123
กลับไป ตั้งกระทู้ใหม่
เจ้าของ: joy234
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ขั้นตอนการทำศัลยกรรมและข้อดี-เสีย

[คัดลอกลิงก์]
51#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-24 12:09:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
น่ารู้! กรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion)
วันนี้พาคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามมารู้จักกับกับนวัตกรรมกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion) ด้วยวิธี กรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี นี้สามารถช่วยลดรอยสิว จุดด่างดำ และแผลต่าง รวมถึงรอยแตกลายให้เรียบขึ้นได้ ฮันแน่...รู้ขนาดนี้ก็ดูน่าสนใจสำหรับเรื่อง กรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี กันแล้วใช่ไหมล่ะค่ะ นั้นเรามทำการรู้จักกันแบบเจาะลึกไปกับกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion) กันเลยดีกว่า เพื่อว่ามีคุณผู้หญิงคนไหนที่กำลังหาความรู้ถึงเรื่องกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณีหรือกำลังคิดที่จะวิธีการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณีอยู่ค่ะ

กรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion)

MD หรือ ไมโครเดอร์มาเบรชั่น (Microdermabrasion) ก็คือการกรอผิวหนังในส่วนของหนังกำพร้าออกไปบางส่วนโดยไม่ถึงระดับที่จะทำให้เกิดแผล ซึ่งต่างจากการกรอผิวหนังด้วยเครื่องกรอหรือเลเซอร์ที่กรอลงไปจนถึงชั้นหนังแท้ทำให้หลังทำจะต้องเป็นแผลอยู่ระยะหนึ่ง


ความแตกต่างนี้ทำให้การดูแลหลังการทำ MD ค่อนข้างง่ายไม่ยุ่งยากอีกทั้งไม่จำเป็นต้องหยุดงานและก็ได้ผลการรักษาที่ดีในระดับหนึ่ง เพียงแต่ต้องอาศัยการทำอย่างต่อเนื่อง


ปัจจุบันมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในการทำไมโครเดอร์มาเบรชั่นอยู่หลายชนิด แต่ที่ใช้กันแพร่หลายเป็นเครื่องที่ใช้หลักการพ่นผงคริสตัลทำด้วยผลึกอลูมิเนียมออกไซด์ที่มีขนาดเล็กเท่ากับทรายละเอียดและผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้วลงบนผิวหนัง โดยอาศัยระบบการทำงานด้วยสูญญากาศ


คริสตัลเหล่านี้จะค่อย ๆ ลอกผิวทีละชั้น ๆ ของผิวหนังชั้นหนังกำพร้า โดยสามารถควบคุมระดับของความลึกให้เหมาะสมกับสภาพผิวช่วยให้มีการฟื้นฟูสภาพผิวและกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้น


สำหรับวิธีการทำนั้นเริ่มจากล้างหน้าให้สะอาดจากนั้นทายา 2-3 ชนิดเพื่อเป็นการเตรียมผิวประมาณ 5-10 นาที ต่อไปก็เป็นการกรอโดยการพ่นผงคริสตัลลงบนผิวหนังอีกประมาณ 15-30 นาที ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและพื้นที่ที่ทำ หลังจากนั้นก็จะเป็นการทายาอีกประมาณ 3-4 ครั้ง เพื่อช่วยให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้นรวมขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที

โดยทั่วไปหลังการทำ MD ผิวหนังบริเวณที่ทำอาจมีรอยแดงเกิดขึ้น แต่ไม่มีแผลเป็นรอยแดงจะหายไปได้เองภายในเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงหรือเต็มที่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง การทำไมโครเดอร์มาเบรชั่นนั้นโดยทั่วไปควรทำทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 6-10 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของผิว
ประโยชน์ของการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion)

- ช่วยลดรอยดำหลังการหายของสิว ลดรอยดำจากฝ้า และรอยดำจากแผลต่าง ๆ

- ช่วยให้แผลเป็นหลุมที่เกิดจากสิวหรืออีสุกอีใสตื้นขึ้นทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น

- ช่วยให้แผลเป็นต่าง ๆ จากการผ่าตัดหรือจากอุบัติเหตุนิ่มลงและเรียบขึ้นได้บ้าง

- ช่วยลดรอยแตกลายตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้รอยแตกเรียบขึ้นและดูจางลงได้ในระดับหนึ่ง

- ช่วยให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้นลดริ้วรอยที่เกิดจากวัย และสิ่งแวดล้อม


ข้อควรระวัง ในการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion)

หลังการทำไมโครเดอร์มาเบรชั่นคือ ควรหลีกเลี่ยงการทายาแสงแดดจัด ๆ และเครื่องสำอางบางประเภท เช่น AHA หรือกรดวิตามินเอในวันแรก ๆ หลังทำ MD ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ร่วมด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์

แสดงความคิดเห็น

ไม่ใช่ค่ะ ชื่อจอย เป็นญาติกัน  โพสต์ 2011-4-24 19:02
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย IhateBio เมื่อ 2011-4-24 15:59

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ค่ะคุณเจี๊ยบ  
เปลี่ยนล็อคอินใหม่ รูปใหม่ เกือบจำไม่ได้แน่ะ

แก้ไข...พิมพ์ผิดค่ะ
53#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-24 18:26:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ไม่ใช่ค่ะชื่อจอย เป็นญาติกัน มีแต่คนทักว่าหน้าเหมือนกันมาก
ต้นฉบับโพสต์โดย joy234 เมื่อ 2011-4-24 18:26
ไม่ใช่ค่ะชื่อจอย เป็นญาติกัน มีแต่คนทักว่าหน้าเหมือ ...

