ดู: 2258|ตอบกลับ: 5
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

[โปรดูดไขมัน/VASER] ดูดไขมัน *********

[คัดลอกลิงก์]
ลักษณะการผ่าตัด
อาจเป็นได้ทั้งผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยในซึ่งต้องพักในสถานพยาบาล แต่มันจะนานแค่ประมาณ 1-2 วัน

ถ้าทำเฉพาะบางส่วนเล็กๆ ทำไม่นาน แพทย์อาจพิจารณาใช้แค่ยาชาเฉพาะที่ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีวิสัญญีแพทย์อยู่ร่วมดูแลให้ท่านนอนหลับด้วย

นอกจากนี้ แพทย์อาจจะขอให้ท่านแบ่งเลือดตัวเองไว้ 1-3 ถุง สำหรับใช้ในกรณีที่ทำผ่าตัดแล้ว มีการเสียเลือดจนจำเป็นต้องให้เลือด วิธีนี้ดีที่สุดเพราะท่านใช้เลือดตัวเอง ไม่ต้องเสี่ยงกับโรคร้ายจากคนอื่น

ก่อนถึงวันที่จะมาผ่าตัด ตัวท่านเองควรจะทำความสะอาดอวัยวะหรือส่วนที่จะทำอย่างดีเข้าและเย็น ดูแลอย่าให้มีบาดแผลหรือการอักเสบติดเชื้อเกิดขึ้น

ในวันที่มาทำ แพทย์จะยังไม่ให้ท่านนอนหลับทันที แต่จะทำการวาดขอบเขตบนผิวหนังที่จะทำด้วยปากกาสี ตรงไหนอ้วนมากอ้วนน้อย ย้อยห้อย ก็จะทำเครื่องหมายไว้ล่วงหน้า

แพทย์ส่วนใหญ่จะจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอน อาจจะคว่ำหรือหงายแล้วแต่ว่าจะทำส่วนไหน  แต่ปัจจุบันมีแพทย์บางคนนิยมทำการดูดไขมัน โดยให้ผู้ป่วยยืน!  อย่าตกใจครับ จริงๆการทำในขณะยืนมีข้อดีมากด้วยซ้ำ คือ แพทย์ได้เห็นชัดๆเลยว่า ส่วนไหนห้อยส่วนไหนย้อย เรียกว่าดูดถูกที่ไม่ผิดพลาด ทำไปก็เห็นได้ว่าดีหรือยัง  ถ้านอนลง แรงโน้มถ่วงก็ทำให้ส่วนที่อ้วนมันย้ายที่ไปจากตำแหน่งของมัน  อย่างไรก็ตามการทำในท่ายืนก็มีข้อจำกัด คือส่วนใหญ่ทำได้เฉพาะขา ถ้าทำสูงขึ้นกว่านั้น ต้องอาศัยวิสัญญีแพทย์ช่วยเรื่องการฉีดยาชาเข้ากระดูกสันหลังเพื่อไม่ให้เจ็บ และระหว่างทำอาจมีปัญหาเรื่องความดันต่ำได้

เทคนิคการผ่าตัด

ณ เวลานี้ การแพทย์พัฒนาไปมาก มีเทคนิคการดูดไขมันหลายอย่าง ส่วนใหญ่ไม่ทราบจะแปลเป็นไทยอย่างไรจึงจะเหมาะ เลยขอใช้ภาษาต่างประเทศไปเลย
เทคนิคการดูด
Suction-assisted lipectomy (SAL, การดูดไขมันด้วยท่อธรรมดา)

วิธีนี้เป็นเทคนิคดั้งเดิมแรกสุดซึ่งยังคงเป็นที่นิยมมากที่สุด คือใช้ท่อกลวงยาว สอดผ่านแผลเล็กๆที่แพทย์จะเจาะซ่อนไว้ตามรอยพับของร่างกาย เช่น สะดือ หัวเหน่า ข้อพับ ร่องก้น   ปลายท่อจะมีรูอย่างน้อยหนึ่งรู โคนท่อต่อกับสายยางซึ่งเชื่อมกับเครื่องดูดแรงสูง


