ดู: 10766|ตอบกลับ: 65
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ขั้นตอนการทำศัลยกรรมและข้อดี-เสีย

[คัดลอกลิงก์]
น่ารู้ Soft Tissue Fillers สารเติมความงาม
Soft Tissue Fillers เป็นสารที่ใช้ฉีดลงไปที่ใบหน้า เพื่อเพิ่มความอวบอิ่มหรือใช้ Soft Tissue Fillers ในการแก้รอยเหี่ยวย่นหรือรอยบุ๋มต่าง ๆ ให้ดูเต็มขึ้น เรามาทำความรู้สาร Soft Tissue Fillers ให้ลึกซึ้งกว่านี้กันดีกว่าค่ะ
Soft tissue fillers

มีคนไข้หลายคน มาปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับการใช้สารฉีดหน้า เพื่อแก้ไขรอยย่น รอยบุ๋ม รวมทั้งเติมความอูมของส่วนต่าง ๆ อีกทั้งเมื่อนั่งตรวจคนไข้อยู่ทุกวันจะพบกับคนไข้กลุ่มหนึ่งที่มาให้แก้ไข ความผิดปกติของใบหน้าและอวัยวะหลายส่วนที่ได้จากการฉีดสารต้องห้าม เช่น พวกน้ำมันซิลิโคน พวกพาราฟิน หรือพวกไขมันเทียมอย่างที่หมอเถื่อนหรือนักฉีดพเนจร (ที่ ใช้ชื่อนี้เพราะว่าพวกนี้มักจะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่มักจะหิ้วกระเป๋าฉีดตามแฟลต คอนโด หรือห้องแถวต่าง ๆ และอาศัยการหาคนไข้โดยผ่านทางระบบนายหน้าหรืออาศัยการกล่อมคนที่ไม่รู้อิ โหน่อิเหน่ให้หลงเข้าไปให้ฉีด แต่เมื่อฉีดแล้วกลับไปหาตัวก็มักจะหาไม่เจอเพราะย้ายที่อยู่ไปเรียบร้อย แล้ว) ใช้เรียกกันเลยทำให้ได้ความคิดว่าน่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับสารฉีดสารเติม ความอูมที่ใช้ในท้องตลาดขณะนี้ให้ได้อ่านกันอย่างกว้าง ๆ สักหน่อย เผื่อเวลาไปเจอชื่อเรียกของสารเหล่านี้ในหน้าหนังสือหรือนิตยสารที่ทันสมัย หน่อยจะได้มีแนวทางมาเปรียบเทียบว่าสารนั้น ๆ เป็นสารพวกไหนและมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด บทความนี้เป็นเพียงบทความเสนอแนะคร่าว ๆ เท่านั้นไม่ได้ลงไปในรายละเอียดเหมือนที่หมอ ๆ เค้าเรียนกันที่จะลึกซึ้งถึงระดับโมเลกุลเลยทีเดียว แต่คุณผู้อ่านคงจะได้ความรู้ไว้กว้าง ๆ ประดับสมองบ้างไม่มากก็น้อย
ความนิยมในการเสริมความงามนั้นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน แต่สิ่งที่มักจะเป็นหัวข้อที่ต้องการของคนไข้นั้นก็มักจะอยู่ในแนวทางดังนี้ คือ ควรจะหายเร็วไม่มีความผิดปกติให้เห็นชัดนานเกินไปได้ผลดีหรือดีเลิศรวมทั้ง มีความปลอดภัยสูง ซึ่งทั้งนี้การผ่าตัดก็มีข้อจำกัดอยู่บางส่วนทำให้ในบางกรณีการใช้สาร บางอย่างฉีดเข้าไปที่ใบหน้าและสามารถแก้ไขปัญหาได้ นอกเหนือจากการผ่าตัดจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่คนไข้มักจะนิยมเลือกใช้และทำให้ ปัจจุบันนี้มีการค้นคว้าหาวัสดุหรือสารที่ฉีดเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี ดังจะเห็นได้จากสถิติของการใช้ injectable soft tissue filler ในอเมริกามีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากผิดหูผิดตาตั้งแต่ปี 1997-2000 เช่นการใช้ collagen ฉีดเพิ่มขึ้นถึง 71% การใช้ไขมันตนเองฉีดมีอัตราเพิ่มถึง 121% เป็นต้น
ถึงแม้ว่า soft tissue filler ที่สมบูรณ์ในอุดมคติในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถผลิตออกมาได้ก็ตาม แต่เราก็สามารถจะบอกได้ว่าสารที่น่าจะนำมาฉีดได้ผลดีและเป็นที่ต้องการในแง่ ทางการแพทย์ควรจะมีลักษณะเช่นใด (ขอให้ดูตารางที่ 1 ประกอบ) โดยมากหมอมักจะคิดถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นประการแรก (safety first) ติดตามมาด้วย ผลสำเร็จของการใช้ (efficacy) นอกจากนั้นก็คงเป็นเรื่องของการติดเชื้อหรือความต้านทานต่อการติดเชื้อได้ดี ความง่ายในการฉีดหรือการใช้ โดยมีแผลเล็กหรือน้อย การหายสนิทของแผลในช่วงเวลาสั้น ๆ รวมทั้งสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติได้อย่างรวดเร็วและที่สำคัญคือควร จะมีผลอยู่คงทนถาวรพอสมควร (โดยปกติหากฉีดแล้วอยู่ได้เกินกว่าหนึ่งปีเราก็มักจะถือได้ว่าได้ผลพอสมควรแล้ว แต่ถ้านานกว่านี้ได้ก็ถือว่าสอบผ่าน) หลังฉีดแล้วควรจะให้ความรู้สึกที่เหมือนกับผิวหนังปกติและควรจะมีความคงทนถาวรต่อการถูไถและการสัมผัสได้ดี (ไม่ใช่ว่าฉีดแล้วห้ามแตะต้องบริเวณนั้น ๆ เลยก็ไม่ไหวเหมือนกัน) และในประเด็นเกี่ยวกับการเลาะเอาออกได้ง่ายเมื่อไม่ต้องการก็เป็นเรื่องที่ น่าใส่ใจด้วยเหมือนกัน (หากฉีดแล้วแก้ไขไม่ได้เลยก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงพอสมควร)

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก >สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย  โพสต์ 2011-4-24 11:06
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-17 16:12:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ประการสุดท้ายก็คือ เรื่องของการก่อมะเร็งและการเป็นพิษภัยต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกายหรือต่อ ทารกในครรภ์ก็ต้องไม่มีในสารนั้น ๆ ซึ่งแน่นอนที่สุดในประเทศที่ผลิตเพื่อวางขายก็คงต้องมีระบบทดสอบและตรวจ สอบอย่างเข้มงวดในปัจจุบันจึงจะผ่านออกมาขายได้ ดังนั้นการจะใช้สารฉีดชนิดใด ๆ ที่ใบหน้าหรือร่างกายของเราก็ตามสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาหาความรู้กัน ให้ถ่องแท้เสียก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อเกิดผลข้างเคียงตามมา ในภายหลัง ซึ่งบางครั้งก็ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนมาสู่สภาพเดิมได้อีกด้ว

ความปลอดภัย ประสิทธิภาพ
ต้านทานต่อการติดเชื้อได้ดีพอควรใช้ได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นการฉีดหรือการผ่าตัดเสริม
ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อหายได้ไว
ไม่ก่อให้เกิดการแพ้คนนอกมองไม่รู้ (not visible)
ไม่เป็นพิษ (nontoxic) ได้ผลยั่งยืนพอควร (มากกว่า 1 ปี)
ไม่ก่อมะเร็ง (noncarcinogenic) ลักษณะคล้ายหรือเหมือนเนื้อหนังธรรมชาติ
noncomedogenic ทนทานต่อการเสียดสี ถูไถ ง่ายต่อการเอาออก เมื่อไม่ต้องการ

คราวนี้หากเราจะทำการแยกชนิดของสารที่ใช้ฉีดเราจะแบ่งออกได้กี่ประเภท อันนี้เราพอจะพิจารณาชนิดของสารฉีดที่มีอยู่ในท้องตลาดออกได้ด้วยกัน 4 ชนิดได้แก่ 1.สารที่มาจากธรรมชาติอันสกัดมาจากเนื้อเยื่อของมนุษย์ 2. สารที่มาจากการเตรียมมาจากเนื้อเยื่อของสัตว์ 3. สารสังเคราะห์ที่มาจากสิ่งมีชีวิต หรือจากมนุษย์ 4. สารสังเคราะห์ที่เป็นสารเคมีล้วน ๆ รายละเอียดเกี่ยวกับสารฉีดแต่ละจำพวกจะเล่าให้ฟังต่อดังต่อไปนี้
1. สารที่มาจากธรรมชาติ ที่สกัดมาจากเนื้อเยื่อมนุษย์

สารที่อยู่ในกลุ่มนี้ตัวอย่าง เช่น acellular dermal material (Alloderm เป็นต้น) เป็นสารที่มีมาตั้งแต่ปี 1990 และสามารถใช้โดยการเปิดแผลเล็ก ๆ แล้วเติมเข้าไปในส่วนที่ต้องการ แต่ในเวลาต่อมาพบว่ามีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับการสลายตัวไปรวดเร็วประมาณ 6 เดือนถึงหนึ่งปีเท่านั้น จึงมีสารตัวอื่น ๆ เช่น cadaver-derived human collagen (Dermalogen) ออกมาใช้แพร่หลายในเวลาต่อมา แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการสลายตัวและอาจจะเกิดการแพ้ได้ นอกจากนั้นยังมีตัวอื่น เช่น Autologen (autologous dermal material) ซึ่งอยู่คงทนมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม autologen นั้นเป็นสารที่ใช้ฉีดได้ค่อนข้างยากและการฉีดที่ไม่ดีพอจะทำให้เกิดการขรุ ขระได้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้ autologous dermal fat อาจจะได้ผลดีเหมือนกันแต่ก็ยังมีผลเกี่ยวกับผลในระยะยาวเหมือนกันและยังขึ้น อยู่กับเทคนิกในการสกัดจากร่างกายด้วยเหมือนกัน ในระยะหลัง ๆ นี้มีการเปิดตัวสารใหม่คือ Cymetra (micronized acellular dermal material) ซึ่งทางผู้ผลิตคิดว่าน่าจะอยู่ได้ยาวนานกว่าสารตัวอื่น ๆ แต่เนื่องจากเป็นตัวใหม่อยู่จึงต้องติดตามผลการรักษาในระยะยาวเสียก่อนจึงจะ บอกผลได้ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร

2. สารที่สกัดมาจากสัตว์

สารในกลุ่มนี้มีการใช้มาตั้งแต่ช่วงปี 1980 มาแล้ว ได้แก่พวก zyplast, zyderm แต่ผลการรักษานั้นดูจะยังไม่ค่อยน่าจะประทับใจเท่าไหร่ เพราะมีปัญหาหลายอย่างเช่นเรื่องของการแพ้ การเกิดการอักเสบ (low grade inflammation) และยังมีปัญหาเรื่องการสลายตัวเมื่อเวลาผ่านไปด้วย สารชนิดอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันนี้ที่เป็นตัวใหม่ ๆ ก็ได้แก่พวก Permacol ซึ่งเป็น collagen มาจากหมูและผลิตออกมาเป็นแผ่น ๆ แต่เมื่อนำมาใช้ก็พบว่าผลการรักษาก็ดูจะคล้าย ๆ กับกลุ่ม zyderm, zyplast เรียกว่าไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-17 16:12:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
3. สารสังเคราะห์ที่มาจากสิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์

สารกลุ่มนี้ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ Gore-Tex ซึ่งได้มีการใช้และรายงานในวารสารทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่องนานหลายปีแล้ว และยังมีตัวที่พัฒนามาจาก Gore-Tex คือ SoftForm ซึ่งต่อมาก็พบว่ามีปฏิกริยาต่อผิวหนังและเยื่อบุค่อนข้างมากจึงถูกถอดออกจาก ท้องตลาดไปตั้งแต่ปี 2000

มีสารสังเคราะห์ที่ได้จาก hyaluronic acid ซึ่งพบว่าเป็นสารที่ดูน่าจะดีสำหรับการเอามาฉีดเสริมส่วนต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากสารตัวนี้สามารถพบได้ในเนื้อเยื่อของคนเราอยู่แล้ว โดยเป็นส่วนประกอบของ chondroitin sulfate, collagen เป็นต้น ดังนั้นสารนี้จึงถูกนำมาผลิตและขายในท้องตลาดในหลายรูปแบบด้วยกัน ได้แก่ Hylaform, Hyalaform gel, Synvisc, Biomatrix, Restylane, Restylane-5, Perlane เป็นต้น แต่สารกลุ่มนี้บางชนิดจัดว่ายังเป็นของใหม่จึงอาจจะยังไม่ผ่านการรับรองของ FDA ในบางประเทศ ผลข้างเคียงของสารกลุ่มนี้อาจจะมีบ้างเช่นการเกิดปฏิกริยาของร่างกาย การสลายตัว (Resorption) ซึ่งผู้ผลิตต่าง ๆ ก็พยายามที่จะทำให้สารเหล่านี้บริสุทธิ์ขึ้นเพื่อจะได้มีปฏิกริยาลดลงแต่ กระนั้นก็ยังแก้ปัญหาเรื่องการสลายตัวยังไม่ดีพอ (คิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกหน่อยก็คงจะได้สารที่คงสภาพได้ดีมากขึ้น)

4. สารสังเคราะจากสารเคมีล้วน ๆ

สารในกลุ่มนี้ที่เราพอจะรู้จักกันดีได้แก่ Silicone, Bioplastique,Artecoll เมื่อไม่นานมานี้ทาง FDA ของสหรัฐได้ยอมรับการใช้ Silicone เหลว 2 ชนิดคือ Adatosil 5000 และ Silikon 1000 สำหรับการใช้ในการรักษา retinal detachment (แต่ไม่ใช่รักษาหรือฉีดเสริมสวยอย่างที่เรานำมาใช้กันในเมืองไทยโดยหมอเถื่อนซึ่งไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีการรับรอง) ส่วน Bioplastique ซึ่งผลิตโดย Geleen ประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นเป็นสารที่ประกอบด้วย microparticles ของ solid-state polydimethylsiloxane (หรือซิลิโคนนั่นเอง) แต่ได้รับการผสมด้วย biocompatible carrier gel หุ้มภายนอกอีกทีหนึ่งและเคยมีการใช้ในอเมริกาอยู่ช่วงสั้น ๆ แต่ก็สาบสูญหายไปโผล่ในประเทศแถบยุโรปและเอเซียแทน ส่วนผลการรักษานั้นดูจะไม่ค่อยแน่นอนนักและยังต้องการการศึกษาทั้งในด้าน ความปลอดภัยและเทคนิกการฉีด และที่สำคัญสำหรับสารชนิดนี้คือการเลาะออกหากไม่ต้องการค่อนข้างจะยากและอาจ จะต้องเสียเนื้อเยื่อรอบด้านไปด้วย

Artecoll เป็นสารที่ผลิตออกมาโดยหวังผลของคุณสมบัติที่ดีของสารฉีดในอุดมคติ โดยตัวมันประกอบด้วย polished polymethylmethacrylate bead (plexiglass) แล้วนำมาเคลือบด้วย collagen matrix อีกทีหนึ่งทำให้การสลายตัวของมันเกิดขึ้นได้ยากกว่าโดยเมื่อถูกฉีดเข้าไปใน ร่างกายแล้ว ร่างกายจะสร้างพังผืดมาทดแทน collagen ที่มีอยู่เดิมแล้วสลายตัวไปหลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน ดังนั้นผลข้างเคียงจึงมักจะเกิดจากการเกิดพังผืด อาการบวมแดง หรืออาจจะคลำก้อนได้ตะปุ่มตะป่ำ แต่อย่างไรก็ตามสารตัวนี้ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการรับรองจาก US FDA ในปัจจุบัน

หากจะพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับสารฉีดในปัจจุบันนี้เท่าที่มีการใช้และรายงาน กันอยู่ในวารสารต่าง ๆ ดูเหมือนว่า artecol และ hyaluronic acid น่าจะเป็นสารที่ดูจะปลอดภัยและเป็นที่นิยมมากในอเมริกา และถึงแม้ว่าทาง FDA ยังไม่ได้รับรองแต่ในอนาคตหากมีการใช้กันนานกว่านี้และมากขึ้นแพร่หลายก็อาจ จะทำให้ความเข้าใจและการวิจัยเกี่ยวกับสารฉีดเหล่านี้และตัวอื่น ๆ พัฒนาต่อไปเพื่อจะได้สารฉีดที่สมบูรณ์แบบในอนาคตได้

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก >สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย  โพสต์ 2011-4-24 11:08
ขอขอบคุณข้อมูลจาก >สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย  โพสต์ 2011-4-24 11:07
ขอขอบคุณข้อมูลจาก >สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย  โพสต์ 2011-4-24 11:06
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-17 16:13:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันตรายจากกลูต้าไธโอน "ของผิวขาว"
เมื่อพูดถึงกลูต้ไธโอนในวงการผู้หญิงอยากขาวคงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจ้าสารกลูต้าไธโอนชนิดนี้ แต่คุณรู้บ้างไหมว่าอันตรายจากกลูต้าไธโอนนั้นมีอะไรบ้าง มีผลข้างเขียงอย่างไรบ้าง หากว่าคุณคิดอยากจะมีผิวขาวสวยอมชมพูก็ต้องคิดกันสักนิดเพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อยู่ยั่งยืนคู่กับคุณไปจนแก่ นั้นมาดูอันตรายจากกลูต้าไธโอนและประโยชน์ของกลูต้าไธโอนกันค่ะ
อันตรายจากกลูต้าไธโอน

สารกลูต้าไธโอนเป็นโปรตีนที่ร่างกายเราสังเคราะห์ได้เองทำหน้าที่ปกป้อง เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน โดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายช่วยตับขจัดสารพิษ โดยเฉพาะตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เช่น โลหะหนัก สารฆ่าแมลง เมื่อรวมตัวกับสารกลูต้าไธโอนจะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกาย ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็ง นั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า ผู้ที่อายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงมักจะตรวจพบสารกลูต้าไธโอนปริมาณสูงใน กระแสเลือด ต่อมาวงการแพทย์ได้นำสารกลูต้าไธโอนมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้น ประสาทบกพร่อง เช่น โรคตับ โรคไต พาร์กินสัน อัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก มานานกว่า 30 ปี โดยฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ

เนื่องจากร่างกายเราสร้างกลูต้าไธโอนได้เองเมื่อต้องเสริมกลูต้าไธโอนใน ปริมาณมากเพื่อมุ่งรักษาโรค จึงมีผลข้างเคียงโดยกลูต้าไธโอนมีฤทธิ์ไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งทำให้ เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาวทำให้ผิวขาวขึ้นใน เวลาอันสั้น จึงเกิดการแตกตื่นและนำกลูต้าไธโอนมาเป็นอาหารเสริมเพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู
กิน-ฉีดให้ขาว อันตรายถึงชีวิต

ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมไม่มีผลให้ผิวขาว เพราะสารชนิดนี้ไม่สามารถดูดซึมและจะถูกขจัดออกจากร่างกายในที่สุด จึงได้มีการดัดแปลงนำมาผสมกับวิตามินซีแล้วฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ ครั้งละ 600 มิลลิลิตร สัปดาห์ละครั้ง ราคา 4,000-5,000 บาท ติดต่อกัน 3-5 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มขาวขึ้นหลังฉีดครั้งแรกประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้น 2 เดือนผิวจะกลับมาเป็นสีเดิมจึงต้องฉีดซ้ำอยู่เป็นระยะ

ต่อมาองค์การอาหารและยาได้ประกาศห้ามใช้กลูต้าไธโอนเพื่อช่วยผิวขาวแล้ว เนื่องจากกลูต้าไธโอนทั้งชนิดเม็ดและชนิดฉีดเพื่อมุ่งผิวขาวมีกลูต้าไธโอน สูงถึง 500-1,000 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยใช้ คือ ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวันและอาจทำให้แพ้ยาจนช็อกถึงขึ้นเสียชีวิตเฉียบพลันหรือส่งผล ในระยะยาว เช่น สะสมในร่างกายส่งผลเสียต่อตับและไตได้ และทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังเนื่องจากผิวไวต่อแสงแดดเพราะเม็ดสีผิวถูก ทำลายเสริมกลูต้าไธโอนด้วยการกิน

แม้การบริโภคกลูต้าไธโอนในปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีโรคแทรกซ้อนอาจทำให้ปริมาณกลูต้าไธโอนที่ร่างกาย ผลิตได้ลดลงทำให้ร่างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ผิวแห้งเหี่ยวเร็ว ไม่เปล่งปลั่ง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ (ในกรณีที่ป่วย) หรือเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างกลูต้าไธโอนได้ดีขึ้น ได้แก่ ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว นม ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม มะเขือเทศ และผลไม้ เช่น แตงโม สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น อะโวคาโด

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine  โพสต์ 2011-4-24 11:09
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:05:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อันตรายจากการฉีดสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย

ใน ปัจจุบันจะพบว่าคนหนุ่มสาวในวัยทำงานมีความสนใจในส่วนต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น  ทั้งผิวพรรณใบหน้ารูปร่าง    มีการผ่าตัดเพื่อเสริมเติมแต่งส่วนที่ขาดส่วนที่บกพร่อง ให้ดูดียิ่งขึ้น  และมีการแก้ไขส่วนที่ไม่พึงพอใจในร่างกาย ด้วยการฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด เพื่อแก้ไขริ้วรอย   โดยสารที่ฉีดที่ได้มาตรฐานจะไม่มีปฏิกิริยาต่อร่างกาย  ไม่แพ้  ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง  สาร เหล่านี้ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ และจะต้องฉีดด้วยความระมัดระวังเนื่องจาก อาจจะมีผลข้างเคียงจากการฉีดเกิด ขึ้นได้  และยังมีสารอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่สมควรที่จะฉีดเข้าสู่ร่างกาย เนื่องจากมีผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมามากมาย  แต่ก็มีการนำมีฉีดโดยบุคคลที่แอบอ้างว่าเป็นแพทย์   ในที่นี้จะกล่าวถึงสารกลุ่มที่สามารถฉีดเข้าสู่ร่างกายก่อนและในตอนท้ายจะ กล่าวถึงกลุ่มที่ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย

กลุ่มที่สามารถฉีดเข้าสู่ร่างกายได้มีดังนี้
1.        ฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด  เช่นแก้มตอบ มีร่องแก้ม เบ้าตาโบ๋ลึก เป็นต้น   การฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดนั้น สามารถใช้ไขมันของร่างกายตัวเองโดยแพทย์จะ ดูดไขมันจากหน้าท้อง จากสะโพกหรือต้นขาในจำนวนที่เหมาะสม แล้วนำมาฉีดเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการแก้ไข ก็จะสามารถทำให้แก้มที่ตอบดูเต็ม ขึ้น ร่องแก้มตื้นขึ้น ส่วนบริเวณเบ้าตาคงจะต้องฉีดด้วยความระมัดระวัง ข้อดีของการใช้ไขมันของตัวเองนั้นไขมัน จะอยู่ในร่างกายอย่างถาวรแต่อาจจะถูก ดูดซึมไปบ้างหลังฉีด  ข้อเสียคือต้องมีขั้นตอนของการดูดไขมันเพิ่มขึ้น
2.        ฉีดเพื่อลดรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่นรอยร่องบริเวณหัวคิ้ว ร่องแก้ม ร่องรอบริมฝีปาก แผลเป็นที่เป็นหลุมลึก  และยังใช้ฉีดใช้ริมฝีปากให้อูมอิ่มขึ้นอีกด้วย ที่นิยมใช้ในปัจจุบันเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นคือ  ไฮยารูโลนิกแอซิดที่เรียกสั้นๆ ว่า เอชเอ โดยทั่วไปเป็นสารที่เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของผิวหนัง น้ำในข้อ ของเหลวในดวงตาอยู่แล้ว   ข้อดีคือโอกาสแพ้สารชนิดนี้น้อยมาก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก  และไม่ต้องทดสอบก่อนฉีด  แต่ข้อเสียคือฉีดแล้วอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน รอยร่องต่างๆ ก็จะกลับเป็นขึ้นเหมือนก่อนฉีด และราคาค่อนข้างแพง  อีกชนิดหนึ่งที่เคยเป็นที่นิยมคือ คอลลาเจน  แต่ปัจจุบันใช้ลดน้อยลงคุณสมบัติโดยทั่วไปคล้ายๆ กับเอชเอ แต่ก่อนใช้ต้องทดสอบก่อนว่าแพ้หรือไม่
3.        ฉีด เพื่อลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์บนใบหน้าเช่นรอยตีนกา รอยย่นบนหน้าผาก และรอยย่นระหว่างคิ้วที่เกิดจากการขมวดคิ้ว ร่องรอยเหล่านี้สามารถใช้สารที่สกัดจากแบคทีเรียที่เรียกว่าโบทูลินั่มทอกซิ น โดยที่สารชนิดนี้สามารถยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ  จะเห็นว่าถ้าต้องการให้กล้ามเนื้อในตำแหน่งใดหยุดทำงาน ก็เพียงฉีดสารชนิดนี้เข้าไปที่กล้ามเนื้อนั้นๆ   เช่น ต้องการให้รอยตีนกาหายไปก็จะฉีดเข้าบริเวณดังกล่าว หลังจากฉีดแล้ว 1-2 วันรอยตีนกาก็จะลดน้อยลงเนื่องจากกล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้  แต่ ก็เป็นการหยุดทำงานชั่วคราวเท่านั้น หลังจากนั้น 4-6 เดือนเมื่อหมดฤทธิ์ของสารสกัดดังกล่าวรอยตีนกาก็จะกลับมาเหมือนเดิม ถ้าต้องการให้ริ้วรอยหายไปอีกก็ต้องฉีดซ้ำ  ข้อเสียคือริ้วรอยหายชั่วคราวไม่ถาวร  สิ้นเปลือง  และ หากขาดความชำนาญในการฉีดสารสกัดดังกล่าว อาจจะไหลไปในตำแหน่งไม่พึงประสงค์ก็ จะทำให้มีผลต่อกล้ามเนื้ออื่นๆใกล้เคียง เช่นไหลเข้าที่เปลือกตาบนทำให้หนังตาตก  ไหลเข้ากล้ามเนื้อตาทำให้ตาดก  แต่อาการแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถหายได้หลัง 4-6 เดือนเมื่อหมดฤทธิ์ยา
4.        ฉีดเพื่อลดขนาด เช่นกรามใหญ่ น่องโต ปกติแล้วภาวะดังกล่าวสามารถแก้ไขได้โดยการผ่าตัด  แต่ปัจจุบันยังมีการใช้โบทูลินั่มทอกซินในการลดขนาดของกล้ามเนื้อ  กรามที่ใหญ่กางออกการฉีดกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกรามจะทำให้กล้ามเนื้อลดขนาด ลงกรามจะดูเรียวขึ้น  กล้ามเนื้อน่องก็เช่นกันสามารถฉีดแล้วทำให้น่องเล็กลงได้  แต่ข้อเสียคือราคาค่อนข้างแพง หลังฉีดกรามอาจทำให้เคี้ยวอาหารที่แข็งลำบากขึ้น  ต้องฉีดทุกๆ 4-6 เดือนและหลายครั้ง เมื่อหยุดฉีดแล้วระยะเวลาหนึ่ง กล้ามเนื้อดังกล่าวอาจกลับมาโตเหมือนเดิม

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:06:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กลุ่มที่ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย

สารสังเคราะห์กลุ่มนี้เป็นสารที่ไม่ได้มาตรฐาน ได้แก่ซิลิโคนเหลว พาราฟิน น้ำมันมะกอก เป็นต้น สารเหล่านี้ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกายเนื่องจาก พบว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ประชาชนมานานนับสิบปี   นอกจากบุคคลทั่วไปแล้วยังมีนักแสดงนักร้องมีปัญหาจากการฉีด  สื่อต่างๆ ทั้งวิทยุโทรทัศน์ได้นำเสนอถึงอันตรายที่เกิดขึ้น ทางสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทยก็ได้ประชาสัมพันธ์ถึงผลเสียต่างๆ  แต่ปัญหาก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ตาม กฎหมายนั้นบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่แพทย์ ไม่สามารถฉีดสารใดก็ตามเข้าสู่ร่างกาย ผู้อื่น และการทำการรักษาพยาบาลต้องทำในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณะสุขเท่านั้น  โดยจะมีบุคคลที่อ้างตัวเป็นแพทย์นำสารดังกล่าวโดยเฉพาะซิลิโคนเหลว   หลอกประชาชนว่าเป็นไขมันเทียมบ้าง คอลลาเจนบ้าง ฉีดเพื่อให้จมูกโด่งขึ้น  คางยาวขึ้น  แก้มอูมขึ้น  ฉีดหน้าอก สะโพก ตามแต่อยากจะให้ส่วนใดอูมใหญ่ขึ้น    โดยที่ซิลิโคนเหลวมีราคาถูกและอยู่ถาวร แต่มีภาวะแทรกซ้อนมากมายตั้งแต่อักเสบเป็นๆ หายๆ   ไหลย้อยไปสู่ตำแหน่งอื่น บริเวณที่ฉีดดูอูมบวมแข็งเป็นไต  ทำให้หน้าตาดูประหลาดผิดธรรมชาติ   เมื่อมีปัญหาคนไข้ก็จะมาพบแพทย์เพื่อให้แก้ไข  บาง คนเข้าใจผิดนึกว่าสามารถดูดออกได้ ความจริงแล้วสารดังกล่าวไม่สามารถดูดออกได้ และการผ่าตัดยังไม่สามารถเอาส่วน ที่ฉีดออกมาได้หมดเลยอีกทั้งยังต้องตัดเอาเนื้อเยื่อที่ดีของคนไข้ที่มีสาร แปลกปลอมแทรกอยู่ออกมาอีกด้วย  เช่นหากสารเหล่านี้อยู่บริเวณแก้มบริเวณขมับที่มีเส้นประสาทอยู่  การผ่าตัดอาจทำอันตรายต่อเส้นประสาททำให้ปากเบี้ยว  ยักคิ้วไม่ขึ้น  มีบางคนได้รับการฉีดเพื่อให้หน้าอกโตขึ้นผลคือหน้าอกแข็งเป็นก้อน  บางรายแตกเป็นแผลเรื้อรัง เป็นที่น่าเสียดายที่ทำให้การผ่าตัดรักษาต้องตัดเนื้อหน้าอกทิ้ง  และยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าอกอีก
นอกจากนั้นยังมีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ชายที่นำพาราฟินเหลว  น้ำมันมะกอก  มาฉีดเข้าบริเวณอวัยวะเพศเพื่อเพิ่มขนาด  หาก มีความรู้และมีสติคงจะไม่ทำการกระทำดังกล่าวเนื่องจากว่าสารดังกล่าวเป็นสาร แปลกปลอมที่ร่างกาย ะมีปฏิกิริยาต่อต้านไม่รับสารเหล่านั้นอย่างแน่นอน  หากฉีดสารดังกล่าวเข้าจะมีการอักเสบแข็งเป็นไต เจ็บปวด แตกเป็นแผลเรื้อรังในอนาคต  และสุดท้ายแล้วอวัยวะส่วนนี้ของร่างการจะไม่สามารถทำงานได้ปกติ  ต้องมาพบศัลยแพทย์ให้ผ่าตัดรักษา        ซึ่งแม้จะผ่าตัดรักษาให้แล้วรูปร่างและการทำงานก็ไม่สามารถกลับเป็นปกติ เหมือนเดิม