อ้าวเหรอ นึกว่าคนเดียวกันนะเนี่ย หน้าคล้ายกันจริงๆ ค่ะ  
พอดีเห็นโพสต์ในเวปอื่นด้วยน่ะค่ะ เคสแก้ไบโอกับหมอชาลีน่ะ
เลยคิดว่าเป็นคนเดียวกัน...ถ้าทักผิดคน ก็ขออภัยนะคะ

แสดงความคิดเห็น

ไม่เป็นไรค่ะ  โพสต์ 2011-4-24 21:54
55#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 11:08:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันตรายจากขบวนการฟอกหน้าขาว
อันตรายจากขบวนการฟอกหน้าขาว (มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค)
โดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล   

          ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยนิยามแล้วหมายถึงผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิว ปกปิดผิว เสริมแต่งผิวหนังให้มีสีสัน มีความปลอดภัย จะเริ่มใช้และเลิกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ สามารถหาซื้อได้ทั่วไป แต่ปัจจุบันจะพบว่ามีผู้บริโภคบางส่วนได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางปลอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์บริการความงามที่เปิดกันมากมายทั่วเมือง มีทั้งนวดหน้า ขัดผิว ฟอกหน้าให้ขาวทันใจภายใน 3-7 วัน ส่วนใหญ่มักจะมีอุปกรณ์ไฮเทคทางการแพทย์ร่วมอยู่ด้วยเพื่อให้เกิดความทัน สมัย ความแปลกใหม่ที่จะดึงดูดลูกค้าได้ หลายแห่งขาดผู้มีความรู้ที่แท้จริง ก่อให้เกิดปัญหาความเสียโฉมตามมา

เครื่องมือไฮเทคกับการฟอกหน้าขาว

          เซล ผิวโดยธรรมชาติจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลใหม่ทุกๆ 28 วันโดยที่เราไม่ต้องไปเร่งรัดหรือทำอะไรเลย เซลผิวเก่าจะหลุดลอกและเซลใหม่จะขึ้นมาแทนที่ แน่นอนเซลผิวใหม่จะเปล่งปลั่งกว่าเซลเก่าที่เสื่อมโทรม ทำให้ภาพรวมผิวหนังแลดูอิ่มเอิบและขาวนวล เมื่อเซลผิวมีอายุมากขึ้นบวกกับการได้กระทบกับสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่นละออง รังสีดวงอาทิตย์ และสารเคมี ผิวหนังจะมีปฏิกิริยาปกป้องตัวเองโดยเอนไซม์ใต้ผิวหนังชื่อ "ไทโรซิเนส" จะกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างเม็ดสีทำให้ผิวหนังมีสีเข็มขึ้น ผลิตภัณฑ์ช่วยให้หน้าขาวที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป มีองค์ประกอบหลักคือสารยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ดังกล่าว เพื่อมิให้มีการสร้างเม็ดสี แต่ผู้บริโภคต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ถูกออกแบบมาให้ปลอดภัย ดังนั้นจึงจะให้ผลในระยะยาว เพราะเป็นการบำรุงผิว ไม่ใช่เห็นผลได้ใน 3 วัน 7 วัน เนื่องจากไม่ใช่ยารักษาโรค

      
56#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 11:08:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
    การ ทำงานของสารกลุ่มช่วยให้หน้าขาวจะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ และมักจะมีองค์ประกอบของสารช่วยเร่งรัดการลอกเซลผิวร่วมอยู่ด้วย มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนเช่นกัน ตัวอย่างเช่น กรดแลคติค กรดซาลิไซลิค เวลาพอกหน้าในปริมาณมากๆ ทำให้ผิวหน้าคันและแสบได้ ควรทาบางๆเว้นรอบดวงตา ศูนย์บริการความงามทั้งหลายที่มีอุปกรณ์ไฮเทคที่เรียกว่า ‘ไอออนโฟเรซิส' ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อให้กระแสไฟอ่อนๆกับผิวหนัง ทำให้กรดและเคมีที่พอกอยู่เข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็วในปริมาณที่อาจจะมากเกินไป สำหรับคนที่มีปัญหาผิวหนังเป็นทุนเดิม สิ่งที่ตามมาคืออาการอักเสบของเซลผิวคล้ายโดนน้ำกรดสาด นอกจากนี้ยังมีการใช้อุปกรณ์ไฮเทคอีกชนิดร่วมด้วยคือ "โฟโนโฟเรซิส" เป็นอุปกรณ์ที่ใช้นวดผิวหนังโดยใช้คลื่นความถี่สูงกระตุ้นผิวหนัง แรงสั่นสะเทือนทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยาย รูขุมขนขยาย เพื่อวัตถุประสงค์เสริมให้สารเคมีที่ต้องการเข้าสู่เซลผิวได้เร็วยิ่งขึ้น

          เครื่อง มือไฮเทคทางการแพทย์ที่กล่าวมานั้นออกแบบมาเพื่อให้แพทย์เป็นผู้ พิจารณาความเหมาะสมในการใช้งานเพื่อนำส่งตัวยาสำคัญเข้าสู่ผิวหนังสำหรับ รักษาโรค การนำมาประยุกต์ใช้ในด้านความงาม ควรจะมีผู้รู้เฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และการดูแลผิวก็ไม่ใช่เรื่องราวของระยะเวลาเพียง 3 วัน 7 วันตามที่เห็นในโฆษณา ต้องสม่ำเสมอและค่อยเป็นค่อยไป เพราะผิวหน้าไม่ใช่กระดาษ จะใช้น้ำยาลบคำผิดมาป้ายออกทันทีไม่ได้ เคมีที่รุนแรงและมากเกินไปทำให้เสียโฉมได้

          ผลิตภัณฑ์ สมุนไพรที่ใช้พอกหน้าพอกตัว ก็มีอันตรายได้หากได้มาอย่างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เพราะสมุนไพรสดนั้นเป็นอาหารเชื้อจุลินทรีย์อย่างดีทำให้เชื้อเจริญเติบโต ได้รวดเร็ว เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ผิวหนังมีแผลเปิด และหากผลิตภัณฑ์มีการใส่สารกันเสียมากเกินไป ผลเสียคือทำให้ผิวหน้าแพ้ คันและอักเสบได้ ผู้เขียนเองได้เคยไปทดลองใช้บริการพอกตัว (โชคดีที่ไม่กล้าเสี่ยงพอกหน้าด้วย) ที่ศูนย์บริการความงามด้วยสมุนไพรยี่ห้อดังเพื่อเก็บข้อมูลทางวิชาการ ผลคือมีอาการแพ้ คันไม่ทราบสาเหตุ เป็นตุ่มแดงทั่วตัวจนถึงรอบคอ (ผิวหนังทั่วตัวที่สัมผัสผลิตภัณฑ์สมุนไพร) ต้องใส่เสื้อแขนยาวปิดคอไปทำงานอยู่เป็นอาทิตย์ คาดว่าน่าจะเกิดจากองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น อาจมีองค์ประกอบของสารกันเสียมากเกินไป หรือมีการผสมผสานเคมีอื่นลงไปในสมุนไพรของผู้ให้บริการฯอย่างไม่มีความรู้

