังนั้น จึงควรระมัดระวังอย่าซื้อยาลอกฝ้ามาทาเองอย่างส่งเดช โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่โฆษณาว่าทำให้หายได้ทันที ยาลอกฝ้าที่ผสมสารปรอทอาจทำให้ฝ้าจางลงแต่อาจมีอันตรายจากการสะสมปรอทที่ผิว หนังและในร่างกายได้

4. ในการรักษาฝ้าอาจต้องใช้เวลานานเป็นแรมเดือนหรืออาจไม่มีทางรักษาให้หายขาด เพียงแต่ใช้ยากันแสงและยาลอกฝ้าทาไปเรื่อย ๆ ถ้าหยุดยาอาจกำเริบได้ใหม่ สำหรับฝ้าที่อยู่ตื้อ ๆ (สีน้ำตาลหรือน้ำตาลเข้ม) มักจะรักษาได้ผลดีแต่ฝ้าที่อยู่ลึก (สีน้ำตาลเทาหรือสีดำ) อาจได้ผลช้าหรือไม่ได้ผลเลย

5. การลอกหน้า ขัดผิว ตามร้านเสริมสวยทั้งน่ากลัวแล้วยังอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การแพ้ส้มผัส จึงไม่แนะนำให้ไปลอกหน้า ขัดผิว

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับกระ

กระ จัดเป็นเรื่องปกติของคนเอเชียผิวใครไม่มีกระต่างหากที่ถือเป็นเรื่องแปลก กระจะเกิดขึ้นในคนที่มีผิวขาวโดยมีแสงแดดเป็นตัวกระตุ้น และมีกรรมพันธุ์เป็นพื้นฐาน

เป็นเรื่องจริงที่ว่า ถ้าไม่ถูกแสงแดดก็จะไม่เกิดกระ ดังนั้นเราจะพบการเป็นกระเฉพาะบริเวณที่ถูกแสงแดด อาทิ เช่น ใบหน้า คอ แขน เป็นต้น และกระจะมีสีเข้มและมีจำนวนมากขึ้นในฤดูร้อนที่แดดแรงและจะจางลงในฤดูหนาว

วิธีการรักษากระแบ่งเป็น 2 แนวคิด คือ

หมอจะพยายามเตือนให้คนไข้หลีกเลี่ยงแสงแดดและทายากันแดด (SPF30) ทุกวัน หรืออาจจะใช้ครีม Whitening ไปทาเพื่อให้สีกระจางลง

หมอจะยิงเลเซอร์ให้คนไข้ซึ่งกระก็จะหายไปแต่ค่าใช้จ่ายจะสูงมากและหลังจาก ยิงเลเซอร์แล้วจำเป็นอย่างยิงที่จะต้องดูแลตัวเองไม่ให้ถูกแสงแดดหรือไอแดด มิฉะนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะกลับมาเป็นอีก


ขอขอบคุณข้อมูลจาก first
91#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:31:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การรักษากระลึก เพื่อผิวสวย
วันนี้พาคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทั้งหลายที่เป็น กระลึก มาดูทางเลือกในการรักษากระลึกให้ หาย กระลึก นั้นเกิิด จากหลากหลายสาเหตุซึ่งส่วนจะพบผู้หญิงเป็นกระมากกว่าผู้ชายและพบมากบริเวณ ช่วงโหนกแกม ฉะนั้นหากอยากสวยหล่ออย่างหมดจดก็มาทำการรักษากระลึกกันค่ะ

การรักษากระลึก

กระลึก มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Horl?s nevus ลักษณะที่พบจะเห็นเป็นจุดสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ มักพบบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง พบในผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชาย สำหรับสาเหตุการเกิดกระลึกยังไม่ทราบชัดเจนบางคนอาจมีประวัติกรรมพันธุ์ บางคนพบว่ากินยาคุมแล้วสีเข้มขึ้นหรือเจอแสงแดดทำให้กระลึกเด่นชัดขึ้นเป็น ต้น

การรักษากระลึก ค่อนข้างเป็นปัญหาที่รักษาหายยาก เนื่องจากเม็ดสีอยู่ลึกการรักษาต่าง ๆ ที่ช่วยในการลดเม็ดสีที่อยู่ลึกจึงต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน

การดูแลรักษา

- พยายามหลีกเลี่ยงยาคุมหรือฮอร์โมนที่เป็นตัวกระตุ้นเม็ดสีให้เด่นชัดขึ้น

- หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือให้ใช้ครีมกันแดดทุกวัน ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีค่า SPF 30 ขึ้นไป

- การใช้ครีมหรือยาทาเพื่อลดเม็ดสีของกระลึกมีส่วนช่วยได้บ้าง ทำให้กระลึกจางลงได้แต่ไม่หายหมด

- การรักษาด้วยเลเซอร์ ถือว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับกระลึก แต่เป็นการรักษาที่ใช้เวลานานต้องทำการรักษาหลายครั้ง


การรักษากระลึกด้วยเลเซอร์

เป็นวิธีที่ดีในการกำจัดเม็ดสีของกระลึก บางคนสามารถรักษาจนหายหมดหรือเกือบหมดได้ เพียงแต่ต้องมีความใจเย็นในการรักษา เนื่องจากกระลึกต้องทำการยิงเลเซอร์กันหลายครั้ง บางคนยิง 3 ครั้งบางคนอาจถึง 5-6 ครั้ง ระยะเวลาแต่ละครั้งห่างกัน 6-8 สัปดาห์

การยิงเลเซอร์ไม่ยุ่งยากไม่เจ็บหลังยิงเลเซอร์จะเป็นสะเก็ดดำอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ สะเก็ดก็หลุดไป หลังสะเก็ดหลุดจะเห็นเป็นดวงสีขาว หลังจากนั้นสีจะจางไปทีละน้อย แต่บางคนในระยะการยิง 2-3 ครั้งแรก อาจมีสีเข้มขึ้นก่อนแล้วจึงจะจางไปทีหลัง

โดยส่วนใหญ่กระลึกมักจะจางลงหลังยิงเลเซอร์ไปแล้ว 2-3 ครั้ง ควรทำการรักษาต่อเพื่อให้เม็ดสีหายจนหมดหรือบางคนอาจพอใจที่เม็ดสีหายไปเกิน ครึ่งแล้วสามารถใช้เครื่องสำอางหรือแป้งทากลบจนไม่เห็นกระลึก ก็สามารถหยุดการรักษาด้วยเลเซอร์ได้ค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือสวยด้วยแพทย์
92#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:31:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิธีลดฝ้า กระ ด้วย "หัวไชเท้า"
ปัญหาฝ้า กระ สาวไหนก็คงไม่อยากมี วันนี้เราจึงมี วิธีลดฝ้า กระ มาบอกให้กับคุณสาว ๆ ทุกคนที่กำลังประสบกับปัญหาฝ้า กระ บนใบหน้านี้เลยค่ะ ด้วย วิธีลดฝ้า กระ นี้จะใช้สมุนไพรพื้นบ้านที่หากันได้ง่าย ๆ นั่นก็คือ หัวไชเท้า เนี่ยแหละค่ะ คุณผู้หญิงรู้ไหมค่ะว่า เจ้าหัวไชเท้าเนี่ยเป็นวิธีลดฝ้า กระ ให้จางลงได้ภายในเวลาเพียงแค่ 10-15 นาที เท่านั้นค่ะ แถมยังเป็น วิธีลดฝ้า กระ แบบธรรมชาติที่ไม่ต้องเพิ่งสารอันตรายจากสารเคมีและก็ยังช่วยให้ใบหน้าของ คุณสวยเด้งได้ อยากรู้ เคล็ดลับ วิธีลดฝ้า กระ ด้วย "หัวไชเท้า" กันแล้วใช่ไหมล่ะค่ะ
วิธีลดฝ้า กระ

หัวไชเท้าเป็นสมุนไพรที่มีอยู่ในตำรายาจีน โดยแนะนำให้คนวัยทองนำหัวไชเท้าดิบมาหั่นซอยเป็นเส้นฝอยกินวันละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ หรือมื้อละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง (ถ้ารู้สึกมีกลิ่นฉุนอาจรับประทานร่วมกับน้ำผึ้ง) เชื่อว่าจะทำให้ผิวพรรณสดใสมีน้ำมีนวล ดูเปล่งปลั่งเหมือนคนหนุ่มสาว ยังเชื่อว่าหัวไชเท้าช่วยกำจัดพิษสามารถช่วยให้ปัสสาวะใส ไม่ขุ่น ช่วยชำระล้างผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยย่อยและช่วยทำให้หายใจโล่งขึ้น

