ดู: 3726|ตอบกลับ: 7
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

[โบท๊อกซ์/ฟิลเลอร์/ร้อยไหม] ลดเลือนริ้วรอยด้วย โบท็อกซ์ (Botox) ซ้อจะฉีด

[คัดลอกลิงก์]
โบท็อกซ์เป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Clostridium Botulinum   ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถสร้างท็อกซินหรือสารมีพิษที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ สารสกัดจากแบคทีเรียนี้มีสองชนิด คือ โบทูลินั่ม เอ (Botulinum A) และ โบทูลินั่ม บี (Botulinum B)

         โบทูลินั่มท็อกซินนี้ถือว่าเป็นสารชนิดนิวโรท็อกซิน (Neurotoxin) โดยจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท ซึ่งสารที่มีลักษณะเช่นนี้จะมีในพิษของแมงมุมและงู พิษเหล่านี้จะตัดการสื่อสารของเหล่าเส้นประสาทที่เรียกว่า Acetylcholine ซึ่งเป็นสารที่สั่งให้กล้ามเนื้อยืดและหดตัว เมื่อไม่มีสารเคมีนี้สื่อสาร กล้ามเนื้อจึงไม่ได้รับสัญญาณจากประสาทส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นเป็นอัมพาฒชั่วคราว

           เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบคุณสมบัติของโบท็อกซ์ข้อนี้ จึงนำมาใช้ในทางการแพทย์โดยรักษาอาการกระตุกที่ผิดปกติของกล้ามเนื้อ เช่น เปลือกตากระตุก อาการตาเข สำหรับโบทูลินั่มท็อกซินที่นำมาใช้นี้เป็นชนิดบริสุทธิ์ และใช้เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น ฉีดบริเวณเฉพาะที่ ซึ่งสารนี้มีจำนวนน้อยนิดจนไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายและจะให้ผลเฉพาะที่ชั่วคราวอยู่นานประมาณ 3-5 เดือน จากนั้นจึงจะจางหายไป ต้องฉีดใหม่ ซึ่งองค์การอาหารและยาอนุญาตให้ใช้ได้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1989 และในปีถัดมาจึงอนุญาตให้ใช้รักษาอาการคอกระตุก

           ในทศวรรษ 1980 เอลาสแทร์ และจีน การ์รูเธอร์ส แพทย์สามีภรรยาชาวคาเนเดียนจากแวนคูเวอร์ เอลาสแทร์ซึ่งเป็นแพทย์ผิวหนังได้เริ่มทำการจดบันทึกการลบเลือนริ้วรอยด้วยการฉีดโบท็อกซ์แทนคอลลาเจน ซึ่งก็ได้ผลเป็นอย่างดี ส่วนจีนภรรยาของเขาเป็นจักษุแพทย์ใช้โบท็อกซ์ฉีดตรงบริเวณหนังตาเพื่อลดอาการตากระตุก ผลที่ได้นอกจากจะช่วยรักษาอาการกระตุกแล้ว โบท็อกซ์ยังทำให้กล้ามเนื้ออ่อนตัวและริ้วรอยตีนกาจางลงด้วย เมื่อเห็นดังนี้ทั้งสองจึงได้ทำการทดสอบกับตนเองและพนักงานต้อนรับของตน ผลสรุปออกมาว่าโบท็อกซ์สามารถช่วยให้ริ้วรอยจางลง ผิวเนียนดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการฉีดคอลลาเจน จึงทำให้โบท็อกซ์กลายเป็นเครื่องมือทางศัลยกรรมตกแต่งที่ได้รับความนิยมตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา

           ในปี ค.ศ. 2001 มีรายงานว่าผู้หญิงอายุระหว่าง 35 - 55 ปี จำนวน 1,500,000 ราย ได้ทำการฉีดโบท็อกเพื่อลดริ้วรอยบริเวณหน้าผากและรอบดวงตา ในด้านความปลอดภัยของการฉีดโบท็อกซ์ แต่ละขวดที่บรรจุจะมีขนาดเพียง 100 ยูนิต และขนาดที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้นั้นต้องมีมากว่านี้ถึง 35 เท่า หรือประมาณ 3,000 - 3,500 ยูนิต ในการฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดริ้วรอยจะใช้เพียง 30 ยูนิต หรือประมาณ 1 ใน 100 ส่วน สำหรับการฉีดเพื่อลดริ้วรอยบริเวณกล้ามเนื้อคอจะใช้ประมาณ 50 - 100 ยูนิต และการฉีดเพื่อลดอาการเหงื่อออกจะใช้ประมาณ 200 - 300 ยูนิต
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-4-26 18:39:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
โบท็อกซ์ทำอะไรให้ผิวบ้าง
           ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากกล้ามเนื้อตึงเครียดเนื่องจากการเคลื่อนไหว แต่เป็นการช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ชั่วคราว ไม่สามารถทำให้ริ้วรอยหายตลอดไป แต่สิ่งที่โบท็อกซ์ทำไม่ได้คือการช่วยทำให้ผิวสัมผัสดีขึ้น ไม่สามารถช่วยลดจุดด่างดำหรือกระตุ้นการซ่อมสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินได้

ริ้วรอยที่ลดเลือนได้บางคราวด้วยโบท็อกซ์
           มีบริเวณสำคัญอยู่ 3 แห่ง คือ หน้าผาก ระหว่างคิ้ว และรอยตีนกา นอกเหนือจากนี้อาจช่วยแก้ไขรอยบุ๋มที่คาง ลำคอที่มีรอยย่น (เหนียงยานเหมือนไก่งวง) แต่ไม่ช่วยให้ดีขึ้นเท่ากับการผ่าตัดตกแต่งทางศัลยกรรม ส่วนริ้วรอยบริเวณที่ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์ ได้แก่ รอบๆ ริมฝีปากและบริเวณได้ตาที่ตรงกับตาดำ

โบท็อกซ์เหมาะกับผู้ใด
           เหมาะสำหรับผู้ที่มีริ้วรอยบนใบหน้าและลำคอ แต่ต้องมีสภาพร่างกายและจิตใจที่ปกติ และต้องการเสริมสร้าง ปรับปรุงหน้าตา ต้องไม่ใช้ยา และไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่อย่างหักโหม ไม่เหมาะกับหญิงที่ให้นมบุตรหรือตั้งครรภ์

ต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะเห็นผล
           อาจใช้เวลา 2 - 3 วันไปจนถึง 2 สัปดาห์ และในบางรายอาจนานถึง 1 เดือน จึงจะเห็นผลอย่างเต็มที่และเด่นชัดหลังจากการฉีดครั้งแรก

โบท็อกซ์ทำให้ใบหน้าแข็งทื่อ ดูไม่เป็นธรรมชาติจริงหรือ
           เป็นไปได้หากการฉีดไม่เป็นไปอย่างแม่นยำ หรือปริมาณที่ฉีดมากเกินไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ฉีด แต่อย่างไรก็ตามโบท็อกซ์จะคงอยู่ชั่วคราวเท่านั้น