ท่อสำหรับดูดไขมัน ปัจจุบันมีผลิตมาหลายขนาด ปลายท่อมีหลายแบบ
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 22:42:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
- ภาวะน้ำเกิน เกิดจากการที่แพทย์ต้องฉีดน้ำเกลือเข้าชั้นใต้ผิวหนังจำนวนมากในการดูดไขมันแบบเปียก น้ำเกลือเหล่านี้ร่างกายจะดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียน  ถ้ามากเกินขนาดที่หัวใจจะรับไหว ก็เป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เป็นหัวใจวาย น้ำท่วมปอด
- ปัญหาจากยาชา โดยอาจจะเป็นการแพ้คือได้รับยาชาเข้าไปเพียงเล็กน้อยก็ชารอบปาก ผื่นตามตัว แน่นหน้าอก ความดันโลหิตตก ช็อก หมดสติ  หรือเป็นยาชาเกินขนาด คือได้รับยาชาเข้าไปจำนวนมากเกินกว่าที่ร่างกายจะทำลายได้ทัน ยาชาจะไปมีผลกดหัวใจและระบบประสาท ทั้งสองกรณีเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ปัญหาจากการได้รับยาอะดรีนะลีนเกินขนาด ร่างกายกำจัดไปทัน ยาไปเร่งการทำงานของระบบประสาทและหัวใจ เส้นเลือดทั่วร่างกายบีบตัวอย่างรุนแรง  หัวใจอาจจะขาดเลือดไปเลี้ยง อาจจะวาย และเสียชีวิตได้
- การเสียเลือด ด้วยเทคนิคการดูดไขมันในปัจจุบัน เราไม่สามารถเลือกดูดเฉพาะไขมัน เลือดจะถูกดูดไปด้วย มากน้อยแล้วแต่เทคนิควิธีการของหมอแต่ละคน มีความเป็นไปได้ที่อาจจะเสียเลือดมากจนเกิดอันตราย ไม่ว่าจะโลหิตจาง หรือเกิดอาการช็อค
- เส้นเลือดปอดเกิดการอุดตันเฉียบพลัน พบน้อยมาก โดยเชื่อว่าเกิดจากมีก้อนไขมันเล็กๆหลุดไปในกระแสโลหิต ไหลเวียนไปถึงเส้นเลือดที่ปอด แล้วอุดตันเฉียบพลัน ผลคือเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน ปอดไม่สามารถแลกเปลี่ยนอากาศได้ตามปกติ ทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้
จะเห็นได้ว่า การดูดไขมันเป็นศัลยกรรมตกแต่งที่มีปัญหาได้มากทีเดียว บทเรียนจากศัลยแพทย์ทั่วโลกทำให้เราทราบว่า การดูดไขมันจะมีปัญหาต่างๆมากขึ้น ถ้า
- แพทย์ขาดประสบการณ์
- ทำผ่าตัดอย่างอื่นร่วมไปกับการดูดไขมัน
- ดูดไขมันออกเป็นปริมาณมากๆ เป็นผลให้ต้องใช้เวลาทำผ่าตัดนานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามากกว่า 5,000 ซีซี
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 22:41:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุดโดย aocaoc เมื่อ 2010-4-28 22:42

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

การดูดไขมัน ถือเป็นการผ่าตัดชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าดูดออกเป็นปริมาณมาก เป็นหนึ่งในการผ่าตัดทางศัลยกรรมเสริมสวยไม่กี่อย่างที่ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ อัตราตายจากตัวเลขฝรั่งอยู่ที่ 0-2 ต่อ 100,000 คน !
ส่วนภาวะแทรกซ้อนเฉลี่ยที่ประมาณ 10%  ประกอบด้วยปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนทั่วไปที่เกิดกับทุกการผ่าตัด และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดเฉพาะกับการดูดไขมัน ได้แก่