ประโยชน์อีกอย่างของหัวไชเท้า คือ สามารถช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางลงได้ โดยนำหัวไชเท้า 1 หัว (ขนาดเล็ก) มาล้างน้ำให้สะอาดทำการปอกเปลือกแล้วหั่นบาง ๆ นำไปปั่นให้พอละเอียดใส่น้ำมะนาวประมาณ 1 ช้อนแกง ปั่นรวมกันอีกครั้ง ใช้ทาทั่วผิวหน้า (ยกเว้นรอบดวงตาและปาก) ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำเป็นประจำจะช่วยลดฝ้าและกระให้จางลง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็น


93#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:34:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ตัวการแห่งวัยสวย!
คุณหญิงทั้งหลายรู้ไหมค่ะว่า เจ้าสารแอนตี้ออกซิแดนท์ตัวนี้สามารถช่วยผิวพรรณของคุณผู้หญิง ทั้งหลายได้ ช่วยยังไงนะเหรอ? ก็ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระและคือความสดใสให้กับผิวของคุณยังไงล่ะค่ะ แต่แค่นี้คงยังไม่เพียงเรามาทำความรู้จักกับ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ว่ามีประโยชน์อย่างนอกเหนือกจากนี้กัน

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ
สำหรับผิวสวยเราต้องการทั้งการแก้ไขและปกป้อง และเพื่อให้คุณได้ทำทั้งสองอย่างในกิจวัตรการดูแลผิวประจำวันของคุณ คุณต้องหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมซึ่งแก้ไขความเสียหายที่มีอยู่ และปกป้องความเสียหายในอนาคตไม่ให้เกิดขึ้นซึ่ง สารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ สารสุดวิเศษสำหรับผิว ซึ่งคุณได้เห็นมันมากมายอยู่บนเคาน์เตอร์เครื่องสำอางแต่มันมีหลายอย่างที่ คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับมันซึ่งเราได้รวบรวมมาให้คุณแล้ว


1. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ
หากจะอธิบายอย่างสั้น ๆ อนุมูลอิสระเกิดขึ้นจากที่โมเลกุลต้องสูญเสียหนึ่งในอิเล็กตรอน (ที่ต้องมีเป็นคู่เสมอ) ทำให้มันต้องไปดึงเอาอิเล็กตรอนมาจากโมเลกุลตัวอื่น และเมื่ออีกตัวหนึ่งเสียอิเล็กตรอนไปมันก็จะทำแบบเดียวกันเป็นลูกโซ่ต่อ เนื่องกันไป ความพยายามในการซ่อมแซมตัวเองเช่นนี้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ ขึ้นมา ออกซิเจนหรือสารประกอบอื่นที่มีโมเลกุลของออกซิเจน อย่างเช่น คาร์บอนมอนอกไซด์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ รวมทั้งแสงแดดและมลพิษเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกายเราตลอด เวลา และอนุมูลอิสระรับผิดชอบต่อความร่วงโรยของผิวเนื่องจากมันทำร้ายคอลลาเจนและ อิลาสตินในผิว โดยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ทั้งปกป้องและต่อสู้กับความเสียหายนี้ด้วยการทำให้ อนุภาคนี้กลายเป็นกลาง

2. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ไม่ใช่ส่วนผสมใด ๆ ทั้งสิ้น
สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ไม่ใช่วิตามินหรือส่วนผสมพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นการทำงานของส่วนผสมบางอย่างที่ป้องกันการที่โมเลกุลจะดึง อิเล็กตรอนจากอะตอมตัวอื่นและเริ่มต้นปฏิกิริยาลูกโซ่ของอนุมูลอิสระ โชคดีที่สารแอนตี้ออกซิแดนท์จำนวนมากสามารถพบได้ในร่างกายมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตามมีโอกาสอย่างมากว่าเราจะไม่ได้รับสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากพอ ที่จะจัดการกับอนุมูลอิสระและความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เกิดการสลายตัว หรือไม่อาจทำหน้าที่ได้ตามปกติ ส่วนผสมที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมีทั้งวิตามินเอ ซี อี เบต้าแคโรทีน ซีลีเนียม คิเนติน และสังกะสี

3. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ปกป้องผิวจากมะเร็งผิวหนัง
เมื่อสารแอนตี้ออกซิแดนท์ทำให้อนุภาคของอนุมูลอิสระกลายเป็นกลาง มันก็ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ในผิวของคุณ ความเสียหายที่เกิดกับโครงสร้างของเซลล์และองค์ประกอบเซลล์นี้ สามารถสะสมตัวมากขึ้นเรื่อง ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป และในที่สุดก็สามารถนำไปสู่โรคร้ายอย่างเช่นมะเร็งผิวหนังได้

4. สารแอนตี้ออกซิแดนท์รักษาริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัย
เนื่องจากริ้วรอยและสัญญาณต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงความร่วงโรยของผิว เช่น สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ จุดด่างดำ และความหยาบกร้านของผิว ล้วนเกิดจากอนุมูลอิสระทั้งสิ้น การใช้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ในรูปของการทาลงบนผิวจึงอาจมีบทบาทในการชะลอความ เสียหายจากอนุมูลอิสระให้ช้าลงได้ อย่างไรก็ตาม ผลของมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน ความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกายมนุษย์อาจเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน ความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกายมนุษย์อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนานเป็น ปี ๆ ก่อนที่จะสังเกตเห็นความเสื่อมถอยใด ๆ คุณจึงไม่อาจชโลมสารแอนตี้ออกซิแดนท์ลงบนผิว และหวังว่า ริ้วรอยของคุณจะลดลงอย่างทันที

5. สารแอนตี้ออกซิแดนท์สามารถปกป้องผิวจากแสงแดด
นอกเหนือจากการต่อสู้กับอนุมูลอิสระแอนตี้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ยังบช่วยปก ป้องผิวจากรังสีที่เป็นอันตรายของแสงแดด แต่อย่าได้เลิกใช้ครีมกันแดดไปเลย เนื่องจากการปกป้องของแอนตี้ออกซิแดนต์ต่อรังสียูวีมีค่อนข้างน้อยมาก จึงควรจับคู่สกินแคร์ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์กับครีมกันแดดหรือมองหา ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งสองอย่าง

94#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:35:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
6. สารแอนตี้ออกซิแดนท์สามารถเข้ากันได้กับผลิตภัณฑ์สกินแคร์อย่างอื่น
สารแอนตี้ออกซิแดนท์เป็นมิตรต่อการดูแลผิวทุกประเภท และสามารถนำมาใช้ผสมผสานกับครีมอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภัยรวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อต่อต้านสิวและปกป้องแสงแดดด้วย

7. มันดีที่สุดที่จะให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์แก่ผิวด้วยการทา
ร่างกายของคุณจะส่งผ่านวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ ที่คุณบริโภคเข้าไปให้แก่ผิวในปริมาณค่อนข้างน้อย ฉะนั้นคุณจะเห็นประโยชน์มากกว่าเมื่อคุณทาสารแอนตี้ออกซิแดนท์ลงบนผิวโดยตรง และงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็สนับสนุนเรื่องการปกป้องของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ทาลงบนผิว ตัวอย่างเช่น วิตามินซี อี และซีลีเนียม ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากแสงแดดต่อผิวและแสดงให้เห็น ด้วยว่า สามารถปกป้องความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อไป นอกจากนี้การทาสารแอนตี้ออกซิแดนท์ยังเพิ่มระดับการปกป้องความเสียหายจาก สภาพแวดล้อมแก่ผิวและการช่วยชะลอกระบวนการแก่ก่อนวัยได้

Famous Antioxidant

มีส่วนผสมหลายอย่างที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และนี่คือบางส่วนที่นิยมใช้กันในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่คุณสามารถหาได้ตาม เคาน์เตอร์เครื่องสำอาง

