ดู: 107967|ตอบกลับ: 268
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ศัลยกรรมทำให้สวย

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย gva เมื่อ 2013-10-11 15:28

แนะนำ
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-12 21:50:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แนะนำ
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:07:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก จนลืมไปแล้วว่าดั้งโด่งๆของเรานี่มันของแปลกปลอมเน้อ ไม่ได้ดูแลอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้ระมัดระวัง ยังคงกระโดดโลดเต้น และบีบสิวอย่างเมามัน ทั้งรีดทั้งเค้นสิวหัวดำออกจากจมูกเช่นเคย จากวันนั้นจนถึงวันนี้ที่น้องซีลี่ อยู่กับเรามาก็สิบกว่าปี ย่างเข้าปีนี้ 2013 สังเกตุเห็นว่าน้องซิลี่เริ่มเอียง เอียงลงทางด้านซ้ายของจมูก คือสันตรง แต่ปลายโค้งซ้าย ตรงปลายจมูกจะเห็นเป็นวงสีขาวๆเหมือนอาการหนังบางลงกลัวน้องซิลี่จะกระทุ้งทะลุออกมา ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่อักเสบ ไม่บวมแดง ไม่มีอาการอะไรเลยนะคะ เราขอผลโหวตจากเพื่อนหลายๆคนพากันแห่แหนมาดูน้องซีลี่ตามคำร้องขอของเรา ทุกคนลงความเห็นว่าเอาออกดีกว่า อย่าคอยจนมันอักเสบและทะลุ จะรักษายากมาก ต้องปะ ปลูกเนื้อกันเลย และจมูกจะเป็นรอยบุ๋ม ยุบลงไป จะน่าเกลียดมาก อ่านรีวิวคนอื่นที่เจออาการแบบนี้ ขนลุกเลย เห็นภาพด้วยแหล่ะ ขอขอบคุณที่มารีวิวให้ดูขอให้ได้บุญเยอะๆเลยนะตัวเอง และขอให้หายไวๆด้วยกลับมาสวยเหมือนเดิม

สรุปว่า หลังจากสังเกตเห็นว่าน้องซีลี่เริ่มกระทุ้ง นอยด์ได้แค่เดือนเดียว เรารีบหาข้อมูลแล้วลางานและนัดหมอเลยแหล่ะค่ะ
ต้องประคบเย็นค่ะ ประคบทั้งวัน จะหายเร็ว

แสดงความคิดเห็น

gva
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะจะลองทำดูค่ะ  โพสต์ 2013-10-12 02:39
แนะนำ
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:32:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จิตเริ่มตก วิตกกังวล ถ้าหน้าไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมจะยะจะได้หนอ เครียด นอนไม่หลับ มีอยู่คืนนึงเข้าวันที่ 4 ปวดแผลมาก มันเต้นตุบๆๆๆ อยู่ตรงหน้าผาก นูนๆออกมา ตุ่ยๆ ต้องกินยาแก้ปวด รุ่งเช้าโทรถามนางพยาบาล นางบอกว่าปรกติค่ะ ให้กลับมาหาหมอตามนัดละกัน อ่ะ เราก็เชื่อ รุ่งขึ้นก็ยังบวม ตุ่ยมากกว่าเดิม เหมือนเลือดคั่งอ่ะ แม่ไล่ให้ไปหาหมอ เลยโผล่หน้าเน่าๆไปโรงพยาบาลเลย ไม่ทงไม่โทรแล้ว ขืนโทรไปก็บอกเหมือนเดิมนั่นแหล่ะ ทุกคนเห็นหน้าเราสะกิดๆกันดู อายไหม? อารมณ์นั้นไม่อายค่ะ อยากหายมากกว่า ไปไหนใครๆก็มอง ไม่ใช้ผ้าปิดจมูกด้วยแหล่ะ มั่นมาก อาจจะเป็นเพราะเกี่ยวหูไม่ได้ด้วยแหล่ะ เจ็บ

แสดงความคิดเห็น

แล้วตอนนี้หายเป็นปกติไหมค่ะ คือว่าตอนนี้กำลังหาข้อมูลก่อนทำคะ  โพสต์ 2013-12-21 23:20
แนะนำ
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:12:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
8/9/13
บินกลับวันที่ 7 กย. 2013 ไปถึงสุวรรณภูมิวันอาทิตย์ที่ 8 กย.เรียกแท๊กซี่ให้มาส่งที่โรงแรม นอนพักแป๊บนึง อาบน้ำ สระผม และเดินออกไปปากซอยเห็นป้าย รพ.อยู่ลิบๆ ขี้เกียจเดินอ่ะค่ะ อากาศร้อนอบอ้าว ฟ้าอึมครึม ไม่มีแดด เลยเดินข้ามสะพานลอยแล้วเรียกแท๊กซี่ไปส่งที แท๊กซี่ไปถึง รพ. มิเตอร์ยังไม่ขึ้นสักบาทเลย คงที่ ที่ 35 บาท เราสงสารเลยให้ไป ร้อยนึง(นี่คือนิสัยที่ไม่ดีของเรา ขี้สงสารคนอื่นแต่ตัวเองก็ยังลำบากอยู่เหมือนเดิม) ไปถึง รพ.ราวๆ 11.15 เดินไปหาคุณจิ๋วที่เคาท์เตอร์ชั้น 1 ที่เคยโทรคุยกัน ทำบัตรใหม่เพราะประวัติเก่าที่เคยรักษาโดนลบไปหมด แล้วก็ขึ้นลิฟท์ไปชั้น 4 ติดต่อ ว่ามาทำอะไร วัดความดัน ซักประวัติ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง แพ้ยาอะไร สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าหรือเปล่า อะไรประมาณนั้น แล้วก็นั่งคอย