เครื่องสำอางอันตรายกับหน้าขาว

เมื่อกล่าวถึงการฟอกหน้าขาว ก็ไม่ลืมที่จะเตือนผู้บริโภคถึงอันตรายของผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของสาร ต้องห้าม เช่น ปรอท ไฮโดรควิโนน และสารสเตียรอยด์ สารต้องห้ามเหล่านี้ยังพบในผลิตภัณฑ์หน้าขาวที่แอบวางจำหน่ายทั่วไปโดยเฉพาะ อย่างยิ่งตามชานเมือง สังเกตุได้ง่ายเมื่อทาครีมเหล่านี้ลงบนใบหน้าเพียง 1-2 สัปดาห์ ผิวหน้าจะผ่อง สิวฝ้าจะจางลงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ หน้าจะเริ่มไหม้ดำและค่อยๆแผ่วงกว้างขึ้น ควรรีบหยุดใช้และไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

ขอขอบคุณข้อมูลจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

57#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 11:09:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลอกหน้า ลอกผิว ต้องระวังอะไร

หลายคนคงคุ้นเคยกับการไปลอกหน้า...ลอกผิวมาแล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า วิธีนี้ทำอย่างไร มีข้อควรระวังและข้อแทรกซ้อนอย่างไรบ้าง

ที่ ว่าลอกหน้าลอกผิวนั้น ความหมายในที่นี้คือการลอกผิวด้วยสารเคมี ก่อนลอกหน้าแพทย์จะประเมินดูลักษณะผิวเหี่ยวแก่จากแสงแดด และลักษณะสีผิว เลือกสารเคมีให้เหมาะสมกับสภาพผิว เช็ดไขมันที่ผิวหนังออกด้วยอะซีโทน อาจต้องป้องกันบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น ที่ริมฝีปาก ในรูจมูก ร่องแก้ม ขอบตา ด้วยการทาขี้ผึ้ง

ข้อบ่งชี้ของการลอกด้วยสารเคมี
การ ลอกด้วยสารเคมีใช้รักษาโรคเนื้องอกของผิวหนังขั้นก่อนเป็นมะเร็ง (actinic keratosis) ผิวเหี่ยวแก่จากแสงแดด ภาวะสีผิวไม่สม่ำเสมอ แผลเป็นชนิดตื้น ผิวหนังอักเสบจากการฉายรังสี และสิว ใช้การลอกชนิดตื้นรักษาฝ้าซึ่งเป็นความผิดปกติของหนังกำพร้าส่วนบน เมื่อใช้ยาทารักษาฝ้าซึ่งยับยั้งการผลิตเม็ดสีแล้ว การลอกหน้าทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น

มีรายงานแสดงว่า การรักษาฝ้าด้วยการลอกหน้าชนิดตื้นร่วมกับการใช้ยาทาฟอกสีมีประสิทธิภาพและ ปลอดภัย ส่วนรอยโรคที่ลึกกว่านี้ เช่น รอยเหี่ยวย่นชนิดลึก หรือรอยย่นรอบปากที่เป็นมาก ต้องลอกหน้าชนิดลึก

ส่วนรอยโรคที่ลึกปานกลาง (คืออยู่ในชั้นหนังแท้ส่วนบน) เช่น ผิวเหี่ยวแก่ที่เป็นน้อย ต้องการการลอกชนิดลึกปานกลาง

สารเคมีที่ใช้ลอกผิวหนัง
สารเคมีที่ใช้ลอกผิวหนังชนิดตื้น เช่น กรดไทรคลอโรอะเซติก ความเข้มข้นร้อยละ 10-35 น้ำยาเจสเนอร์ กรดซาลิไซลิก ความเข้มข้นร้อยละ 20-30 และกรดอัลฟาไฮดรอกซี ความเข้มข้นร้อยละ 10-70
สารเคมีที่ใช้ลอกผิวหนัง ชนิดปานกลาง นิยมใช้กรดไกลคอลิก และกรดไทรคลอโรอะเซติก ความเข้มข้นร้อยละ 35 น้ำยาเจสเนอร์ และกรดไทรคลอโรอะเซติก ความเข้มข้นร้อยละ 35

ข้อควรระวังก่อนลอกหน้าด้วยสารเคมี
ก่อนลอกหน้าแพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายดังนี้
1. ประเมินลักษณะผิวเหี่ยวแก่จากแสงแดด ผู้ป่วยที่ยังมีสภาพผิวดี มีรอยเหี่ยวแก่จากแสงแดดน้อย มีการเปลี่ยนแปลงของสีผิวน้อย ไม่เหมาะจะลอกหน้าชนิดลึก เพราะก่อผลเสียมากกว่าประโยชน์ที่ได้ ถ้าจะลอกควรลอกชนิดตื้น ส่วนผู้ที่มีภาวะผิวแก่จากแสงแดดอย่างรุนแรง ผิวเหี่ยวย่นทั้งใบหน้าควรลอกชนิดลึก
2. ประเมินลักษณะสีผิว ผู้ป่วยที่มีผิวสีน้ำตาลเข้มหรือผิวดำ ไม่เหมาะต่อการลอกหน้าชนิดปานกลางและชนิดลึก แต่อาจใช้การลอกหน้าชนิดตื้นได้
3. ถ้ามีประวัติการผ่าตัดเสริมสวยใบหน้ามาก่อน ควรรอให้แผลหายสนิทจึงลอกหน้า และต้องระวังในผู้ที่เกิดแผลเป็นคีลอยด์ง่าย
4. ในการลอกหน้าชนิดลึกด้วยฟีนอล ต้องระวังเพราะเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติได้ แพทย์จะตรวจการทำงานของตับ ไต สุขภาพทั่วไปก่อนลอก และตรวจคลื่นหัวใจระหว่างการลอก
5. ผู้ที่จะลอกหน้าต้องมีสุขภาพจิตดี
6. ประวัติการใช้ยา ผู้ที่กินยาคุมกำเนิดไม่ควรลอกหน้า เพราะยาคุมทำให้เป็นฝ้าอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้รอยคล้ำหลังลอกเข้มมากกว่าปกติ ส่วนผู้ที่กินยาต้านการเกิดลิ่มเลือดไม่ควรลอกหน้าชนิดลึกเพราะมีเลือดไหล ซึมจากผิวที่ลอกได้
7. ผู้ที่เคยเป็นเริมที่ใบหน้า แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัสเริม 2 วันก่อนลอก และให้ต่ออีก 5 วันหลังลอก เพื่อลดการกำเริบของเริม
8. ต้องระวังการลอกหน้าในผู้ที่กินยากรดวิตามินเอ อาจต้องหยุดยาครบ 6 เดือนจึงลอก นอกจากนั้นก็ต้องระวังผู้ที่ฉายรังสีมาก่อน เพราะทั้ง 2 กรณีนี้ทำให้มีรูขุมขนน้อยลง ทำให้กระบวนการสร้างผิวใหม่ที่เกิดจากรูขุมขนเป็นไปได้ยาก