ผลข้างเคียงของการฉีดโบท็อกซ์
           อาจเห็นเป็นตุ่มนูนแดงในบริเวณที่ฉีดอยู่ราวๆ 2 ชั่วโมง บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะในวันแรก สำหรับการฉีดโบท็อกซ์บริเวณหน้าผาก หรืออาจเกิดอาการหนังตาหรือคิ้วตก กลืนอาหารไม่สะดวกหากฉีดบริเวณลำคอ แต่จะค่อยๆ หายไปเองตามระยะเวลา ในบางรายอาจมีการสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อโบท็อกซ์ ทำให้การฉีดไม่ได้ผล แต่จะมีผู้ที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นได้ไม่ถึงร้อยละ 3 - 5 ซึ่งปฏิกิริยานี้มักจะเกิดกับผู้ที่เข้ารับการรักษาอาการกระตุกและต้องใช้โบท็อกซ์ในจำนวนที่สูง ดังนั้นอาจต้องเปลี่ยนมาใช้โบทูลินั่มชนิดบีแทน (Myobloc)
           สำหรับคำแนะนำในการใช้คือให้ฉีดทุกๆ 3 เดือน ในจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่จะเห็นผลได้ และต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เท่านั้น
           สรุปผลข้างเคียงของการฉีดโบท๊อกซ์
           1. โบท๊อกซ์ได้มาจาก ''Botulinum toxin" ซึ่งเจือปนอยู่ในอาหารที่เป็นพิษ มีคุณสบบัติในการรบกวนคลื่นทางประสาทและเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้ออัมพาตและบางลง เมื่อมีการรักษาหลายครั้ง
           2. โบท๊อกซ์มีผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อบริเวณที่ถูกฉีด เช่น เปลือกตา และทำให้ปวดศีรษะได้ รวมทั้งมีผลต่อการกิน การพูด และการกระพริบตา
           3. โบท๊อกซ์ถูกจำกัดให้ใช้ได้เฉพาะบริเวณลำคอ พื้นที่รอบคอ รอบปาก และตา (พื้นที่จำกัดรอบตา)
           4. การฉีดโบท๊อกซ์ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การรักษาได้ผลตามที่ต้องการ และกล้ามเนื้อบางลงอย่างถาวร
           5. โบท๊อกซ์มีราคาแพง ถ้าฉีดโบท๊อกซ์ต้องฉีดซ้ำเดือนละ 2-4 ครั้ง เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ต้องการ
           6. โบท๊อกซ์ทำให้เกิดการแพ้หรือแดงได้ในผู้ฉีดบางราย
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-4-26 18:44:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สารและยาที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนการฉีดโบท็อกซ์
           หากจะหลีกเลี่ยงการฟกช้ำ ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ล่วงหน้าประมาณ 24 ชั่วโมง งดกินยาแอสไพรินและวิตามินอีประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งสารเหล่านี้จะทำให้เกิดการฟกช้ำได้ง่ายขึ้น เพราะทำให้เลือดจางลง ควรลดพืชสมุนไพรอย่างขิง จิงโก ไบโลบา กระเทียม และโสม ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างน้อยประมาณ 2 สัปดาห์

[/ข้อควรหลีกเลี่ยงหลังการฉีดโบท็อกซ์color]
           หลังฉีดโบท็อกซ์เป็นเวลา 4 ชั่วโมง ไม่ควรออกกำลังกาย หรือก้มไปข้างหน้า เช่น ไปลองรองเท้า เพราะต้องมีการก้มศีรษะในขณะลอง หรือนวดบริเวณที่ถูกฉีด เดินไกล สระหรือย้อมผม สวมหมวก แต่งหน้า หรือล้างหน้า ถอดเสื้อด้วยการดึงออกทางศีรษะ หรือทำกับข้าวหน้ากระทะไฟร้อน ๆ

[b]สนนราคาในการฉีดโบท็อกซ์แต่ละครั้ง
           สำหรับโรงพยาบาลเอกชนทั่วไป คงอยู่ที่ประมาณแห่งละ 8,500 บาท เช่น ที่หน้าผาก ระหว่างคิ้ว และรอยตีนกา หากฉีด 2 ที่พร้อมกันจะอยู่ราว ๆ 15,000 บาท สำหรับโรงพยาบาลรัฐบางแห่งอาจถูกกว่าประมาณร้อยละ 40 – 50

คำแนะนำในการพบแพทย์ครั้งแรก
           ควรบอกความต้องการ แจ้งโรคประจำตัวและยาที่รับประทาน อาจนำภาพถ่ายของตนเองในวัยสาว หรือตอนอายุยังน้อยมาเป็นการช่วยประกอบด้วยก็จะยิ่งดี แต่อย่าลืมว่าไม่ควรคาดหวังสูงจนเกินไป ควรสอบถามความคิดเห็นและประสบการณ์ของแพทย์ก่อน