มีคนมาเยอะมาก ทำจมูกเยอะแยะ มีทุกเพศทุกวัย ตัดแต่งถุงใต้ตาและกรีดตาสองชั้น ใครเดินผ่านเป็นต้องมองหมดทุกคน บางคนทำมาสวยบางคนก็ไม่สวย เพราะทำโด่งเกินไม่รับกับหน้า เราว่าทำแบบธรรมชาตืไม่ฝืนเนื้อมากจะสวย แลดูไม่แข็งกระด้าง และปลอดภัยในระยะยาวที่สุด เรานั่งคอยจนเคลิ้มเกือบจะหลับ กว่าหมอจะเรียกเข้าไปคุยก็คอยจนเบื่ออยู่เกือบชั่วโมงครึ่ง แล้วจะนัดทำไม 11 โมง

เดินเข้าไปคุยกับคุณหมอ ชื่อ กิตติชัย ก็ร่ายให้หมอฟังว่าเราไปทำเมื่อไหร่ กับใคร ที่ไหน คุณหมอก็บอกว่า ศ.นพ.สมศักดิ์ เป็นอาจารย์ของหมอเอง  

เราถามคุณหมอ : ถ้าถอดออกแล้วไม่เสริมต่อจมูกจะยุบและเป็นรอบบุ๋มหรือเปล่าคะ?

เราเอารูปที่มีคนมารีวิวไว้ให้ดู

เรา : เนี่ย บุ๋มอย่างนี้อ่ะค่ะ ของหนูจะเป็นเป่าคะ?
คุณหมอ : บอกไม่รับประกันนะ

(มารู้ทีหลังคือถ้าปล่อยให้อักเสบแล้วถอดออกจะบุ๋ม ถ้าเอาออกเฉยๆ ยังไม่อักเสบ ไม่บุ๋มค่ะ แต่จะกลับคืนสู่สภาพเดิมไหม ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆของสภาพจมูกก่อนเสริม และหลังเสริมว่าหมอได้ทำอะไรไปบ้าง เช่นตะไบกระดูก ตัดนู่นเติมนี่ ไม่ได้ยัดซิลิโคนอย่างเดียว)

เรา : หนูกลัวหน้าช้ำเยอะ หนูมีเวลาสองสัปดาห์เอง หมอทำเบาๆนะคะ
หมอ : ไม่อยากทำแรงหรอกมันขึ้นอยู่กับเนื้อเยื่อและผังผืดของคนไข้แต่ละคน เนี่ย วันที่สามแต่งหน้าได้เลยนะไม่มีปัญหาหรอก

แสดงความคิดเห็น

เอียงครั้งนี้ก็ปล่อยไว้ค่ะ ไม่ได้ไปแก้แล้ว ไม่อยากเจ็บตัวหลายๆรอบ อาศัยแต่งหน้าไลท์ดั้งให้ดูกลมกลืนค่ะ  โพสต์ 2015-1-9 07:29
ทำกับคุณหมอกิตติชัย ยันฮี เหมือนกันค่ะ เป็นเคสแก้ คือเคยเสริมมาแล้วแต่ทรงมันสั้น เลยไปเสริมใหม่กะตุณหมอกิตติชัย โดยใช้กระดูกอ่อนหลังหูทำหยดน้ำ โชคดีที่ไม่อักเสบแบบคุณ แต่สรุปผลสุดท้าย จมูกเอียงค่ะ  โพสต์ 2015-1-9 07:24
แนะนำ
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:44:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 02:59:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย gva เมื่อ 2013-10-11 15:30


ศัลยกรรมทำให้สวยจริงหรือ? ตามมาดูกันเลย ยาวหน่อยนะคะต้องขอโทษด้วย พยายามอ่านกันหน่อยนะคะ

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนนะคะว่ารีวิวนี้ไม่ได้มีเจตนาจะใส่ร้ายป้ายสีใครหรือเป็นหน้าม้าเข้า
มาอวยใครเป็นพิเศษ แต่เป็นเหตุการณ์จริง ที่เกิดขึ้นจริง ตัวละครจริง ชื่อจริง สถานที่เกิดเหตุจริงๆ

