เจ้าของ: joy234
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

[ดูแลผิว] เคล็บลับดูแลผิวพรรณ

[คัดลอกลิงก์]
51#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 09:32:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คอลลาเจน คือ ... ??? น่ารู้! ประโยชน์ของคอลลาเจน
วันนี้เรานำเรื่องน่ารู้เกี่ยวประโยชน์ของคอลลาเจนและคอลลาเจน คือ อะไร? วันนี้เราก็มีคำตอบให้คุณผู้หญิงหลาย ๆ หายส่งสัยกันด้วยค่ะ เพราะว่ามีคุณผู้หญิงมากมายเหลือเกินที่ยังไม่เข้าใจถึง ประโยชน์ของคอลลาเจน และยังไม่รู้ว่า คอลลาเจน คือ อะไร? กันแน่ค่ะ เพราะเป็นที่รู้กันดีกว่า ณ เวลานี้ คอลลาเจน ได้รับความสนใจอย่างมากโดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ และคอลลาเจนก็ถูกแต่งเติมขึ้นมาอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอางค์ หรือแม้แต่ในอาหารต่าง ๆ ให้คุณผู้หญิงได้เลือกบริโภค แต่ถ้าคุณผู้หญิงอยากรู้ถึง ประโยชน์ของคอลลาเจน และกำลังหาคำตอบว่า คอลลาเจน คือ อะไร? นั้นเราก็มาดูกันเลยดีกว่าค่ะ

ประโยชน์ของคอลลาเจน VS คอลลาเจน คือ ?
- คอลลาเจนคือ ?

คอลลาเจน หรือ Collagen ที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก (มีความหมายว่า กาว คนในยุคนั้นนำเอาผิวหนังสัตว์ไปเคี่ยวเพื่อให้ได้กาวเหนียว ๆ มาใช้งาน) จริง ๆ แล้วคอลลาเจนคือ โปรตีนธรรมชาติในร่างกาย ในคอลลาเจนมีสารสำคัญ 2 ชนิด คือ Proteoglycan และ Glycosaminoglycans ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นโครงสร้างหลักของผิว เส้นผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ ตลอดจนผนังหลอดเลือด บางคนเรียกมันว่า กาวแห่งชีวิต เพราะคอลลาเจนทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ในร่างกายเข้าด้วยกันปกป้องอวัยวะภายใน ร่างกายและเชื่อมอวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่ด้วยกัน ในผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) จะประกอบด้วยคอลลาเจนจนถึง 75%

- คอลลาเจนเกี่ยวอะไรกับผิวสวย?

ภายในผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) ที่ประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75% ความอุดมสมบูรณ์ของคอลลาเจนจึงมีส่วนสำคัญในการทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น นุ่มนวลมีความยืดหยุ่นดีทำให้ผิวเต่งตึงกระชับ ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผิวเยาว์วัยที่ไม่เหี่ยวย่นไม่มีริ้วรอยและตีนกาเป็น ผิวที่เราทุกคนเป็นเจ้าของในช่วงวัยเด็กและวัยสาวก่อนอายุจะย่าง 30 ทั้งนี้เพราะภายในชั้นผิวของเรามีความอุดมสมบูรณ์ของคอลลาเจนสูง
- จริงหรือที่ว่าเมื่อ อายุย่าง 30 คอลลาเจน จะลดลงปีละ 15%?

ในช่วงวัยเด็กและวัยสาวรุ่น ร่างกายจะสังเคราะห์คอลลาเจนอย่างเต็มที่สมบูรณ์ จนเมื่ออายุย่างเข้า 30 อัตราการสังเคราะห์คอลลาเจนจะเริ่มลดลงปีละ 1.5% ในทุก ๆ ปี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และยังโชคร้ายที่จะ เกิดขึ้นชัดเจนในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เขาถึงบอกว่า ผู้หญิงแก่ง่ายกว่าผู้ชาย อัตราการลดลงอย่างต่อเนื่องของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้จะมีผลให้ผิวพรรณ ค่อย ๆ สูญเสียความชุ่มชื่น นุ่มเนียนและความยืดหยุ่น ผิวที่เคยสวยเต่งตึง นุ่มนวล ค่อย ๆ แห้งกร้าน ผิวจะยุบตัวลงทุกปีทุกปีทำให้เกิดริ้วรอยเหยี่ยวย่นและตีนกา และกว่าคุณจะอายุ 45 ปี ระดับคอลลาเจนในชั้นผิวได้ลดลงไปแล้วกว่า 30%

52#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 09:32:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
- มีวิธีหยุดการลดลงของคอลลาเจนไหม?

อัตราการสังเคราะห์คอลลาเจนที่ลดลงปีละ 1.5% ทุกปี ตั้งแต่เราอายุย่างเข้า 30 นั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน โดยที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่เราสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณและรักษาผิวไว้ให้ดูดีให้นานที่ สุดได้ โดยการวิจัยด้านโภชนาการได้ค้นพบว่า การรับประทานคอลลาเจนที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกเป็นอาหารเสริมประจำอย่างต่อ เนื่องสามารถช่วยเสริมเติมคอลลาเจนที่พร่องลงตามวัยที่เพิ่มขึ้นคืนกลับให้ กับร่าง กาย สามารถช่วยป้องกันและชะลอริ้วรอยเหยี่ยวย่น รอยตีนกา ความแห้ง กระด้าง ช่วยรักษาผิวพรรณให้มีความชุ่มชื้น นุ่มนวลเรียบเนียน คงความยืดหยุ่นของผิวไว้ ถ้าให้ดียิ่งขึ้นควรรับประทานวิตามินอีด้วย เพื่อช่วยเพิ่ม (Dermis) ซึ่งการทาที่ผิวหน้าและผิวตัวจะซึมเข้าสู่ผิวได้แค่เพียงชั้นหนังกำพร้าเท่า นั้น

- ถ้าทาคอลลาเจนที่ผิวจะได้ผลไหม?

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างใหญ่มากไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปในผิวชั้น หนังแท้ (Dermis) ได้ ดังนั้นการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนทาที่ผิว คอลลาเจนจะซึมผ่านเข้าไปได้แค่ผิวชั้นหนังกำพร้าที่อยู่ชั้นนอกสุดอาจทำให้ ผิวหนังกำพร้าชุ่มชื้นขึ้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการลดลงของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้ วิธีเพิ่มคอลลาเจนคืนกลับให้ผิวที่ได้ผลคือ การฉีดเข้าใต้ผิวหนังและการรับประทานเท่านั้น แต่การรับประทานจะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่าและนำคอลลาเจนเข้าไปเสริม สร้างผิวพรรณทั้งใบหน้าและทั่วทั้งร่างอีกทั้งเข้าไปเสริมสร้างเส้นผมให้เงา งาม เล็บมือ เล็บเท้าไม่เปราะ หักง่าย เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่เป็นโครงสร้างของผมและเล็บที่งอกใหม่ออกมา ทุกวัน ในขณะที่การฉีดจะเสริมคอลลาเจนได้เฉพาะที่เท่านั้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ผู้หญิงวันนี้
53#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 09:33:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีอะไรบ้างน๊า...??? "มีคำตอบ!!!"
สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีอะไรบ้างน๊า....วันนี้มีคำตอบมาตอบคำถามของผู้ที่สงสัยและอยากรู้เรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ตัวนี้ค่ะ เพราะหากว่าคนเราโดยเฉพาะผู้หญิงอย่างเรา ๆ ได้รับ สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ก็จะเป็นส่วนช่วยผลักดันในเรื่องของผิวพรรณและชะลอการเสื่อมโทรมของสภาพผิว หนักที่อาจจะแก่ก่อนวัยได้ค่ะ แต่ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระก็ไม่ได้หมดแต่เพียงเท่านี้หรอกนค่ะ แต่เรามาดู สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) กันเลยดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้างจะได้เลือกใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมค่ะ

10 สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)

1.สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

สารซูเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์คุณค่าสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และวิตามินอี 50 เท่า อยู่ในกระแสเลือดได้นานถึง 72 ชั่วโมง สามารถป้องกันและลดการทำลายล้างจากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเรา ตลอดเวลาทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน โดยเฉพาะระบบหลอดเลือด หัวใจ ผิวหนัง และตา ช่วยชะลอการเสื่อมของผิวพรรณไม่ให้แก่ก่อนวัยอย่างตรงจุด ปริมาณการใช้ วันละ 20-60 มก.

2.ชาเขียว

สารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์หลายชนิด โดยเฉพาะสาร EGCG ที่มีฤทธิ์มากกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่า สามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะ โดยเฉพาะมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเป็นพิษจากการสูบบุหรี่ ปริมาณการใช้วันละ 300-1,000 มก.

3. สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส

ช่วยแก้ปัญหาเรื่องฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสีให้อยู่ ในสภาวะที่สมดุลมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ปริมาณการใช้ วันละ 75 มก.