จะเห็นได้ว่าสารสังเคราะห์ที่จะฉีดเข้าสู่ร่างกายนั้น มีทั้งที่สามารถฉีดเข้า สู่ร่างกายได้ และไม่สมควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย ได้ทราบถึงข้อดีข้อเสียของสารแต่ละชนิด  ดังนั้นหากคิดจะฉีดเพื่อแก้ไขส่วนใดก็ตามทางที่ดีที่สุดควรจะปรึกษาแพทย์  และ ต้องฉีดด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะปลอดภัย ไม่ควรไปรับการฉีดจากบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ในสถานที่ที่ไม่ใช่คลินิกหรือโรงพยาบาล เพราะอาจจะทำให้เกิดข้อภาวะแทรกซ้อน ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อร่างกายและจิตใจ

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก >สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย  โพสต์ 2011-4-24 11:10
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:18:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
AHA กับ BHA
AHA (Alpha Hydroxy Acid)
     AHA คือสารสกัดจากธรรมชาติที่ได้จากผลไม้นนาชนิด รวมไปถึงนมเปรี้ยว ผลไม้ที่นำมาสกัดได้แก่ มะนาว สับปะรด แอปเปิล มะเขือเทศ มะขาม องุ่น อ้อย ฯลฯ ซึ่งเป็นสารสกัดที่มีความปลอดภัยสูงเพราะได้มาจากธรรมชาติล้วนๆ
     AHA เรียกอีอย่างว่ากรดผลไม้ก็ได้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการผลัดผิวใหม่ให้ผิวแลดูสดใสเปล่งปลั่ง ช่วยสร้างอีลาสตินและคอลาเจนให้ผิวดูเรียบเนียน ไร้ริวรอย และมีความนุ่มยิ่งขึ้น และยังช่วยลดจุดด่างดำได้อีกด้วย
     AHA ที่ใช้ในเครื่องสำอางค์บำรุงผิวจะทำงานได้ดีเมื่อมีค่า ph อยู่ที่ 1-2 และมีความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 5% ยิ่งค่า AHA สูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องระวัง เพราะจะทำให้ผิวที่ได้รับ AHA นั้นมีความไวต่อแส
มากกว่าเดิมและอาจทำให้เกิดความระคายเคืองได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มี AHA ควรเลือกที่มีค่า ph อยู่ระหว่าง 3-5 และมีในเครื่องสำอางค์สำหรับผิวหน้า 3-10 % ก็เพียงพอแล้ว
BHA(Beta Hydroxy Acid)
     BHA เป็นสารสังเคราะห์จากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีบางส่วนที่สกัดจากพืชเช่นกัน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากรดซาลิไซลิก สามารถซึบซาบเข้าไปในผิวได้ลึกกว่า AHA จึงทำให้ผิวหนังหลุดลอกเพิ่มขึ้น โดยไม่ทำอันตรายต่อเกราะป้องกันผิวแต่ BHA จะละลายได้ดีในไขมันและซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึก ๆ ได้มากกว่า
ค่า ph ของ BHA ที่เหมาะสมสำหรับหารบำรุงผิวพรรณจะอยู่ที่ประมาณ 2.8 และควรอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ เพียงแค่ 1-1.5 % ก็เพียงพอ
ทำความเข้าใจกับการผลัดเซลล์ผิว
AHA กับ BHA

เป็นวิธีการเบื้องต้นในการผลัดเซลล์ผิวจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็น alpha hydroxy acid (AHA) หรือ beta hydroxy acid (BHA) ซึ่งตัวหลังนี้มีอยู่ชนิดเดียวเท่านั้นคือ Salicylic acid ในขณะที่ AHA มีค่อนข้างหลากหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น Glycolic, Lactic, Malic, Citric, Mandelic และ Tartaric
สิ่งที่ AHA และ BHA ทำ หน้าที่เหมือนกันก็คือ ทำให้เซลล์ผิวเก่าที่อยู่ชั้นนอกสุดของผิวแยกออกจากการเกาะตัวกันแล้วหลุด ออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่มีสุขภาพดีกว่าได้ขึ้นมาอยู่ที่ชั้นบนสุดแทน การขจัดเซลล์ผิวเก่าออกไปได้นั้นจะทำให้สภาพผิวแลดูดีขึ้นทั้งโครงสร้างและ สีผิว ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน ช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมลงผิวได้ดียิ่งขึ้น ทั้ง AHA และ BHA นั้นก็ทำงานโดยให้ผลกับผิวชั้น นอกสุด ในคนที่ผิวถูกแสงแดดทำลายจะทำให้ผิวชั้นนอกสุดหนามากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการปกป้องผิวจากแสงแดดตามธรรมชาติ ทำให้ผิวแลดูหมองคล้ำ หยาบกร้าน ไม่เรียบ
เนื่องจาก AHA และ BHA ทำ งานโดยกระบวนการทางเคมี ดังนั้นจึงทำให้การซึมลงผิวและผลที่ได้ดีกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ขัดผิว ที่เพียงแค่เปิดผิวและรูขุมขนเท่านั้น และการใช้ AHA หรือ BHA ก็ไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงใด ๆ กับผิว โดยเทคนิคแล้วการทำงานของ AHA และ BHA จะ ลงไปที่ผิวจนถึงจุดหนึ่งของระยะเวลาที่เพียงแค่ลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือเซลล์ผิวที่ถูกทำลายให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ได้เผยออกมาได้แทน ดังนั้นจึงจะเห็นว่าการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีนี้จะต้องมีเรื่องระยะเวลาที่ เหมาะสมในการทิ้งให้ออกฤทธิ์บนผิวหน้า ผลที่ได้จากกการใช้วิธีนี้ในครั้งแรก ๆ (เมื่อผิวเก่าที่เคยสะสมไว้ ผิวหยาบกร้าน สีผิวไม่สม่ำเสมอ ได้ถูกลอกออกไป) จะรู้สึกว่าผิวดีขึ้นชัดเจนกว่าการใช้อย่างต่อเนื่อง (เพราะการใช้ต่อเนื่องต้องใช้ในความเข้มข้นต่ำ  ค่อย ๆ ผลัดทุกวัน จึงไม่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเท่ากับการใช้ความเข้มข้นสูง แล้วนาน ๆ ทำครั้ง) และหลังจากการลอกเซลล์เก่าออกไปแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA เพื่อคงความสดใส เนียนเรียบของผิวให้ยาวนานขึ้นไปเรื่อย ๆเป็นประจำทุกวัน
ข้อแตกต่างที่สำคัญมากระหว่าง AHA และ BHA คือ AHA ละลายในน้ำ ส่วน BHA นั้นละลายในน้ำมัน คุณสมบัติที่โดดเด่นเช่นนี้ของ BHA จึง ทำให้สามารถซึมเข้าไปได้ในรูขุมขนซึ่งมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ จึงสามารถผลัดลอกเซลล์ผิวเก่าที่สะสมอยู่ในรูขุมขนที่อาจทำให้อุดตันหลุดออก ไปได้ BHA จะให้ผลดีเมื่อใช้ในบริเวณที่มีสิวอุดตันแบบหัวดำหรือผิวสีหมองคล้ำ ส่วน AHA ก็จะเหมาะสำหรับผิวที่ถูกแสงแดดทำลาย, ผิวหยาบกร้านหนา, ผิวแห้ง และต้องไม่เป็นสิวอักเสบ


8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:19:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
BHA (Beta hydroxy acid : Salicylic Acid)

-เป็น ผลงานการค้นคว้าวิจัยของนายแพทย์ อัลเบิร์ต คลิกแมน  ศาสตราจารย์ด้านโรงผิวหนังแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา และคณะวิจัยของบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชั้นนำแห่งหนึ่งของโลก

BHA เป็นสารที่วงการแพทย์ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ มานานกว่า 100 ปี เช่น สิว รังแค หูด ตาปลา เชื้อรา หรือผิวแห้งพันธุกรรม ฯลฯ นับเป็นสารที่แพทย์ผิวหนังคุ้นเคยเป็นอย่างดี

การใช้ BHA กับผิวหน้า ใช้ได้ 2 รูปแบบ คือ
1. BHA สำหรับบุคคลทั่วไป ( ความเข้มข้น 2 - 5%)
- เป็นซาลิซิลิกในความเข้มข้นที่ไม่สูงมาก มีค่าความเป็นกรด-ด่างที่พอเหมาะ
- ใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า
- ช่วยผลัดเซลล์ผิวทั้งบนพื้นผิว และในรูขุมขนที่อุดตัน ผิวจึงสดใส เนียนเรียบขึ้น รูขุมขนอุดตันน้อยลง
- ไม่ค่อยก่อให้เกิดอาการระคายเคืองถ้าใช้ในความเข้มข้นที่ไม่สูงมาก เพราะออกฤทธิ์กับผิวชั้นนอก และใช้ได้ผลดีแม้ใช้ในความเข้มข้นที่ต่ำ จึงสามารถใช้ได้เองเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง

2. BHA ในความเข้มข้นสูง ใช้สำหรับแพทย์ ( ความเข้มข้น 10 - 20%)
- แพทย์ผิวหนังใช้ในการลอกผิวให้คนไข้
- มีประสิทธิภาพสูงในการผลัดผิวทั้งที่พื้นผิว และในรูขุมขนที่อุดตัน
- อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองบ้าง
- แพทย์ใช้ลอกหน้า รักษาสิว และแผลเป็นจากสิว
- ใช้เพื่อการกัดลอก หูด ตาปลา

สรุปว่า  BHA หรือกรดซาลิซิลิก  มีประโยชน์หลายประการ

สำหรับแพทย์ - ใช้เป็นยารักษาโรคหลายชนิดอาจใช้ในความเข้มข้นสูงเพื่อลอกผิว

สำหรับบุคคลทั่วไป - ใช้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในรูปของ BHA เพื่อความผ่องใสอ่อนเยาว์ของผิว

สำหรับคนที่เป็นสิวอักเสบ อยู่การใช้ glycolic acid (AHA)จะไปเป็นการเร่งให้มันอักเสบมากขึ้น การใช้ BHA salicylic acid เป็นทางเลือกที่ดีสามารถ handle สิวได้ดีกว่า glycolic acid  แล้วก็ เหมาะกับคนผิวบอบบาง ด้วย

Salicylic acid (BHA) เป็นสารละลายได้ดีในน้ำมัน  oil-soluble ช่วยให้มัน
สามารถซึมเข้าไปที่รูขุมขนทึ่อุดตันได้ด้วย ทำให้มันทำงานได้ดีกว่า

ปัญหา คือว่า salicylic acid ที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด ตามห้าง และร้านขายยา  จะมี salicylic acid ไม่เกิน 2% จะให้มัน effective มันต้องเข้มข้นเหมือนกับ glycolic acid คือ 8-20%  ทำให้ใช้แล้วต้องใช้เวลานาน ดูเหมือนไม่ประสิทธิภาพในการผลัดผิวเท่ากับ glycolic acid (8-15%) ที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด

ในการน้ำยาผลัดเซล ผิวหนัง Exfoliating serum ทั้ง AHA/BHA อาจมีลักษณะผิวลอก หรือ อาการระคายเคืองเป็นเรื่องปกติ (ถ้ามันแสบยุบยิบชั่วคราว)  และกระบวนการ turnover ของผิว อย่างต่ำ 30-40 วัน ผิวใหม่ถึงจะขึ้นมาอยู่ด้านบนสุด ดังนั้นใจเย็นๆ อดทน ให้เวลากว่าอาการหมองคล้ำ หรือริ้วรอยจะจาง

นอกจากนี้ถ้าซากผิวชั้นบนสุดที่ตายแล้วถูกผลัดออกไปอย่างสม่ำเสมอ ขนก็งอกออกมาตามปกติ ปัญหาสิวอุดตันก็ไม่เกิดขึ้นด้วย

แสดงความคิดเห็น

Reference - Archives of Dermatologic Research - Dermatologic Surgery - Experimental Dermatology - Global Cosmetic Industry ขอขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิเพื่อผู้บ   โพสต์ 2011-4-24 11:11
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:21:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
Ratin A   อาจเป็นยาวิเศษที่ทำให้คนหน้าใส ถ้าใช้เป็น  (เพื่อนใช้เกือบทุกคน ผิวเนียนกิ๊กเลย)
อาจทำให้หน้าไหม้ ถ้าใช้ไม่เป็น

วิธีใช้ยาตัวนี้นั้นเราขอแนะนำให้ใช้เฉพาะ เวลากลางคืนนะค่ะ
       เริ่มจากการล้างหน้าให้สะอาด แล้วเอาผ้าขนหนูสะอาดๆซับหน้าให้แห้ง ซับแบบเบาๆนะค่ะ
อย่าเช็ดหน้ากันแบบรุนแรงมากเกินไปนะครับ เพราะจะเป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย
พอซับหน้าแห้งแล้วก็รออีกสักสิบนาทีให้ผิวหน้าเราแห้งสนิทจริงๆก่อนใช้ Retin-A นะค่ะ
เพราะถ้าหน้ายังชื้นๆอยู่เวลาทายาไปอาจจะทำให้ระคายเคืองมากขึ้นได้นะ
หลังจากนั้นก็บีบ Retin-A ออกจากหลอดสักขนาดเม็ดถั่วเขียวนะค่ะ
ไม่ต้องบีบยาออกมาเยอะมากเกินไป เพราะผิวหน้าคนเรานั้นมีความสามารถในการดูดซับยาได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง
ถ้าบีบมาเยอะมากเกินไปก็เปลืองยาเปล่าๆ แล้วก็อาจทำให้ผิวเราระคายเคืองได้มากขึ้นอีกด้วยต่างหาก
จากนั้นก็แต้มยานี้ไปที่สามจุด แก้ม หน้าผาก แล้วก็คาง จากนั้นจากนั้นให้ใช้ปลายนิ้วนางหรือปลายนิ้วก้อยเกลี่ยยาเบาๆให้ทั่วผิว หน้า
โดยเว้นบริเวณส่วนที่บองบางไว้เช่น ใต้ตา มุมปาก มุมจมูก ไม่ต้องไปทามันนะค่ะเดี๋ยวผิวจะลอกจนแสบเอาเปล่าๆ
วิธีดูว่าเราบีบยาออกมาเยอะเกินไปไหมก็ดูที่ว่า เมื่อเราทายาแล้วมันซึมไปหมดไหม ถ้าซึมไม่หมด มีคราบขาวๆเหลืออยู่
ก็แสดงว่าเราบีบยาออกมาเยอะเกินไปแล้วล่ะ แล้วก็ถ้าไม่เคยใช้เรตินเอมาก่อน
แนะนำว่า หลังทายาเสร็จแล้ว สักยี่สิบนาทีก็ให้ล้างออกด้วยน้ำ
แล้วก็เข้านอนไปเลย ยังไม่ต้องไปทาครีมอะไรเพิ่มเติม แต่ถ้าเคยใช้มาบ้างแล้ว
ผิวเริ่มปรับสภาพได้แล้ว ก็ให้ทาทิ้งไว้แล้วเข้านอนได้เลย
พอเช้ามาก็ล้างหน้าให้สะอาดกันอีกครั้งนะคะ แล้วคราวนี้ก็ลงมอย์เจอไรเซอร์กันได้เต็มที่เลย จากนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทาครีมกันแดด
เลือกสักเอสพีเอฟ 30 เลยก็ได้สำหรับแดดเมืองกรุง
แต่ถ้าใครไม่ค่อยได้เจอแดดก็เลือกสักเอสพีเอฟ 15 ก็ได้นะค่ะ แค่นี้ก็เป็นอันจบขั้นตอนการใช้เรตินเอแล้วค่ะ

ข้อควรระวังนะค่ะ

1. Retin-A มีความระคายเคืองสูง หน้าลอกกระหน่ำมากๆในช่วงที่ใช้ ดังนั้นไม่แนะนำให้ใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ประมาณว่า สามสี่เดือนก็ใช้สักอาทิตย์สองอาทิตย์ แล้วก็หยุดใช้แล้วอีกสามสี่เดือนค่อยใช้ใหม่แบบนี้จะดีกว่า โดยส่วนตัวหกเดือนถึงจะใช้สักสองอาทิตย์ค่ะ