มาเล่าให้ฟังเป็นประสบการณ์ตรงที่ได้มาฟรีๆแต่ไม่มีใครอยากให้เกิด.....
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:00:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เราได้เสริมจมูกตอนอายุยี่สิบกว่าๆ ราวๆปี 2000 เหตุผลเดียวของทุกคนที่ไปทำคือ คืออยากสวยและดูดีขึ้น ไม่ต้อง
จมอยู่กับปมด้อยของตัวเองไปตลอดชีวิต (ผิดตรงไหนที่ใครๆก็อยากสวยง่ะ ) น้องดั้งของเราที่พ่อให้มามันไม่สูงพอ  (พ่อดั้งแหมบ แม่ดั้งโด่งสวยมากแต่แม่ลืมให้มา) มันก็ดูน่ารักในแบบของมันแต่เราเองที่ดันไม่พอใจเลยไปเสริมเพิ่ม กับอาจารย์หมอ ศ.นพ สมศักดิ์ มาสมบูรณ์ ที่ รพ. ศิริราช (ตอนนั้นเราเรียนอยู่ที่มหิดล ศาลายา) ยังโดนด่าอยู่เลยมาจะมาเสริมทำไมดั้งก็ไม่ใช่ว่าจะแหม๊บ แหม่บ อ่ะนะ แกเลยให้คิวสุดท้ายเลย เพราะอาจารย์ต้องผ่าตัดเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ก่อนเพราะสำคัญกว่าเคสเสริมความงาม คอยไปเลย สามเดือนค่อยกลับมาใหม่ โอเค ได้ค่ะ ทางเลือกมีไม๊? มี คือไปทำที่อื่นที่มีอยู่เกลื่อนกรุง แต่ไม่รู้ทำไมเราไม่อยากไป ใจอยากทำที่นี่ที่เดียว ไม่อยากไปทำคลีนิกเล็กๆ กลัว ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่ถูกสุดๆ มั่นคงมากอยากทำที่ศิริราช ที่เดียวเท่านั้น
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:01:06 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นับวันคอยครบวันนัด ได้ฤกษ์กลับไปที่ ศิริราชใหม่ จำได้ว่าตื่นเต้นสุดๆ นั่งคุยกันไปว่าจะเอาแบบไหน โด่งยังไง เราจำได้ว่านอนอยู่บนเตียง อาจารย์ยืนพิงผนังเหลาซิลิโคนไปสลับกับเอามาทาบจมูกเราไป
ว่า เป็นไง โด่งยัง สูงไปไหม เรา บอกเอาออกอีกได้ป่ะเพราะมันโด่งเว่อร์เกิน อาจารย์เหลาต่อ บอกว่าเหลาจนบางแล้วนะเนี่ย หุหุ เราไม่ได้เอารูปใครไปให้ดู น้องอ้งน้องอั้มไม่รู้จักหรอกค่ะ เกาหลงเกาหลีก็ยังไม่ฮ็อทฮิต ไปมันโด่ๆ เอาแบบเราชอบนี่แหล่ะ ส่วนอาจารย์หมอก็คงไม่ได้เป็นหมอธุกิจความงาม เขาฮิตอะไรกันอาจารย์คงไม่ได้ไปติดตามข่าวสารข้อมูลแฟชั่นอะไร เพราะวันๆ สอนลูกศิษย์และผ่าตกแต่งคนไข้ที่มีปัญหาพิการทางร่างกาย ก็คงสุดจะยุ่ง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจมูกที่ได้จะออกมาสภาพไหน แต่เราเอาตามความพอใจของเราและไม่ฝืนธรรมชาติมากเกินไป คุยกันสัพเพเหระ อาจารย์หมอน่ารักมาก เป็นกันเอง คุยดี แกยังบอกอยู่เลยว่า หมอที่ยันฮีน่ะ ลูกศิษย์แกทั้งนั้น เราแกล้งแซว ทำไมศิริราชไม่เปิดแข่งไปเลย แกบ่นงุบงิบ แค่นี้ก็ผ่ามือระวิงแล้ว ปล่อยให้คนอื่นเขาทำกันไปเหอะ.....

หลังจากเหลาเกลากลึงน้องซี่ลี่(ซิลิโคน)เสร็จอาจารย์ก็นำน้องไปอบ
ฆ่าเชื้อ ส่วนเราก็ไปล้างหน้าสวนควักล้างจมูก เปลี่ยนชุดขึ้นเตียง ห้องผ่าตัดเป็นห้องผ่าตัดใหญ่ โคมไฟดวงใหญ่เบ้อเร่อเท่อ มีนางพยาบาล 4 คนและอุปกรณ์ผ่าตัดและช่วยชีวิตครบชุด พร้อมสรรพ ดูกึ่งขลังกึ่งน่ากลัวพิลึก....
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:02:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาจารย์เดินเข้ามา ดูเท่ห์มาก ยืนกางแขน มีนางพยาบาลช่วยสวมชุดคลุมผ่าตัดและสวมหมวกให้ อาจารย์ไม่หยิบจับแตะต้องอะไรเลยนอกจากหยิบถุงมือใส่เอง หลังจากนั้นนางพยาบาลเดินมามัดแขนเราติดเตียงผ่าตัด ใจเริ่มเต้นตุ้มๆต่อมๆ เพราะในชีวิตไม่เคยขึ้นเขียงผ่าตัดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไส้ต่งไส้ติ่งไม่เคยแตก นางพยาบาลใช้ผ้าคลุมหน้าเราให้โผล่ออกมาเฉพาะจมูก ทำความสะอาดรูจมูกครั้งสุดท้ายและฉีดยาชาประมาณ 3-4 เข็ม จำได้ว่าไม่เจ็บเลย มือเบามากอ่ะ ไม่รู้ใครฉีด
อาจารย์ใช้มีดกรีดเปิดแผล ใช้เครื่องมือขูดๆ เสียงดังกึกๆๆครึกๆๆ (เหมือนเราใช้สิ่วเซาะหินปูนอ่อนๆดังอย่างนั้นเลย) เซาะๆเลาะๆให้เป็นโพรง รู้สึกเสียวๆยังไงพิกล เพราะได้ยินและได้รู้สึกทุกวินาที ของการเซาะโพรง หลังจากได้โพรงแล้วอาจารย์เอาซิลิโคนยัดเข้าไป เหล่านางพยาบาลมารุมช่วยกันดู