4. โคเอนไซม์คิวเท็น

สร้างพลังงานในระดับเซลล์ให้ทำงานได้อย่างปกติเซลล์ที่ต้องการพลังงานสูงและ ต้องการโคเอนไซม์คิวเท็นมากเป็นพิเศษ ได้แก่ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์สมอง เพื่อให้มีความตื่นตัวเพิ่มทักษะในการจดจำและผ่อนคลายจากความตึงเครียด ส่วนเซลล์ผิวหนังต้องการโคเอนไซม์คิวเท็นเพื่อช่วยฟื้นฟูความสดใส ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.
5. เนชันรัลเบต้าแคโรทีน

บำรุงสายตาและผิวพรรณป้องกันการเกิดมะเร็งที่ปอดจากการสูบบุหรี่ ช่วยลดการก่อเซลล์มะเร็งที่ผิวหนัง เบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติที่สกัดได้จากสาหร่าย เป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนที่เข้มข้นและปลอดภัย ปริมาณการใช้วันละ 6-15 มก.

6. ลูติน

เป็นสารธรรมชาติพบได้มากในพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาดเขียวใบหยิก ผักปวยเล้ง ลูตินจะเป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดรับภาพและจอประสาทตาได้ดี ปริมาณการใช้วันละ 6-20 มก.

7. กรดอัลฟาไลโปอิค

สารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติมีบทบาทสำคัญในการช่วยปรับปรุงกระบวนการเผาผลาญ น้ำตาลให้เป็นพลังงาน จึงช่วยป้องกันและบรรเทาโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้ดี ปริมาณการใช้วันละ 50-200 มก.

8. สารสกัดจากใบแปะก๊วย

ป้องกันความเสื่อมของเซลล์สมองช่วยบำรุงสุขภาพสมองอย่างมีประสิทธิภาพและ เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตและยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันที่สมองเช่น กัน ปริมาณการใช้ วันละ 40-80 มก.

9. วิตามินซี

ป้องกันโรคหวัดและบรรเทาอาการภูมิแพ้ช่วยสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนเพิ่มความ ยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณ คลายความเครียด ความอ่อนเพลีย แก้สภาวะการเป็นหมันในผู้ชาย โดยช่วยเพิ่มความแข็งแรงและปริมาณของตัวอสุจิอีกด้วยปริมาณการใช้วันละ 1,000-4,000 มก.

10. วิตามินอี

บำรุงผิวพรรณป้องกันโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือดในหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง ต่าง ๆ ปริมาณการใช้วันละ 200-400 มก.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman Plus

54#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 09:35:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เคล็ดลับ! สุขภาพผิวดี
เคล็ดลับสุขภาพผิวดีเพื่อสาวเอเชียอย่างเรา ๆ โดยเฉพาะจะว่าไปแล้วผิวพรรณของสาวเอเชียนั้นมักจะโชคดีกว่าสาว ๆ ชาวยุโรปอีกนะ เพราะเนื่องมากเม็ดลีเมลานินที่ต่างกันทำให้การปกป้องผิวจากแสงแดดจึงต่าง กันด้วย แต่ถึงแม้ว่าสาวเอเชียจะมีสุขภาพผิวดีกว่าสาวชาวยุโรปแต่ก็ห้ามชะล่าใจเป็น อันขาดค่ะ ฉะนั้นมาฟัง เคล็ดลับ! สุขภาพผิวดี กันเลยดีกว่าค่ะ

สุขภาพผิวดี

ปกป้องผิวจากแสงแดด

เลือกครีมกันแดดที่ทาแล้วรู้สึกสบายผิว โดยทาหลังอาบน้ำล้างหน้าขณะที่ผิวยังชื้นน้ำลงให้ทั่วผิวทุกส่วนที่เผยออก มานอกร่มผ้า ทั่วใบหน้า ลำคอ แขน หลังมือ หลังเท้า ถ้าใส่สายเดี่ยวก็คงต้องลงให้ทั่วเนินอกและแผ่นหลัง เพียงลูบให้ทั่วผิวชุ่ม ๆ ไม่จำเป็นต้องถูครีมกันแดดกับผิวแรง ๆ ไม่งั้นประสิทธิภาพของครีมอาจลดลงถึง 25 เปอร์เซ็นต์

จะเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดดหรือผสมมอยส์เจอไรเซอร์ทั่วไปกับครีมกันแดดในปริมาณพอ ๆ กันที่ผ่ามือก่อนลงก็ใช้ได้


หลบเลี่ยงแสงแดด

แค่ ทาครีมกันแดดเป็นประจำยังไม่เพียงพอต้องพยายามหลบแดดอย่างจริงจังร่วมด้วย ครีมกันแดดเป็นเพียงตัวช่วยที่สำคัญเมื่อต้องออกแดดควรเตรียมร่ม แว่นกันแดด หมวกปีกกว้าง รวมทั้งสวมเสื้อคลุมผิวและคอยหลบแดดในร่มทันทีที่ทำได้


หยุดบุหรี่

ไม่น่าเชื่อว่าบุหรี่จะทำลายความเปล่งปลั่งของผิวมากมาย จากการศึกษาเปรียบเทียบผิวพรรณฝาแฝดพบว่า แฝดคนที่สูบบุหรี่ติดต่อกันเป็นเวลานานผิวพรรณจะดูแก่กว่าคู่แฝดที่ไม่สูบ บุหรี่เลย 40 เปอร์เซ็นต์ กิริยาดูดบุหรี่จะก่อให้เกิดริ้วย่น ๆ เล็ก ๆ รอบริมฝีปากการหรี่ตาหลบควันบุหรี่จะก่อให้เกิดรอยตีนกาที่ลึกและเด่นชัด กว่าปกติ

การสูบบุหรี่ไม่เพียงทำให้ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารลดลงยังมีผลให้แผล ต่าง ๆ หายช้าลง และอาจส่งผลให้เกิดแผลเป็นในลักษณะที่กว้างใหญ่ขึ้นหลังแผลหายแพทย์ศัลยกรรม ตกแต่งบางท่านจะเตือนผู้สูบบุหรี่ที่คิดจะทำการผ่าตัดถึงความจริงข้อนี้


55#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 09:35:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลับเป็นเวลา

ครีมบำรุงขวดละเท่าไรก็ไม่สู้การได้หลับ สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงผิวดีช่วงขณะหลับเป็นช่วงเวลาที่ผิวฟื้นฟูตนเอง ให้กลับสดใสแข็งแรงกล้ามเนื้อใบหน้าผ่อนคลายเต็มที่ริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดจากการเกร็งกล้ามเนื้อในช่วงกลางวันจะค่อยคลายลงและดูนุ่มนวลขึ้นใน เช้าอีกวัน

ควรนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมงทุกวัน และนอนให้เป็นเวลาจะช่วยให้ระบบชีวภาพภายในร่างกายดำเนินไปตามปกติ ไม่รวนในวันที่ต้องการพักผ่อนเป็นพิเศษอาจเข้านอนก่อนเวลาแต่ควรตื่นในเวลา เดิมแม้จะเป็นวันหยุดจะตื่นสายก็ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมง

หลีกเลี่ยงการแอบงีบระหว่างวัน ถ้าง่วงจริง ๆ ให้ทำสมาธิแทนจะช่วยให้รู้สึกแจ่มใสและร่างกายได้พักเหมือนกัน เพียงแต่จะไม่รบกวนวงจรการหลับในช่วงกลางคืน

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟอีนหลังบ่ายสามโมง อย่างชา กาแฟ น้ำอัดลม (จำพวกที่มีชื่อเล่นว่าน้ำดำ) ช็อกโกแลต หรือแม้แต่เครื่องดื่มสกัดกาแฟอีนแล้ว ส่วนแอลกอฮอล์ อาจช่วยให้คุณง่วงและหลับเร็วแต่จะเป็นการหลับที่ไม่สนิท

ควรจัดห้องนอนให้โปร่งอากาศถ่ายเทสะดวก คนโบราณแนะนำให้หันหัวเตียงไปทางเหนือเชื่อว่าแม่เหล็กโลกทางเหนือจะช่วยให้หลับสนิท
ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า

หลีกเลี่ยงการขมวดคิ้ว นิ่วหน้า หยีตา หรือการเกร็งกล้ามเนื้อใด ๆ ระหว่างวันให้มากที่สุด การขยับกล้ามเนื้อและผิวในบริเวณใดซ้ำ ๆ กันเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดริ้วรอยในบริเวณนั้น

เริ่มจากวางกระจกไว้ที่โต๊ะทำงานหรือข้างโทรศัพท์คอยเหลือบมองตนเองในกระจก คราวใดที่ใบหน้าเครียดเกร็งจะได้รู้ตัว วางสองนิ้วบนกล้ามเนื้อที่เกร็งขมวดลูบเบา ๆ เพื่อคลายอาการเกร็ง

การ เหลือบมองตนเองในกระจกขณะโทรศัพท์ยังช่วยให้จับได้ว่าตนเองชอบทำหน้าเช่นไร ขณะพูด สีหน้าที่ปราศจากอาการเกร็ง นิ่งผ่อนคลายสบาย ๆ จะก่อให้เกิดริ้วรอยน้อยที่สุด ควรคงลักษณะสีหน้าเช่นนั้นไว้ให้มากที่สุดและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แสงจ้า ไม่อย่างนั้นคุณจะหรี่ตาติดต่อกันเป็นเวลานาน