2. ช่วงกลางคืนที่ทาเรตินเอ ไม่แนะนำให้ใช้ครีมอื่นร่วมด้วยเลย ถ้าจะใช้ครีมอื่นๆเช่นพวกมอยซ์เจอไรเซอร์ให้รอตอนเช้า ล้างหน้าเสร็จแล้วค่อยใช้ดีกว่านะค่ะ

3. ช่วงที่ใช้เรตินเอ ห้ามใช้ครีมใดๆที่มีฤทธิ์ลอกหน้าหรือผลัดเซลผิวเช่นพวก AHA ทั้งหลายเลยนะคะ รวมไปถึงครีมที่มี salisylic เป้นส่วยประกอบทุกชนิดด้วยค่ะ

4. ช่วงที่ใช้เรตินเอ งดใช้เครื่องสำอางค์ที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่นะครับ โดยเฉพาะพวกโทนเนอร์ทั้งหลายแหล่นี่งดไปเลยค่ะ

5. กันแดดเป็นมิตรกับความหน้าตาดีค่ะ อย่าลืมใช้กันแดดทุกวันก่อนออกจากบ้าน แล้วถ้าระหว่างวันเติมกันแดดได้ก็เติมหน่อย อาจจะไม่สะดวกทาครีมกันแดดเพิ่มก็ขอแนะนำให้เลือกใช้พวกแป้งตลับ หรือแป้งฝุ่นที่มีเอสพีเอฟตบเพิ่มระหว่างวันซํกหน่อยแล้วกันนะ โดยเฉพาะคนที่ทำงานหน้าจอคอมอ่ะ แม้ไม่ได้เจอแดดโดยตรง แต่รังสีจากหน้าจอก็ทำร้ายผิวหน้าได้นะค่ะ

6. ตรงไหนที่ผิวมีการอักเสบอยู่ เช่นเป็นหัวสิวบวมแดงเป่งอยู่ ห้ามทาเรตินเอนะค่ะ เพราะจะยิ่งทำให้บริเวณนั้นระคายเคืองมากขึ้น ให้ทาบริเวณนั้นด้วยยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่จะดีกว่า แล้วก็ไม่ต้องล้างหน้าบ่อยไปกว่าวันละสองครั้งนะค่ะ เพราะน้ำมันตามธรรมชาติมันจะสูญเสียมากเกินไป เดี๋ยวหน้าแห้งไปแล้วมันจะแย่เอานะ ผิวแห้งเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าผิวมันนะค่ะ

แสดงความคิดเห็น

เครดิต คัดลอกมาจากโซนไอที  โพสต์ 2011-4-24 11:12
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:25:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความรู้ทั่วไป
ปัจจุบันนี้ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า มีเครื่องสำอางหลายชนิด ที่โฆษณาว่า มีส่วนผสมของ AHA ในความเข้มข้นที่มากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันไป คงจะสร้างความงุนงงให้กับผู้ที่รักความสวยงามไม่มากก็น้อยว่า AHA นี้คืออะไรกันแน่แล้ว ดีอย่างไร ผู้คนถึงให้ความสนใจมากนัก
ที่จริงแล้ว AHA เป็นคำย่อมาจากคำว่า Alpha Hydroxy Acid หรือบางคนเรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า กรดผลไม้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว AHA นี้ไม่ใช่ของใหม่ เพราะผู้ที่รักสวยรักงามในสมัยก่อนเขาเริ่มรู้จักใช้กันมานานแล้ว
เราคงเคยได้ยินหรือได้รู้เกี่ยวกับ การที่สาวในสมัยโบราณ เอาผลไม้บางชนิด เช่น แตงกวา แอปเปิล สตอเบอรี่ มาฝานเป็นแผ่นๆ แล้ววางบนหน้า แล้วทำให้หน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง ซึ่งในผลไม้เหล่านี้ มีสารบางอย่าง ที่เชื่อว่าสามารถทำให้ผิวหนังดูสดใสขึ้นได้ ซึ่งก็คือ AHA นี้เอง แต่ในบางครั้งพบว่า ในผลไม้บางอย่างอาจมีสารที่อาจจะระคายต่อผิวหนังโดยตรง หรือบางครั้งสารในผลไม้นั้นเมื่อถูกแสงแดดอาจเปลี่ยนเป็นสาร ที่ระคายต่อผิวหนังได้ ฉะนั้นในปัจจุบันจึงมีการสกัดสาร AHA มาใช้โดยตรง เพื่อความสะดวกในการใช้ และลดปัญหาเรื่องสารที่ระคายต่อผิว
      AHA มีอยู่ในผลไม้หลายชนิดไม่ว่าจะเป็นอ้อย(Giycolic), แอปเปิล(Malic), องุ่น(Tarmaric)หรือในนมเปรี้ยว(LActic) แต่ AHA ที่มีโมเลกุลเล็กและเชื่อว่า สามารถแทรกซึมลงสู่ชั้นผิวหนังได้ง่ายที่สุดคือ Glycolic acid ซึ่ง AHA นี้จะไปมีผลลดแรงยึดเหนี่ยวของเซลล์ในชั้นบนของหนังกำพร้า ซึ่งเป็นเซลล์ที่ตายแล้วมีการทับถมกันของเซลล์ ให้หลุดออกไปง่ายขึ้น และขณะเดียวกันก็สามารถกระตุ้นให้สร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ๆ ที่แข็งแรงกว่าแทนที่ อีกทั้งยังเชื่อว่า AHA ในความเข้มข้นที่พอเหมาะ จะสามารถกระตุ้นให้สร้างสารในชั้นหนัง แท้ได้ โดยรวมแล้ว ผลที่จะได้คือ ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น เนียนขึ้น ผิวหนังมีความยืดหยุ่น แข็งแรงมากขึ้น ริ้วรอยตื้นๆ แลดูลดลง ซึ่งจริงๆ แล้วในวงการแพทย์เราใช้ AHA ในความเข้มข้นที่สูง เพื่อใช้ในการรักษาโรคทางผิวหนังบางอย่าง เช่น หูด ติ่งเนื้อ เป็นต้น
      ในปัจจุบันนี้ได้มีการนำเอา  AHA ในความเข้มข้นที่ต่ำๆ มาผสมในเครื่องสำอาง หลายชนิด เป็นที่นิยมใช้กันแต่ยังไงก็แล้วแต่ AHA ถึงแม้จะมีประโยชน์ แต่ก็ต้องรู้จักวิธีใช้ เพราะในคนที่ผิวแห้งหรือมีผื่นผิวหนังอักเสบบางอย่าง อาจเกิดระคายต่อผิวหนังเป็นผื่นแดงคันได้ ฉะนั้น ถ้าจะให้ดี ควรจะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังก่อนใช้เพื่อความปลอดภัย  
ประเภทของกรดผลไม้ในปัจจุบัน
กรดผลไม้ (Hydroxy Acid) ได้มีการพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย โดยได้นำกรดผลไม้มาใช้ในการช่วยเพิ่มหรือเร่งอัตราการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังชั้นนอก เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าหยาบกร้าน รอยดำ ฝ้า ริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือรอยหลุม โดยอาจจะผสมในครีม ด้วยความเข้มข้นแตกต่างกัน หรือแพทย์ผิวหนังได้นำมาใช้ในการทำ Peeling เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวพรรณมากขึ้น นอกจากจะใช้ทาเพียงอย่างเดียว
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:26:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กรดผลไม้ในปัจจุบันมีหลายชนิดจำแนกในปัจจุบันได้ดังนี้  
1. AHA (Alpha-hydroxy acid)
คงเคยได้ยินกันบ่อยๆ  นะค่ะ เป็นกรดผลไม้ชนิดแรก  ที่นำมาใช้ในการรักษาปัญหาผิวพรรณ  โดยมีความเข้มข้นแตกต่างกันใน การใช้ประโยชน์  โดยมากในเคาน์เตอร์ความงาม จะพบเห็นแพร่หลาย ในส่วนประกอบของครีมบำรุง โดยมักจะผสมในความเข้มข้น ไม่เกิน 10 % การที่จะผสมให้ความเข้นข้นสูงกว่านี้จะถือว่าเป็นยาดังนั้นจะพบได้เฉพาะในคลินิกผิวหนังเท่า นั้น นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของ AHAs ยังขึ้นอยู่กับค่า pH (ความเป็นกรดด่าง) โดยถ้ายิ่ง pH ต่ำจะมีประสิทธิภาพดีกว่า pH สูงแต่ก็ระคายเคืองผิวหนังมากกว่า และไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวแพ้ง่าย
2. BHA (Beta-hydroxy acid)
เป็นกรดผลไม้อีกชนิดหนึ่ง  ที่ออกมาสู่ท้องตลาด ในเวลาไม่กี่ ปีมานี้  BHA เป็นสารพวก organic aromatic compound ซึ่งมี hydroxy group ที่ beta position (ขณะที่ AHA มีที่ alpha positions) ซึ่งสารตัวนี้ จะละลายในไขมันจึงซึมแทรกลงไปในรูขุมขนได้ดี ทำให้บางคนอนุมานว่าจะดีกว่า AHAs ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ต้องอยู่ที่จุดประสงค์ในการใช้แก้ปัญหา คือ AHA จะเหมาะกับการทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกหลุดลอกได้ดี หลังใช้ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น ริ้วรอยแลดูลดลงผิวหน้านุ่มขึ้น แต่ BHA จะเหมาะกับการรักษาผิวหน้าที่ลึกกว่า ใช้แก้ปัญหาการหลุดลอกของสิวอุดตัน สิวเสี้ยน และกระชับรูขุมขน เพราะ BHA สามารถลอกผิวหนังบริเวณที่มีต่อมไขมันมากได้ดีกว่า AHA โดยเฉพาะบริเวณปลายจมูก นอกจากนี้ จากการทดลอง พบว่า BHA ไม่ทำให้เกิดการสูญเสียเกราะป้องกันของผิวหนัง (Transepidermal waterloss)จึงใช้ได้ในคนที่ผิวแพ้ง่าย  
3. CHA (Combined hydroxy acid)
เป็นการผสมผสานของกรดผลไม้หลายชนิดแต่ไม่นิยมเพราะเตรียมยาก  
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:26:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
4. PHA (Poly-hydroxy acid)
  จะเป็นกรดผลไม้ตัวล่าสุด โดยคาดกันว่า PHA ผลิตขึ้นเพื่อจะมาแทนที่ AHA ในอนาคต โดยมีการปรับให้มีโมเลกุลใหญ่ ทำให้ดูดซึมเข้าไปในผิวหนังลดลง จึงไม่ระคายเคืองผิว และใช้ได้กับคนที่ผิวแพ้ง่าย โดยมีแนวโน้มในการใช้ลอกผิวหนังได้โดยไม่จำเป็นต้องทำลายเกราะ ป้องกันผิวพรรณ ดังนั้นPHA อาจจะเป็นของใหม่ ในศตวรรษนี้ ที่จะกล่าวถึงกันมาก แต่ในปัจจุบันทั้ง AHA, BHA ก็ยังมีประโยชน์ต่อการรักษาทั้งสองตัว
5. AFA (Amino Fruit Acids)
เป็นสาร ใหม่  เป็นกรดผลไม้ชนิดหนึ่ง  ที่มีโครงสร้างคล้าย AHA แต่ AFA มีกลุ่มไอออนถึง 3 กลุ่ม ที่จะคอยทำลายอนุมูลอิสระ ในขณะที่ AHA มีกลุ่มไอออนเพียง 1 กลุ่ม ซึ่งหมายความว่า AFA จะสามารถทำหน้าที่ เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากกว่า นั่นแสดงว่า สารนี้จะชะลอการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ดีกว่าด้วย นอกจากนี้ โครงสร้างของ AFA จะมีหมู่กรดอะมิโนอยู่ด้วย ซึ่งเป็นสารสำคัญในการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
วิธีเลือกเครื่องสำอางผสมกรดผลไม้
เมื่อเลือกซื้อเครื่องสำอางประเภท  AHA และ BHA ผู้บริโภคต้องทราบ 2 เรื่องนี้ เรื่องแรกคือ ความเข้มข้นของตัวกรดและเรื่องที่ 2 คือ ค่ากรดด่าง (pH) ของผลิตภัณฑ์นั้น
เครื่องสำอาง AHA ส่วนใหญ่มีความเข้มข้นของกรด AHAตั้งแต่ร้อยละ 1-15 ความเข้มข้นของ AHA ที่ต่ำที่สุดที่ทำให้ผิวลอกได้ คือร้อยละ 4 ถ้าความเข้มข้นสูงถึงร้อยละ 8-15 ผิวจะลอกมาก และอาจทำให้ผิวระคายเคือง
สำหรับค่าความเป็นกรดด่างนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่าความเป็นกรดด่างระหว่าง 3-5 ถ้าค่าต่ำกว่านี้ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นกรดมากและทำให้ระคาย เคืองสูง ถ้าค่า pH สูง ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำให้ผิวไม่ลอก คือใช้แล้วก็ไม่ได้ผลนั่นเอง ก่อนซื้อควรดูฉลาก เพื่อตรวจสอบส่วนผสม ถ้าพบว่าชื่อของ AHA เป็นส่วนผสมที่อยู่ท้ายๆ ของรายชื่อสารเคมีทั้งหมด อาจแสดงว่าผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนั้นมีส่วนผสมของ AHA น้อยเกินไปจนไม่ออกฤทธิ์ ในทางตรงข้าม ถ้าชื่อของ AHA ปรากฏเป็นอันดับแรกของรายชื่อ ก็แสดงว่าอาจมี AHA สูงเกินไป จึงควรปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อ AHA เป็นลำดับรองหรือกลางบัญชีรายชื่อ ถ้าผลิตภัณฑ์ใดมีส่วนผสมของทั้ง AHA และ BHA ก็ต้องแน่ใจว่าทั้ง 2 นี้ไม่ได้มีความเข้มข้นมาก ด้วยกันทั้งคู่ เพราะจะยิ่งเสริมฤทธิ์ทำให้ผิวระคายเคืองมาก เนื่องจากกรดผลไม้ทำให้ผิวลอก และระคายเคืองได้ง่าย จึงต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่มากเพราะจะยิ่งทำให้ ผิวระคายเคือง ควรเลือกซื้อกระปุกที่เล็กที่สุดมาลองใช้ดูก่อน ถ้าเป็นไปได้ลองเตรียม กระปุกสะอาดไปเองและขอแบ่งผลิตภัณฑ์มาลองใช้ดูก่อน ขั้นแรกอาจลองทาดู ที่ท้องแขนสัก 1 สัปดาห์ ถ้าผิวไม่แดงไม่ลอกจึงค่อยลองใช้กับใบหน้า
เมื่อเริ่มใช้เครื่องสำอางกลุ่มนี้ ต้องจำไว้ว่าผิวจะลอกและระคายเคืองง่ายอยู่แล้ว จึงต้องงดเว้นการใช้สบู่ที่ผสมเม็ดขัดถูใบหน้า งดการใช้ผ้าขนหนู ฟองน้ำ ใยบวบ หรือสิ่งใดๆ ก็ตามมาขัดถูใบหน้า  
      ธรรมชาติของผิวจะต้องมีการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมแล้วให้หลุดไป โดยทั่วไปทุก 28 วัน จะต้องผลัดเซลล์แต่เมื่ออายุมากขึ้นการทำงานดังกล่าวเริ่มช้าลงทำให้ผิวหมอง คล้ำ ขาดความชุ่มชื้น ริ้วรอยตื้นๆเริ่มเกิดขึ้นหากปล่อยไว้นานจะกลายเป็นริ้วรอยลึก ซึ่งรักษาได้ยากมาก พร้อมปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำหากปล่อยไว้นานอาจเป็นปัญหาซึ่งยากจะแก้ไขดังนั้นจำเป็นต้องใช้ เครื่องสำอางที่มีผลช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวช่วยให้ผิวกลับมากระจ่างใส ดูมีน้ำมีนวลเหมือนเดิม