อาจารย์หมอ :  เบี้ยวป่ะ
เหล่านางพยาบาลเซ็งแซ่ : ไม่เบี้ยวค่ะๆอาจารย์

รวมทั้งหมดสิบตาที่ช่วยกันเล็งองศาของจมูกเรา มั่นใจเต็มร้อยว่าไม่เบี้ยวไม่เอียงชัวร์
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:02:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลังจากนั้นอาจารย์ก็เย็บแผล รวมเวลาไม่เกินสามสิบนาที เราลุกขึ้น เปลี่ยนเสื้อผ้า ไปรับยาแก้อักเสบ ยาลดบวม ค่าเสียหาย 6000 บาทถ้วน ไม่ขาดไม่เกิน 3000 บาทเข้ามูลนิธิเด็กปากแห่วงเพดานโหว่ อีก 3000 เป็นค่าผ่าของอาจารย์หมอ อาจารย์นัดมาตรวจแผลซ้ำอีกเดือนนึง แล้วบอกว่าไหมละลายมันจะหลุดหายไปเองนะ

เราโหนรถเมล์ 124 จากศิริราชกลับศาลายา โคตรอึดเลยฉ้านนนน ไม่มีอาการวิงเวียน ไม่มึน ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เป็นไรเลย คนเหล็กก็คนเหล็กเหอะ อาย
กลับมาก็นอนเอาน้ำแข็งประคบ รุ่งเช้าก็ไปเรียนต่อเลย จำได้ว่าหน้าบวมนิดเดียวและเปลี่ยนเป็นช้ำเขียวๆเหลือง อาทิตย์เดียว ก็ได้สวยสมใจ สาวกสาวศัลยกรรม ไม่ได้ประคบอุ่นด้วยแหล่ะตัว ไม่ได้ระวังเรื่องอาหารการกิน ของแสลงไม่มีในสารบบ เพียงแต่อย่ากินของหมักดองเพราะไม่สะอาด ห้ามจกปลาร้าอะไรงี้ก็พอจะเข้าใจได้ ไข่เหรอ? กินทุกวันเลยเพราะชอบกินไข่พะโล้ ได้ยินคนนู้นคนนี้บอกว่ามันแสลงนะไข่ จะทำให้แผลเป็นนูน ว่างั้น แต่เรื่องอย่างนี้ ร่างกายของคนเราไม่เหมือนกันค่ะ บางคนต่อให้กินไข่เป็นแผงคีลอยก็ไม่เกิด บางคนไม่แตะไข่เลยก็ยังเป็น อุปมาอุปมัยเหมือนบางคนแพ้ยาบางคนไม่แพ้ บางคนแพ้ถั่วบางคนไม่เป็น อันนี้เราต้องรู้ตัวเองว่าตัวของเรา ร่างกายของเราเป็นอย่างไร อย่าได้เอาร่างสังขารของเราไปทียบกับของคนอื่น เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ทุกฉอต เพราะสมัยนู้นยังไม่มีไอโฟนเพื่อนยากนั่นเอง
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:03:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:04:38 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:07:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ใครที่เริ่มมีอาการคล้ายๆแบบนี้ กรุณาอย่าคอยให้มันอักเสบและทะลุนะคะ แล้วค่อยไปรักษา ถ้าเห็นปลายใสๆมองเห็นน้องซีลี่ชัดเจน เป็นวงขาวๆ ให้รีบไปเอาออกเลยนะ อย่าเสียดายเงิน อย่าเสียดายจมูกโด่ง เดี๋ยวเรื่องใหญ่รักษายากแล้วจะหมดสวยเอาน๊า แล้วจะหาว่าไม่บอก

นี่เลยรูป เอาไปดู วิเคราะห์กันเลยค่ะว่ามันเป็นอย่างที่เราคิดหรือว่าเราจิตตกไปเอง

เอาไปดูเลยทุกมุม
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:08:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:10:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เครียด มว๊ากถึงมากที่สุด  ส่องกระจกมันทั้งวัน search หาข้อมูลต่างๆ ได้ความว่า ถ้าเราทำมานานแล้ว ร่างกายสร้างพังผืด (หรือผังผืดก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าเราเรียกมันว่า พังผืดละกันนะ) มารัดหุ้มซิลิโคนทำให้มันเอียง แล้วแต่บางคนนะคะ บางคนเสริมมายี่สิบปีไม่มีปัญหาอะไร ก็อย่างที่บอกแล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคนค่ะ และระยะเวลาขที่เราได้เสริมก็นานมากแล้ว เราเริ่มแก่หนังก็บางลง และซิลิโคนเมื่อสิบปีที่แล้วก็เป็นซิลิโคนแบบแข็ง คงไม่ได้มีหลายเกรดเหมือนปัจจุบันนี้ ยังโชคดีอยู่บ้างที่ไม่ได้เสริมสูง ฝืนเนื้อจนเกินไป เราเอาแบบธรรมชาติที่สุด ตัดสินใจถูกอีกแล้ว เป็นครั้งที่สอง คิคิคิ