วิตามินเอหรือเบต้าแคโรทีน คือ สิ่งที่ช่วยปกป้องผลไม้และผักที่มีสีเขียวเข้ม เหลือง และส้มจากความเสียหายจากรังสีของพระอาทิตย์ และเชื่อกันว่ามันทำหน้าที่แบบเดียวกันในร่างกายมนุษย์

วิตามินซี ช่วย ซ่อมแซมผิวจากความเสียหายของแสงแดดและปกป้องผิวจากความร่วงโรย แต่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่สลายตัวได้เร็วมากเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน

วิตามินอี เป็นวิตามินหลักในร่างกายที่ทำหน้าที่สารแอนตี้ออกซิแดนท์ปกป้องเซลล์เมมเบรนและโครงสร้างอื่นที่มีส่วนประกอบของไขมัน

ฟลาโวนอยด์ เป็นเม็ดสีในพืชที่รับผิดชอบในการสร้างสีสันของผลไม้ ผัก และดอกไม้ ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ทรงอานุภาพ แล้วยังมีคุณสมบัติในการต้านอาการอักเสบและต้านไวรัสได้ด้วย ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ต่อผิวพรรณ ฟลาโวนอยด์ที่มีผลประโยชน์เป็นพิเศษได้แก่ Proanthocyanins ซึ่งพบในองุ่นและต้นไพน์ และPolyphenols ซึ่งพบในชาเขียวและขาขาว

โคเอนไซม์คิว 10 (Coenzyme Q10) นี่เป็นสารที่ปกติร่างกายจะสร้างขึ้นได้เอง แต่ปัจจัยหลายอย่างอาจทำให้ระดับของ CoQ10 ในร่างกายลดลง ส่งผลให้เกิดการสร้างคอลลาเจนอิลาสติน และโมเลกุลที่สำคัญอื่น ๆ ของผิวน้อยลงนอกจากนี้ ผิวที่ขาด CoQ10 ยังอาจเสียหายได้ง่ายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งมีอยู่มากมายบนผิว ดังนั้น CoQ10 อาจเพิ่มการซ่อมแซมตัวเองของผิว และการสร้างเซลล์ผิวใหม่และลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระได้

สังกะสี (Zinc) ช่วยปกป้องรังสียูวี ช่วยให้แผลสมานตัวได้เร็ว ส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันและการทำงานของระบบประสาท เนื้อเยื่อทั่วร่างกายต่างมีสังกะสีเป็นส่วนประกอบและมีในชั้นหนังแท้ มากกว่าหนังกำพร้า การทาสังกะสีลงบนผิวในรูปของซิงก์ไอออน (Zinc lons) มีรายงานว่าสามารถปกป้องผิวจากแสงได้

ซีลีเนียม เป็นแร่ธาตุที่พบในซีเรียล ถั่ว และไข่ งานวิจัยบางชิ้นแสดงว่าการกินซีลีเนียมป้องกันมะเร็งในสัตว์ทดลองในแล็บ มันยังแสดงให้เห็นถึงการชะลอการแก่วัย และบรรเทาอาการผิวไหม้จากรังสีได้ด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
95#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:36:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิตามินที่บำรุงผิวพรรณ "ช่วยชะลอความเสื่อมโทรม"
วิตามินที่บำรุงผิวพรรณมีมากมายหลากหลายชนิดแล้วแต่ที่คุณ จะเลือกใช้อย่างถูกต้องและถูกวิธี และวันนี้เราจะแนะนำ วิตามินที่บำรุงผิวพรรณ ที่ช่วยในการชะลอความเสื่อมโทรมให้กับผิวของคุณให้แลดูเปล่งปลั่งสดใสอยู่ เสมอ มาดูกันดีกว่าค่ะว่า วิตามินที่บำรุงผิวพรรณ นั้นมีอะไรบ้างเอ่ยเพื่อให้คุณผู้หญิงได้ไปลองหาซื้อมาลองรับประทานกันดูค่ะ
วิตามินที่บำรุงผิวพรรณ

โดยการสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้องเพื่อจะได้รู้จักเลือกทานอาหารที่ ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงรวมทั้งการทานผลิตภัณฑ์วิตามินที่บำรุงผิวพรรณที่ ให้สารอาหารซึ่งสามารถซ่อมแซมและบํารุงโครงสร้างผิวได้รวมทั้งชะลอผิวเสื่อม โทรมและทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วย