อาหาร

ร่างกายทั้งระบบต้องการสารอาหารครบทั้งห้าหมู่ผิวพรรณก็เช่นกันใส่ใจเรื่อง การกิน ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว สนใจอาหารที่อุดมกากใยเนื่องจากอาหารประเภทนี้จะอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ หลากหลาย กากอาหารจะช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำและขับถ่ายของเสีย ขณะที่เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์และกาแฟอีนจะดึงน้ำออกจากเซลล์เซลล์ อาจอยู่ในสภาพขาดน้ำทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารเต็มที่ การบริโภคติดต่อกันนาน ๆ ในปริมาณมาก ๆ ผิวจะสูญเสียความเปล่งปลั่งดูซีดเทา ๆ ไม่สดใส

แนะนำให้ดื่มน้ำคั้นแยกกากจากผักผสมผลไม้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ผสมแครอต 2 หัว แอปเปิ้ลเขียว 1 ผล ผักชีฝรั่งกำเล็ก ๆ และขิงอีกนิดหน่อยปั่นรวมกันในเครื่องแยกกากแล้วดื่มทันที คุณอาจลองดื่มน้ำปั่นจากผักและผลไม้อื่น ๆ ตามชอบกล้วยหอมและมะเขือเทศปั่นสดก็อุดมด้วยสารบำรุงผิวน้ำผักและผลไม้ไม่ เพียงให้ความสดชื่นทันทีที่ดื่ม ดื่มเป็นประจำผิวดีขึ้นจนคุณเองอาจรู้สึกได้


การดูแลผิว

อันดับแรกเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนกับผิวมองหาผลิตภัณฑ์ที่ปราศจาก ส่วนผสมของสบู่ มีค่า pH ที่สมดุลกับผิว ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีจุดเด่นดังกล่าว มักจะแจ้งให้ทราบบนฉลากผลิตภัณฑ์ล้างหน้าใดใช้แล้วรู้สึกผิวตึงเลิกใช้ได้ เลยอย่าเสียดาย

ถ้าคุณไม่ใช่สาวผิวมันตัวจริงเสียงจริงการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าในตอนเช้าอาจ ไม่จำเป็น (ยกเว้นเมื่อคืนคุณจะหลับทั้งไม่ล้างหน้า) ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าก็เพียงพอโดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้งมาก จากนั้นลงมอยส์เจอไรเซอร์ตามขณะที่ผิวยังชื้นน้ำสำหรับผู้ที่ผิวผสมจะขอลง ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าเฉพาะช่วงทีโซนก็พอ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆที่มีประโยชน์ค่ะ

แสดงความคิดเห็น

เห็นว่าเป็นประโยชน์ก็เลยนำมาโพสต์ ขอบคุณนะค่ะที่เข้ามาอ่าน  โพสต์ 2011-4-25 21:25
ชอบอ่านเรื่องพวกนี้อยู่แล้วล่ะค่ะ ดีมากๆเลย อย่าลืมเข้ามาโพสอีกเรื่อยๆนะคะ จะได้ติดตามอ่านค่ะ :-)

แสดงความคิดเห็น

ถ้าเจอข้อมูลดี ๆจะเอาโพตส์อีก ติดตามอ่านนะค่ะ  โพสต์ 2011-4-27 00:30
58#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:34:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เป็นสิวทําไงดี? เรามี! "วิธีการรักษาสิว"
เป็นสิวทําไงดี? เป็นสิวทําไงดี? เป็นสิวทําไงดี? วันนี้เรามีวิธีการรักษาสิวแบบ ง่าย ๆ มาฝากกันด้วยค่ะ หนึ่งใน วิธีการรักษาสิว คือ ก่อนอื่นเราก็ต้องหลีกเลี่ยงสารก่อนอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เป็นสิวมากที่สุด วิธีการรักษาสิว ขั้นที่สองก็คือการเลือกใช้ยารักษาให้เหมาะสมนั่นเองค่ะ เพียงแค่คุณรู้เรื่องตัวการการทำให้เกิดสิวกับตัวยารักษาสิว เรื่อง สิว ๆ ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่อง สิว ๆ ๆ แล้วล่ะค่ะ เห็นไหมค่ะว่า วิธีการรักษาสิว ของเราในวันนี้เป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังเป็นสิวอย่างคุณมากขนาดไหน นั้นเรามาดู สารก่อสิว เพื่อให้ห่างไกลและตัวยารักษาสิวกันเลยดีกว่าค่ะ
กำจัดสิว ต้นเหตุที่แท้จริง

มีคำพูดอยู่หนึ่งคำที่เรามักคุ้นหูกับคำพูดที่ว่า เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถึงจะเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างไรก็คงที่จะอดกังวลใจอยากกำจัดสิวไป โดยเร็วใช่ไหมล่ะค่ะ และยิ่งหากว่าต้องออกไปเข้าสังคมสังสรรคเกิดเป็นสิวเต็มหน้ารองพื้นชนิดใด เฉดสีไหนก็เอาไม่อยู่จะยิ่งทำให้กังวลใจกันไปใหญ่เลย กลัวคนทักบ้าง กลัวคนว่าบ้าง กลัวคนนินทา ยิ่งทำให้รู้สึกอับอายไปกันใหญ่ วันนี้เรามา กำจัดสิว ต้นเหตุที่แท้จริงด้วยกันเถอะค่ะ แล้วคุณจะได้ไม่ต้องพบเจอกับเรื่องสิว ๆ ที่ไม่สิวถ้าเกิดมาเจอบนหน้าของคุณอีกต่อไปค่ะ แล้วเมื่อ กำจัดสิว ได้แล้วต่อไปก็เดินเชิดหยิ่งกันได้แล้วค่ะ เอาชนิดที่เรียกว่า ไม่สวย ไม่เริด ไม่ได้หรอก อิอิอิ
กำจัดสิว

ดร.เมอร์ฟราน เมลการ์ สมาชิกสมาคม โรคผิวหนังของประเทศฟิลิปปินส์ อธิบายสาเหตุของการเกิดสิวว่า สิว เกิดจากการเจริญเติบโตของ follicular ที่เปลี่ยนแปลงไปทําให้มีการผลิตซีบัมเพิ่มขึ้น

แบคทีเรีย ที่ชื่อว่า Propionibacterium acnes จึงเจริญเติบโตได้ดีและทําให้เกิดการอักเสบในที่สุด มีความซับซ้อนและรุนแรงแต่ในความเป็นจริง สิว เกิดจากสารเคมีในผิวหนังมนุษย์ซึ่งถูกกระตุ้นได้โดยแบคทีเรียที่ซุกซน การผลิตซีบัมที่มากเกินจะไปอุดตันรูขุมขนทําให้เป็นที่อาศัยของแบคทีเรียจาก สิ่งสกปรกต่าง ๆ รูขุมขนจึงเกิดการอักเสบและเกิดผลที่ไม่น่ายินดีนัก ซึ่งก็คือ สิว นั่นเอง

โดยปกติสิวที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นจะเป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ตามพัฒนาการของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ทั้งชายและหญิงที่ย่างเข้าสู่วัย 30 และมากกว่านั้นอาจยังต้องทรมานกับโรคผิวหนังชนิดนี้อยู่ กุญแจสําคัญในการป้องกันและจัดการกับปัญหานี้คือ การเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการรักษา

วิธีรักษาสิวบนใบหน้า

วิธีการรักษาสิวที่ได้ผลในช่วงเวลาดังกล่าวอาจช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ซึ่ง ก็นําเราเข้าไปสู่ทฤษฎีที่คุ้นเคยกันว่า การล้างหน้าบ่อย ๆ ช่วยลดการเกิดสิวได้ สําหรับการล้างหน้าด้วยสบู่ที่ไม่ผสมไขมันหรือเคลนเซอร์ทําความสะอาดใบหน้า ซึ่งจะช่วยลดซีบัมได้แล้ว ทาด้วยโทนเนอร์หรือน้ำยาทําความสะอาดหลังล้างหน้าจากนั้นตามด้วยยาฆ่าเชื้อ แบคทีเรียเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เพียง 3 ขั้นตอนที่ช่วยควบคุมการเกิดสิว รักษาสิว และช่วยให้หน้าใสเปล่งประกายผิวสุขภาพดี


ขอขอบคุณข้อมูลจาก daradaily
59#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:39:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
6 อาหารเสริมบำรุงผิว
อยากมีผิวสวยเนียนกระชับวันนี้เรามีตัวอย่างอาหารเสริมบำรุงผิวมา ฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายที่ใส่ใจในผิวพรรณและสุขภาพค่ะ 6 อาหารเสริมบำรุงผิว ที่เรากำลังจะแนะนำต่อไปนอกจากจะทำให้คุณมีผิวพรรณเปล่งปลั่งดูสุขภาพดีจาก ข้างในแล้วยังช่วยให้ผิวของคุณขาวขึ้นอย่างได้ผลจนคนรอบข้างอาจจะสะดุดตาไป เลยค่ะ
อาหารเสริมบำรุงผิว

และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวที่มีอยู่ในอาหารเสริมเพื่อผิวสวยชั้นนำทรง ประสิทธิภาพ ให้ผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็วกว่าในการลดริ้วรอยหมองคล้ำเหี่ยวย่น พร้อมกับบำรุงผิวให้ขาวเนียน เปล่งปลั่ง กระจ่างใส ดูอ่อนวัย มีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน สารอาหารสำคัญที่มีคุณค่าจำเป็นต่อการบำรุงผิวครบถ้วนทั้ง 6 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น

1. โปรตีนจากปลาทะเลลึก (Marine Protein) แถบ ประเทศนอร์เวย์ประกอบด้วยอณูอะมิโนจำเป็นต่อร่างกาย 18 ชนิด และมีอณูอะมิโนชนิดพิเศษคือ Peptoaminoglycan ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอิลาสตินทั้งด้าน ปริมาณและคุณภาพอันจะช่วยให้ผิวแต่งตึง เปล่งปลั่ง กระชับ เรียบเนียน และนวลนุ่มชุ่มชื่น

2. โคเอ็นไซม์คิวเทน (Coenzyme Q 10) สาร อาหารช่วยเสริมพลังงานให้กับเซลล์ผิวต้านอนุมูลอิสระต้นเหตุของการเสื่อม สภาพและแก่ก่อนวัยของเซลล์ต่าง ๆ ทั้งยังช่วยลดและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยที่เกิดจากแสงแดดช่วยให้ผิวดู อ่อนเยาว์สดใสมีชีวิตชีวา

3. สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส (French Maritime Pine Bark) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างยิ่งยวด (Super Antioxidant) ช่วยต้านความชราของผิวพรรณยับยั้งการเกิดเม็ดสีที่ผิดปกติต้นเหตุของฝ้า กระ ความหมองคล้ำ ทำให้ผิวขาวเนียนสดใส และมีเลือดฝาด

4. วิตามินซี (Vitamin C) สาร ต้านอนุมูลอิสระลดอาการหมองคล้ำ ความร่วงโรย เสริมสร้างปริมาณและความแข็งแรงของคอลลาเจน ช่วยให้โครงสร้างผิวพรรณแข็งแรงสุขภาพดีมีความยืดหยุ่นกระชับและขาวเนียนใส

5. วิตามินอี (Vitamin E) สารต้านอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่งยับยั้งความเสื่อมชราของเซลล์ต่าง ๆ ช่วยให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น สดใสและดูอ่อนวัย

6. สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) มีสาระสำคัญคือ คาเตซินช่วยต้านอนุมูลอิสระทำให้กลไกในการฟื้นฟูสภาพผิวทำงานได้ดีสามารถขับถ่ายและล้างพิษออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น
เตรียมผิวสวยทุกครั้ง

ผู้หญิงทุกคนก็คงอยากจะอวดผิวสาวที่ขาวนวล เปล่งปลั่ง เรียบเนียน และมีชีวิตชีวาแก่สายตาทุกคู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว  เพียงรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมทั้ง 6 ชนิดดังที่กล่าวมา ร่วมกับกฎเหล็กในการดูแลความงามเหล่านี้

- อาบน้ำทุกเช้า-เย็น เพื่อปลุกเซลล์ผิวให้ตื่นตัวเปล่งปลั่ง

- ทามอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดขณะผิวหมาดจะทำให้โลชั่นซึมซาบสู่ผิวได้ดี

- กันหรือถอนคิ้วหลังอาบน้ำผิวจะอ่อนนุ่มรูขุมขนเปิดกว้างช่วยให้ถอนได้ง่ายขึ้น

- ลงรองพื้น 10 นาทีหลังอาบน้ำ เพราะน้ำมันตามธรรมชาติจะซึมออกจากผิวนิด ๆ ช่วยให้เกลี่ยรองพื้นได้ง่ายขึ้น

- แต่งตาควรปัดมาสคาร่าเป็นอันดับแรก เมื่อขนตาดูเข้มจะทำให้ใช้อายแชโดว์น้อยลงใบหน้าก็จะดูงดงามเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น

- ทาครีมบำรุงช่วงเวลา 3-4 ทุ่ม เป็นเวลาที่ผิวซ่อมแซมตัวเองรูขุมขนเปิดกว้างช่วยให้เนื้อครีมและโลชั่นซึมสู่ผิวได้ดีกว่าปกติ

- สร้างวินัยในการออกกำลังกาย หาเวลาทำกิจกรรมหรือออกกำลังกาย 15-30 นาทีทุกวัน

- ควบคุมการรับประทานให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ หลักง่าย ๆ ก็คือในแต่ละมื้อควรมีผักและผลไม้อยู่ครึ่งหนึ่งของอาหารที่รับประทานและ ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว

- พักผ่อนเพียงพอ ด้วยการนอนหลับลืมเรื่องราวความเครียดต่าง ๆ ก่อนเข้านอนสงบจิตใจด้วยการละวาง

และเพียงแค่ 4 สัปดาห์แรก คุณก็จะสามารถสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงจากผิวที่เคยหมองคล้ำแห้งกร้านขาด ความชุ่มชื้น สู่ผิวที่ขาวเนียนสดใสเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลแลดูอ่อนวัยได้อย่างชัดเจน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
60#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:42:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ยาทำให้ผิวขาว
แหม๋ไม่ไ้ด้เลยนะจ๊ะคุณสาว ๆ พอได้ยินคำว่า ยาทำให้ผิวขาว คงอดไม่ได้ที่ต้องซื้อมาลองกันล่ะซิ แต่เอาเถอะใคร ๆ ก็อยาก ขาวด้วยกันทั้งนั้น วันนี้ดิฉันจึงเอาใจเป็นพิเศษด้วย ยาทำให้ผิวขาว เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่ามียาอะไรกันบ้างแต่ก็ขอเตือนกันไว้อีกนิดว่า ยาแต่ละชนิดควรจะทำการศึกษาอย่างถ่องแท้ก่อนซื้อมารับประทานนะค่ะ

9 ยาทำให้ผิวขาว

1.กลูตาไธโอน
ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินต้านการเสื่อมของเซลล์ผิวส่งผลให้ผิวหน้าขาวสวยใส เปล่งปลั่งไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่น ใต้วงแขน บริเวณขอบชุดชั้นใน ริมฝีปาก และบริเวณหัวนมให้ขาวอมชมพู

2.สารสกัดจากเปลือกสน
ทำให้ผิวขาวใสโดยลดปฏิกิริยาของผิวหนังเมื่อถูกแสงแดด ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดขนาดและความเข้มของฝ้า กระ และช่วยปรับสภาพผิวให้กลับขาวใสขึ้น เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้แรง

3.สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
ในเมล็ดองุ่นมีสารบางชนิดช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวทำให้เนื้อเยื่อ โครงสร้างผิวแข็งแรง ปกป้องเนื้อเยื่อโครงสร้างผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอย ลดความหยาบกร้าน หมองคล้ำ ทำให้ผิวใส เรียบเนียน


4.ชาเขียวสกัด
ปกป้องและรักษาผิวจากการทำลายของมลภาวะโดยเฉพาะแสงแดด ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวให้กลับคืนสู่สภาพปกติช่วยให้ผิวขาวขึ้นช่วยลดและ ชะลอการเกิดริ้วรอย

5.โคเอนไซม์คิวเทน
ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดการเกิดริ้วรอย ด้วยการเร่งการผลิตคอลลาเจนทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิวทำให้ผิวยืดหยุ่นแข็งแรง


6.วิตามินซี
เสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยลดการเกิดริ้วรอย ลดการถูกทำลายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยคงความแข็งแรงของผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและเผยผิวขาวเนียนสดใส


7.สารสกัดจากมะเขือเทศ
ลดรอยดำ และความหมองคล้ำจากผลกระทบโดยตรงหรือโดยทางอ้อมจากแสงแดด ลดการถูกทำลายของผิว ช่วยปกป้องจาการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย เสริมฤทธิ์กับชาเขียวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว


8.วิตามินอี
เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย

9.ซีลิเนี่ยม
ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำงานเสริมกับวิตามินซี และวิตามินอี


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
61#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:44:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การทำความรู้จัก! สารกลูต้าไธโอน "สารเพิ่มผิวขาว"
มีหลากหลายคำถามที่ได้ถามกันเข้ามาถึงสารกลูต้าไธโอนว่า ช่วยเพิ่มความขาวได้จริงรึเปล่า วันนี้เรา จึงไปทำการค้นหาข้อมูลและค้นหาคำตอบถึงเจ้า สารกลูต้าไธโอน ว่าจะช่วยให้คุณได้คำตอบที่ชัดเจนและกระจ่างขึ้นมากเลยทีเดียวค่ะ นั้นอย่างรอช้าค่ะเรามาทำความรู้จักอย่างท่องแท้กับ น่ารู้! สารกลูต้าไธโอน "สารเพิ่มผิวขาว" กันเลยค่ะ

สารกลูต้าไธโอน

สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองมีคุณสมบัติเป็น โปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน โดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษ ออกจากร่างกาย เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำเมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอนจะช่วยให้ละลาย น้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลงสามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำ งานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ

สารกลูตาไธโอนยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีนช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ ให้ถูกทำลายซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

โดยสรุปสารกลูตาไธโอนจึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อ เปรียบเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลงมีผลทำให้เซลล์ และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้ามนักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงมักจะ ตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด

การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์

สารกลูตาไธโอนมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้ออาการข้างเคียงของ ยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งทำให้เม็ดสีของ ผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ดเพื่อ ใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อชะลอวัยและหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู


ยาเม็ดกลูตาไธโอน ได้ผลจริงหรือ ?