ปกติซิลิโคนจะอยู่ในร่างกายของคนเราได้ตลอดไปจนเราตาย ถ้าเราไม่มีอาการแพ้และน้องซิลิี่ไม่อักเสบและใกล้จะทะลุนะคะ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนค่ะ นอกจากเสียว่าบางคนอยากเปลี่ยนรูปทรงอยากได้ทรงเหมือนดาราคนโปรดอะไรงี้ก็ต้องไปเปลี่ยน บางคนไม่พอใจก็เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ตามความฮิต ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไปใจก็เปลี่ยนแปลง ตามความพอใจและเงินในกระเป๋าก็เอาเลยค่ะถ้าไม่ได้ทำให้ใครเดือนร้อน ก็ลุยโลด
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:11:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ด้วยความที่เราเป็นคนทำอะไรเร็วตัดสินใจรวดเร็ว ก็เริ่มเก็บข้อมูล อ่านมันทุกเว็ปไซต์ ข้อดีข้อเสีย การแก้ไข ทั้งถอดออกแบบไม่เสริม ถอดแบบเสริม และ เติมปลายด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหู ซึ่งในกรณีหลังนี้ก็จะเป็นเคสของเราเลย เพราะปลายเริ่มบางถ้าถอดออกแล้วไม่เสริมเรากลัวว่าจมูกจะยุบและเตี้ยลงกว่าเดิม เพราะเสริมมานาน ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อจมูกไม่มากก็น้อย และน้องซิลี่น่าจะกดทับกระดูกทำให้กร่อนลงไปบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสูงที่เราทำด้วย ถ้าทำสูงมากฝืนเนื้อหนังมากก็ทำให้กดทับมากเป็นต้น อันนี้ไม่มีกฏตายตัวนะคะ ว่าถ้าถอดออกแล้วไม่เสริมต่อจมูกจะยุบเตี้ยลงมากกว่าเดิม ขึ้นอยู่กับหลายเหตุปัจจัย เคสใครก็เคสมัน

เราเริ่มหาข้อมูลของการถอดของเก่าออกและเสริมต่อด้วยซิลิโคนเกรดนิ่มและรองปลายจมูกที่บางๆ ด้วยกระดูกอ่อนหลังใบหู ก็น่าสนใจดี อ่านรีวิวของเพื่อนคนอื่นๆ อยากไปแก้กับคลีนิกดังต่างๆแต่คิวยาวมากเป็นปีๆเลย เราไม่มีเวลาคอยมากขนาดนั้น เห็นมีการซื้อขายคิวกันด้วย ราคาแพงมาก 4000-10000 บาท โอ้โห พัฒนามาขนาดถึงขั้นขายคิวของหมอมือทองทั้งหลายด้วยแหล่ะ อะเมซิ่งไทยแลนด์

ในที่สุดเราก็ตัดสินใจขอลาหยุดแบบไม่รับเงินเดือน 2 สัปดาห์ ซื้อตั๋วเครื่องบิน (เราอยู่ที่เจนีวา) โทรนัดคิวหมอที่ รพ. ยันฮี ได้คิว เวลา 11 โมงเช้าของวันที่ 8 กย. 2013 เรื่องหมอนี่เราก็อ่านข้อมูลของหมอแต่ละคนมาเยอะเหมือนกัน บางคนผ่าจมูกอย่างเดียว สามพันกว่าเคส!!!!! พระเจ้า และสุดท้ายก็โทรจองโรงแรมที่ซอยจรัญสนิทวงศ์ 95/2 เห็นบอกว่าใกล้ รพ.แค่ 400 เมตรเอง ทุกอย่างพร้อม คนพร้อมก็ออกเดินทางผจญภัยได้
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:13:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แล้วเราก็บอกว่าเรากินวิตามินเสริม คือ วิตามินรวม วิตามินอี โอเมก้า3 และ สังกะสี แต่หยุดได้สิบวันแล้ว และบอกว่าเหมือนจะแพ้ยาแก้อักเสบตัวนึง เอารูปให้ดูฉลาก บอกว่าปวดท้องมากกินแล้ว หมอบอกไม่แพ้หรอก เพราะถ้าแพ้คือจะมีผื่นแดง หน้าบวม นี่แค่ปวดท้อง อาจเป็นเพราะกินก่อนอาหาร กัดกระเพาะเลยปวด

แล้วคุณหมอเอาซิลิโคนสองชนิดมาให้ดู มีแบบนิ่มพิเศษและนิ่มปานกลาง สนนราคา 20000 บาท คือแก้ไข หมายความว่าถอดของเก่าออกออกแล้วใส่น้องซีลี่นิ่มๆตัวนี้ และ ตัดกระดูกอ่อนหลังใบหูมาเสริมปลายเพราะบางมาก เพื่อป้องกันปัญหาน้องซีลี่ทะลุในอนาคต ค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็อีก 8500 รวมค่าบริการของโรงพยาบาล 100 และค่าบริการทางการแพทย์ อีก 20 บาท 28620 บาทถ้วน

***งงกับค่าบริการทางการแพทย์และค่าบริการของโรงพยาบาลที่ทุกคนต้องจ่ายอีก 120 บาท เอาไปทำอะไร วันนึงๆ มีคนไข้มารักษา คิดง่ายๆน้อยๆ  500 คนก็พอ 500คนx120บาท=60000 บาท
60000บาทx31วัน=1860000 บาทต่อเดือน 22ล้านกว่าบาทต่อปี!!!!
เอาไปทำอะไรเงินตั้งเยอะแยะ***