วิธีดูแลผิวเพื่อให้สวยยาวนาน
           หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ซึ่งเป็นมลพิษต่อร่างกาย เพราะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและสารพิษจากบุหรี่ยังทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอีกด้วย แม้คนที่ไม่สูบบุหรี่แต่อยู่ในบรรยากาศของการสูบบุหรี่ต้องสูดดมตลอดเวลาก็จะเกิดผลเสียเช่นเดียวกับผู้ที่สูบบุหรี่ ส่วนผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำนั้นจะทำให้ร่างกายขาดความชุ่มชื่น ลดระดับวิตามินในร่างกายลงอีกด้วย บางคนเกิดอาการขาดวิตามินบี 12 ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเหมือนคนสูงอายุ การขึ้นลงของน้ำหนักเป็นไปอย่างฮวบฮาบ ทำให้ผิวหย่อนยานได้ ยิ่งอยู่ในวัยกลางคนแม้น้ำหนักจะลดลงเล็กน้อยก็สามารถเห็นริ้วรอยบนใบหน้าได้อย่างชัดเจน ควรใช้ครีมปกป้องผิวจากแสงแดดที่มีค่า SPF 30 เพราะการตากแดดเป็นการทำลายผิวอย่างสะสม ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในระหว่าวัน ช่วง 10.00 – 15.00 น. สวมเสื้อแขนยาวและหมวกเมื่อออกแดด ควรดูแลตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ เพราะร้อยละ 90 ของผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดดจะเกิดในวัยเด็กก่อนอายุ 22 ปี และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง บางคนอาจจะประมาณ 7 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น การนอนมีความจำเป็นมากเพราะช่วยลดการเผาผลาญในระดับบาซาล การเผาผลาญตลอดเวลาจะทำให้เกิดอาการไฮเปอร์ ทุกครั้งที่มีการเผาผลาญต้องมีสารตกค้าง เมื่อร่างกายต้องการอาหาร ออกซิเจน และน้ำในขณะพักผ่อน การเผาผลาญจะช้าลง สารตกค้างจึงมีน้อย ร่างกายถูกสร้างมาให้ขจัดสิ่งตกค้างได้ในระดับเฉพาะเท่านั้น ดังนั้นการพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ร่างกายต้องเผาผลาญตลอดเวลา จึงเป็นการเพิ่มพูนสารตกค้างและทำให้เกิดอนุมูลอิสระอีกด้วย การบำรุงผิวด้วยวิตามินอีและซี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์จะช่วยให้ผิวสร้างภูมิคุ้มกันจากมลภาวะ และวิตามินเอหรือเทรทินอยด์จะช่วยลดเลือนริ้วรอยได้นะค่ะ
ถ้าอยากหน้าเรียวโบทอกซืช่วยได้ไหมครับ
จะไปฉีดโบท็อกหน้าเรียว
แต่เพื่อนแนะนำให้ไปเกิดไหม่ .. ร๊ายยยยยยยยยยยยยนัก
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2009-4-27 14:05:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ถ้าอยากหน้าเรียวโบทอกซืช่วยได้ไหมครับ
ต้นฉบับโพสโดย mdton เมื่อ 2009-4-26 20:12


การปรับโครงหน้าคางเหลี่ยม( Square Jaw) ให้ดูเรียวยาวขึ้น ด้วยการฉีดสาร Botox

โครงหน้าของชนชาวตะวันออก โดยเฉพาะในแถบประเทศเกาหลี จีน หรือคนไทยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักจะพบเห็นโครงหน้า ที่กว้างคางเหลี่ยม โดยจะพบว่ามีขากรรไกรที่กว้าง ใบหน้าแทบจะเป็น 4 เหลี่ยมจตุรัส ( Square face) ซึ่งหนุ่มสาวทั้งหลาย ไม่ค่อยจะชมชอบกันมากนัก เพราะทำให้ดูแตกต่างจากโครงหน้าของชาวตะวันตก ที่ดูเรียวยาวสวยงาม ซึ่งเดิมการเปลี่ยนแปลงโครงรูปหน้าให้เรียวขึ้น จะต้องอาศัยมีดหมอผ่าตัดหั่นขากรรไกร (Mandible) ออก และตัดกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง ( Masseter muscle) ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัด ต้องพักฟื้น และอาจจะมีผลข้างเคียง ได้มากจากการผ่าตัด แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ( ประมาณ ค.ศ. 2001) ที่ประเทศเกาหลี ได้เริ่มมีการนำเทคนิคใหม่ในการปรับรูปหน้าเหลี่ยมให้เรียวยาวขึ้น ด้วยการฉีดสาร Botox ซึ่งพบว่าได้ผลดี และกำลังจะได้รับความนิยมแพร่หลายเพิ่มมากขึ้นในประเทศแถบเอเซีย ลองมาดูรายละเอียดกันดีกว่านะครับ