ในวงการของอาหารเสริมมีการนำสารกลูตาไธโอนมาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่าง ๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริมโดยหวังผลว่า จะสามารถเสริมและทดแทนปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไปอัน เนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่าง ๆ

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้เพราะจะถูกย่อยสลายและ ขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูตาไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลยไม่ว่าจะกิน ครั้งละหลาย ๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมาก ๆ ก็ตาม

62#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:45:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สารกลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?

ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูตาไธ โอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มาก ๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผลเพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่าง กายไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อ เช่นเดียวกับการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้นจึงไม่ควรใช้ ยานี้ในทางที่ผิด

ภาวะที่ร่างกายขาดสารกลูตาไธโอน

เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เองแต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาดหรือมี กลูตาไธโอนไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อนทำให้กลูตาไธโอนลดน้อยลงด้วยสาเหตุการถูกทำลาย ด้วยยารักษาหรือด้วยตัวโรคเอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อยจะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่ายทำให้ตับ ทำงานได้ไม่เต็มที่มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่องของกลูตาไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรก ซ้อนทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ปริมาณกลูตาไธโอนในระบบ เลือดจะต่ำมาก ๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย


กลูตาไธโอนในธรรมชาติ

พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ในปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิด ๆ และขาดความเข้าใจ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

63#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:46:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การทำความสะอาดผิวหน้า อย่างล้ำลึก "เพื่อผิวขาว กระจ่างใส รูขุมขนกระชับ"
ผิวสวย หน้าขาวใส รูขุมขนกระชับ สีผิวสม่ำเสมอ ไร้สิวและริ้วรอย ใคร ๆ ก็อย่างมี แต่สิ่งต่อไปนี้ช่วยให้คุณได้นั่นคือ การทำความสะอาดผิวหน้าอย่าง ล้ำลึกนั่นเองค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เพียง การทำความสะอาดผิวหน้า แต่เพียงอย่างเดียวเรายังมีการบำรุงผิวหน้าอย่างล้ำลึกอีกด้วย และต่อไปนี้สิ่งที่เรากำลังจะบอกนั้นคือ ขั้นตอน การทำความสะอาดผิวหน้า และ ขั้นตอนการบำรุงผิวหน้า ที่จะช่วยให้คุณนั้นมีผิวสวย หน้าขาวใส รูขุมขนกระชับ สีผิวสม่ำเสมอ ไร้สิวและริ้วรอยอย่างที่ใจคุณต้องการเลยทีเดียวค่ะ
การทำความสะอาดผิวหน้า อย่างล้ำลึก
- ขั้นตอนแรก คือ การทำความสะอาด (Cleansing)

ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการชำระล้างที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวคุณเอง และทำความสะอาดผิวหน้าอย่างนุ่มนวลทั้งตอนเช้าและโดยเฉพาะเวลาก่อนเข้านอน หากคุณแต่งหน้าจัดอยู่เป็นประจำซึ่งการล้างหน้าที่ถูกวิธีนั้นให้หมุนขึ้น และวนออกเพื่อเป็นการเปิดและชำระล้างสิ่งอุดตันและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ติดอยู่ในรูขุมขนให้หลุดออกในขณะนวดล้างทำความสะอาด

- ขั้นตอนต่อมาที่ช่วยล้างผิวหน้าอย่างล้ำลึก (Deep Cleanser)

คือหลังจากการล้างหน้าตามปกติอาจยังมีสิ่งสกปรกที่ยังหลงเหลืออยู่ การมาร์คหน้า พอกหน้านั้นจึงเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งในการกระตุ้นการชำระล้างได้อย่างล้ำลึก อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวให้ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้ หลุดออกขจัดน้ำมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขนให้หมดไป ลดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของสิวเสี้ยนและยังช่วยป้องกันการเกิด สิวหัวขาว (สิวเม็ดข้าวสาร) ได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ผิวพรรณสะอาดอย่างล้ำลึกผิวแลดูสดใสเปล่งปลั่ง

- ปรับสภาพผิวให้เนียนเรียบกระชับ (Toners)

การใช้โทนเนอร์เช็ดผิวหน้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสามารถคืนความสมดุลและ ปรับสภาพผิวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งยังเป็นเกราะป้องกันผิวจากเชื้อแบคทีเรียทำให้ผิวสดชื่นสดใสและ เปล่งปลั่ง อีกทั้งยังเป็นการกระชับผิวให้รูขุมขนเล็กลงช่วยควบคุมน้ำมันส่วนเกินบริเวณ หน้าผาก จมูก คาง (T-ZONE) ให้การแต่งหน้าได้คงทนยิ่งขึ้น

- บำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่นด้วยครีมบำรุง (Moisturizer)

ขาดไม่ได้เลยสำหรับอาหารผิวด้วยการเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว พรรณของคุณ การบำรุงให้ความชุ่มชื้นกลับคืนสู่ผิวด้วยครีมบำรุงผิวนั้นถือเป็นการคืน ความชุ่มชื่นสร้างความยืดหยุ่นสำหรับผิวชั้นนอกเพื่อคงความเปล่งปลั่งช่วย ให้ผิวเก็บกักความชุ่มชื้นช่วยให้ผิวมีน้ำหล่อเลี้ยงได้ถึงผิวชั้นใน ให้ผิวเนียนนุ่มไม่แห้งตึงสวยสมบูรณ์แบบสาวผิวสวยได้ไม่ยากเลยล่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์
64#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:48:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ควรรู้! คําศัพท์เครื่องสําอางค์
วันนี้พาคุณผู้หญิงทั้งหลายมาเรียนรู้คําศัพท์เครื่องสําอางค์เพื่อ ประโยนช์ครั้งหน้าในการเลือกซื้อเครื่อง สำอางค์ได้อย่างตามความต้้องการที่ถูกต้องของคุณ ๆ ค่ะ เพราะถ้าคุณรู้ คําศัพท์เครื่องสําอางค์ ก็จะทำให้คุณได้รับประโยชน์แก่ผิวของคุณได้อย่างเต็มที่เพื่อผิวสวยและนุ่ม นวลค่ะ
  
คําศัพท์เครื่องสําอางค์

Anti-aging : เครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติต่อต้าน ลบเลือน หรือชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย พบมากในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและผิวกายที่เกิดริ้วรอยได้ง่าย รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับริมฝีปากและรอบดวงตาด้วย นอกจากนี้ยังมีคำว่า Age-defense, Anti-wrinkle, Time Defiance ที่มีความหมายเดียวกัน

Fragrance Free : คือปราศจากส่วนผสมที่เป็นน้ำหอม (สังเคราะห์จากสารเคมี) ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ในผิวที่บอบบางแพ้ง่าย

Allergy Tested : หากมีคำนี้ก็แสดงว่าเครื่องสำอางชนิดนั้นได้ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่แพ้

Non-alcohol : ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งมักพบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับคนผิวแห้ง แต่สำหรับคนผิวอื่น ๆ ก็ควรเลือกใช้เพราะเป็นสาเหตุให้น้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติจะถูกกำจัดออก ไปทำให้ผิวมีความแห้งตึงและแพ้ได้

Against Animal Testing : มี ความหมายว่า ไม่มีการทดสอบกับสัตว์ทดลอง (ซึ่งจะทำการทดสอบกับอาสาสมัครที่เป็นคนแทน) จึงเป็นการบ่งบอกถึงศีลธรรมจรรยาไม่เกี่ยวข้องกับสรรพคุณของเครื่องสำอางแต่ อย่างใด

Firming/Lift : เป็นคุณสมบัติที่ช่วยยก กระชับผิวให้เต่งตึง ลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น มักมีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผิวเกิดการตึงตัวซึ่งจะอยู่ได้เพียงไม่กี่ ชั่วโมงจากนั้นก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นเครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติกระชับผิวที่ดีจะต้องมีส่วนผสมของสาร บำรุงผิวเข้าไปด้วย เช่น คอลลาเจน หรือสารที่ช่วยกระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ผิวจึงจะดีขึ้นได้ในระยะยาว

Oil Control/Shine Control : เครื่องสำอางที่ผสมสารบำรุงผิว (มอยเจอร์ไรเซอร์) ที่ช่วยควบคุมไม่ให้เกิดความมัน แต่ถ้าเป็นคำว่า Oil Free จะไม่มีส่วนผสมของไขมันเลย เหมาะกับคนที่มีผิวมันมาก ๆ มักมีส่วนผสมของ Cetearyl alcohol, Isopropyl myristate, Myristic acid, Palmitic acid เป็นต้น