เรา : หมอคิดว่าใช้ซิลิโคนตัวไหนดีคะ
หมอ : ถ้าคนไข้ไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายหมอแนะนำให้ใช้ตัวนิ่มพิเศษ
เรา : หนูไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายค่ะ
เรา : เรื่องตัดกระดูกอ่อนมารองปลาย ทำมานานแล้วเหรอคะ?
หมอ : บอกสิบปีแล้ว (ลากเสียงยาววววว)  แต่ที่บ้านเราเริ่มมาฮิตๆกันก็ ห้าปีได้แล้วนะ
เรา : ถ้าตัดมารองปลายก็เหมือนปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ ถ้าเลือดไม่มาเลี้ยงมันก็จะตายแล้วมันจะเน่าเป่าคะ? มันจะไปไหน?
หมอ :ร่างกายเราจะกำจัดออกไปเอง
เราก็กลัวหูแหว่ง หมอบอกตัดออกมานิดเดียว
หมอ : อธิบายว่า ต้องทำการถอดน้องซีลี่เก่าออกก่อนแล้วเอาของใหม่ใส่เข้าไปแล้วถึงจะมาตัดหู (หมายความว่าตัดกระดูกอ่อนหลังใบหู) ว่าจะต้องใช้เท่า
ไหร่ เอามานิดเดียว หูไม่แหว่ง ใส่ตุ้มหู เกล้าผมได้เหมือนเดิม หมอยืนยัน ถ้าได้หยดน้ำก็ได้นะ ถ้าไม่ได้ก็แล้วไป หมอจะทำแบบธรรมชาติที่สุด แบบนี้ หมอชี้ตรงรูปนางแบบเกลาหลีแผ่นนึงที่วางอยู่บนโต๊ะขนาด A4 สงสัยมีไว้อวดคนไข้ ว่าจมูกของเจ้าจะเป็นเยี่ยงนี้หรือถ้า ไม่ใช่ก็คงใกล้เคียง

หมอ : ผ่าเป่า ทำเลยไหม
เรา : ทำค่ะๆ
เหมือนหมอรีบๆยังไงชอบกล แล้วก็ถ่ายรูป หน้าตรงและด้านข้างทั้งสองข้าง รวมเวลาทั้งหมดที่คุยกับหมอ 5-7 นาที ไวมะ?
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:14:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ออกไปจ่ายตังค์ จ่ายบัตรเครดิต (บัตรทำที่สวิส) รูดไม่ผ่านไม่รู้ทำไม เลยต้องพาบัตรไปกดตังค์ มาจ่าย ตู้กดธนาคารกรุงศรี ใกล้ห้องน้ำ ดันพังเลยต้องลงไปกดชั้น1 เอาของไปฝากที่ห้องฝากของ เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานว่ามีอะไรมั่ง
กลับนั่งคอยหน้าห้องผ่า นางพยาบาลบอกว่า ได้คิวผ่าคนที่แปด ไปกินข้าวก่อนก็ได้นะตอนนี้เพิ่งบ่ายโมงกว่าๆเอง ให้กลับมาอีกที่บ่ายสามโมงก็ได้
ได้เลย ย้อนกลับไปเอาของคืนเพราะไม่มีตังค์ติดตัวสักกะบาท แล้วเดินลงไปที่ห้องอาหารของ รพ. โทรบอกให้แม่มาหา นั่งกินข้าวมันไก่คอยแม่ แต่กินได้ไม่เยอะเพราะไม่หิวและเปลี่ยนเวลาด้วย เลยนั่งแกร่วดื่มน้ำเปล่าและกินซุป ง่วงมากอยากนอน

แม่มาถึง รพ.บ่ายสองกว่า นั่งเล่นกันที่ห้องอาหาร พอเกือบจะบ่ายสามโมงก็เดินขึ้นไปชั้น 4 หน้าห้องผ่าตัด มีคนนั่งหลับนอนหลับคอยเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งคนไข้ที่คอยผ่า ทั้งบรรดาเพื่อนฝูงและญาติคนไข้ ยั้วเยี้ย

และก็มีเจ้าหน้าที่เข็นคนไข้ที่ได้รับการผ่าออกมาเป็นระยะๆ เรื่อยๆ บางคนก็มีแผ่นพลาสเตอร์แปะตรงจมูก บางคนแปะตรงให้ตา และบางคนแปะทั้งสองที่....

ในที่สุดจากที่นั่งเม้าท์มอยคอยกับแม่ตั้งแต่บ่ายสามโมง นางพยาบาลมาเรียกเราเข้าไปในห้องผ่าเกือบหกโมง สวมชุดสีเขียวของ รพ.ทับชุดของเรา สวมรองเท้าแตะสีน้ำเงินเข้ม และสวมหมวกสีเขียว เดินไปล้างหน้า มีผ้าขนหนูผืนเล็กๆให้ซับหน้า แล้วนั่งคอยต่อไป ข้างนอกฝนตกหนักมาก ได้ยินนางพยาบาลบ่นว่าจะกลับบ้านยังไงหว่า เซ็ง

อากาศหนาวเพราะเปิดเครื่องปรับอากาศแรงเกินไป เรานั่งสั่น แหง็กๆ หน้าแห้ง ปากแห้ง มือตีนเย็นเฉียบ เราถามนางพยาบาลว่า หนูคิวสุดท้ายเหรอคะ นางบอก ยังเหลืออีกคนที่โหล่