AHA ช่วยผิวคุณอย่างไร AHA เมื่อถูกทาลงบนผิวหนังจะถูกดูดซึมไปยังผิวหนังชั้นในสุด และไปทำลายแรงยึดเกาะระหว่างเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วในชั้น horny layer ลดการจับตัวกันของ corneocyte ในผิวหนังชั้น stratum corneum โดยรบกวนพันธะ ไอออนิค (ionic bond) ระหว่างเซลล์ จึงมีฤทธิ์เป็น mild keratolyticหรือ skin peeling ทำ ให้ผิวชั้นล่างปรากฏขึ้นมาใหม่ทำให้เซลล์เหล่านี้ลอกหลุดง่ายขึ้น ซึ่งผลให้เซลล์ชั้นล่างลงไปขึ้นมาแทนที่ เป็นผิวที่เรียบนุ่มนวล และอ่อนเยาว์กว่า เปลี่ยนแปลงกระบวนการสังเคราะห์glycosaminoglycan และ ground substance ใน ชั้นหนังแท้ทำให้ผิวอุ้มน้ำได้ดี มีความยืดหยุ่น และเซลล์ในชั้น hormy layer ที่เกาะติดกันแน่นไม่หลุดลอกออกซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ได้หลุดลอกออกแล้ว จึงช่วยให้เกิดสิวลดลงด้วย

แสดงความคิดเห็น

เครดิต คัดลอกมาจากโซนไอที  โพสต์ 2011-4-24 11:15
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:30:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศัลยกรรม การดึงหน้า

การผ่าตัดดึงหน้าเป็นการผ่าตัดใหญ่ใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง มักนิยมผ่าตัดโดยใช้การดมยาสลบมากกว่าการฉีดยาชาเฉพาะที่ ดังนั้น ขั้นตอนในการเตรียมคนไข้ให้พร้อมก่อนการผ่าตัดเพื่อความปลอดภัยแก่คนไข้จึง มีความสำคัญมาก โดยทั่วไปแพทย์จะต้องตรวจดูความแข็งแรงของร่างกายเป็นพื้นฐานก่อนการผ่าตัด เรียกว่าคนไข้จะต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงพอสมควรจึงจะทำการผ่าตัดได้ สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่มีผลต่อการดมยาสลบควรแจ้งให้แพทย์ทราบ ก่อนเสมอ ส่วนบางท่านที่ทานยาบางชนิดอยู่เป็นประจำ เช่น ยากลุ่มแอสไพริน ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนบางชนิดเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะเพื่อรักษาภาวะหมดประจำเดือนหรือเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ฯลฯ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย เพราะปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการผ่าตัด และการสมานของแผลทั้งทางตรงและทางอ้อมหรือในรายที่สูบบุหรี่จัดก็ขอให้หยุด สูบทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดจนกว่าแผลจะหายสนิทแล้วเหล่านี้เป็นตัวอย่างของ การเตรียมคนไข้ก่อนผ่าตัด
- ขั้นตอนการผ่าตัดการดึงหน้า

เริ่มจากแพทย์จะเปิดแผลบริเวณเหนือหูขึ้นไปถึงบริเวณขมับ โดยผ่านผิวหนังหลังแนวผมเข้าไปตามขอบใบหูด้านหน้าและอาจจะเว้าขึ้นไปที่ติ่ง หน้ารูหูเล็กน้อย แล้วต่อลงมาที่ติ่งหูด้านล่างโค้งอ้อมติ่งหูไปทางด้านหลังหูตรงบริเวณซอก หลังใบหูขึ้นไป จากนั้นจึงลากผ่านเข้าไปในผมอีกทีเพื่อซ่อนแผลไว้ในแนวเส้นผมด้วยวิธีดัง กล่าวแผลที่โผล่มาให้เห็นจะอยู่ตรงบริเวณขอบหูด้านหน้าเท่านั้น ซึ่งเมื่อแผลหายสนิทแล้วก็มักจะมองไม่ค่อยเห็นชัดส่วนบริเวณอื่น ๆ จะถูกซ่อนเอาไว้อย่างดีตามแนวเส้นผม

จากนั้นแพทย์จะเปิดผิวหนังส่วนบนของใบหน้าหรือส่วนที่หย่อนยานขึ้น เมื่อเปิดได้กว้างเพียงพอแล้วก็จะเปิดยกผืนพังผืดและกล้ามเนื้อขึ้นอีกชั้น หนึ่งเพื่อจะได้ตึงเป็น 2 ชั้น (คือชั้นตื้นและชั้นลึก) โดยแพทย์จะเริ่มจัดการกับกล้ามเนื้อต่าง ๆ ที่มีผลต่อริ้วรอยของใบหน้า เช่น กล้ามเนื้อหางตา กล้ามเนื้อหน้าผาก หว่างคิ้ว กระทั่งกล้ามเนื้อที่คอด้านข้างแพทย์ก็จะจัดการเย็บขึงให้ตึงขึ้นแล้วเย็บ ติดกับส่วนที่แข็งแรงเพื่อตรึงเอาไว้เป็นแห่ง ๆ เมื่อเรียบร้อยแล้วแพทย์จึงจะดึงหนังส่วนบนให้ตึงและตัดหนังส่วนเกินที่ หย่อนออกไป แล้วเย็บผิวหนังปิดเข้ากับที่ใหม่ด้วยไหมเล็ก ๆ ให้แข็งแรงเป็นชั้น ๆ อีกทีก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ปัจจุบันมีการนำไหมเหล็กเหมือนลวดเย็บกระดาษมาใช้เย็บแผลในบางส่วน เช่น แผลที่ซ่อนอยู่ในผม ซึ่งช่วยทุ่นเวลาการผ่าตัดลงได้มากทีเดียวดังนั้นไม่ต้องตกใจหากตื่นขึ้นมา พบลวดเย็บแผลชนิดนี้เข้า

อีกอย่างหนึ่งหลังผ่าตัดแพทย์อาจจะใส่ท่อเล็ก ๆ สำหรับช่วยดูดเลือดที่บริเวณแผลผ่าตัด เพื่อป้องกันเลือดที่อาจจะค้าวคาหลังจากเย็บแผลเรียบร้อยแล้ว อันนี้ก็ไม่ต้องตกใจเช่นกันนะค่ะ ท่อนี้แพทย์จะเอาออกให้ในเวลาไม่นานนักอาจจะคาเอาไว้แค่วันสองวันเท่านั้น

- หลังการผ่าตัดการดึงหน้า

โดยทั่วไปก็มักจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรอาจมีปวดแผลผ่าตัดบ้างแต่ก็ สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยยาแก้ปวดหรือการประคบเย็บที่ใบหน้า การประคบเย็นยังช่วยป้องกันอาการบวมที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผ่าตัดได้อีกด้วย (หากไม่มีปัญหาใด ๆ อาการบวม หรือฟกช้ำก็มักจะหายสนิทในเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ และรูปโฉมใหม่จะเริ่มเข้าที่ให้เห็นประมาณ 1 เดือนไปแล้ว) ส่วนไหมที่เย็บไว้รวมทั้งไหมเหล็กนั้นแพทย์มักจะถอดออกหลังผ่าตัดประมาณ 7-10 วัน

โดยปกติภายหลังการดึงหน้าความตึงของผิวหน้ามักจะอยู่ได้นานหลายปีเดียว แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคนไข้ด้วย ถ้าอยากชะลอความแก่ตามธรรมชาติที่จะมาเยือนอีกรอบให้นานออกไปควรหลีกเลี่ยง ปัจจัยบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่ การอยู่ท่ามกลางมลภาวะต่าง ๆ การตรากตรำกรำแดดเป็นประจำโดยไม่มีอะไรปกป้อง การถูนวดหน้ารุนแรงหรือผิวหนังขาดการบำรุง เป็นต้น นอกจากนั้นควรบำรุงสุขภาพโดยรวมด้วย เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ และคลายเครียดด้วยกิจกรรมต่าง ๆ

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์  โพสต์ 2011-4-24 11:14
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:33:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศัลยกรรมโหนกแก้ม
เสริมโหนกแก้มเพิ่มความนูน

คนที่มีปัญหาโหนกแก้มแบนหรือเล็กเกินไปสามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดเสริม โหนกแก้ม หลักการก็คือแพทย์จะเสริมความนูนโหนกของปุ่มกระดูกโหนกแก้มให้มีมากขึ้นโดย ให้มีความกลมกลืนกับกระดูกโหนกแก้มเดิมมากที่สุด

วัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมโหนกแก้มีด้วยกัน 2 อย่าง คือ การเสริมด้วยกระดูกจริงซึ่งกระดูกที่นำมาใช้เลาะมาจากบางส่วนของร่างกาย เช่น กระดูกเชิงกราน กระดูกซี่โครง แต่วิธีนี้มีเงื่อนไขและข้อจำกัดหลายด้านโดยเฉพาะจะต้องมีแผลเป็นเพิ่มมาอีก ที่หนึ่ง และมักจะได้ความนูนของกระดูกโหนกแก้มไม่มากอย่างที่ต้องการ ดังนั้นความนิยมของวิธีนี้จึงน้อยลงไป

ส่วนอีกวิธีหนึ่ง เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนั่นคือ การเสริมด้วยแผ่นซิลิโคนหรือสารสังเคราะห์อื่นโดยซิลิโคนที่นำมาใช้นั้นมี ทั้งชนิดที่เป็นแผ่นสำหรับแพทย์นำมาเหลาขึ้นรูปเอง และชนิดที่ทำสำเร็จเป็นรูปโหนกแก้มมาแล้วในขนาดต่าง ๆ กันตามแต่ความต้องการ ส่วนจะเลือกใช้ชนิดใดนั้นขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ซึ่งจะพิจารณาให้เหมาะสม กับคนไข้แต่ละราย ใครที่เป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยขอเรียนว่า วัสดุที่ใช้เป็นวัสดุที่ปลอดภัยและไม่ค่อยก่อปฏิกิริยาต่อร่างกาย นอกจากนั้นยังหมดห่วงว่าจะมีแผลเป็นเพิ่มอีกที่หนึ่งด้วยเพราะไม่ได้ไปตัด หรือเลาะมาจากส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเลย

คนไข้ที่จะผ่าตัดเสริมโหนกแก้มจะต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจดูโครงสร้างของใบหน้าอย่างละเอียดรวมถึงประเมินขนาดของซิลิโคนที่จะใช้ จากนั้นแพทย์จะผ่าตัดเปิดแผลเพื่อเอาแผ่นซิลิโคนที่เตรียมไว้จัดขวางที่โหนก แก้มตามต้องการซึ่งในส่วนของขั้นตอนนี้แพทย์สามารถปฏิบัติได้ 2 วิธี คือ ผ่าตัดเข้าทางด้านในปากและผ่าตัดเข้าทางแผลใต้ตาล่าง

การผ่าตัดเข้าทางปาก จะเริ่มต้นด้วยการฉีดยาชาที่กระพุ่งแก้มด้านในบริเวณเหนือซอกเหงือกจากนั้น จะผ่าตัดเปิดแผลยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร แล้วแยกกล้ามเนื้อที่เกาะกระดูกใบหน้าขึ้นไปจนถึงบริเวณโหนกแก้มหลังจากนั้น จะเปิดเยื่อหุ้มกระดูกให้เป็นช่องที่มีขนาดพอเหมาะกับขนาดของซิลิโคนที่ เตรียมไว้แล้วจึงวางแผนซิลิโคนไว้ในช่องเยื่อหุ้มกระดูกตรงตำแหน่งของโหนก แก้มพอดี เมื่อตรวจสอบตำแหน่งเรียบร้อยแล้วจึงเย็บปิดด้วยไหมละลายและเพื่อไม่ให้แผ่น ซิลิโคนขยับเขยื้อนจากตำแหน่งที่จัดวางไว้ แพทย์อาจจะใช้พลาสเตอร์ปิดทับภายนอกบริเวณเหนือโหนกแก้มหลังจากนั้นก็รอเวลา ที่แผ่นซิลิโคนจะติดแนบกับกระดูกต่อไป

ส่วนการผ่าตัดเปิดแผลที่เปลือกตาล่างในตำแหน่งที่ชิดกับขนตาแพทย์จะแยกชั้น กล้ามเนื้อผิวหนังขึ้น เพื่อเข้าไปหารอยต่อของขอบกระดูกเบ้าตา จากนั้นจะเปิดเยื่อหุ้มกระดูกโหนกแก้มเป็นช่องขนาดที่ต้องการ เช่นเดียวกับวิธีแรกแล้วจึงวางแผ่นซิลิโคนลงไปที่ตำแหน่งโนหกแก้ม แม้วิธีนี้จะมีแผลที่บริเวณเปลือกตาแต่แผลที่ตำแหน่งนี้มักจะหายโดยไม่ค่อย ทิ้งร่องรอยให้สังเกตเห็นชัดเจนนัก

ภายหลังการผ่าตัด คนไข้จะต้องระมัดระวังการกระทบกระเทือนบริเวณโหนกแก้มเพราะอาจทำให้เกิดการ ขยับเขยื้อนของแผ่นซิลิโคนออกจากตำแหน่งที่แพทย์วางไว้ โดยปกติแผ่นซิลิโคนจะใช้เวลาติดแนบแน่นกับกระดูกประมาณ 4 สัปดาห์ขึ้นไป

การผ่าตัดเสริมโหนกแก้ม มักจะไม่ค่อยมีผลข้างเคียงตามมามากนักหากคนไข้ปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่าง เคร่งครัดอาการบวมที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะยุบบวมเข้าที่ภายในหนึ่งเดือนส่วนอาการขาบริเวณโหนกแก้มและริมฝีปาก อาจเกิดขึ้นได้แต่มักเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ส่วนการเสริมโหนกแก้มด้วยวิธีที่ผิด ๆ เช่น ฉีดน้ำมันซิลิโคนเหลวเข้าไปนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งและยุ่งยากในการแก้ไข ภายหลัง ดังนั้นจึงไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของบรรดาหมอเถื่อนทั้งหลายเพื่อ ความปลอดภัยของท่านเอง

ลดโหนกแก้ม

คนที่มีโหนกแก้มนูนสูงเกินไปก็สามารถผ่าตัดแก้ไขได้เช่นกัน แต่ควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดี-ข้อเสีย รวมถึงขั้นตอนการทำอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำเพราะเมื่อผ่าตัดให้โหนก แก้มลดลงแล้วจะมาเปลี่ยนใจอยากแก้ไขด้วยว่าไม่ชอบใจหรือเหตุผลอื่นใดก็แล้ว แต่จะทำให้ยากครับ

15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:33:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขั้นตอนการผ่าตัดลดโหนกแก้มนั้น แพทย์จะต้องวางยาสลบคนไข้ทุกรายและภายหลังทำต้องนอนพักฟื้นที่ รพ. 1-2 คืน เพื่อที่แพทย์จะได้ดูแลต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่งจึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ โดยขั้นตอนการทำมีด้วยกัน 2 วิธี ซึ่งแพทย์จะเลือกวิธีใดก็คงต้องประเมินจากสภาพของคนไข้เป็นสำคัญ

เริ่มจากวิธีแรกก่อน วิธี นั้นแพทย์จะใช้วิธีการเหลาหรือกรอให้กระดูกเรียบลงแม้ว่าวิธีนี้จะง่ายกว่า อีกวิธีหนึ่งที่จะกล่าวถึงต่อไป แต่ก็มีข้อจำกัดนั่นคือ จะทำในกรณีที่ต้องการลดไม่มาก เช่น ในรายที่มีโหนกแก้มสูงเล็กน้อยโดยแพทย์จะผ่าตัดเข้าทางช่องปากด้านบน 2 ข้าง แล้วใช้เครื่องมือกรอกระดูกบริเวณด้านนูนของกระดูกโหนกแก้มลง วิธีนี้สามารถทำให้ความกว้างของใบหน้าส่วนกลางแคบลงไปมากนัก