Anti-oxidant : มีส่วนผสมที่มีคุณสมบัติ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการที่ก่อให้ผิวเกิดริ้วรอยก่อนวัย สารต้านอนุมูลอิสระมีหลายชนิดด้วยกันส่วนใหญ่ได้จากการสกัดจากพืชพรรณ ธรรมชาติ

Waterproof : คุณสมบัติที่สามารถกันน้ำได้หรือไม่ละลายน้ำ ซึ่งไม่ทำให้ตัวแป้งละลายหายไปกับเหงื่อติดทนนาน แต่ก็จะล้างออกยากเช่นกัน อาจต้องใช้ครีม (คลีนเซอร์) เช็ด

Aromatherapy : ถ้า เป็นเครื่องสำอางที่ดีจะต้องเป็น Aromatherapy ที่มาจาก Essential Oil - น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ที่สกัดจากธรรมชาติจริง ๆ จึงจะได้ผลในการบำบัดด้วย

White/Whitening : Whitening ที่ดีนั้นต้องค่อย ๆ ทำให้ขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติไม่ระเคืองต่อผิวและเชื่อถือได้ว่าไม่ผสมสาร เคมีอันตรายบางตัวที่ทำให้ผิวขาวขึ้นได้เช่นกัน

UV Filter : สามารถป้องกันรังสีอัลต้าไวโอเล็ตจากแสงแดดได้โดยจะมีส่วนผสมของสารกันแดด ที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป ซึ่งครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพดีควรมีส่วนผสมของ Titanium dioxide และ Zinc dioxide เพราะมีอานุภาพในการสะท้องรังสี UV กลับสูง แต่ข้อเสียคือจะค่อนข้างทำให้หน้ามันเยิ้มและเป็นคราบเมื่อเหงื่อออกมาก ๆ

Hydrating Cream : คือครีมที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวโดยไม่ทิ้งความมันบนใบหน้า เหมาะกับผิวธรรมดาถึงผิวมัน

สารเคมีที่มักพบในเครื่องสำอาง

สารเคมีทั่วไป

Lanolin : ลา โนลิน สารสกัดที่ได้จากธรรมชาติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวป้องกันการแห้งตึง แต่การวิจัยบางชิ้นพบว่าอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและเป็นสาเหตุหนึ่งของ การอุดตันและการก่อตัวของสิว

65#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:50:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
Mineral Oil : มิเนอ รัลออยล์ เป็นผลผลิตที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมใช้เป็นสารทำความหล่อลื่นใน เครื่องสำอาง พบได้ในโลชั่น มอยเจอร์ไรเซอร์ ครีมล้างหน้า อายครีม ฯลฯ ซึ่งมีโมเลกุลค่อนข้างใหญ่ จึงไม่สามารถซึมลงไปใต้ผิวหนังอย่างที่เคยคิดกันแม้จะไม่ก่อให้เกิดโทษร้าย แรงแต่ก็ไม่มีประโยชน์ต่อผิว

Glycerin : กลีเซอรีน เป็นสารที่เกิดจากการเติมด่างลงไปในไขมันใช้มากในการทำสบู่และเครื่องสำอาง ที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว รวมถึงน้ำยาบ้วนปากและยาสีฟันโดยได้รับการรับรองว่าปลอดภัยไม่ทำให้ระคายเคือง

Propylene Glycol : โพรไพลีน ไกลคอล นิยมใช้กันมากในเครื่องสำอางดูแลผิวที่ต้องการคุณสมบัติกักเก็บความชุ่มชื้น และซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ดีปลอดภัยต่อผิว

Dimethicone : ไดเมธิโคน คือน้ำมันซิลิโคนชนิดหนึ่งใช้เป็นเบสของผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นครีมต่าง ๆ ไม่เป็นอันตรายต่อผิว

Polysorbate : โพ ลีซอร์เบต มักพบในเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย เพราะเป็นสื่อผสมให้น้ำสามารถเข้ากับน้ำมันหอมระเหยได้ค่อนข้างปลอดภัยต่อคน

Cocamidopropyl Betaine : โคคามิโดโพรพิล บีเทน เป็นสารที่ได้จากน้ำมันมะพร้าวมักใช้ผสมในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่าง ๆ เช่น สบู่ แชมพู คอนดิชั่นเนอร์ หรือโฟมล้างหน้า ช่วยในการลดแรงตึงผิวของน้ำและทำให้เกิดฟอง แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้

Butylene Glycol : บิ วไทลีน ไกลคอล เป็นสารที่ทำหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื้นรักษากลิ่นและความเข้มข้นของ ผลิตภัณฑ์ให้คงรูป มักเป็นส่วนผสมของโลชั่นต่าง ๆ ไม่เป็นอันตรายต่อผิว

Phenoxyethanol : ฟีน็อกซ์ ซีธานอล พบได้ในเครื่องสำอางที่มีน้ำหอมผสมอยู่เพราะมีคุณสมบัติทำให้น้ำหอมคงตัว ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้แต่ต้องไม่ใช้ในปริมาณที่เข้มข้นไม่เช่นนั้นอาจ เกิดอาการแพ้ได้

Sodium Chloride : โซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือทะเลไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด แต่หากใช้ในปริมาณที่เข้มข้นเกินไปก็ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้พบในน้ำยา บ้วนปาก สบู่ อายครีม เกลืออาบน้ำ เป็นต้น

Stearic Acid : กรดสเตียริก เป็นสารที่เกิดไขมันและน้ำมันจากสัตว์จึงค่อนข้างปลอดภัย มักใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย โลชั่น ครีมรองพื้น และสบู่ มีคุณสมบัติช่วยสร้างความนุ่มนวล ลื่น เป็นประกายแวววาว

66#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:50:39 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สารเคมีที่ควรระวัง

Hydroquinone : ไฮโดรควิโนน สารนี้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางทาฝ้าหาใช้ในระยะยาวจะก่อให้เกิดผลเสียต่อ ผิวอย่างมาก เช่น แพ้ ระคายเคือง และทำให้ผิวหน้าดำคล้ำกลายเป็นผ้าถาวร

Sodium Laureth Sulfate : โซเดียมลอริธซัลเฟต พบได้ในโฟมล้างหน้า ยาสีฟัน และในแชมพูมากที่สุด(ประมาณ 90 % ของแชมพูท้องตลาด) อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน ดังนั้นหากมีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง

Formaldehyde : ฟอร์มาลดีไฮด์ ช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราต่าง ๆ พบมากในยาทาเล็บ สบู่ และแชมพู หากสูดดมมาก ๆ อาจเป็นอันตรายต่อระบบหายใจได้

S. D. Alcohol : เอส. ดี. แอลกอฮอล์ ใช้ในเครื่องสำอางประเภทรักษาความมันและสิวอุดตัน โดยจะเป็นตัวนำน้ำมันและสิ่งสกปรกออกไปรวมทั้งน้ำหล่อเลี้ยงบนชั้นผิวด้วย จึงทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและแห้งตึงได้

Sodium Hydroxide : โซเดียมไฮดรอกไซด์ ใช้เป็นส่วนประกอบหลักใน สบู่ แชมพู น้ำยายืดผม ซึ่งเป็นสารที่มีความเป็นด่างสูง จึงอาจทำให้ผิวหรือหนังศีรษะแห้งลอกหรือเกิดการอักเสบได้

Talc/Talcum : แป้งทัลส์หรือทัลคัมที่พบได้ทั่วไปในผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่น แป้งอัดแข็ง บลัชออน อายแชโดว์ หรือสเปรย์ระงับกลิ่นกาย ให้ความรู้สึกลื่น นุ่มนวล แต่ไม่ควรใช้กับส่วนเล้นลับเพราะมีการวิจัยพบว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งมดลูกได้มากกว่าปรกติถึง 3 เท่า

Steroid : สเตียรอยด์ สารอันตรายที่ก่อให้เกิดความผิดปรกติของผิวหนังได้ เนื่องจากสเตียรอยด์เป็นสารอันตรายผู้ผลิตจึงมักไม่ระบุชื่อลงไปในฉลาก ดังนั้นจึงควรเลือกเครื่องสำอางที่น่าเชื่อถือมีเลขทะเบียนอนุญาตจำหน่าย หรือตราที่รับรองว่าผ่านการตรวจสอบแล้ว


เคล็ดลับการเลือกและการเก็บรักษา

ส่วนผสมปลอดภัย
บรรจุภัณฑ์ดูดี
แหล่งที่มาน่าเชื่อถือ
รายละเอียดสินค้าชัดเจน
มีอย. รับรอง
ทดสอบว่าไม่แพ้