ผลแทรกซ้อน
การ ลอกด้วยสารเคมีทำให้เกิดผลแทรกซ้อนหลายอย่าง ได้แก่ ผิวเปลี่ยนสี รอยดำรอยไหม้ แผลเป็น การติดเชื้อแบคทีเรีย การกำเริบของเริม และผิวแดง มักจางหายไปใน 30- 90 วัน

ถ้าเป็นมากแพทย์อาจให้ยาทาสเตียรอยด์ อย่างอ่อน เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน ในบางรายมีสิวเห่อหลังลอกหน้า มักเกิดในวันที่ 3-9 หลังลอก และอาจเกิดซีสต์ตุ่มขาวขนาดเล็ก (milia)

หลัง ลอกหน้าต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด ทายากันแดด ถ้าผิวลอกเป็นขุยมากอาจทาครีมให้ความชุ่มชื้น ถ้ามีการติดเชื้อหรือการกำเริบของเริม ให้รีบกลับมาพบแพทย์
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม :
355
เดือน-ปี :
11/2551
คอลัมน์ :
ผิวสวย หน้าใส
นักเขียนหมอชาวบ้าน :
นพ.ประวิตร พิศาลบุตร
58#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-27 11:11:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

สารและตัวยาที่ทำให้หน้าขาวใส

          ทราบหรือไม่ว่า สารและตัวยาชนิดใดที่ทำให้หน้าขาวใส วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก...

  กลูตาไธโอน

          ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้านการเสื่อมของเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวหน้า ขาวสวยใส เปล่งปลั่งไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่นใต้วงแขน บริเวณขอบชุดชั้นใน ริมฝีปาก และบริเวณหัวนม ให้ขาวอมชมพู

  สารสกัดจากเปลือกสน

          ทำให้ผิวขาวใส โดยลดปฏิกิริยาของผิวหนังเมื่อถูกแสงแดด ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดขนาดและความเข้มของฝ้า กระและช่วยปรับสภาพผิวให้กลับขาวใสขึ้น เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้แรง

  สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

          ในเมล็ดองุ่นมีสารบางชนิด ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้เนื้อเยื่อโครงสร้างผิวแข็งแรง ปกป้องเนื้อเยื่อโครงสร้างผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอย ลดความหยาบกร้าน หมองคล้ำ ทำให้ผิวใส เรียบเนียน

  ชาเขียวสกัด

          ปกป้องและรักษาผิวจากการทำลายของมลภาวะ โดยเฉพาะแสงแดด ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวให้กลับคืนสู่สภาพปกติ ช่วยให้ผิวขาวขึ้น ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอย

  โคเอนไซม์คิวเทน

          ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดการเกิดริ้วรอย ด้วยการเร่งการผลิตคอลลาเจน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่นแข็งแรง

b]วิตามินซี

          เสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยลดการเกิดริ้วรอย ลดการถูกทำลายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยคงความแข็งแรงของผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและเผยผิวขาวเนียนสดใส

  สารสกัดจากมะเขือเทศ

          ลดรอยดำ และความหมองคล้ำจากผลกระทบโดยตรงหรือโดยทางอ้อมจากแสงแดด ลดการถูกทำลายของผิว ช่วยปกป้องจาการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย เสริมฤทธิ์กับชาเขียวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว

วิตามินอี

          เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย

  ซีลิเนี่ยม

          ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำงานเสริมกับวิตามินซี และวิตามินอี


          รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าใครอยากมีผิวหน้าขาวใส ลองมองหาสารหรือตัวยาที่แนะนำมาใช้กันดูได้

ขอขอบคุณข้อมูลจากมติชน

เคยเห้นน้องทำมา หน้าเนียนขึ้นเยอะเลยค่ะ

แสดงความคิดเห็น

ดีสิค่ะ จะได้สวยๆ  โพสต์ 2011-4-29 15:13
60#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-29 18:16:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศัลยแพทย์ตกแต่งช่วยอะไรท่านได้บ้าง

การผ่าตัดดูแล รักษาผู้ป่วยค่อนข้างกว้างขวางมาก   รวมทั้งการแก้ไขความพิการแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ เกิดมามีใบหน้าผิดรูป , ศัลยกรรมทางมือในผู้ป่วยอุบัติเหตุ, ความพิการปกติทางมือแต่กำเนิด, การดูแลรักษาผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก    การดูแลรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่คอ,ปาก,ผิวหนัง ผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุมีบาดแผลที่หน้าและกระดูกหน้า กรามหัก, ทางด้านจุลศัลยกรรม  การผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์ เช่นการต่อนิ้วมือ รวมทั้งการย้ายเนื้อเยื่อจากที่หนึ่งไปปิดอวัยวะอื่นที่เนื้อขาดหายไป โดยการต่อเส้นเลือดและเส้นประสาท และสาขาสุดท้ายเป็นศัลยกรรมเสริมสวย    ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน      ของศัลยแพทย์ตกแต่งและเสริมสร้าง
การทำศัลยกรรมเสริมสวยให้ได้ผลดี และมีการพัฒนาวิธีการผ่าตัดใหม่ๆได้ แพทย์ควรจะได้รับการฝึกอบรมในด้านศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างให้ครบทุกสาขา วิชาที่แพทยสภากำหนด และได้รับวุฒิบัตร หรืออนุมัติบัตรรับรอง ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ตกแต่ง
โดยสรุป     ศัลยกรรมตกแต่ง แบ่งเป็นสาขาได้ ๗ สาขาวิชา
สาขาที่ ๑  ศัลยกรรมที่แก้ไขความพิการแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ ใบหน้าผิดรูป
สาขาที่ ๒  ศัลยกรรมทางมือ เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุ ทางมือจากโรงงาน  รถยนต์
สาขาที่ ๓  ได้แก่ การรักษาผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
สาขาที่ ๔  ได้แก่ การรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่หน้าและคอ
สาขาที่ ๕  การดูแลผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บกระดูกหักที่หน้า ส่วนใหญ่จากอุบัติเหตุรถยนต์
สาขาที่ ๖  ได้แก่ จุลศัลยกรรม การผ่าตัดด้วยกล้องจุลทัศน์ เช่น การต่อนิ้วมือผู้ป่วย
สาขาที่ ๗ได้แก่ ศัลยกรรมเสริมสวย และความงาม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
61#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-29 18:19:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การผ่าตัดดูดไขมัน