วิตามินที่บำรุงผิวพรรณในที่นี้ ได้แก่ Collagen ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในโปรตีนคุณภาพสูง, Vitamin C, Vitamin E, Vitamin A & Beta-carotene, Zinc และ Grape Seed Extract ซึ่งมีอยู่ในพืชผักผลไม้ และธัญญาหารหลายชนิด

การบํารุงผิวพรรณจากภายนอก

ในที่นี้มักจะมีในรูปเครื่องสําอางบํารุงผิวพรรณชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตออกมา ซึ่งจะมีความหลากหลายทั้งรูปแบบและชนิดสารสําคัญที่เติมลงไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการบํารุงประเภทนี้มักจะออกฤทธิ์ได้เฉพาะบริเวณที่เป็นผิว หนังชั้นตื้น ๆ เท่านั้น

ซึ่งในส่วนนี้จะต้องพิจารณาถึงเทคโนโลยีในการผลิตเครื่องสําอางชนิดนั้น ๆ ออกมาว่ามีระบบการนําส่งผ่านตัวยาสําคัญที่จะบอกถึงประสิทธิภาพของเครื่อง สําอางชนิดนั้นได้มากน้อยเพียงใด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก daradaily

96#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:36:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
27 วิธีทําให้ผิวขาว
หากพูดถึงวิธีทำผิวขาวผู้หญิงหลายคนอาจหูผึ่งและยิ่งเมื่อได้รู้ว่ามีวิธีที่จะสามารถทำให้คล่ำ ๆ ของคุณทำให้กลาย เป็นผิวขาวใสขึ้นได้ คุณผู้หญิงหลายคนคงจะไม่ปฏิเสธถึงเคล็ดลับ 27 วิธีทำให้ผิวขาว ที่เรากำลังจะบอกคุณ ๆ ใช่ไหม

วิธีทําให้ผิวขาว ได้แก่

1. วิธีขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้ารากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบน สุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่าอยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้วเซลล์ผิวเก่า ก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวาและดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิวก็ ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่าง ๆ เช่น ใยบวบหรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และ หากขัดมากเกินไปก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่น ๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดออกไปผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือผิวจะหม่นหมองดูแล้วมีความมันหรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดีทำให้ของเสียเกิดการสะสม ตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้าก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัดเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบและผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำ ผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบา ๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนใช้น้ำล้างออกให้สะอาดซับให้แห้งแล้วทาครีม บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็นเม็ดกลมเพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอกขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาดแล้วล้างออก ด้วยน้ำมาก ๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติเป็น อุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไปอาจทำให้แสบผิวได้เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสากและ หยาบ เวลาขัดจึงควรขัดเบา ๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำและเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้ แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิวโดยใช้ร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่างเติมเกลือเม็ดลงไปและเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่าง ให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบา ๆ ให้ทั่วตัวและล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบา ๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไปหรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้นควร เริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนาน ๆ
97#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:37:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็ก ๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ น้ำตาล อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอมอีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่าย ๆ ด้วย การใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อยแต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคืองมี น้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคลมี ความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิวทำให้ผิวขาวใสมีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิ แดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อน ๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ววิตามินสูงแต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรดเหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวังลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรกแต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถนำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่าย ขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น เกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคืองและกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคมจึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจาก นั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลักปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่นและเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคน ผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิวแต่เกรงว่าผิวจะแห้งเกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้วน้ำมัน ยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม โยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรืออื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงผิวสามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไปลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืด เล็กน้อยจับตัวอยู่บนผิวได้และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถ เสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหยเข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมาก ขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อย ๆ เน้นไปที่ร่องจมูกเลี่ยงจุดที่บอบบางมาก ๆ เช่น รอบดวงตา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 247freemag
98#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:40:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิธีรักษารอยหลุมสิว "บนใบหน้า"
คุณผู้หญิงหรือใครก็ตามที่กำลังมีเรื่องกลุ้มใจเรื่อง ผิวขรุขระ บนใบหน้าที่เกิดจากรอยหลุมสิวเป็นต้องเหตุ วันนี้เรานำวิธีรักษารอยหลุมสิวบน ใบหน้ามาให้คุณได้ลองเลือกใช้กันดูค่ะ ด้วย 7 วิธีรักษารอยหลุมสิว จะช่วยให้คุณมีผิวหน้าที่เรียบเนียนขึ้นและรอยหลุมสิวที่เป็นต้นเหตุให้ ผิวขรุขระ ไม่น่ามองก็จะตื้นเขินจนหายไป ลองนำ 7 วิธีรักษารอยหลุมสิว ของเราไปลองใช้กันดูนะค่ะ แล้วคุณจะได้มีผิวหน้าที่สดใสได้อย่างไม่ต้องอายใครอีกต่อไปด้วยค่ะ