สักครึ่ง ชม. นางพยาบาลมาเรียกเข้าห้องผ่าตัด เป็นช่องเล็กๆ เรียงเป็นตับ เป็นสิบๆช่องเลย มีเตียง และโคมไฟอันเล็กๆ และอุปกรณ์ผ่าตัด และมีเครื่องดูดเสมหะเครื่องเดียวแขวนอยู่ตรงผนัง เราเริ่มกลัว ลังเลนิดๆ เพราะสภาพห้องผ่าตัดไม่เหมือนกับที่ศิริราชที่เราเคยผ่าครั้งแรกเลย มีนางพยาบาลมามัดผมยังชมอยู่ว่าผมเราสวย เรียกอีกคนมาดู ถามเราว่า ยืดผมมาเหรอ เราตอบเปล่าเพิ่งสระมาแล้วออกมาเลย ไม่ได้ไดร์ ไม่ได้เป่า ไม่ชอบมันร้อนหัว สระเองแห้งเอง แต่เราโชคดีที่ผมเราสวยมาก (ไม่ได้ชมตัวเองนะ จริงๆ ไม่ได้หลอก) แล้วก็มัดมือเราติดเตียง เอาเครื่องวัดชีพจรมาหนีบตรงนิ้วชี้ข้างซ้าย เอาผ้ามาคลุมหน้า โผล่แต่จมูกออกมา และทำความสะอาดรูจมูกอีกครั้ง แล้วบอกว่าจะฉีดยานอนหลับนะ อ้าวฉีดด้วยเหรอ ไม่รู้นี่ เขาบอกว่าเพราะฉีดยาชามันเจ็บแลยฉีดยานอนหลับก่อน มีงี้ด้วย แค่ฉีดยาชามันเจ็บตรงไหน และก็อย่างที่บอกอีกหน บางคนเจ็บบางคนไม่เจ็บเราไม่สามารถที่จะเอาความรู้สึกของเราเป็นตัวตั้งเพื่อนจะวัดความรู้สึกของคนอื่น มันไม่ถูก

นอนหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ตื่นขึ้นมา หน้าชาไปแล้ว นอนคอยตั้งนานกว่าหมอจะมาผ่า หมอขูด หมอเจาะ หมอเซาะ เลาะแรงมาก จนหน้าหันไปหันมา เรารู้สึกได้ว่าแรงจริงๆ คุณหมอขา กรุณาเบาๆได้ไหมคะ เสียงโหยหวนของเราก้องอยู่ในใจ

ได้ยินเสียงตัด ดัง กรึบ กรึบ กรึบ  คิดในใจช้ำแน่ตรู ช้ำแน่งานนี้ ได้ยินหมอกับนางพยาบาลคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ได้ยินแว่วๆว่า อืมมม อาจารย์หมอทำไว้ดีมากเลย
เราก็ถามว่าถ้ามีเลือดลงคอทำไง นางพยาบาลบอกกลืนลงไปเลยห้ามคายเพราะน้ำลายจะเข้าแผลทำให้ติดเชื้อนะ กลืนก็กลืน
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:15:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เราไม่รู้ว่าผ่าไปได้นานเท่าไหร่ แต่ตอนท้ายๆเริ่มเจ็บ ก็เลยบอกหมอว่าเจ็บนิดๆแล้วเด้อ หมอบอกไม่เป็นไรมันจะตึงๆนิดนึง มันไม่ตึงแต่มันเจ็บอ่ะดิ

นางพยาบาล : ฉีดเลยไหมคะ หมอ
หมอ : เดี๋ยวๆๆ

แล้วหมอเลยเพิ่มยาชาให้(ไม่รู้ว่าหมอหรือนางพยาบาลฉีดเพราะมองไม่เห็น) ทีนี้มันก็ไหลลงคอเราจำต้องกลืนลงไปเนื่องด้วยคำขู่ข้างต้น มันขมเฝื่อนๆ

แล้วหมอก็จับหน้าเราหันเอียงซ้ายเพื่อตัดหูข้างขวา ได้ยินเสียงชัดเลย กรึ๊บๆ กรึ๊บๆ แคว่ก แคว่ก เหมือนเราตัดหูหมูที่มันมีกระดูกอ่อนนั่นน่ะ ลองไปตัดกันดูเด้อ จะได้เข้าใจความรู้สึก
เย็บแผลที่หู เย็บแผลที่จมูก ได้ยินแว่วๆหมอคุยกับนางพยาบาลนัดให้มาอีกเดือนนึงข้างหน้า เราบอกจะกลับสวิสวันที่ 20 ค่ะ หมอเลยบอกงั้นนัดพฤหัสที่ 19 กย.แทนละกัน (แปลกทำไมจะนัดวันศุกร์ที่20 เป็นวันหยุดของหมอนี่หว่า หรือว่าลืม)

เสร็จแล้วโดนเข็นออกไปนอนพักที่ห้องพักฟื้น เอาแผ่น cool pack มาโปะหน้า เราก็นอนไป สักพักก็มีนางพยาบาลเอาโทรศัพท์มาให้คุยจากห้องยาถามเรื่องแพ้ยาแก้อักเสบ แล้วก็มีนางพยาบาลเดินเอายามาให้พร้อมคำอธิบายอย่างไว รัวมาเป็นชุด กำลังเบลอจำอะไรไม่ได้มากหรอกค่ะคุณขา เจ็บหัว เจ็บหู เจ็บจมูก เจ็บไปหมด (แทนที่จะอธิบายก่อนทำ ตอนที่นั่งรอในห้องผ่าเพราะนั่งรอตั้งนานอ่านหนังสือจนเซ็ง)พอเราพร้อมที่จะกลับ เขาก็เรียกญาติคนไข้เข้ามารับและ มีเจ้าหน้าที่มาเข็นไปซื้อน้ำเกลือและไอ้ cool pack 2 อันเอาไว้แปะสลับกัน เสียเงินอีกประมาณ 300 บาท ที่ห้องจ่ายยา  นั่งแท็กซี่กลับ รร. ด้วยความมึน คลื่นไส้ รู้สึกแย่มาก ดีนะที่แม่มาด้วยเนี่ย