ส่วนอีกวิธีหนึ่ง แพทย์จะผ่าตัดเลื่อนหรือยุบกระดูกโหนกแก้มโดยอาจผ่าตัดเข้าทานเหนือศีรษะโดย รอบจากหน้าหูด้านหนึ่งไปด้านบนกระหม่อมแล้ววกกลับมาอีกด้านหนึ่งเหนือหูหรือ อาจเลือกผ่าตัดเข้าทางช่องปากก็ได้ โดยผ่าตัดตรงรอยต่อระหว่างกระดูกโหนกแก้ม, กระดูกเบ้าตา และกรามบนให้หลุดจากกัน หลังจากนั้นก็เลื่อนกระดูกโหนกแก้มจากจุดยืดเกาะเดิมลงด้านในเพื่อให้ส่วน นูนและความกว้างของใบหน้าลดลงจากนั้นยืดตรึงกระดูกให้อยู่กับที่ด้วยเหล็ก ยืดชนิดพิเศษ (Titanium) แม้ว่าวิธีนี้จะทำได้ค่อนข้างยากและใช้เวลานาน (โดยเฉพาะถ้าผ่าตัดจากในช่องปากเพื่อหลีกเลี่ยงแผลเป็นบริเวณหนังศีรษะ) แต่ก็ไม่ถือว่ายากจนกินไปหากอยู่ภายใต้การดูแลองศัลยแพทย์มือดีมีประสบการณ์ โดยตรง

สำหรับอาการบวมหรือฟกช้ำดำเขียวจากการผ่าตัดก็คงต้องเตรียมใจเอาไว้แต่ต้นนะ ครับเพราะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับจนกระทั่งเข้าสู่ภาวะปกติได้เอง ส่วนอาการชาบริเวณโหนกแก้มและริมฝีปากที่อาจพบได้นั้นเป็นเพราะในระหว่างผ่า ตัดอาจมีการดึงรั้งของเส้นประสาทในบริเวณดังกล่าว แต่ก็ไม่ต้องกังวลเพราะจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ท่านที่มีปัญหาโหนกแก้มนูนสูงเกินไปหรือไม่ก็แบบเกินไปคง จะรู้สึกนั่นใจมากขึ้นนะครับ อย่างน้อยก็ทราบว่าปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ ส่วนว่าจะตัดสินใจอย่างไรก็คงต้องประเมินผลดีผลเสียกันเอาเอง แต่ถ้าตัดสินใจไม่ตกเพราะยังไม่กระจ่างในแง่ของรายละเอียดหรือขั้นตอนการ รักษาควรคุยปรึกษาหารือกับแพทย์ก่อน

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์  โพสต์ 2011-4-24 11:14
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:37:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การผ่าตัดกราม "แก้ไขรูปหน้า"
ผู้หญิงหลายคนอาจไม่พอใจในเรื่องของรูปหน้าของตัวเองและมีความต้องการที่จะเพิ่งศัลยกรรม การผ่าตัดกราม เพื่อจะได้แก้ไขรูปหน้าของตนเองให้ดูดี ดูเรียว และสวยงามกว่าเดิม แต่ก็ที่คุณจะคิดเรื่อง การผ่าตัดกราม "แก้ไขรูปหน้า" นั้น คุณควรจะศึกษาถึงรายละเอียดต่าง ๆ ใน การผ่าตัดกราม ซะก่อน ฉะนั้นวันนี้เราจึงมีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกันค่ะ
ใบหน้าของคนทั่วไปจะสามารถแบ่งส่วนออกเป็นสามส่วนหลัก ๆ จากบนลงล่างคือ ส่วนบนสุด ได้แก่ กระโหลกและหน้าผาก ส่วนกลาง คือ ส่วนกรามบนจมูกและเบ้าตารวมทั้งโหนกแก้ม ส่วนล่างสุดคือส่วนกระดูกกราม การมีสัดส่วนของใบหน้าที่ใหญ่เกินเหมาะสมย่อมจะทำให้รูปร่างของใบหน้าดูไม่ งามได้ ในผู้หญิงทั่วไปนิยมรูปใบหน้าที่เรียวยาวมากกว่าใบหน้ากว้าง กลม หรือเหลี่ยม การแก้ไขสัดส่วนของใบหน้าในส่วนต่าง ๆ สามารถทำให้โครงสร้างของใบหน้าเปลี่ยนแปลงได้

ในคนไทยและเอเซียเช่นญี่ปุ่น เกาหลี มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับใบหน้าส่วนกลางและส่วนล่าง คือ มีความโหนกของกระดูกโหนกแก้ม และกราม ทำให้ได้รูปทรงใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม การตัดแต่งกระดูกในส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจึงเป็นต้องการของผู้ที่อยากจะได้รูปหน้าที่เรียวขึ้น ในปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าทางการผ่าตัดกระดูกใบหน้าและศีรษะได้พัฒนาไปอย่าง รวดเร็วทำให้การผ่าตัดแก้ไขโครงสร้างของใบหน้าสามารถทำได้มากยิ่งขึ้นและมี ความปลอดภัยมากขึ้น เช่นเดียวกับการแก้ไขกรามเพื่อความสวยงามก็เป็นที่นิยมมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ในบทความนี้จะกล่าวถึงการตัดแต่งมุมกรามที่ไม่ใช่การตัดกรามเพื่อแก้ไขความ ผิดปกติของการสบฟันและการขบเคี้ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและมีรายละเอียดมากกว่า รวมทั้งการตัดแต่งกระดูกโหนกแก้มซึ่งจะนำมาเสนอในโอกาสต่อ ๆ ไป

เมื่อพิจารณากรามที่ยื่นทางด้านหลังนั้นมีส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องด้วยกัน ได้แก่ กระดูกกรามด้านหลังหรือมุมกราม กล้ามเนื้อที่คลุมมุมกราม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการบดเคี้ยวอาหารซึ่งในบางคนมักจะมีขนาดใหญ่และหนาด้วย เส้นประสาทที่มุดในกระดูกกรามเพื่อรับรู้ความรู้สึกของซี่ฟันล่างส่วนหลัง และริมฝีปากส่วนล่าง การตัดแต่งมุมกรามนั้นมีขั้นตอนในการดูแลได้แก่ แพทย์ผู้รักษาจะต้องตรวจดูสภาพของกระดูกกรามทั้งหมดเสียก่อนอันได้แก่ ความหนาความสูงของกระดูกกรามทั้งอัน ความสัมพันธ์ระหว่างกระดูกกรามและกระดูกใบหน้าส่วนบนรวมทั้งการสบฟันว่า ผิดปกติด้วยหรือไม่ ความหนาของกล้ามเนื้อมุมกรามดังกล่าว ความผิดปกติของกระดูกกรามส่วนอื่น เช่น คาง ข้อขากรรไกร รวมทั้งฟันซี่ต่าง ๆ ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อจะได้นำข้อมูลมาประกอบการตัดกรามว่าจะสามารถทำให้ใบหน้ามีการ เปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด และจะได้รูปร่างของใบหน้าสมดุลย์กับส่วนอื่นของใบหน้าหรือไม่ หลังจากนั้นต้องมีการตรวจภาพถ่ายรังสีเพื่อดูกระดูกกรามทั้งหมดและความยื่น ของกระดูกกราม ฟันซี่ต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาแนวในการตัดกระดูกกรามว่าจะตัดในแนวใดจึงจะเหมาะสม เป็นต้น
การผ่าตัดกรามนั้นจำเป็นต้องทำร่วมกับการดมยาสลบ เนื่องจากจะต้องมีการใช้เครื่องมือซึ่งเป็นเลื่อยอันเล็ก ๆ สอดเข้าไปตัดที่มุมกราม  โดยทั่วไปแล้วจะสามารถเข้าไปตัดกระดูกได้ โดยการผ่าตัดได้สองทางด้วยกัน คือ

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย  โพสต์ 2011-4-24 11:17
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:38:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
1. การผ่าตัดจากภายนอกช่องปาก

เป็นการผ่าตัดที่แพทย์จะเปิดแผลจากภายนอกบริเวณใกล้ ๆ กับมุมกรามแล้วค่อย ๆ เลาะผ่านกล้ามเนื้อและหลบเส้นประสาทสำคัญเส้นหนึ่งที่จะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ มุมปาก หลังจากนั้นจึงตัดแยกกล้ามเนื้อมุมกรามออกเข้าหากระดูกมุมกราม เมื่อสามารถเปิดกระดูกมุมกรามส่วนที่ต้องการจะตัดได้เรียบร้อยแล้วจึงใช้ เลื่อยตัดกระดูกตามแนวที่ต้องการแล้วเอาชิ้นกระดูกที่เกินนั้นออกไป ตกแต่งมุมกระดูกให้เรียบร้อยแล้วจึงทำการเย็บแผลปิด วิธีนี้แพทย์สามารถผ่าตัดได้ง่ายเนื่องจากไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรพิเศษมาก นักและไม่ต้องผ่านช่องปากเข้าไปหากระดูกอาการบวมจึงมักจะน้อยกว่า แต่วิธีนี้มีโอกาสที่แพทย์อาจจะกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยงมุม กรามได้ แม้จะเป็นการชั่วคราวแต่ก็สามารถทำให้เกิดการเอียงหรือเบี้ยวของมุมปากได้ใน ระยะแรก และสิ่งสำคัญคือแผลผ่าตัดที่มุมกรามนั้นบางรายอาจจะสามารถเห็นและสังเกตได้ และบางรายก็เกิดอาการแผลปูดนูนตามมาในระยะหลังได้ซึ่งจะต้องทำการรักษาต่อไป

2. การผ่าตัดจากภายในช่องปาก

วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างจะยุ่งยากมากกว่า และจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือที่พิเศษกว่าการตัดจากภายนอก แพทย์จะทำการเปิดแผลที่ในช่องปากตรงบริเวณหลังฟันกรามซี่สุดท้ายในแนวดิ่ง แล้วค่อย ๆ เลาะแยกเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวรวมทั้งกล้ามเนื้อที่คลุมมุมกรามออก หลังจากนั้นจึงเลาะเยื่อหุ้มกระดูกออกให้กว้างเพียงพอที่จะสอดใส่เครื่องมือ เข้าไปที่มุมกรามเพื่อจะให้เห็นมุมกรามและกรามส่วนหลังได้ชัดเจน หลังจากนั้นจึงใช้เลื่อยที่มีรูปร่างเป็นเลื่อยมุมฉากเข้าไปทำการตัดตามแนว ที่ต้องการเลื่อยชนิดนี้จะมีความยาวเพียงพอที่จะทำให้การตัดในแนวตั้งฉาก สามารถทำได้ หลังจากนั้นแพทย์จึงนำชิ้นกระดูกที่ถูกตัดขาดออกมาพร้อมกับการตกแต่งกระดูก ส่วนที่เหลือให้กลมมนตามปกติ แล้วจึงเย็บแผลปิดตามเดิม ปัญหาของการตัดด้วยวิธีนี้นั้นส่วนมากมักจะเป็นเรื่องเทคนิกการผ่าตัดซึ่ง มักจะต้องอาศัยประสบการณ์ความชำนาญของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด รวมทั้งต้องการเครื่องมื่อที่เหมาะสมด้วยจึงจะทำให้การผ่าตัดได้ผลดีและ กระดูกที่ตัดออกมานั้นมีขนาดที่พอเหมาะ การผ่าตัดจากภายในปากนี้มีการดึงรั้งกล้ามเนื้อและเยื่อบุปากมากกว่าจึงมี อาการบวมค่อนข้างจะมากกว่าการตัดจากภายนอกปาก แต่ไม่มีแผลเป็นให้เห็นจากภายนอกและการกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาทก็มักจะ ไม่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ

การดูแลหลังการผ่าตัด

หลังการผ่าตัดนั้นโดยมากมักจะมีอาการบวมไม่มากก็น้อยผู้ป่วยมักจะปวดบริเวณ ที่ผ่าตัดบ้างพอสมควร แต่มักจะเข้าที่ทั้งหมดในเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ส่วนอาการบวมที่มุมกรามมักจะมีอยู่ประมาณ 1-2 เดือนจึงจะเห็นรูปร่างกระดูกกรามใหม่ การฝึกการอ้าปากนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะแนะนำโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการผ่าตัดจาก ในช่องปาก ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการติดแข็งของพังผืดที่อยู่รอบกรามและใกล้ ๆ กับข้อของขากรรไกรส่วนการอักเสบที่รุนแรงนั้นมักจะพบได้น้อยและไม่ค่อยมี ปัญหากเรื่องดังกล่าว

ผลข้างเคียงของการผ่าตัดลดมุมกรามนั้นมีได้เหมือนกันครับที่เคยพบมาก็ได้แก่

1. ปัญหาเรื่องแผลผ่าตัดอักเสบติดเชื้อ สามารถ พบได้ทั้งการผ่าตัดจากภายในและภายนอกช่องปาก แต่ทั้งนี้มักจะเป็นการอักเสบที่ไม่ค่อยจะรุนแรงนัก และสามารถรักษาให้หายได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะธรรมดาก็มักจะเพียงพอมีส่วนน้อย มากที่จะลุกลามเป็นการติดเชี้อที่กระดูกกราม

18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:38:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
2. ความไม่เท่ากันของกระดูกกราม ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากกระดูกกรามที่ไม่เท่ากันตั้งแต่ก่อนการผ่าตัดหรือรวม ทั้งการตัดกระดูกกรามที่ไม่เท่ากันหรือเนื่องจากการบวมที่แตกต่างกันทั้งสอง ข้าง

3. การกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาทที่เลี้ยงริมฝีปากและเหงือก ซึ่งโดยทั่วไปหมอจะพยายามที่จะรักษาและหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนต่อเส้น ประสาทดังกล่าว และในกรณีที่ผ่านอกปากหมอจะพยายามเลี่ยงต่อเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อ มุมปากล่าง แต่การดึงรั้งอาจจะทำให้เกิดการขยับปากหรือเกิดอาการชาที่ริมฝีปากได้ ซึ่งมักจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนก็จะหายเป็นปกติได้

4. การเกิดกระดูกกรามหัก เป็นข้อแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้น้อยมากแต่ในกรณีที่การตัดไม่ถูกต้องก็อาจจะ เกิดขึ้นได้ ซึ่งการแก้ไขก็อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาเช่นเดียวกับกระดูกกรามหัก ได้แก่ การยึดตรึงกระดูกด้วยโลหะหรือการจัดฟันให้เข้าที่ในช่วงเวลาหนึ่ง

สรุป

การผ่าตัดกระดูกมุมกรามให้เล็กลงสามารถแก้ไขลักษณะของใบหน้าที่กางเหลี่ยม ให้ดูเล็กลงและเรียวขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ควรได้รับการผ่าตัดและตรวจอย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้มีความชำนาญและ มีอุปกรณ์ผ่าตัดที่ครบถ้วน เพื่อผลการผ่าตัดที่น่าพอใจและมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย  โพสต์ 2011-4-24 11:17
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:48:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การศัลยกรรมตาสองชั้น หรือ การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตา (Blepharoplasty)

ดวงตาเป็นส่วนกลางของใบหน้าเป็นส่วนที่สื่อสารกับบุคคลรอบข้างโดยไม่ต้องใช้ เสียง ดังคำที่ว่าดวงตาเป็นสื่อของหัวใจเมื่อมองใบหน้าของบุคคลหนึ่งส่วนที่เราจะ มองอันดับแรกคือดวงตา ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบรอบดวงตาจึงเป็นส่วนที่จะทำให้ใบหน้ามี การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหรือเลวลงอย่างชัดเจน


การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตา แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ คือ

1. การผ่าตัดทำเปลือกตา 2 ชั้น (ทำเล่าเต็ง)

2. การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาที่หย่อน (ย้อย, ถุงใต้ตา)


1. การผ่าตัดทำเปลือกตา 2 ชั้น (ทำเล่าเต็ง) (Double eyelid)

คนไทยและคนเอเชียจะมีเปลือกตาบนไม่เห็นรอยชั้น (ตา 2 ชั้น) ประมาณ 50 % ลักษณะดังนั้นไม่ได้ทำให้ใบหน้าโดยรวมไม่สวยงาม ดังตัวอย่างที่มีดาราภาพยนตร์หรือนักร้องในเอเชียหลายคนที่มีเปลือกตาบนเป็น ชั้นเดียว ดังนั้น การทำตา 2 ชั้น (ขอใช้คำสั้น ๆ เท่านั้น) ควรจะทำให้เห็นรอยชั้นตาบนเล็กน้อยแต่พองาม ซึ่งจะทำให้ดวงตาดูโตขึ้น คมขึ้น โดยไม่ได้เปลี่ยนลักษณะเปลือกตาที่เป็นคนเอเชียไปทั้งหมด