7 วิธีรักษารอยหลุมสิว

1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทาในกรณีที่เป็นไม่มากนักหรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเองแต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็น การใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยาซึ่งนิยมใช้คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพื่อให้รอย บุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วยโฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนังโดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็น การผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิวส่วนคราบไคลและหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผล โดยใช้เครื่องเลเซอร์ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้นแต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อนข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์ โดยแพทย์จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผลเพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์


99#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:41:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลดรอยแผลวิธีรักษารอยแผลเป็น "บนใบหน้า"
เพื่อให้ใบหน้าของคุณทุกคนสวยใสหากไกลรอยแผลเป็นอันไม่พึงประสงค์ยิ่งโดยเฉพาะใบหน้าด้วยแล้วคงไม่มีใคร อยากให้มีด้วยกันทั้งนั้น วันนี้เราจึงนำวิธีรักษารอยแผลเป็นมา ฝากคนที่กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจที่ต้องมีแผลเป็นบนใบหน้าให้ได้สวยใสกันทุกคน เลยค่ะ ว่าแล้วเราก็มาเริ่ม วิธีรักษารอยแผลเป็น เพื่อหน้าสวยกันเถอะค่ะ
  
วิธีรักษารอยแผลเป็น

1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทาในกรณีที่เป็นไม่มากนักหรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์แล้วจึงหลุดไปเองแต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วยไอออนโต (IONTO) เป็น การใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยาซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพื่อให้รอย บุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนังโดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็นเป็น

100#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:42:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลดรอยแผลเป็น "เพื่อผิวสวย"
รอยแผลเป็นนั้นพอได้เป็นแล้วก็มักจะหายยากหรือใช้เวลานานมากหรืออาจจะไม่หายเลยก็เป็นได้ หากคุณผู้หญิงอยาก ลดรอยแผลเป็น "เพื่อผิวสวย" แล้วล่ะ เราก็นำวิธี ลดรอยแผลเป็น แบบเบื้องต้นมากฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายเพื่อให้คุณได้มีผิวสวยและเรียบเนียน ขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

ลดรอยแผลเป็น

มีคำถามจากน้องคนหนึ่งถามว่า "หนูมีปัญหาเกี่ยวกับแผลเป็นที่เรียวขาค่ะ เหมือนว่าจะเกิดจากต่อมน้ำเหลืองเสียและยุงกัดไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแผลถึงจะ หายไปได้คะ" แผลเป็นแบบนี้มักจะทำให้เกิดรอยด่างดำซึ่งปกติจะค่อย ๆ จางไปได้เอง การแก้ไขให้ดีขึ้นที่แบบง่าย ๆ ที่สุดก็ให้ทาครีมที่มีส่วนผสมของไวเทนนิ่ง เช่น เอเอชเอ ลิโคไรซ์ ซึ่งมีขายอยู่ทั่วไปทาตรงบริเวณที่ลาย ๆ นั่นแหละ หรือถ้าจะเอาแบบธรรมชาติก็ให้ใช้มะนาว ผสมกับดินสอพองแล้วก็ทำให้มันเข้ากันก่อนจะนำมาพอก ๆ ทา ๆ ให้ทั่วแขนขาที่เป็นรอยมันก็พอช่วยได้ดีไม่ดีทำบ่อย ๆ บวกความดีที่สั่งสมขาอาจเกลี้ยงเกลาเนียนขาวกว่าสาวอื่นๆ ก็ได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้