ปัญหาเฉพาะบริเวณที่ทำการดูดไขมัน
- น้ำเหลืองคั่งใต้ผิวหนัง พบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคการดูดไขมันด้วยอัลตราซาวน์ คงเป็นด้วยการที่แพทย์ใช้ท่อดูดไขมันออกจากชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้มีการทำลายเซลไขมันและท่อน้ำเหลือง  ปัจจุบันจึงนิยมใส่ท่อระบายไว้ใต้ผิวหนังที่ทำเมื่อเสร็จการผ่าตัด  เคยมีรายงานผู้ป่วยหนึ่งรายในอเมริกา พบมีก้อนไขมันขนาดใหญ่ที่หน้าท้องหลังทำการดูดไขมันเป็นเวลาหลายเดือน
- ผิวหนังบริเวณที่ทำขรุขระไม่เรียบ ถ้าเกิดขึ้นแล้วแก้ยากทีเดียว อาจเกิดจากการดูดไขมันออกจากผิวหนังชั้นตื้นอย่างไม่สม่ำเสมอ  การแก้ไขอาจต้องทำการดูดไขมันซ้ำจากส่วนที่ยังนูนหนาอยู่ หรือฉีดไขมันเข้าไปที่บริเวณที่บางบุ๋มเกินไป
- เลือดออก ณ บริเวณที่ทำ อันนี้เป็นจากท่อที่ใช้ดูดไขมันโดยตรง ส่วนใหญ่เป็นเส้นเลือดเล็กๆที่ฉีกขาดแล้วไม่หยุด การใช้ยาอะดรีนะลีนฉีดก่อนดูดในการดูดไขมันแบบเปียกร่วมกับการใช้ผ้ารัดบริเวณที่ทำจะลดปัญหานี้ไปได้มาก
- อากาชาหรือความรู้สึกเสียวแปล๊บผิวหนังบริเวณที่ทำ อันนี้ไม่ต่างจากการผ่าตัดอย่างอื่น ยกเว้นว่า ท่อดูดไขมันไปบาดเจ็บต่อเส้นประสาทใหญ่บริเวณนั้นโดยตรง อาการก็จะมาก
- ผิวหนังเป็นอันตรายจากความร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีที่ใช้อุลตราซาวน์
- การบาดเจ็บต่ออวัยวะที่อยู่ใต้ชั้นไขมัน จากท่อที่ใช้ดูดไขมันแทงลึกทะลุลงไป เช่น ทะลุของผนังช่องท้องไปโดนอวัยวะภายในกรณีทำที่หน้าท้อง  ทะลุไปโดนเส้นเลือดใหญ่กรณีทำที่ขา สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเท่านั้น
- การติดเชื้อ เกิดไม่บ่อย ส่วนใหญ่เป็นเชื้อแบคทีเรีย  แต่เคยมีรุนแรงมาก พบในผู้ป่วยที่ญี่ปุ่น มีการติดเชื้อลุกลามจากบริเวณที่ทำไปเป็นการติดเชื้อทั่วร่างกาย เกิดอาการความดันโลหิตต่ำ เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ลดสัดส่วนได้ไม่ดังใจ เป็นไปได้อย่างยิ่งและไม่แปลกที่คุณอาจต้องทำการดูดไขมันซ้ำอีก อันนี้เป็นผลต่างระหว่างความคาดหวังของคุณกับความสามารถที่หมอจะทำให้ได้
- ผิวหนังเป็นสีคล้ำ ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง มีพบได้ 4% เฉพาะกรณีที่ทำการดูดไขมันบริเวณต้นขาด้านใน
ปัญหาที่เกิดแก่ร่างกายทั้งระบบ
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 22:40:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผลที่ได้รับ

ผลจากการดูดไขมันออกจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย คือ จะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นมีความหนาลดลง แต่ลักษณะผิวหนังที่คลุมอยู่ส่วนใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง นั่นหมายความว่า หากผิวหนังเคยมีลาย มีแผลเป็น มันก็จะยังอยู่เช่นเดิม
ที่สำคัญอีกประการคือ การดูดไขมัน ไม่ได้มีผลอะไรมากมายนักกับน้ำหนักตัว อย่าหวังว่าจะลดน้ำหนักได้ด้วยการมาดูดไขมันออก  ยกตัวอย่าง หากคุณดูดไขมันออกสัก 3 ลิตร ผู้ป่วยหลายรายพบว่าน้ำหนักตัวไม่เปลี่ยนแปลงเลย ส่วนใหญ่อาจจะลดได้แค่ 1-2 กิโลกรัมเท่านั้น  เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจกันผิดมากพอสมควร

เนื่องจากอาการ"อ้วน"ของร่างกายเรา เกิดได้สองสาเหตุร่วมกัน คือ เซลไขมันมีจำนวนมาก กับ เซลไขมันแต่ละเซลมีขนาดใหญ่ ในระยะยาวการกลับมาอ้วนหลังการทำการดูดไขมันควรจะน้อยกว่าวิธีการลดสัดส่วนแบบไม่ได้ผ่าตัดวิธีอื่นๆ เพราะเซลไขมันที่มีอยู่ถูกดูดออกไป ร่างกายคนเราที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไม่สร้างกับมาชดเชยอีก กล่าวคือ หากจะอ้วนอีก ก็ต้องอาศัยการเพิ่มขนาดเซลเอาเป็นหลัก  ดังนั้นแม้ว่าน้ำหนักตัวจะกลับเพิ่มขึ้น บริเวณที่ดูดไขมันไปแล้ว ก็มักจะไม่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากเหมือนแต่ก่อน
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 22:38:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขล่าสุดโดย aocaoc เมื่อ 2010-4-28 22:39

Power-assisted liposuction (PAL)

วิธีนี้เป็นวิทยาการล่าสุด โดยใช้หลักการพื้นฐานแบบ SAL แต่ตัวท่อมีความพิเศษ คือ ที่ปลายท่อจะมีสั่นเข้าออกด้วยมอเตอร์ช่วยในการดูดไขมัน ทำให้แพทย์ใช้แรงน้อยลง การผ่าตัดทำได้เร็วขึ้น




เครื่องมือ Medtronic จำหน่ายโดยบริษัท Xomed
สังเกตรูปเล็กสี่น้ำเงิน แสดงการสั่นเข้าออกของปลายท่อ

ข้อเสีย คือ เครื่องมือมีราคาแพงมาก เราต้องนำเข้าจากต่างประเทศ  ทั้งยังเกิดเสียงดังกว่าวิธีอื่นๆจากการทำงานของมอเตอร์ แม้ว่าขณะนี้หลายบริษัทได้ผลิตเครื่องที่มีเสียงเบาลงกว่าเดิมมาก

ไม่ว่าจะใช้วิธีดูดแบบใด ผลที่ได้รับจะดีก็ต่อเมื่อผิวหนังบริเวณนั้นยังมีคุณภาพดีพอที่จะหดรัดตัวเองให้รับกับชั้นไขมันที่หายไป ความหนาของผิวหนังที่เล็กลงก็ต้องมีความราบเรียบเป็นธรรมชาติด้วย  ศัลยแพทย์จะอาศัยผ้าหรือยางยืดลักษณะต่างๆพันรัดอวัยวะส่วนที่ดูดตั้งแต่ดูดไขมันเสร็จใหม่ๆไปจนหลังทำเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อให้ผิวหนังเหนือชั้นที่ถูกดูดไขมันไปได้ยึดติดกับชั้นใต้ผิวหนังอย่างดี
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 22:37:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อสอดเข้าไปได้ที่ แพทย์ก็เปิดเครื่องดูด แล้วดูดเอาไขมันออก มากน้อยตามแต่จะวางแผนไว้