Botox ในยุคนี้ถือว่าเป็นยาฉีดที่มาแรง แซงโค้งมาฮิตติดอันดับหนึ่งของวงการความสวยความงามทั่วโลกทีเดียว โดยหลังจากเดือน พค. 2545 ที่ทาง FDA ของอเมริกา ได้รับรองผลว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยย่น ที่ใบหน้าและลำคอได้ผล และปลอดภัย โดยกลไกการทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่ก่อให้เกิดริ้วรอยย่น คลายตัว จนทำให้ 70 กว่าประเทศทั่วโลก ได้ใช้สารนี้ฉีดลบริ้วรอยกันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา และก็ทำให้มีการทดลอง ประสิทธิภาพด้านอื่นๆ ของ Botox กันอีกมากมาย เช่น การปรับแนวรูปคิ้วด้วยสาร Botox การลดการหลั่งเหงื่อผิดปกติที่ฝ่ามือ และรักแร้ ด้วยการฉีด Botox และล่าสุดก็คือ การปรับโครงหน้าคางเหลี่ยมให้เรียวยาวขึ้น
สาเหตุของคางเหลี่ยม (Square Jaw) เกิดจากการโตของขอบเหลี่ยมกระดูกขากรรไกร หรือเกิดจากการหนาตัวของกล้ามเนื้อ Masseter ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร และการขบกัดอาหาร ( ดูภาพประกอบที่ 1 ) ซึ่งมีรายงานทางการแพทย์ และมีการทดลองฉีดสาร Botox ในประเทศ เกาหลี ในกลุ่มคนไข้ของหมอเกาหลี ลงตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษ (British Journal of Plastic Surgery) พบว่าสามารถทำให้ขนาดใบหน้า และคาง ลดลงได้ถึง 20-30 % โดยมีรายงาน 3-4 รายงาน ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารดังกล่าว ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ 2001

เทคนิคการฉีด จะฉีดเข้าตรงตำแหน่งของกล้ามเนื้อ Masseter ประมาณข้างละ 5-6 จุดๆ ละ 2-4 ยูนิต แล้ววัดผลขนาดของคางที่เรียวขึ้น ด้วยการทำ CT Scan ขนาดกล้ามเนื้อหลังฉีด พบว่าหลังติดตามผล 3 เดือน จะพบว่าขนาดของคางจะเรียวเล็กลงได้ถึงเฉลี่ยประมาณ 23% แต่ทั้งนี้ก็แตกต่างกันได้ในแต่ละคน อาจจะมากน้อยกว่านี้ได้แล้วแต่ขนาดโตมากน้อยของกล้ามเนื้อและขนาดของขากรรไกร คนไข้ส่วนใหญ่จะพบว่าหลังฉีด 1-2 เดือนแรกจะยังไม่เห็นความแตกต่างมากนัก และเห็นผลชัดเจนเมื่อย่างเข้าเดือนที่ 3 และพบว่าจะต้องมาฉีดซ้ำในเดือนที่ 8-12
ผลข้างเคียงที่พบได้หลังฉีด ก็คือ ทำให้ประสิทธิภาพในการเคี้ยวอาหารลดลงได้ หรือทำให้ลักษณะการยิ้มเปลี่ยนแปลงได้ หรือในบางคนอาจจะ ทำให้โหนกแก้มดูสูงขึ้นได้ ส่วนผลข้างเคียงอันตรายร้ายแรงอื่นๆ ไม่พบในรายงานการทดลอง จากรายงาน และผลการทดลองดังกล่าว ทำให้ได้มีการทดลองฉีดกันอย่างแพร่หลายในประเทศแถบเอเซีย (รวมทั้งประเทศไทย) เทคนิคในการฉีดและการแก้ไข ได้มีการปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด และได้ผลการรักษาที่คนไข้พอใจที่สุด ในความเห็นของผู้เขียน คาดว่าในอนาคตข้างหน้านี้ คงจะได้รับการยอมรับกันมากขึ้นจากทั่วโลก
ข้อมูลเยอะดีค่ะ
ส่วนตัว ฉีดทั้งลดริ้วรอยและ ลดกราม มาค่ะ:)
คุณidol hall ฉีดที่ไหนคะ ได้ผลป่าว ราคาเท่าไหร่ด้วยนะคะ กำลังศึกษา ขอบคุณคร๊า
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้