การดูดไขมัน หมายถึง การใช้เครื่องมือที่ลักษณะคล้ายท่อยาวใส่เข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดูดเอาไขมัน ส่วนเกินออกมาจากบริเวณต่างๆ เช่น หน้าท้อง,สะโพก,ก้น,ต้นขา,ต้นแขน,คอ เป็นต้น การดูดไขมันนี้ไม่สามารถจะใช้ลดความอ้วนทั่วร่างกายได้แต่สามารถจะลดจำนวน ไขมันบริเวณส่วนต่างๆ ที่สะสมอยู่เฉพาะที่ได้

ผู้ที่จะได้รับผลดีจากการดูดไขมัน
    ท่านต้องอย่าหวังว่าการดูดไขมันจะช่วยให้ท่านดูรูปร่างเพรียวบาง แต่จะทำให้รูป ร่างท่านดูดีขี้น และมีความรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ส่วนใหญ่ผู้ที่จะได้รับผลดีจากการดูดไขมันควรจะไม่อ้วน,ผิวหนังควรมีความ ยืดหยุ่นดี และมีไขมันสะสมเฉพาะที่ ท่านควรมีร่างกายแข็งแรง,สมบูรณ์,มีจิตใจที่ปกติ ท่านที่มีอายุก็สามารถจะทำการดูดไขมันได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้จะผ่าตัดถึงผลที่จะได้รับให้เข้าใจดีเสียก่อน
การวางแผนการผ่าตัด
     ท่าน ควรจะต้องปรึกษากับศัลยแพทย์ตกแต่งถึงความเป็นไปได้ของผลการผ่าตัดที่ท่าน หวัง วิธีการเลือกการผ่าตัด,ผลแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น ศัลยแพทย์ควรเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับวุฒิบัตรศัลยแพทย์ตกแต่งของแพทย สภาหรือเทียบเท่าถ้าเป็นสถาบันจากต่างประเทศ
การผ่าตัด
     การดูดไขมันนี้จะมีการเสียเลือดบ้าง บางครั้งศัลยแพทย์ตกแต่งอาจจะให้ท่านเก็บเลือดของท่านไว้ก่อนผ่าตัดเพื่อใช้ ขณะผ่าตัด แต่ส่วนใหญ่จะไม่จำเป็นต้องให้เลือด การดูดไขมันอาจจะใช้การให้ยาชา เฉพาะที่ หรือดมยาสลบ ก็ขึ้นอยู่กับบริเวณและจำนวนที่จะดูดไขมัน การผ่าตัดอาจจะทำได้ที่คลินิกหรือโรงพยาบาล การดูดไขมันแพทย์จะต้องวาดตำแหน่งที่ต้องการเอาไขมันออกไว้ก่อน หลังจากนั้นจะเจาะที่ผิวหนังเป็นรอยเล็ก ประมาณ 0.5-1.5 cm แล้วใส่ท่อที่จะดูดไขมันเข้าไป ท่อนี้จะต่อกับเครื่องปั๊มสูญญากาศ หรือเครื่องอัลตราซาวด์ ปริมาณของไขมันที่ออกมาจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตำแหน่งและปริมาณไขมันที่ สะสม หลังผ่าตัดแพทย์จะใช้ผ้าพันบริเวณที่ดูดไขมันไว้ประมาณ 2-5 วัน
หลังผ่าตัด
    หลัง ผ่าตัดแพทย์จะเปิดผ้าพันแผลประมาณ 2-5 วัน ไหมที่เย็บไว้จะตัดออกประมาณ 5-7 วัน หลังจากนั้นท่านต้องพันผ้าในส่วนที่ดูดไขมันอีก หรือใส่เครื่องนุ่งห่มที่กระชับกับส่วนที่ได้รับการดูดไขมันไว้อีกประมาณ 1-2 เดือน บริเวณที่ดูดไขมันจะมีรอยซ้ำเขียวประมาณ 1-2 อาทิตย์ ผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมันจะดูลักษณะเป็นลูกคลื่นได้ ซึ่งจะดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน ท่านสามารถจะกลับไปทำงานได้ประมาณ 5-7 วัน
ผลแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
     การ ดูดไขมันก็เหมือนกับการผ่าตัดทั่วไปที่อาจผลแทรกซ้อนขึ้นมาได้ ผลแทรกซ้อนอันนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย เช่น การติดเชื้อ,มีเลือดคั่ง,ผิวหนังเป็นลูกคลื่น,รอยแผลเป็นนูนหรือบุ่ม,ผิว หนังมีแผล,อาจจะมีผิวหนังเปลี่ยนสีได้บ้าง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
62#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-29 18:20:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การผ่าตัดแปลงเพศ
ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตใจในลักษณะที่เกิดความขัดแย้งของการรับรู้ เพศ และสภาพร่างกายไม่สอดคล้องกันมีคำเรียกทางการแพทย์ว่า gender dysphoria หรือ gender identity disorder ถือว่าเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในสังคม ในอดีตนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่สามารถที่จะรักษาตนเองได้เนื่องจากไม่กล้าที่ จะไปพบแพทย์และรวมทั้งแพทย์เองก็ไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างดีพอ จึงทำให้การรักษาได้ผลที่ไม่ค่อยน่าพอใจ จนเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ในอดีตว่ามีผู้ป่วยบางคนใช้มีดตัดอวัยวะเพศของตนเองให้ขาดออกเนื่อง จากรังเกียจ หรือบางคนก็อยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ และบางคนก็กลายเป็นที่รังเกียจของคนที่อยู่รอบข้างทั้งพ่อแม่ เพื่อนร่วมงานที่ไม่เข้าใจ แต่หลังจากมีการศึกษาอย่างจริงจังและมีความเข้าใจถึงสาเหตุรวมทั้งลักษณะ ความผิดปกติของผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างลึกซึ้งแล้วพบว่าส่วนหนึ่งเกิดจากจากการ เลี้ยงดูที่ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่เด็กในช่วงอายุ 3-5 ปี และการพัฒนาการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ในปัจจุบันค่อนข้างได้ผลที่ดีพอสมควร และทำให้ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตในสังคมอย่างเป็นสุขมากขึ้นและเป็นคนที่มี ประโยชน์ต่อสังคมได้
ในปัจจุบันนี้เกือบจะเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าถ้าหากจะให้การรักษาเป็นไป อย่างถูกต้องครบถ้วนเป็นมาตรฐานที่สุดแล้วควรที่จะให้ผู้ป่วยสามารถรับการ รักษาในสถานที่แห่งเดียวทั้งนี้เนื่องจากว่าผู้ป่วยเหล่านี้ต้องการการรักษา ที่เป็นขั้นตอน และมีรายละเอียดที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่เราเคยรู้กันในอดีต ทั้งนี้ก่อนอื่นมีความจำเป็นต้องวินิจฉัยให้ได้ก่อนว่าผู้ป่วยที่มารักษา นั้นเป็นผู้ป่วยกลุ่มนี้หรือไม่ และการผ่าตัดจะสามารถทำได้หรือไม่นั้น จะมีขั้นตอนพิจารณาดังนี้
    1.ผู้ป่วยต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมในเพศที่ตรงข้ามกับร่างกายตลอดเวลา และประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตเป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน
    2.ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจและประเมินพฤติกรรมโดยจิตแพทย์อย่างน้อย 2 คน และหนึ่งในสองคนต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ
    3.ต้องได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนเพื่อเตรียมสภาพร่างกายให้อยู่ในเพศตรงข้ามเสียก่อน
    4.ก่อนจะผ่าตัดแปลงเพศต้องผ่าตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างอวัยวะเพศเสียก่อน

ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึง ทีมงานที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยเหล่านี้แล้ว จะพบว่า ทีมแพทย์ที่เหมาะสมจะต้องประกอบด้วยจิตแพทย์, นักจิตวิทยา, แพทย์ทางระบบต่อมไร้ท่อ หรือแพทย์ที่ดูแลเรื่องการใช้ฮอร์โมน, แพทย์ทางสูตินรีเวช, แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้เพื่อทำให้การรักษาได้ผลอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้เนื่องจากการผ่าตัดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ เท่านั้น ผู้ป่วยยังต้องได้รับ Hormone เพื่อรักษาสภาพภายในที่จะคงสภาพของเพศตรงข้ามอย่างถาวรตลอดไป รวมทั้งสภาพจิตใจของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดนั้นก็เป็นสิ่งที่จะต้องได้รับคำ ปรึกษาหากมีปัญหาเกิดในระยะยาว ปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าด้านการผ่าตัดมีมากแต่ความรู้ความเข้าใจในด้านการ รักษาด้วยฮอร์โมนสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมีน้อย จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่ายาฮอร์โมนกลุ่มใดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่ต้อง การเปลี่ยนไปในเพศตรงข้าม และผลในระยะยาวต่อผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไรมีอันตรายมากน้อยเพียงใดยัง ไม่สามารถที่จะสรุปได้แน่นอน จึงต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์จึงจะปลอดภัยที่สุด
63#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-29 18:24:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลังจากเกริ่นมาแล้วถึงกระบวนการเลือกผู้ป่วยมาแล้วขอกล่าวถึงการผ่าตัด แปลง เพศจากชายเป็นหญิง (ซึ่งพบผู้ป่วยกลุ่มนี้มากกว่า) เพื่อความเข้าใจโดยคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้
เป้าหมายในการสร้างอวัยวะเพศหญิงใหม่นั้น มีดังนี้คือ สร้างช่องคลอดเทียมที่มีขนาดลึกพอสมควรเพื่อรองรับการใช้งานในลักษณะของเพศ หญิง และการร่วมเพศได้, สร้างรูปร่างของอวัยวะเพศใหม่ให้ดูคล้ายกับอวัยวะเพศหญิงให้มากที่สุด ทั้งนี้ได้แก่แคมนอกและแคมใน, เปลี่ยนแนวทางของท่อปัสสาวะให้อยู่ในแนวที่ถูกต้อง เนื่องจากในผู้ชายจะปัสสาวะพุ่งไปด้านหน้า ส่วนในผู้หญิงจะมีทิศทางพุ่งลงล่าง, สร้างจุดรับสัมผัสหรือปุ่มคลิตอริส (หากทำได้เพื่อทำให้มีจุดรับสัมผัสที่ใกล้เคียงกับของผู้หญิงที่สุด)
ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
       วางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ เพื่อไม่ให้คนไข้ มี อาการเจ็บหรือปวดในระหว่างการผ่าตัด
กรรมวิธีการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง แพทย์จะทำการสร้างช่องคลอดใหม่ โดยใช้เนื้อเยื่อในส่วนที่อยู่หน้าบริเวณท่อทวารหนัก ย้ายไปอยู่เหนือท่อทวารหนักในระดับที่อยู่ใต้ท่อปัสสาวะแล้วผ่าตัดเปิดผิว หนังให้เป็นช่องที่กว้างและลึกพอโดยมีระยะความกว้าง ประมาณ 1.5-2 นิ้ว ก็จะได้ช่องคลอดเทียมที่สร้างขึ้นใหม่ ลักษณะคล้ายช่องคลอดของเพศหญิง
จากนั้น จะดึงผิวหนังจากบริเวณอวัยวะเพศ ชาย ของคนไข้ไปติดกั้นเป็นผนังช่องคลอดโดยผนังที่ถูกนำไปปลูกบริเวณนี้ได้มาจาก หนังที่หุ้มอวัยวะเพศชายเดิม ความลึกของช่องคลอดจึงขึ้นอยู่กับความยาวของอวัยวะเพศชายเดิมด้วยเช่นกัน
       อีกเทคนิคหนึ่งในการสร้างช่องคลอดเทียม คือ การตัดต่อท่อปัสสาวะเพศชายที่ยาวให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้ใช้งานเปิดปิดในตำแหน่งที่ สามารถนั่งปัสสาวะได้ เพราะหากเอาไว้ ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องเวลาที่นั่งปัสสาวะก็ อาจจะพุ่งขึ้นมาได้ จากนั้นจึงเปิดช่องบริเวณนั้น เพื่อสร้างช่องคลอดเทียม
      การตกแต่งรูปร่างภายนอกช่องคลอด เช่น แคมเล็กหรือแคมใหญ่ แพทย์จะใช้เทคนิค พิเศษเพื่อเลียนแบบแคมให้ได้ใกล้เคียงกับ อวัยวะเพศหญิง โดยใช้หนังบริเวณที่หุ้มลูก อัณฑะ ด้วยวิธีการตัดลูกอัณฑะออก แล้ว นำหนังและเนื้อเยื่อรอบๆ มาตกแต่งเพื่อสร้างรูปลักษณ์ของอวัยวะภายนอกให้เหมือนของอวัยวะเพศหญิงให้ มากที่สุด
     ขั้นตอนสุดท้าย คือ การตกแต่งประสาทรับความรู้สึกให้เป็นปุ่มรับความรู้สึกทางเพศหญิง เรียกว่าปุ่ม คลิตอริส (Clitoris) ซึ่งโดยทั่วไป พบว่าความรู้สึกทางเพศยังมีคงเดิม มีความมั่นใจมากขึ้น หลังการผ่าตัด แพทย์จะให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล ประมาณ 5 - 7 วัน เพื่อจะได้อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และในช่วงเวลานั้น แพทย์จะแนะนำวิธี ปฏิบัติตัวที่ถูกต้องดังนี้