Ultrasound-assisted liposuction (UAL, การดูดไขมันด้วยอัลตราซาวน์)

ปัจจุบันมีการประยุกต์เอาความรู้ด้านคลื่นเสียงมาใช้ แทนที่จะแค่สอดท่อกลวงแล้วดูด มีการผลิตเครื่องที่สร้างสัญญาณเสียงส่งผ่านไปที่ปลายท่อยาว เมื่อปลายท่อเข้าไปอยู่ในชั้นใต้ผิวหนัง คลื่นเสียงที่ส่งไปก็จะไปกระทบกับเซลผิวหนัง กลไกตรงนี้ยังไม่รู้แน่ชัด แต่พบว่าสามารถทำให้เซลไขมันแตกสลาย  ท่อนั้นก็จัดการดูดเอาไขมันที่แตกออกมาไปจากร่างกายเสีย  วิธีนี้เรียกว่า "Internal UAL"

อีกแบบหนึ่งคือ "External UAL" ใช้เครื่องสร้างสัญญาณเสียงในลักษณะเดียวกัน แต่ส่งผ่านผิวหนังจากทางด้านนอก ไม่ต้องสอดใส่เข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง จากนั้นจึงค่อยสอดท่อกลวงเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนังดูดออกแบบเดียวกับ SAL

ข้อดี คือ
- เป็นการเลือกทำลายแต่เฉพาะเซลไขมัน ไม่ทำลายเนื้อเยื่อชนิดอื่น เสียเลือดน้อยกว่าวิธีอื่น
- แพทย์ใช้แรงลดลงในการดูดเอาไขมันออก
- แพทย์บางท่านพบว่าทำให้ผิวหนังมีการหดรัดตัว (เสมือนว่าเต่งตึงมากขึ้น) มากกว่าวิธีอื่น

ข้อเสีย คือ
- อุปกรณ์มากหลายชิ้น และราคาแพงมาก มากกว่าหนึ่งล้านบาท การเตรียมห้องผ่าตัดก็ยุ่งยากตามไปด้วย (นั่นหมายความว่า ค่าห้องผ่าตัดก็อาจจะแพงขึ้นไปอีก)
- คลื่นเสียงไม่ได้มีแต่ผลดี มันทำให้เกิดความร้อนขึ้นรอบๆท่อที่ส่งคลื่นเสียง ดังนั้นอาจทำให้ผิวหนังอุณหภูมิสูงจนเป็นอันตรายได้ อันนี้พบได้บ่อยๆในผู้ใช้ที่ยังไม่ชำนาญ  แม้ว่าจะมีการผลิตท่อดูดรุ่นใหม่ๆที่พยายามลดการสัมผัสของผิวหนังโดยตรงกับตัวท่อ โอกาสเกิดอันตรายต่อผิวหนังก็ไม่ได้หมดไป
- ขนาดของท่อดูดที่ใช้อัลตราซาวน์มักมีขนาดใหญ่กว่าท่อดูดธรรมดา เพราะต้องมีทั้งอุปกรณ์ส่งคลื่นเสียงไปที่ปลายท่อ และวัสดุรอบท่อซึ่งคอยป้องกันไม่ให้ความร้อนไปทำอันตรายผิวหนัง  แผลทางเข้าของท่อจึงจะใหญ่ตามไปด้วย
- มีโอกาสเกิดการคั่งของน้ำเหลืองหลังผ่าตัดได้สูงกว่าวิธีอื่น สาเหตุอาจเป็นเพราะเกิดกรดไขมันอิสระที่มีความระคายเคืองจากการที่เซลไขมันแตกออกมา
- วิธีการทำ ต้องมีขั้นตอนต่างๆไม่ตรงไปตรงมาเหมือนวิธีอื่น
- แพทย์ที่จะทำวิธีนี้ได้ต้องผ่านการฝึกอบรมมาเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้ผลดีและไม่เกิดภาวะแทรกซ้อ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้