สำหรับการเก็บรักษาเครื่องสำอางให้สามารถใช้งานได้นานที่สุดและไม่เสื่อม สภาพไปก่อนอายุไขอันควรคือ ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต สิ่งสำคัญอยู่ที่การรักษาความสะอาดและอุณหภูมิอันเหมาะสมไม่ควรเก็บในห้อง ที่อากาศร้อนอบอ้าว ควรเก็บไว้ในที่ที่แดดส่องไม่ถึงบางคนชอบนำไปเก็บในตู้เย็น (ชั้นที่ไม่เย็นจัดนัก) ซึ่งก็ช่วยรักษาสภาพของเครื่องสำอางไว้ได้นาน

ไม่ควรนำมือเข้าไปควักหรือป้ายเครื่องสำอางออกมาจากขวดควรเทหรือใช้ช้อน สำหรับตักเล็ก ๆ ตักเครื่องสำอางออกมา หลังใช้ทุกครั้งควรปิดฝาให้สนิทเพื่อป้องกันการระเหยของส่วนผสมที่เป็นน้ำใน เครื่องสำอาง และการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำให้เครื่องสำอางบูดเสียได้ หากเครื่องสำอางมีกลิ่นหรือสีเปลี่ยนไปส่วนผสมแยกตัวออกจากกันเกิดฟองขึ้น หรือจับตัวเป็นก้อนแข็ง ฯลฯ แสดงว่าเสียใช้ไม่ได้แล้ว  

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine
67#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:51:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เลือกใช้ "ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า" เพื่อผิวหน้าสวยใส
ผิวหน้าสวยใส คือ เสน่ห์ที่ผู้หญิงหลายคนโหยหาแต่หากว่าเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่เหมาะสมผิวหน้าสวใสของคุณก็อาจจะ กลายไปอย่างอื่นไปได้ ฉะันั้นคุณควรจะเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ให้เหมาะกับผิวหน้าของคุณ เพราะผิวหน้าคือหน้าต่างของหัวใจจริงไหมค่ะ

วิธีเลือก ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดผิวหน้านั้น ส่วนใหญ่จะมีสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) ทำหน้าที่กำจัดคราบไขมันและสิ่งสกปรกบนใบหน้าให้หมดไปแต่ควรมีคุณสมบัติ สำคัญที่น่าใช้ ดังนี้ คือ

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดผิวหน้าควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวหน้าและที่ สำคัญควรมีค่า pH ที่เหมาะสมกับสภาพผิวตามธรรมชาติให้มากที่สุด ค่า pH ที่เหมาะสมคือ ค่า pH 0.5-5.5 (ค่า pH คือค่าความสมดุลของกรดด่าง)
ผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องปราศจากส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการอุดตันบริเวณต่อมรู ขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการก่อให้เกิดสิว หรือที่เรียกว่า Non-Comedogenic นั่งเองค่ะ

ส่วนผสมของสารที่ปรับสภาพผิวหน้าให้นุ่มคืนความชุ่มชื่นสู่ผิวพรรณเป็นหลัก นั่นคือ Moisturizer (มอยส์เจอร์ไรเซอร์) วิตามินอี หรือส่วนผสมจากวิตามินธรรมชาติในการบำบัดบำรุงผิวพรรณเป็นหลัก ใช้แล้วผิวหน้าไม่แห้งตึงที่สำคัญไม่ว่าคุณผู้หญิงจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิด ใดก็ตามเลือกที่มีคุณภาพสมราคาไม่ใช่ว่าของแพงราคาสูงลิบลิ่วจะดีเสมอไป หรือว่าของถูกมีของแถมซื้อ 1 แถม 3 ก็ใช่ว่าจะมีคุณค่าต่อผิวพรรณ เลือกที่ไว้ใจได้ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาการระคายเคืองต่อผิวพรรณของคุณก็จะ เป็นการดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือสวยด้วยแพทย์
68#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:53:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การเลือกใช้ไนท์ครีม
ปัจจุบันการเลือกใช้ไนท์ครีมเป็นสิ่งที่จำเป็นมากขึ้น หลายคนอาจจะส่งสัยเมื่อเวลาไปซื้อ เดย์ครีม กับ ไนท์ครีม มันต่างกัน อย่างไร ที่ต่างกันก็คือ เดย์ครีม จะใช้ตอนกลางวัน ส่วน ไนท์ครีม จะใช้ตอนกลางคืน แต่ก็อาจจะมีคำถามต่อไปว่า ใช้ทั้งอย่างเดียวทั้งกลางวันกลางคือไม่ได้เหรอ คำตอบคือได้ค่ะแต่ไม่เหมาะสมอาจเกิดผลข้างเคียงได้เพราะว่าเค้าผลิตมาโดย เฉพาะ แต่วันนี้เราจะพามารู้จักกับ การเลือกใช้ไนท์ครีม เพื่อให้คุณผู้หญิงเข้าใจมากขึ้นค่ะ
วิธี การเลือกใช้ไนท์ครีม
1. ควรเลือกไนท์ครีมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี วิตามินซี เพราะตลอดทั้งวันผิวหน้าของคนเรา ต้องเผชิญกับมลภาวะมากมาย ซึ่งก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ตัวการสำคัญในการทำลายเซลล์ผิวหน้า

2. ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย ควรเลือกไนท์ครีมที่มีส่วนผสมของ Q10 ซึ่งยับยั้งการสร้างเอนไซม์ทำลายคอลลาเจน ขณะเดียวกันก็ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว

3. ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยมากๆ ควรเลือกไนท์ครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอล ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ และกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน จะช่วยลดริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้าลงได้

4. เมื่อเลือกใช้ไนท์ครีมที่เหมาะสมกับตัวเองได้แล้ว อย่าลืมบำรุงผิวรอบดวงตาด้วยอายครีม เพราะคงไม่มีใครอยากตื่นมาตาดำเป็นหมีแพนด้าแน่ๆ

เป็๋นไงบ้างคะ ไนท์ครีมก็มีประโยชน์เหมือน ๆ กับเดย์ครีม สาว ๆ น่าจะลองมาให้ความสำคัญกับไนท์ครีมบ้างนะคะ...


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

69#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:54:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
"อายครีม" กับ "รอบดวงตา" จำเป็นไหม?
แน่นอนว่าดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดของร่างกาย แต่คุณก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องซื้ออายครีมมา ทา รอบดวงตาเสมอไป เพียงแค่คุณมีครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำในปริมาณสูงคุณก็สามารถนำมาทารอบ ดวงตาได้แล้ว แต่เพื่อป้องกันการแพ้ขอใหัคุณตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่า อายครีม ทาหน้านั้นมีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่หรือเปล่า

อายครีม กับ รอบดวงตา

ถึงแม้ว่าผิวหนังรอบดวงตาของเรานั้นจะเป็นส่วนที่ดูจะบอบบางที่สุดของ ร่างกาย แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อครีมทารอบดวงตาโดยเฉพาะเสมอไป หากว่าคุณใช้ครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำอยู่ในปริมาณสูง และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ คุณก็สามารถใช้ครีมนั้นทารอบดวงตาด้วยได้โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อครีมทาตาให้ สิ้นเปลือง แต่เพื่อเป็นการป้องการการแพ้หรือระคายเครื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ คุณก็ควรตรวจสอบให้ดีก่อนว่าครีมที่ใช้ทาหน้านั้น มีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่หรือเปล่า

เพราะนั่นคือสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้ผิวรอบดวงตาเกิดอาการระคายเคือง ส่วนสารกันแดดอย่างซิงค์ออกไซด์และไทเทเนียมไดออกไซด์กลับไม่ก่อให้เกิด อาการแพ้มากนัก แต่ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่ายก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้กับผิวรอบดวงตาจะเป็นการดี กว่า และจงจำไว้ด้วยว่าการทาครีมรอบดวงตานั้น จะต้องทำอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้นิ้วนางลูบไล้เบาๆ จากหัวตาไปหางตา เพราะนิ้วนางเป็นนิ้วที่มีแรงน้อยที่สุด จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ทำให้ผิวรอบดวงตาต้องเป็นปัญหาจากการทาครีมแรงๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก lisa
70#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:55:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิธีใช้ "ครีมกันแดด" อย่างถูกต้อง
ผู้หญิงที่กลัวแดดและกลัวดำเชิญฟังทางนี้สักนิด ครีมกันแดดที่ คุณใช้นั้นอาจะมีประสิทธิภาพที่ดี แต่ถ้าคุณใช้ไม่ถูกวิธีและหละก็จะทำให้ประสิทธิภาพใน ครีมกันแดด ทำงานได้ไม่เต็มที่และเป็นเหตุให้ผิวคุณเสียได้ ฉะนั้นวันนี้เราเลยนำคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีใช้ครีมกันแดดอย่างถูกวิธีมาฝาก กันจ้า


วิธีใช้ ครีมกันแดด
1. การทาครีมกันแดดนั้นหากจะให้ได้ประสิทธิภาพตามที่กำหนดก็ต้องใช้ปริมาณครีม ราว 1 ช้อนชาหรือประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ สำหรับทาหน้าและคอ แนะนำให้แบ่งทา 2 รอบค่ะ

2. ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดราว 15 นาที เพื่อให้ครีมกันแดดยึดติดกับผิวได้ดีกว่า และถ้าอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ๆ ก็ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง

3. หากต้องมีกิจกรรมกลางแดดต่อเนื่องหรือเล่นกีฬากลางน้ำกลางแดดควรเลือกครีมกันแดดชนิดกันน้ำ และทาครีมกันแดดซ้ำ ทุก 2 ชั่วโมง

4. ต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำสม่ำเสมอ

โดยสรุป การหลีกเลี่ยงแสงแดดสามารถลดปัญหาที่เกิดจากแสงแดดได้ดีที่สุด นอกเหนือจากนี้ควรป้องกันแสงแดดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ร่มเวลาที่ต้องออกแดด และการใช้ครีมกันแดดเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดควรเลือกให้เหมาะสมกับแต่ ละบุคคล ร่วมกับวิธีการใช้ที่ถูกต้อง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก lisa
71#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 00:59:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
โลชั่นทาครีมอย่างไรให้ได้ผล
อาจมีทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายที่มักจะเกิดคำถามที่ว่า ทาครีมอย่างไรให้ได้ผล เพราะทาไปเท่าไหร่ยังไง๊...ยังไง ก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปซักที คุณรู้ไว้เถอะค่ะว่านั้นคือการที่คุณทาครีมอย่างผิด ๆ ทำให้ ครีมมีค่าราคาแพงของคุณดูจะไม่ค่อยเห็นผลเท่าไหร่ จึงไม่แปลกใจเลยค่ะที่จะเจอคำถามที่ว่า ทาครีมอย่างไรให้ได้ผล ถ้าอยากทาครีมให้ได้ผลล่ะก็ลองมาดูคำตอบต่อไปนี้กันค่ะ
ทาครีมอย่างไรให้ได้ผล เริ่มจาก
ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจดแล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไปก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรหรือถ้ามากเกินไปก็จะทำ ให้ผิวหน้ามันเกินไปและก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่

เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของ ใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคาง ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางในการเกลี่ยบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้าง ๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้ายและทางด้านขวาออกขวาแล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน การลงน้ำหนักนิ้วควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบางควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไปอาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้

การทาครีมรอบดวงตา ควร ใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุดแล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบ ๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัดแต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง

การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบ หน้า โดยเริ่มทาจากบริเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อย ๆ ลูบไล้ขึ้นไม่ควรทาลง เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลกทำให้เกิดรอยย่น ภายหลังได้

การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ และวนให้ทั่วแผ่นอกเพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิวแล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้า ท้องและส่วนหลัง

การทาครีมบริเวณแขน จะเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อนแล้วทาวนขึ้นหลังแขนโดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว

การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะเริ่มต้นที่ต้นขาก่อนแล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้าเพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
มีข้อมูลใหม่ๆ  และมีประโยชน์มาให้ได้อ่านกันอีกแล้ว  ขอบคุณนะคะ  ^^
73#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:06:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ด้วยความยินดีค่ะ
74#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:10:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บำรุงผิว กับ การทาโลชั่นที่ถูกต้อง
โลชั่นบำรุงผิวนั้นมีมากมายหลากหลายตัวและหลากหลายชนิด ถึงแม้ว่าจะมี โลชั่นบำรุงผิว มากแค่ไหนการทาโลชั่นที่ถูกต้องก็ จัดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กับ โลชั่นบำรุงผิว เลยล่ะค่ะ ฉะันั้นแล้ว การทาโลชั่นที่ถูกต้อง ถือเป็นเรื่องสำคัญและ การทาโลชั่นที่ถูกต้อง ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้ผิวของคุณสวยและเป็นตัวการทำให้ โลชั่นบำรุงผิว ออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากทีเดียวค่ะ เพราะฉะนั้นเราควรจะหันมาทำ การทาโลชั่นที่ถูกต้อง กันนะค่ะ
การทาโลชั่นที่ถูกต้อง

เอ-กฤษณา เรืองศรี กูรูชื่อดังจาก ดิวาน่า เนอเชอร์ สปา ให้คำแนะนำสาว ๆ เรื่องการดูแลผิวว่า การทาโลชั่นบำรุงทั่วตัวเป็นเรื่องไม่ยาก แต่สาว ๆ ชอบละเลย เพียงใส่ใจเพิ่มขึ้นอีกสักนิดทาโลชั่นให้ครอบคลุมทั้งบริเวณต้นแขน ต้นขา แผ่นหลัง และหน้าท้อง บวกกับเคล็ดลับดูแลผิวพรรณง่ายๆ แค่นี้สาว ๆ ก็พร้อมอวดผิวทุกที่ ทุกเวลาอย่างมั่นใจ

สำหรับการทาโลชั่นในส่วน ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และแผ่นหลัง ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือเสียเวลาอย่างที่หลายคนเข้าใจและไม่ได้สิ้นเปลือง อย่างที่คิด เพียงแค่เตรียมผิวให้สามารถซึมซับคุณค่าบำรุงจากผลิตภัณฑ์โลชั่นบำรุงผิว ด้วยการใช้แปรงที่ทำจากขนสัตว์ขัดผิวให้ทั่วตัวก่อนอาบน้ำทุกครั้ง เท่านี้ก็ช่วยผลัดเซลล์ตายทำให้เนื้อโลชั่นซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ดียิ่งขึ้น พร้อมช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิตให้รู้สึกสดชื่นตลอดวัน และการทาโลชั่นที่ถูกต้อง คือ นวดกดลงน้ำหนักเล็กน้อยด้วยฝ่ามือวนซ้ำช้า ๆ เหมือนก้นหอยให้ทั่วตัวโดยไม่ลืมผิวส่วนสำคัญอย่างต้นขา แผ่นหลัง หน้าท้อง และต้นแขน

ช่วงเวลาที่เหมาะกับการทาโลชั่นให้ผิวกายเพื่อให้ได้คุณค่าบำรุงสูงสุด คือ หลังอาบน้ำตอนเช้าและเย็น เพราะเป็นช่วงที่รูขุมขนเปิดพร้อมรับคุณค่าสารอาหารเข้าสู่ชั้นผิว และต้องวอร์มโลชั่นให้อุณหภูมิเท่ากับผิวด้วยการถูไปมาบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ราว 5-10 วินาที หรือจนรู้สึกว่าเนื้อโลชั่นอุ่นขึ้นเสียก่อนถึงจะซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่ง ขึ้น

สาว ๆ ที่ผิวมีจุดด่างดำกวนใจหรือมีสีผิวไม่สม่ำเสมอแนะนำให้ใช้โลชั่นที่มีส่วน ผสมของไข่มุกธรรมชาติและยูวีฟิลเตอร์ ช่วยลดปัญหาผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำเพื่อผิวเนียนสวยกระจ่างใสทั่วเรือนร่าง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด
75#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 10:11:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความแตกต่างระหว่าง "ครีมบำรุงผิวหน้า" และ "ครีมบำรุงผิวกาย"
อาจมีหลาย ๆ คนคงจะสงสัยในความแตกต่างระหว่าง ครีมบำรุงผิวหน้า และ ครีมบำรุงผิวกาย ว่าสองสิ่งนี้สามารถที่จะใช้แทนกันได้หรือไม่ และ "ครีมบำรุงผิวหน้า" และ "ครีมบำรุงผิวกาย" มีความแตกต่างกันอย่างไรเหตุใดจึงใช้แทนกันไม่ หรือหากว่าใช้แทนกันได้เหตุใดราคาถึงได้แตกต่างกันมากนัก วันนี้เรามีคำตอบค่ะ

ครีมบำรุงผิวหน้า และ ครีมบำรุงผิวกาย

ครีมบำรุงผิวที่มีจำหน่ายในท้องตลาดจะพบหลากหลายมากมายจนผู้บริโภคเลือกซื้อ ไม่ถูก เฉพาะชนิดที่บำรุงผิวหน้ามีทั้ง เดย์ครีม และ ไนท์ครีม ส่วนครีมบำรุงผิวกายนั้นก็มีหลากหลายให้เลือก วันนี้จะแนะนำให้ผู้อ่านเข้าใจองค์ประกอบของครีมบำรุงชนิดต่าง ๆ เพื่อจะได้เลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริง โดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อสินค้าที่แพงเกินความจำเป็น

ผิวหนังตามลำตัวของคนเราจะมีความหนากว่าผิวหน้ามากมายทำให้มีความทนทานต่อ สิ่งแวดล้อมและไม่แพ้ง่ายต่อสารเคมี ดังนั้นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผิวกายโดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่า ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผิวหน้า

ในทางตรงกันข้ามสารเคมีทุกชนิดที่จะถูกคัดเลือกมาเป็นองค์ประกอบของครีม บำรุงผิวหน้าจะต้องผ่านขบวนการทดสอบว่า ไม่แพ้ง่ายสำหรับคนส่วนใหญ่ องค์ประกอบหลายชนิดที่ใช้สำหรับครีมบำรุงผิวกายจะไม่สามารถใช้ในครีมบำรุง ผิวหน้าได้เลย จึงเป็นเหตุให้ครีมบำรุงผิวหน้ามีราคาแพง

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้