- อายุเท่าไรที่จะทำผ่าตัดได้

ใบหน้าของเราจะโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 18 ปี ในผู้ชาย และ 15 ปี ในผู้หญิง แต่วุฒิภาวะในการตัดสินใจด้วยตัวเองจะเริ่มประมาณ อายุ 18 ปี ดังนั้นได้ทำผ่าตัดตา 2 ชั้น เมื่ออายุ 18 ปี ขึ้นไป ก็จะเหมาะสมแต่ก็อาจจะมีข้อยกเว้นในรายที่มีความผิดปกติของการเปิดเปลือกตา คือ ไม่สามารถจะลืมตาเต็มที่ (หนังตาตก) (eyelid ptosis) ในกรณีนี้อาจจะแก้ไขตั้งแต่อายุน้อยกว่า 18 ปี ได้

- ก่อนผ่าตัดควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

การทำตา 2 ชั้น เป็นการผ่าตัดเล็กใช้เวลาทำผ่าตัดประมาณ 20 นาที ? 1 ชั่วโมง ใช้ยาชาเฉพาะที่ฉีดที่เปลือกตาบน ดังนั้นหลังผ่าตัดสามารถกลับบ้านได้ อาจจะมีอาการบวมช้ำที่เปลือกตาได้บ้าง อาการเหล่านี้จะมีอยู่ประมาณ 3 ? 4 วัน


ขั้นตอนการทำตาสองชั้น

ก่อนผ่าตัดแพทย์จะตรวจร่างกายความพร้อมและซักถามประวัติเกี่ยวกับความ สมบูรณ์ของร่างกาย และการแพ้ยาต่าง ๆ แพทย์จะตรวจการมองเห็น การเปิดตาทั้งสองและความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจจะมีอยู่ หลังจากนั้นแพทย์อาจจะประเมินชั้นตาและซักถามความคาดหวังของผู้ป่วยว่า ต้องการรูปเปลือกตาที่จะคิดว่าต้องการจะให้เป็นเมื่อเข้าใจตรงกันแล้วผู้ ป่วยจะได้รับการเตรียมใบหน้าถึงความสะอาดเพื่อผ่าตัดในห้องผ่าตัดแพทย์จะ เริ่มขีดรอยที่จะผ่าตัด

ขั้นตอนการทำตาสองชั้น อาจจะแบ่งเป็น 2 วิธีใหญ่ คือ

1. แบบเจาะรู (Non incision) แบบนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีไขมันในเปลือกตาน้อย

2. แบบเปิด (Incisional) แบบนี้สามารถจะเอาไขมัน และเย็บชั้นตาได้ชัด

โดยทั่วไปรอยแผลผ่าตัดจะเห็นได้น้อยมาก ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม หลังจากฉีดยาชาเฉพาะที่แล้ว แพทย์จะเจาะ หรือ กรีดที่ผิวหนัง อาจจะเอาไขมันที่เปลือกตาออกบางส่วน แล้วใช้ไหมเย็บเพื่อให้เกิดชั้นตาขึ้น แพทย์อาจจะบอกให้ผู้ป่วยลืมตาขึ้น เพื่อตรวจดูความเหมาะสมของชั้นตาที่เกิดขึ้นใหม่

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย  โพสต์ 2011-4-24 11:17
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:49:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย joy234 เมื่อ 2011-4-22 18:10

การดูแลหลังผ่าตัดทำตาสองชั้น

หลังผ่าตัดแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยประคบเย็นที่เปลือกตาทั้งสองข้างเป็นเวลา 24 ชั่วโมง โดยทั่วไปผู้ป่วยสามารถจะล้างหน้าได้ประมาณ 3 วัน หลังผ่าตัดถ้ามีไหมที่แผลด้านนอกแพทย์จะนัดเพื่อดึงไหมออกประมาณ 3-5 วัน หลังผ่าตัดชั้นตาจะดูเป็นธรรมชาติประมาณ 1-2 เดือน หลังผ่าตัด

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น

การทำตา 2 ชั้นมีผลแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ประมาณ 10 % โดยทั่วไปเป็นผลแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรง เช่น ชั้นตา 2 ข้างไม่เท่ากัน, ชั้นตาที่ทำไว้หายไป

2. การผ่าตัดแก้ไขเปลือกตาหย่อน, ตก, ห้อย, ถุงไขมัน (Blepharochalasia,Dermatochalasia, Baggy eyelid)

เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้นผิวหนังส่วนต่าง ๆ จะเริ่มหย่อนยาน บริเวณรอบดวงตาจะเป็นบริเวณแรกในใบหน้าที่จะเห็นได้ก่อนส่วนอื่น หนังตาบนจะหย่อนลงมาปิดขอบขนตาโดยทั่วไป จะเริ่มจากด้านข้างก่อน เริ่มเห็นมีถุงโป่งใต้เปลือกตาล่างเกิดรอย (ตีนกา) บริเวณหางตา หัวตา ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยหน่ายไม่สดชื่นการตัดตกแต่งเปลือกตาจะแก้ไขภาวะเหล่า นี้ได้

เมื่อไรควรจะทำผ่าตัดตกแต่งเปลือกตา

เมื่อคุณรู้สึกว่าชั้นตาบนคุณหายไปรู้สึกมองภาพด้านหางตาลำบากเหงื่อไหลเข้า ตามากขึ้นมีถุงหรือร่องใต้ตาเมื่อมีภาวะเหล่านี้คุณสามารถจะได้รับการผ่าตัด ตกแต่งได้แล้ว

ก่อนผ่าตัดควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาหย่อนจะใช้เวลาประมาณ  1 ชั่วโมงต่อเปลือกตาบนหรือล่างการผ่าตัดจะใช้ยาชาเฉพาะที่ ดังนั้นคุณสามารถจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้อาการบวมช้ำรอบตาอาจจะมีได้ ประมาณ 3-5 วัน ถ้าคุณกินยากันเลือดแข็งตัว เช่น แอสไพริน คุณต้องหยุดยานั้นก่อนผ่าตัด 2 อาทิตย์

ขั้นตอนการผ่าตัด

แพทย์จะประเมินถึงความต้องการของคุณ และตรวจร่างกาย รวมถึงความดันโลหิต โรคประจำตัวของคุณ และความผิดปกติของลูกตาที่อาจจะมีอยู่ หลังจากพร้อมแล้วคุณจะได้รับการทำความสะอาดบริเวณใบหน้าเพื่อเตรียมผ่าตัด การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาบนหย่อนจะต้องตรวจดูว่ามีลักษณะของหน้าผากหย่อนร่วม ด้วยหรือไม่เพราะอาจจะต้องแก้ไขร่วมกันหรือแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยทั่วไปขั้นตอนการผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาบนหย่อนจะลงบาดแผลที่รอยชั้นของ เปลือกตาบนจะมีการตัดผิวหนังกล้ามเนื้อ และไขมันที่เกินออกบางส่วน การผ่าตัดตกแต่งแก้ไขถุงไขมันโป่งที่เปลือกตาล่างโดยทั่วไปจะเปิดแผลที่ใกล้ ขอบขนตาหลังจากนั้นจะเอาไขมันที่เกินออกบางส่วนแล้วจะขึงดึงกล้ามเนื้อใต้ ผิวหนังให้ตึงร่วมกับผิวหนังที่เกินออกบางส่วน ในกรณีที่ผิวหนังไม่หย่อนอาจจะเปิดแผลในเปลือกตาเพื่อเอาไขมันใต้ตาบางส่วน ออกก็ได้

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนจากการทำผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาบนมีดังนี้คือ รอยชั้นตาไม่เท่ากัน เปลือกตาบวม การตกแต่งเปลือกตาล่าง ผลแทรกซ้อนที่จะมีได้คือ หนังตาล่างมีการดึงรั้งลงทำให้ เห็นตาขาวมากเกินภาวะนี้อาจจะพบได้ชั่วคราวประมาณ 1-2 เดือน อาจจะมีภาวะเยื่อตาขาวบวมน้ำ เลือดออกใต้ตาขาว ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจจะหายได้เอง หรือหายได้หลังจากมีการผ่าตัดแก้ไข

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย  โพสต์ 2011-4-24 11:17
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:50:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ไขข้อสงสัย! การเสริมจมูกด้วยไขมัน
คุณผู้หญิงหลายคนที่กำลังคิดที่จะทำศัลยกรรมจมูกคงกำลังเกิดความสังสัยว่าจะใช้การเสริมจมูก แบบไหนดี จะใช้การเสริมจมูกด้วยไขมันหรือจะการเสริมจมูก ด้วยซิลิโคนดี แต่วันนี้เราจะพาไปไขข้อสงสัยถึงข้อดีและข้อเสียของ การเสริมจมูกด้วยไขมัน ว่าจะแตกต่างกับการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ


การเสริมจมูกด้วยไขมัน

1. การเสริมจมูกด้วยการฉีดไขมันเป็นวิธีใหม่จริงหรือไม่ ?

-  การเสริมจูมกด้วยไขมันไม่ใช่วิธีการใหม่ได้มีการทำกันมามากกว่า 30 ปีแล้ว


2. การเสริมจมูกด้วยแท่งซิลิโคนจะทำให้ทะลุทุกรายตามที่แพทย์ท่านนี้พูดหรือไม่ ?

- การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนยังเป็นวิธีการมาตรฐานสำหรับจมูกเพื่อเสริมความงาม ถ้าทำอย่างถูกวิธีและได้มาตรฐานและศัลยแพทย์ได้รับการฝึกอบรมอย่างถูกวิธี อัตราการเกิดปัญหาซิลิโคนทะลุไม่ควรจะเกิน 0.5 เปอร์เซ็นต์


3. การเสริมจมูกด้วยการฉีดไขมันมีวิธีการอย่างไร ผลเป็นอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ?

- การเสริมด้วยไขมันสามารถทำได้ 2 วิธี คือ

3.1 ใช้วิธีการดูดไขมันด้วยการใช้เข็มดูดขนาดเล็กดูดไขมันจากหน้าท้องหรือต้นขา แล้วแยกเอาไขมันที่กลายเป็นน้ำออกเอาเฉพาะส่วนไขมันที่ยังคงสภาพเป็นเซลล์ อยู่นำไปฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่จะเสริมจมูก

3.2 ตัดไขมันจากบริเวณหน้า, ต้นขา, ก้นกบ มาเป็นชิ้นแล้วนำไปสอดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณจมูกที่ต้องการเสริม

ข้อดีของการใช้ไขมัน

1. เป็นเนื้อของเราเองโอกาสการไม่ยอมรับของร่างกายจะไม่มี

2. ความรู้สึกที่แตะต้องอาจจะรู้สึกธรรมชาติ

ข้อเสียของการใช้ไขมัน

1. ไขมันที่นำไปฉีดหรือปลูกมีการย่อยสลายได้ประมาณ 40-60 % ดังนั้นรูปร่างของจมูกจะไม่คงอยู่ตามต้องการ

2. รูปร่างของจมูกอาจจะไม่ได้ตามต้องการเหมือนการเสริมด้วยซิลิโคนหรือวัสดุที่คงรูปกว่า

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศ  โพสต์ 2011-4-24 11:19
22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:53:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การผ่าตัด เสริมจมูก

การเสริมจมูกเป็นการตกแต่งเพื่อเปลี่ยนรูปทรงของจมูกเพื่อให้รับกับใบหน้า เป็นผ่าตัดติดอันดับยอดนิยมของต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยไม่ได้เก็บสถิติแต่เชื่อว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมความงาม เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งบางรายก็ประสบตามความคาดหวัง แต่บางรายก็ผิดหวัง
การผ่าตัดเสริมสวยจมูกสามารถทำได้ทั้ง เพิ่มขนาด หรือลดขนาด เปลี่ยนรูปทรง เปลี่ยนรูปทรงของปลายจมูก ทำให้รูจมูกเล็กลง และแก้ไขความพิการของจมูกเนื่องจากพิการแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุ หากคุณตั้งใจจะต้องการเสริมจมูกบทความนี้อาจจะช่วยให้ท่านตัดสินใจ แต่อาจะไม่สามารถไขความข้องใจของคุณได้หมดรายละเอียดที่คุณต้องการต้อง ปรึกษาจากแพทย์ที่คุณจะไปทำการผ่าตัด
ใครเหมาะสมที่จะผ่าตัดเสริมจมูก
การผ่าตัดเสริมหรือเปลี่ยนแปลงจมูกจะทำ ให้ท่านดูดีขึ้น แต่ไม่สามารถทำให้ท่านมีบุคลิกเปลี่ยนแปลง ดังนั้นก่อนที่จะทำการผ่าตัดท่านต้องปรึกษากับแพทย์ว่าท่านคาดหวังอะไรจาก การผ่าตัด และมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ผู้ที่เหมาะสมในการผ่าตัดคือ
•        การผ่าตัดจะทำให้จมูกดูดีขึ้น แต่การผ่าตัดไม่สามารถที่จะทำให้ผลดีออกมา 100% ตามที่ท่านคาดหวัง ท่านต้องเผื่อใจไว้บ้าง หากท่านคิดว่าทำใจไม่ได้ก็อย่าไปผ่า
•        สุขภาพกายดี
•        สุขภาพจิตดี
•        อายุมากกว่า 15 ปี
ชนิดของการผ่าตัดแก้ไขความไม่สมดุลของจมูก
1.        ลดขนาดของจมูก ส่วนที่มีปัญหาได้แก่เนื้อจมูกhump ปลายจมูก และรูจมูกกว้างเกินไป การผ่าตักแก้ไขอาจจะต้องผ่าตัดเอากระดูก และกระดูกอ่อนเอาเพื่อขนาดของจมูก
2.        เพิ่มขนาดของจมูกได้แก่พวกที่มีจมูกเล็ก หรือไม่มีดั่งจมูก การผ่าตัดก็ใช้วิธีเสริมดั่งจมูกโดยใช้ซิลิโคน หรือกระดูกอ่อนจากร่างกายตัวเองเสริม
3.        แก้ไขความพิการของจมูก เช่นสันจมูกคด จมูกเบี้ยวเป็นต้น
23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:53:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ข้อจำกัดของการผ่าตัด
•        การผ่าตัดจะเพื่อความงามหรือแก้ไขความ พิการไม่สามารถแก้ได้ 100 % ซึ่งขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง ท่านจะต้องปรึกษาแพทย์ถึงข้อจำกัดดังกล่าว
•        คุณไม่สามารถเลือกรูปร่าง หรือขนาดของจมูกจากหนังสือ เนื่องจากลักษณะใบหน้าหรือส่วนประกอบของใบหน้าไม่เหมือนกัน จมูกแต่ละแบบก็เหมาะสำหรับใบหน้าแต่ละแบบ
•        การผ่าตัดจมูกเป็นการแก้ไขความไม่สมดุล มิใช่การแกะสลัก
•        การผ่าตัดจมูกไม่สามารถผ่าตัดนำเนื้อเยื่อออกมากเกินไป เพราะจะทำให้จมูกไม่คงรูป
•        ผิวหนังบริเวณจมูกก็ไม่สามารถตัดทิ้งมากได้เหมาะจะทำให้เกิดการดึงรั้ง
•        ลักษณะผิวหนัง อายุ และความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับจมูก จะเป็นข้อจำกัดของการผ่าตัด
การผ่าตัดมีโรคแทรกซ้อนมากน้อยแค่ไหน
สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามเมื่อ ตัดสินใจจะทำการผ่าตัดเสริมจมูกแล้ว ท่านต้องตระหนักถึงโรคแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญแล้วก็ตาม โรคแทรกซ้อนที่อาจจะพบได้คือ
•        มีการติดเชื้อ
•        เลือดกำเดาไหลออก แต่มักจะเป็นไม่มาก
•        แพ้ยาชา
•        อาจจะเกิดแผลเป็น
•        อาจะเกิดการผิดรูป เนื่องจากอาจจะเกิดพังผืดยึดกระดูกอ่อนทำให้จมูกผิดรูป
•        ประมาณ 1 ใน10รายต้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อแก้ไข
•        ให้ระลึกอยู่เสมอว่าการผ่าตัดแก้ไขหรือเสริมความงามไม่สามารถรับประกันได้ 100%ว่าจะออกมาสมบูรณ์แบบ
การวางแผนการผ่าตัด
เมื่อท่านตัดสินใจว่าเอาละชาตินี้จะต้อง เปลี่ยนรูปร่าง หรือขนาดของจมูก เพราะมองกระจกทีไรมันหงุดหงิดหัวใจจริงๆ ท่านจะต้องเลือกแพทย์ที่จะทำการผ่าตัดซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดมีทั้งแพทย์ที่เป็นแพทย์ธรรมดาทั่วไป แพทย์ที่รักษาหูคอจมูก แพทย์ศัลยกรรมทั่วไป แพทย์ศัลยกรรมพลาสติก ท่านจะต้องเลือกแพทย์โดยดูจากความรู้ ประสบการณ์ของแพทย์
เมื่อท่านได้เลือกแพทย์แล้วท่านต้อง ปรึกษากับแพทย์ว่าท่านต้องการจมูกแบบไหน เมื่อแพทย์ทราบความต้องการของท่าน แพทย์จะพิจารณาว่าทำได้หรือไม่ เพราะการที่จะทำให้ดูดีจะต้องคำนึงถึงปัจจัยอย่างอื่น เช่นหน้าสั้น หรือยาว หน้ากลมหรือแบน คางสั้นหรือยาวเป็นต้น แพทย์อาจจะไม่ทำตามความต้องการของท่านก็ได้หากพิจารณาแล้วว่าทำไม่ได้หรือ ไม่น่าดู
เมื่อแพทย์พิจารณาแล้วว่าสามารถผ่าตัด แก้ไขความพิการได้ แพทย์ก็จะอธิบายวิธีการเตรียมตัวก่อนมาผ่าตัด เช่นการรับประทานอาหาร การดื่มน้ำ การสูบบุหรี่ให้งดสูบบุหรี่สักระยะหนึ่งเพราะการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยง ของโรคหัวใจและหลอดเลือด ไม่ควรรับประทานยาแก้อักเสบเพราะจะทำให้เกิดเลือดออกง่าย และการผ่าตัด โรคแทรกซ้อน สถานที่ผ่าตัด ระยะพักพื้น ที่สำคัญอย่าลืมถามราคา เพราะอาจจะทำให้ท่านเป็นลมเลยก็ได้ และให้ถามอีกว่า หากต้องผ่าตัดแก้ไขจะต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่
โดยทั่วไปจะผ่าตัดที่คลินิก นอกเสียจากว่าจะต้องผ่าตัดใหญ่หรือผู้ป่วยมีโรคประจำตัวจำเป็นต้องดูแลระหว่างผ่าตัดอย่างใกล้ชิด แพทย์จะแนะนำให้ผ่าในโรงพยาบาล
การระงับความรู้สึกหรือยาชา โดยมากแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่ให้ท่าน สำหรับท่านที่แก้ไขมากหรือตื่นตระหนก แพทย์อาจจะพิจารณาให้ยาคลายความวิตกกังวลแก่ท่าน สำหรับท่านที่ใช้การดมยาสลบท่านก็จะหลับตลอดการผ่าตัด
การผ่าตัด
โดยมากการผ่าตัดใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง หรือแก้ไขความพิการก็อาจจะใช้เวลามากกว่านี้ ในการผ่าตัดแพทย์จะผ่าตัดผิวหนังบริเวณรูจมูก แต่แพทย์บางท่านก็ผ่าผิวหนังบริเวณขอบจมูก เพื่อแยกให้เห็นกระดูกจมูก แพทย์แก้ไขรูปทรงโดยการเลาะกระดูกอ่อนทั้งหมด หรือแก้ไขบางส่วน หรือใส่วัสดุเทียมแทนที่กระดูกจริง แต่งให้ได้รูปทรง แล้วจึงเย็บปิด
หลังผ่าตัดเสร็จแพทย์จะทำการดามจมูกของ ท่านเพื่อให้ได้รูปทรง ในรูจมูกอาจจะใส่พลาสติกเล็กเพื่อให้จมูกได้รูปทรงเมื่อผ่านไปได้ 3 วันจึงเอาออก