ให้ลดอาหารที่มีกากและเครื่องดื่มประเภท นมเพราะอาจทำให้มีกาก และเกิดการขับถ่าย ในช่วง 2 วันแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ เวลานอน ควรนอนในท่าที่ขาทั้งสองข้าง แยกออกจากกัน โดยอาจใช้ผ้าห่มคั่นกลางกันไว้ในขณะที่หลับ เพื่อไม่ให้แผลผ่าตัดถูกกดทับ ควรทำความสะอาดช่องคลอดด้วยน้ำยาป้องกัน และฆ่าเชื้อโรคหรือน้ำเกลือล้างแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ควรเริ่มลุกเดินในระยะหลังผ่าตัด 5 วัน ให้ดูแลรักษาไม่ให้ช่องคลอดตีบตัน โดยใช้อุปกรณ์เทียมที่ทำจากแท่งซิลิโคนชนิดนุ่ม หรือ เทียนเหลาให้มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชาย  ในการรักษาความกว้างและช่วยเพิ่มความลึกของช่องคลอดให้คงที่ ควรหมั่นขยายช่องคลอดเทียมอย่างน้อยวันละ 2ครั้ง ครั้งละประมาณครึ่งชั่วโมง
ต้องงดมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน หลังผ่าตัด
เริ่มรับประทานฮอร์โมนได้หลังการผ่าตัด 1 สัปดาห์ ให้พบแพทย์ตามนัด 1 สัปดาห์ หลังการผ่าตัดเพื่อตัดไหมและตรวจซ้ำเพื่อผลการรักษาที่ดี
64#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-29 18:25:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การดูแลหลังการผ่าตัดในระยะแรกจะมีการดูแลเรื่องแผลผ่าตัดให้หายได้อย่าง ปกติไม่มีปัญหาเรื่องการติดเชื้อมักจะเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ผ่าตัดและเป็น หน้าที่ของผู้ป่วยจะดูแลในระยะต่อมาหลังจากนั้นผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้เครื่อง มือเพื่อทำการถ่างขยายช่องคลอดที่แพทย์สร้างไว้ให้คงความกว้างและความลึก อย่างน้อย 6-12 เดือน ทั้งนี้เนื่องจากแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดช่องคลอดตีบหรือตันได้ อันเป็นเหตุให้ผลการผ่าตัดไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร การใช้งานในการร่วมเพศสามารถใช้ได้ตามปกติเมื่อแผลหายดีและผิวหนังในช่อง คลอดหายสนิทดีแล้ว ส่วนมากใช้เวลาประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาฮอร์โมนบำบัดเพื่อ คงสภาพหญิงอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยแพทย์ทางนรีเวชและนอกจากนั้นจิตแพทย์จะ เป็นผู้ให้การดูแลประเมินผลสภาพจิตหลังการผ่าตัดแปลงเพศพร้อมทั้งแก้ไขปัญหา ด้านจิตใจต่อไป
ข้อแทรกซ้อนและผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดแปลงเพศนั้น สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่น ๆ พอสรุปปัญหาและการแก้ไขได้ดังต่อไปนี้
•   แผลผ่าตัดแยก หรือหายไม่สนิท : พบได้บ่อยพอสมควร ทั้งนี้เนื่องจากแผลผ่าตัดบริเวณนี้มีการเย็บต่อกันด้วยผิวหนังจากหลายส่วน ทำให้มีรอยต่อระหว่างรอยเย็บหลายแห่ง จึงเป็นไปได้ที่แต่ละตำแหน่งอาจจะมีโอกาสที่จะแยกออกจากกันได้ รวมทั้งการดูแลหลังผ่าตัดที่ไม่เหมาะสมหรือการใช้งานอวัยวะเพศใหม่เร็วเกิน กำหนด จะมีโอกาสที่แผลจะเกิดปัญหาได้ แต่หากการแยกของแผลไม่กว้างมากหรือไม่หลุดออกจนหมดสามารถที่จะรักษาให้หาย สนิทได้ในที่สุด แต่บางรายแพทย์อาจจะต้องทำการเย็บแผลให้ใหม่
•   ช่องคลอดใหม่หลุด หรือลอก : เกิดในกรณีที่ช่องคลอดใหม่ยังไม่ยึดติดกับช่องที่แพทย์เจาะไว้ให้ และมีการใช้งานหรือการดูแลที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ผิวหนังช่องคลอดปลิ้นหลุดออกกมาด้านนอก ในกรณีที่เกิดขึ้นแบบนี้ แพทย์มีความจำเป็นต้องจัดผิวหนังช่องคลอดให้ใหม่เพื่อให้ผิวบุช่องคลอดใหม่ อยู่ในสภาพเดิม
•   ช่องคลอดตีบ หรือปากช่องคลอดหดแคบ : เกิดได้จากการเจาะช่องคลอดให้ได้ไม่กว้างเพียงพอ อาจจะเนื่องจากโครงสร้างของเชิงกรานมีมุมแคบเกินไปที่จะทำช่องให้กว้างได้ มาก หรือเกิดจากพังผืดหดรัดบริเวณช่องคลอดใหม่ และการดูแลถ่างช่องคลอดหลังการผ่าตัดโดยผู้ป่วยเองทำได้ไม่เพียงพอ ในระหว่างที่ช่องคลอดยังไม่อยู่ตัวดี ทำให้ช่องคลอดตีบตัวลงมา และมีการคอดรัดของปากช่องคลอด ในกรณีที่เกิดขึ้นหลังผ่าตัดไม่นาน การถ่างขยายด้วยอุปกรณ์ถ่างช่องคลอดและเพิ่มขนาดตัวถ่างจะช่วยให้มีการยืด ตัวของพังผืดรอบ ๆ ได้ และช่องคลอดสามารถขยายตัวจนมีความกว้างที่เหมาะสมได้ แต่หากพังผืดติดแข็งมาก แพทย์อาจจะต้องผ่าตัดขยายช่องคลอดให้ใหม่
•   ช่องคลอดตื้น : เป็นผลตามมาที่พบได้บ่อย ทั้งนี้เนื่องจากการสร้างช่องคลอดใหม่นั้นมีความจำเป็นต้องอาศัยผิวหนัง จากอวัยวะเพศชายที่มีอยู่เดิม ซึ่งบางรายมีขนาดเล็กและยาวไม่มาก ช่องคลอดที่ได้จึงมีความตื้น และบางครั้งมีการหดตัวของช่องคลอดเนื่องจากพังผืด และเนื่องจากการถ่ายด้วยอุปกรณ์ถ่างช่องคลอดที่ไม่เพียงพอร่วมด้วยจึงทำให้ ความลึกของช่องคลอดใหม่มีไม่เพียงพอแก่การใช้งานตามปกติ หากเกิดขึ้นในระยะแรก อาจจะช่วยได้โดยการใช้อุปกรณ์ถ่างขยายช่องคลอด เพื่อเพิ่มความลึกให้มากขึ้น แต่หากเกิดขึ้นในระยะหลังและไม่สามารถขยายด้วยอุปกรณ์แล้ว การผ่าตัดแก้ไขมีความจำเป็นอาจจะต้องใช้เนื้อเยื่ออื่น ๆ มาทดแทนเพื่อสร้างช่องคลอดใหม่ เช่นการใช้ลำไส้ใหญ่เป็นต้น
