ดู: 22628|ตอบกลับ: 7
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

[โบท๊อกซ์/ฟิลเลอร์/ร้อยไหม] Botox กับ Dysport ต่างกันมั้ยคะ คนมีโหนกเเก้มจะฉีดลดกรามดีมั้ย

[คัดลอกลิงก์]
ได้ไปถามเรื่องฉีดลดกรามกับคลีนิกนึงเเถวๆสยาม เค้าใช้ Dysport แทน Botox มีใครเคยใช้ Dysport บ้างคะ เเล้วได้ผลมั้ย?

พอดีว่าเป็นคนค่อนข้างมีโหนกเเก้มค่ะ หมอเลยบอกว่าไม่ค่อยเเนะนำให้ฉีดเพราะอาจทำให้หน้าดูเหนื่อยๆ มีใครเป็นคนมีโหนกเเก้มเเล้วเคยฉีดลดกรามบ้าง หน้ามันดูโทรมมั้ยคะ?
ลองอ่านดูน๊า...ขอขอบคุณคุงหมอบอลด้วยสำหรับข้อมูล อิิอิ นพ. ภูริวัจน์ อริยกุศลสุทธิ




ตัวหมอเองก็เคยสงสัยเหมือนกันว่า เจ้า Botulinum toxin Type A (BTX-A) แต่ละตัวมันต่างกันยังไง เพราะปัจจุบันเริ่มมี BTX-A หลากหลายแบรนด์จากนานาประเทศที่ออกมาสู่ตลาดมากขึ้นทุกวี่ทุกวัน แล้วก็มีหลายๆคนที่เข้ามาออกความเห็นว่ามันก็คือๆกันน่ะแหละหมอ ซึ่งหมอก็อยากขเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาเพื่อให้ข้อมูลคร่าวๆเพื่อเป็นตัวช่วย ประกอบการตัดสินใจของทุกคนว่าสรุปมันก็เหมือนๆกันอย่างที่ว่ารึเปล่า เพราะท้ายสุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับตัวคนที่จะไปฉีดเองว่าจะใช้ตัวไหน



เอาง่ายๆ อยากจะใช้ยี่ห้อไหนเพื่อความปลอดภัยและสวยเด้งเนี่ย คำถามที่ต้องเอามาเป็นปัจจัยคืออะไรบ้าง:

1. ตัวไหนออกฤทธิ์เร็วกว่า
2. ตัวไหนให้ผลได้นานกว่า
3. เทคนิคการใช้ต่างกันรึเปล่า
4. ความปลอดภัยอยู่ระดับไหน
5. ตัวไหนประหยัดกว่า

1. ปกติโบท็อกซ์จะเริ่มเห็นผลที่ประมาณวันที่ 3 และจะเห็นผลสูงสุดที่ 2 อาทิตย์ ในขณะเดียวกัน คนที่ใช้ Dysport ประมาณ 30% จะเห็นผลได้เร็วกว่าโบท็อกซ์ ซึ่งบางคนก็เห็นผลได้ตั้งแต่วันแรกเลย

2. จากผลการศึกษาส่วนใหญ่ โบท็อกซ์จะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน แต่ระยะเวลาที่อยู่นานก็สัมพันธ์กับปริมาณของยาที่ใช้โดยตรง ถ้าลองดูข้อมูลจากในเว็บหรือโฟสต์ต่างๆ หลายคนก็บอกว่า Dysport อยู่ได้นานกว่า แต่มันก็ไม่เสมอไปครับ เพราะการศึกษาทางการแพทย์บางชิ้นจริงๆ ดูเหมือนให้ผลตรงกันข้าม ถ้าลองถามหมอๆ ก็จะได้คำตอบว่านานเท่ากันบ้าง โบท็อกซ์นานกว่า Dysport บ้าง โดยส่วนตัวยังไม่ค่อยได้ยินว่า Dysport นานกว่าโบท็อกซ์ ได้ยินมาแต่ว่าถูกกว่า ยังไงคงต้องรอดูกันต่อไปนะครับในจุดนี้

3. ทั้งปริมาณและเทคนิคการใช้โบท็อกซ์และ Dysport มีความต่างกัน โดย หนึ่งยูนิตของโบท็อกซ์จะเท่ากับ 2.5 ยูนิตของ Dysport แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ฉีดด้วย และในการใช้ Dysport มีควมเป็นไปได้สูงว่าตัวยาจะมีการแพร่กระจายได้มากกว่าในการศึกษาส่วนใหญ่ ซึ่งมีทั้งข้อดีข้อเสีย เพราะในบริเวณกว้างๆ เช่น หน้าผาก รักแร้ หรือน่อง จะได้ไม่ต้องฉีดหลายจุด ประหยัดกะตังค์ไง แต่อย่างไรก็ตาม การกระจายมากก็อาจเกิดผลเสียได้ถ้าแพทย์ที่ฉีดขาดประสบการณ์ หรือไม่รู้จักกล้ามเนื้อเป็นอย่างดี เพราะบางตำแหน่งที่เป็นกล้ามเนื้อเล็กๆ เช่น รอบดวงตาหรือคิ้ว การกระจายตัวของยาอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ตาตก คิ้วตก

4.โบ ท็อกซ์ถูกใช้มานานแล้วกว่า 20 ปี กับคนไข้ที่มีอาการโรคสมองพิการ Cerebral palsy โดยมีประวัติความปลอดภัยสูงมาก ถ้าได้อ่านบล็อกก่อนๆของหมอ ก็จะรู้ว่าโบท็อกซ์ไม่ได้ถูกผลิตออกมาเพื่อใช้กับความสวยงามเหมือนใน ปัจจุบัน แต่เป็นตัวที่ไว้ช่วยในการรักษาคนไข้ที่มีปัญหาที่เกิดจากกล้ามเนื้อและระบบ ประสาทต่างหาก ที่ใช้ๆกันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงหนึ่งในแอพพลิเคชั่นที่โบท็อกซ์สามารถทำ ได้ ก็แค่บังเอิญว่าแอพฯนี้กลายเป็นการใช้งานหลักๆของโบท็อกซ์ที่น่าจะแพร่หลาย ที่สุดแล้ว