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศ  โพสต์ 2011-4-24 11:19
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:55:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลังผ่าตัด
หลังผ่า 24 ชั่วโมงคุณอาจจะรู้สึกปวดศีรษะ ปวดบริเวณจมูก บวมบริเวณใบหน้าให้นอนหนุนหมอนสูง และให้พักมากที่สุด ช่วงแรกจะมีอาการเขียวคล้ำของขอบตาบ้างแล้วแต่บุคคล จะเป็นมากที่สุดใน2-3 วันแรกซึ่งเกิดจากเลือดไปคั่ง การดูแลให้ประคบเย็นจะทำให้ยุบบวม หลังจากผ่าตัด 2 สัปดาห์อาการบวมหรือเขียวคล้ำจะหายไป
ช่วยหลังผ่าตัดคุณอาจจะมีเลือดกำเดาไหล แพทย์จะแนะนำมิให้คุณสั่งน้ำมูก มีอาการคัดจมูกเนื่องจากเยื่อบุช่องจมูกบวม
หลังจากผ่าตัด 1 สัปดาห์คุณสามารถไปทำงานได้แต่ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างเช่น การวิ่ง การว่ายน้ำ การก้ม การมีเพศสัมพันธ์ 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัด หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก การขยี้จมูก หรือถูกแดดเผาเป็นเวลา 8 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
หากท่านใส่ contact lens ท่านสามารถใส่ได้ทันที แต่หากท่านสวมแว่น ท่านต้องใช้เทปติดขอบแว่นไว้ที่หน้าผาก จนกระทั่งจมูกแข็งแรงซึ่งใช้เวลา 6-7 สัปดาห์จึงจะสวมแว่นได้ตามปกติ

จมูกสวย" ด้วย "การตัดปีกจมูก"
เมื่อพูดถึงการศัลยกรรมจมูกหลายคนคงจะนึกถึงการเสริมดั้งให้โด่ง แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องของจมูกสวยนั้นไม่ใช่แค่ เรื่องการเสริมดั้งแต่เพียงอย่าง เพราะบางคนยังคงมีปัญหาอีกเรื่องก็คือ ปีกจมูก นั่นเอง จึงมีเรื่องของ การตัดปีกจมูก เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มความสวยของจมูกของผู้ที่ไม่ชอบในปีกจมูกของตัวเอง
การตัดปีกจมูก

ท่านที่มีปัญหาปีกจมูกใหญ่และกางออกด้านข้างมาก ๆ รวมถึงรูจมูกที่กว้างกว่าปกติ หากทำใจยอมรับได้ก็สบายไป แต่ถ้าทำใจยอมรับไม่ได้ก็สามารถมาพบแพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเพื่อทำการแก้ไขข้อ บกพร่องดังกล่าวได้

การผ่าตัดปีกจมูกเป็นการตกแต่งบริเวณจมูกส่วนล่างให้มีความเหมาะสมกับบริเวณ สันจมูกและจมูกส่วนบน โดยแพทย์จะแก้ไขปีกจมูกที่ใหญ่ตัดปีกจมูกที่กางและลดขนาดรูจมูกที่กว้างให้ เล็กลง ซึ่งการผ่าตัดลดขนาดปีกจมูกโดยมากมักจะแก้ไขเฉพาะส่วนปีกจมูกจึงแทบมองไม่ เห็นแผลเป็นเลย ดังนั้นท่านที่เป็นกังวลเรื่องของแผลเป็นก็วางใจได้
การผ่าตัดปีกจมูกเริ่มจากแพทย์จะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์อ่อนเพื่อให้คลาย ความวิตกกังวลและเมื่อฉีดยาชาจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ จากนั้นทำความสะอาดบริเวณที่จะผ่าตัดและในโพรงจมูกก่อนจะฉีดยาชาเฉพาะที่ บริเวณปีกจมูกแล้วจึงผ่าตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินออกและจัดฐานปีกจมูกรวมทั้ง กำหนดความกว้างของรูจมูกใหม่ก่อนจะเย็บปิดแผลซึ่งขั้นตอนการผ่าตัดจะใช้เวลา ประมาณ 1ชั่วโมง

หลังผ่าตัดเสร็จสามารถกลับบ้านได้ เมื่อคนไข้รู้สึกตัวเต็มที่แล้ว

หลังการผ่าตัดควรนอนศีรษะสูงและประคบด้วยผ้าเย็นเพื่อลดอาการบวม ส่วนพลาสเตอร์ที่ปิดแผลสามารถแกะออกได้ในวันที่ 3 หลังผ่าตัดและใช้ไม้พันสำลีป้ายยาหรือขี้ผึ้งปฏิชีวนะทาแผลผ่าตัดวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันแผลอักเสบติดเชื้อ นอกจากนั้นควรระมัดระวังไม่ให้แผลถูกน้ำเพื่อให้แผลแห้งสนิทและหายได้เร็ว ขึ้น อย่าลืมมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อตัดไหมด้วยค่ะ

การตัดปีกจมูกจะทำให้ผู้มารับการรักษามีจมูกที่สวยงามได้รูปทรงตามต้องการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อความปลอดภัยและผลการรักษาที่น่าพึงพอใจอย่างแท้จริง ควรเลือกรักษากับศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือสวยด้วยแพทย์  โพสต์ 2011-4-24 11:21
25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-22 17:56:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ริมฝีปากหนา สวยด้วย "ศัลยกรรม"
หากว่าคุณคือหนึ่งคนที่มีปัญหาริมฝีปากหนาขอบอกเลยค่ะว่า ศัลยกรรมช่วยให้คุณมีริมฝีปากที่ บางเรียวได้ค่ะ และวันนี้เราก็นำความรู้และขั้นตอนต่าง ๆ ของการศัลยกรรม ริมฝีปากหนา มาฝาก เพื่อช่วยเป็นทางเลือกในการตัดสินใจของคุณ และต่อไปนี้คุณก็จะสวยหล่อได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องอายใครอีกต่อไปแล้วล่ะ ค่ะ

ริมฝีปากหนา

เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเผยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ... ด้วยริมฝีปากที่เรียวบาง เนื่องจากแพทย์มีวิธีตกแต่งแก้ไขริมฝีปากหนาให้เรียวบางลงได้ เห็นทีคงถึงเวลาโบกมือลาริมฝีปากหนา ๆ กันสักที

แต่ก่อนอื่นคนที่มีปัญหาริมฝีปากหนาจะต้องเขาใจก่อนว่า ความหนาของริมฝีปากในแต่ละบุคคลนั้นมีสาเหตุไม่เหมือนกัน คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าความหนาของริมฝีปากเกิดจากตัวริมฝีปากหนาเอง จริง ๆ แล้วคนที่ประสบปัญหาจากสาเหตุดังกล่าวมีเพียงบางส่วนเท่านั้น ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างในส่วนใกล้เคียงผิดปกติ เช่น มีโครงกระดูกหน้ายื่นมีฟันหน้ายื่นคางสั้น หรือกระดูกขากรรไกรหน้าไม่เจริญเติบโตตามที่ควรจะเป็นจึงทำให้ริมฝีปาก เผยอออกด้านนอกมากกว่าปกติค่ะ

ดังนั้นก่อนรักษาแพทย์จะต้องตรวจโครงสร้างริมฝีปากของคนไข้ทุกรายเพื่อดูว่า ความหนาของริมฝีปากมีสาเหตุมาจากอะไรเพื่อจะได้แก้ไขได้ตรงจุดมิฉะนั้นผลที่ ได้อาจไม่ดีเท่าที่ควร อย่างเช่นในกรณีปัญหาเกิดจากโครงสร้างที่ใกล้เคียงผิดปกติ เมื่อแพทย์แก้ไขในจุดที่ผิดปกติให้แล้วริมฝีปากก็จะดูดีขึ้นได้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้ามัวไปแก้ด้วยการผ่าตัดเฉพาะที่ริมฝีปากอย่างเดียวคุณอาจมานั่งหงุด หงิดใจไหนจะต้องเจ็บตัวกับการผ่าตัดแถมผลที่ได้ยังไม่เป็นอย่างใจต้องการ เสียอีก

แต่ถ้าปัญหาเกิดจากตัวริมปากหนาเองก็จะใช้วิธีผ่าตัดแก้ไขเฉพาะที่ริมฝีปาก ค่ะ การผ่าตัดสามารถทำได้ภายในวันที่คนไข้มาพบแพทย์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มจากแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่พร้อมทั้งให้ยานอนหลับอย่างอ่อนเพื่อลดความ เจ็บปวดและช่วยลดความกังวลใจของคนไข้
จากนั้นแพทย์จะค่อย ๆ ตัดเนื้อริมฝีปากด้านในรวมถึงเยื่อบุช่องปากที่อยู่บริเวณเดียวกันออก แล้วเย็บรั้งเข้าหากันด้วยไหมละลายซึ่งจะทำให้ความสูงของริมฝีปากลดลงและริม ฝีปากบางลง ซึ่งความบางของริมฝีปากที่จะได้ขึ้นอยู่กับปริมาณพื้นผิวของริมฝีปากด้านใน และเยื่อบุช่องปากที่ตัดออก ส่วนความแนบเนียนและสม่ำเสมอของริมฝีปากจะอยู่ที่ประสบการณ์และความชำนาญของ แพทย์เพราะเนื้อเยื่อบุช่องปากเมื่อเกิดบวมขึ้นจากการฉีดยาชาจะมีการยืดตัว ได้มากและไม่สม่ำเสมอกัน ดังนั้น หากแพทย์มีความชำนาญโอกาสจะกะระยะผิดพลาดจึงเป็นไปได้ยาก จากนั้นแพทย์จะเย็บปิดแผลให้อีกครั้งด้วยไหมละลากก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย รอยแผลจากการผ่าตัดจะถูกซ่อนไว้ขอบภายในของริมฝีปากเมื่อแผลหายสนิทแล้วมัก จะมองไม่เห็นรอยแผลเป็น

หลังผ่าตัดแพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อยาชาและยานอนหลับหมดฤทธิ์แล้ว (ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง) หลังทำในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกควรปฏิบัติตัวดังนี้ ในช่วง 48 ชั่วโมงแรกควรประคบความเย็นบริเวณริมฝีปากเพื่อลดอาการบวมหมั่นรักษาความ สะอาดภายในช่องปากโดยบ้วนปากหลังอาหารทุกมื้อ ป้องกันแผลผ่าตัดติดเชื้อจากเศษอาหารที่หมักหมมหลีกเลี่ยงการพูดในช่วง 1 สัปดาห์แรก ควรรอจนกว่าแผลจะติดและแห้งสนิทเสียก่อนในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกควรเลือกรับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่ายและรสไม่จัดและงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แล้วอย่าลืมรับประทานยาตามแพทย์สั่งและมาพบแพทย์ตามนัดด้วยค่ะ

โดยทั่วไปอาการบวมจะเป็นอยู่ประมาณ 5-10 วัน หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ รูปทรงของริมฝีปากจะเริ่มเข้าที่และเมื่อยุบบวมแล้วอาจต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์เพื่อปรับตัวเข้ากับรูปทรงริมฝีปากใหม่บ้างจึงจะปิดปากได้สนิทเหมือน เดิมเนื่องจากยังเคยชินกับความหนาของริมฝีปากเดิมอยู่

ถึงเวลานั้นจริงก็รีบปรับตัวให้เคยชินเสียนะคะ เพราะต่อไปริมฝีปากหนาที่เคยสร้างปัญหาก็จะอันตรธานไปเหลือไว้แต่ริมฝีปาก สวยเรียวบางให้คุณยิ้มอวดใครๆ ได้อย่างมั่นใจค่ะ

แสดงความคิดเห็น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์  โพสต์ 2011-4-24 11:25
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้