65#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-29 18:25:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
•   ท่อปัสสาวะตีบ : พบได้บ่อย เนื่องจากท่อปัสสาวะที่สร้างขึ้นใหม่ มีพังผืดล้อมรอบบริเวณรูเปิดทำให้การไหลของปัสสาวะไม่สะดวก หากเกิดขึ้นแล้วการรักษาโดยการถ่ายขยายท่อปัสสาวะด้วยเครื่องมือสามารถแก้ไข ปัญหานี้ได้ แต่ทั้งนี้เป็นการรักษาที่ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง หากเกิดอาการตีบรุนแรง จนปัสสาวะไม่ค่อยออก แพทย์อาจจะต้องทำการผ่าตัดแก้ไขท่อปัสสาวะให้กว้างขึ้นอีกครั้ง
•   ช่อง คลอดทะลุเข้าในช่องท้องหรือลำไส้ใหญ่ : เป็นข้อแทรกซ้อนที่ค่อนข้างจะรุนแรงและแก้ไขยาก เกิดเนื่องจากการดูแลหลังการผ่าตัดที่ไม่เหมาะสม เช่นใช้งานเร็วเกินไป การใช้อุปกรณ์ถ่างขยายที่ใหญ่หรือลึกเกินไป รวมทั้งการผ่าตัดที่เกิดการทะลุเข้าในลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดการติดต่อระหว่างช่องคลอดและลำไส้ใหญ่ขึ้น การรักษาจะทำได้โดยการผ่าตัดแก้ไขใหม่ โดยอาจจะเย็บซ่อมรูทะลุได้ถ้าหากรูไม่ใหญ่เกินไปแต่หากมีการทะลุรุนแรงและ เป็นรูใหญ่มาก และไม่สามารถเย็บซ่อมได้ อาจมีความจำเป็นต้องแก้ไข โดยการระบายอุจจาระออกทางหน้าท้องก่อนระยะหนึ่ง เพื่อมิให้อุจจาระมาปนเปื้อนบริเวณรูทะลุ หลังการเย็บซ่อมรูทะลุนั้น และเมื่อรูทะลุปิดดีแล้ว จึงค่อยผ่าตัดทำช่องคลอดให้ใหม่ด้วยลำไส้ใหญ่ส่วนปลายต่อไป
•   การหลุดลอกของปุ่มคลิตอริสที่แพทย์สร้างให้ใหม่ : การสร้างปุ่มคลิตอริสใหม่ร่วมกับการผ่าตัดแปลงเพศนั้น เป็นการผ่าตัดที่มีโอกาสกระทบกระเทือนต่อเส้นเลือดที่มาเลี้ยงปุ่มคลิตอริสได้ เนื่องจากเส้นเลือดและเส้นประสาทบริเวณนี้มีโอกาสถูกกดทับได้ง่าย ดังนั้นอาจทำให้ปุ่มคลิตอริสเกิดการขาดเลือดมาเลี้ยงและมีการลอกหลุดหรือบาง ครั้งตายไปได้ หากแก้ไขได้ทันท่วงที จะสามารถเก็บปุ่มคลิตอริสให้กลับคืนมาได้และใช้งานได้ตามปกติ ในกรณีที่แก้ไขไม่ได้และปุ่มคลิตอริสตายไป จะเหลือเพียงบางส่วนซึ่งอาจทำให้การใช้งานของปุ่มนี้ในการรับความรู้สึกได้ ไม่เต็มที่
สรุป: จะเห็นได้ว่า เมื่อดูโดยรวมแล้ว การผ่าตัดแปลงเพศเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของกระบวนการรักษา ผู้ป่วยที่มีภาวะการรับรู้เพศไม่ตรงกับสภาพร่างกาย ที่ไม่สามารถบำบัดด้วยวิธีทางจิตบำบัดแล้วเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด และหากผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ผู้ป่วยสามารถมีชีวิต
ในสังคมได้อย่างมีความสุขและสร้างประโยชน์ต่อตนเองและ สังคมได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่ในอีกแง่หนึ่งหากทำการรักษาโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ถูกขั้นตอน เช่นผ่าตัดแปลงเพศเนื่องจากคำชักชวนของเพื่อน หรือเพื่อหวังผลด้านการพาณิชย์ หรือไม่มีการเตรียมผู้ป่วยทั้งการกายและใจก่อนผ่าตัดที่ดี อาจจะส่งผลต่อผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ทั้งในแง่ของร่างกาย ที่ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนมาได้ และทางด้านจิตใจที่อาจจะประสบปัญหาในการใช้ชีวิตในสังคมและคนรอบข้างได้ ในที่สุดจะส่งผลต่อการรักษาที่ล้มเหลวได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
66#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-29 18:33:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิธีรักษารอยแผลเป็น "บนใบหน้า"
เพื่อให้ใบหน้าของคุณทุกคนสวยใสหากไกลรอยแผลเป็นอันไม่พึงประสงค์ยิ่งโดยเฉพาะใบหน้าด้วยแล้วคงไม่มีใคร อยากให้มีด้วยกันทั้งนั้น วันนี้เราจึงนำวิธีรักษารอยแผลเป็นมาฝากคนที่กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจที่ต้องมีแผลเป็นบนใบหน้าให้ได้สวยใสกันทุกคนเลยค่ะ ว่าแล้วเราก็มาเริ่ม วิธีรักษารอยแผลเป็น เพื่อหน้าสวยกันเถอะค่ะ

วิธีรักษารอยแผลเป็น


1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทาในกรณีที่เป็นไม่มากนักหรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์แล้วจึงหลุดไปเองแต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วยไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยาซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนังโดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็น
123
กลับไป ตั้งกระทู้ใหม่
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้