ถึง รร.รีบกลับขึ้นห้อง ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันก่อน แล้วก็นั่งเอนและเริ่มโปะผ้าเย็น แบบนี้เลย (ถ้ามีหมอนล็อกคอได้ก็ซื้อมาเลยนะคะ ได้ใช้แน่ๆ เวลาเผลอหลับจะได้ไม่เอียงหน้า เอียงคองอไหล่ เดี๋ยวจมูกเบี้ยวไม่รู้ด้วยเด้อ

เราอาเจียนหลายรอบ ขนาดกินแค่ข้าวต้มเปล่าๆ อาเจียน เวียนหัว เพราะฤทธิ์ยาชาที่ฉีดเพิ่มแล้วเรากลืนลงท้องไปแน่ๆเลย แม่ต้องช่วยลูบหลังทรมานฝุดๆ!!
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:21:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ประคบเจลเย็น cool pack

ขอแนะนำว่าอย่าโปะแบบนี้ (เพราะจากที่กลับไปหาหมอแล้วโดนดุว่าโปะแบบนี้ทำให้เลือดคั่ง จริงเป่า? ) เราคิดว่างั้นเราน่าจะพลาดมาแล้ว ไม่อยากให้คนอื่นซ้ำรอย

ให้ไปซื้อน้ำแข็งมาทุบๆให้เละๆแล้วใส่ถุงพลาสติกเล็กๆ เอาขนาดพอดีจมูกก็พอ ห่อผ้าขนหนูอีกชั้นวางบนจมูกเลยค่ะ เพราะตอนนี้จมูกชาถ้าวางแผ่น cool pack แบบนี้เราไม่รู้สึกหรอกค่ะว่ามันโดนจมูกเราหรือเปล่า กดหนักๆก็กลัวช้ำเข้าไปกันใหญ่ เผลอๆหมูกเบี้ยวอีกต่างหาก

เตรียมทุกอย่าง
ไว้ก่อนผ่าตัดก็ยิ่งดีค่ะ ซื้อน้ำแข็งทุบใส่ช่องฟรีซไว้เลย พวกสมุนไพรใบบัวบกอัดเม็ดแก้ช้ำใน, โจ๊กคัพ ก็ซื้อเตรียมไว้เลยนะคะ เวลาหน้าบวมเดินออกไปซื้อไม่ได้ อายชาวบ้านเขา

วางถุงน้ำแข็งบนจมูกไปเลยสิบนาที พัก สามสิบนาที  ระวังผิวหนังไหม้ความเย็นเด้อ ทำไปเรื่อยๆ ใช้ ไอโฟนให้เป็นประโยชน์ตั้งเวลานับถอยหลังไว้เลยค่ะวางสิบพักสามสิบนาที
48 ชม.แรกนี้สำคัญมากให้โปะเย็นอย่างเดียวเลย  เลือดจะได้หยุดไหล จะบวมมากเลือดคั่งมากก็ตอนนี้แหล่ะค่ะ ตอนโปะเย็นนี่แหล่ะค่ะ เอาให้อยู่นะ

เราพลาดเพราะประคบเย็นไม่ดีพอสมควร และร่างกายอ่อนเพลียไม่ได้พักผ่อน เปลี่ยนเวลากินเปลี่ยนเวลานอน และหมอมือหนัก ทำแรงด้วย มันเกี่ยวข้องกันไปหมด ผลที่ได้เลยออกมาเป็นแบบนี้



19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:23:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:25:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:26:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:28:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


พยายามยิ้มให้กำลังใจตัวเอง  ไปงั้นแหล่ะ
23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:30:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-10-11 03:31:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


แต่ละวันผ่านไปเราหัวเราะกับแม่สองคน เพราะเห็นหน้าตัวเองแล้วก็แอบขำ นั่งๆนอนๆ ไม่ทำอะไร แปลงร่างเป็นนกหงษ์หยกส่องกระจกทุกวินาที หนังสือก็อ่านไม่ได้ เพราะก้มหน้าไม่ได้กลัวเลือดคั่ง ยกหนังสือมาอ่านก็ปวดแขน ได้แต่จิ้มๆรูดๆ ไอโฟนอ่านอะไรเล็กๆน้อยๆ แชทกับเพื่อนๆบางคน
ลุกเดินบ้างเล็กน้อย และประคบเย็นอย่างเดียวเลย นี่คือชีวิตของสามวันที่ได้ใช้ไป ไม่ปวดแผลแต่ดูเหมือนมีไข้รุมๆก็กินยาพาราที่หมอให้มา และทานยาตามเวลา พอเข้าวันที่ 4  เริ่มขำไม่ออกอ่ะ กำลังใจหดหาย รู้สึกหดหู่ กลัวหน้าจะไม่กลับคืนสู่สภาพเดิม


ยังไม่ไหมดแค่นั้น ทั้งบวม อืด ช้ำเลือดช้ำหนอง ม่วง เขียว เหลือง สารพัดสีที่จะหามีได้  บอกแม่ๆเหมือนผีเลยเนาะ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้