เมื่อได้กล่าวถึงจุดนี้ ก็น่าจะทำให้เข้าใจได้มากขึ้นกับหลายๆคนนะครับว่าที่โบท็อกซ์ราคาแพงไม่ใช่ เป็นเพราะแค่เหตุผลทางการค้าเท่านั้น แต่เป็นการยอมรับที่ถูกสร้างมาโดยใช้เวลาที่ค่อนข้างนานกว่าจะมาถึงจุดนี้ ได้ หมอเชื่อว่าคงจะไม่มีโรงพยาบาลไหนในโลกที่จะเอาโบท็อกซ์จีน เกาหลี หรือไต้หวันที่ว่าเหมือนๆกับโบท็อกซ์แท้มาใช้กับการรักษาคนไข้ที่เป็นโรคทาง ระบบประสาทหรือกล้ามเนื้อตากระตุก แต่จริงๆก็อยากเห็นเหมือนกัน จะได้รู้กันซักทีว่าสรุปมันปลอดภัยเท่าๆกันรึเปล่า ใครที่ว่ามันเหมือนกันก็อาจจะเอาไปลองกับตัวเองหรือคนรู้จักก็ได้นะครับ อิอิ
5. เรื่องของราคา Dysport จะมีค่าใช้จ่ายที่ประหยัดกว่าโบท็อกซ์พอสมควรเลยทีเดียวครับ

เท่า ที่หมอลองศึกษาดูการวิจัยต่างๆ ในความเห็นคิดว่าการใช้ Dysport มีความปลอดภัยพอสมควรเพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนไข้ แต่ยังไงก็คงต้องระวังปัญหาผลข้างเคียงจากการกระจายตัวของยาที่ไปได้มากกว่า โบท็อกซ์ โดยส่วนตัวเลยคิดว่าถ้าเป็นบริเวณที่กว้างและต้องใช้ยามากๆ เช่น น่อง ก็อาจใช้ Dysport ทดแทนได้ ไม่งั้นเวลามาฉีดน่องทีก็คงโดนค่าฉีดไปซักครึ่งแสน หมอเองจะโดนคนไข้เอาแข้งฟาดหน้าเอาเหมือนกัน แต่กับบริเวณที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เช่น การฉีดยกคิ้ว บริเวณใกล้ๆตา หมอเองก็คงไม่กล้าที่จะใช้ตัวอื่นนอกจากโบท็อกซ์ เพราะกลัวจะดังแบบไม่รู้ตัวในชั่วข้ามคืนครับ

อย่าง ไรก็ตาม ที่หมอเล่าให้ฟังเป็นการเปรียบเทียบ ระหว่างโบท็อกซ์ กับ Dysport ซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะยังพอมีการศึกษาทางการแพทย์วิจัยมาเปรียบเทียบกัน และมีการนำมาใช้กันมานานพอสมควรแล้ว สำหรับ BTX-A ตัวอื่นๆ ยังไม่ค่อยได้เห็นงานวิจัยเลย และหมอก็ไม่มีประสบการณ์การใช้ และพูดตามตรงคือไม่กล้าเสี่ยงด้วย เพราะได้ยินมาว่าคุณหมอบ้านเราบางท่านมีปัญหาค่อนข้างมาก ในคนไข้บางรายถึงกับเกิด Botulism ต้องใส่ท่อช่วยหายใจกันเลยทีเดียวเพียงเพราะความอยากสวยแต่แอบเขียมของทั้ง ตัวคุณหมอและคนไข้ พอเกิดปัญหาก็มานั่งคิดกันได้ว่าไม่น่าเลย แต่ก็สายไปซะแล้ว ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว ก็ได้แค่ภาวนากันว่าปัญหามันจะไม่อยู่ถาวร แต่เอาจริงๆแล้วเนี่ย

ยัง ไงหมอก็อยากให้มีคู่แข่งที่ออกมาเทียบกับโบท็อกซ์ออกมาเยอะๆ เผื่อโบท็อกซ์จะได้ลดราคาลงมากกว่านี้ และถ้ามันดีและปลอดภัยจริงๆแบบมีงานวิจัยศึกษาที่เชื่อถือได้แล้วละก็ วันนึงหมออาจจะลองใช้ดูก็ได้ เงินทองมันไม่เข้าใครออกใครครับ แต่ใครจะเป็นเหยื่อรายแรกของหมอดีหละเนี่ย... ไหนมีใครยกมือขึ้นบ้างครับ
โบท๊อก มีการเก็บรายงานเรื่องความปลอดภัยมานานกว่า Dysport คับ
เป็นที่ยอมรับกว่าเยอะเลยคับ
ฉีดเข้าร่ายกาย เน้นปลอยภัยดีกว่านะคับ
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-2-23 23:40:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบคุณมากๆสำหรับข้อมูลค่ะ เป็นประโยชน์อย่างเเรง ใช้Botoxดีกว่า :)
ถ้าไปฉีดมาแล้ว แล้วตอนนี้ก็หนังตาบนตกจนมองไม่เหนชั้นตาของเรา

และหางตาล่างก็ชึ้ขึ้นไป ทำไงดีค่ะให้หาย

เราจะแก้ไขอย่างไรดีค่ะ
สุดยอดขอบคุณ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ดีค่ะ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้