ดู: 3386|ตอบกลับ: 11
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

สารต่างๆที่ใช้ฉีดในการศัลยกรรม คืออะไรบ้างมาอ่านกันจ้า

[คัดลอกลิงก์]
มีหลายคนสงสัยว่าสารต่างๆที่กำลังจะฉีดหรือฉีดเข้าไปนั้น หรือคนรอบข้างฉีดมันคืออะไร พอดีช่วงนี้เเพมกำลังสนใจเรื่องการยกคิ้วยกหางตา เเต่ยังกล้าๆกลัวๆผลเสียที่จะตามมา เลยอ่านพวกนี้อยู่ ก็เก็บมาฝากกันค่ะ เผื่อเป็นประโยชน์บ้าง

Misko คืออะไร
เป็นเทคนิคการฉีดไหมละลายเพื่อสร้างโครงสร้างใหม่ให้จมูก ช่วยปรับแก้ไขรูปทรงจมูกได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะการยืดปลายจมูกให้โด่ง ,เรียวเล็ก ,จมูกดูยาวและสวยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติโดยการใส่ซิลิโคน , การฉีด Fillerหรือ การฉีดไขมัน ไม่สามารถทำได้  ไหมที่ฉีดเข้าไปจะมีลักษณะคล้ายโครงตาข่าย ค้ำจมูกให้ได้รูปทรงตามต้องการ ในขณะเดียวกันก็จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อจมูกขึ้นมาเพิ่มขึ้นมาด้วย
ผลที่ได้รับ
  • ยกปลายจมูกให้โด่งขึ้น เรียวแหลมขึ้นโดยไม่ต้องตัดปีกจมูก
  • แก้ไขปัญหาปลายจมูกสั้น (จมูกหมู) , เนื้อจมูกเยอะทำให้จมูกดูกลม และ  จมูกงุ้ม โดยโครงไหมจะช่วยเพิ่มปลายจมูกให้เรียวยาว ได้รูปทรงที่สวยขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดปลูกกระดูกอ่อนที่ปลายจมูก
  • ปรับสันจมูกให้เรียวเล็ก สวยงามได้รูป
  • ปรับยืดจมูกที่คด กระดูกสันจมูกไม่เรียบ ให้ดูเรียบตรงได้รูปทรงที่สวยขึ้น
เห็นผลการรักษาเมื่อไหร่
ผู้รับการรักษาสามารถเห็นผลการรักษาได้ทันที โดยไหมจะคงตัวอยู่ได้นานเฉลี่ย 6 เดือนถึง 1 ปี และจะค่อยๆสลายตัวไปตามธรรมชาติ แต่ถึงแม้ไหมจะสลายไป จมูกจะยังคงรูปทรงต่างจากก่อนการรักษาเนื่องจากมีการสร้างเนื้อจมูกขึ้นมา 30-40%







ข้อดีเสีย650.jpg (67.61 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 3)

ข้อดีเสีย650.jpg
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 17:29:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย alexandra เมื่อ 2011-4-25 11:30

Filler คืออะไร ?

Filler หรือ สาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นสารประกอบของคอลลาเจนที่มีอยู่แล้วในผิวหนังของเรา ซึ่งหลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินกันจน
ชินหูแล้วกับคำว่าคอลลาเจนแต่ก็ยังไม่รู้ชัดเจน คอลลาเจนนั้นเป็นโปรตีนสำคัญของผิว เพราะเป็นส่วนที่เปรียบได้กับสปริงของผิวหนัง
ช่วยสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ นึกถึงเวลาจับแก้มเด็กเล็ก ๆ ดู จะสัมผัสได้ทันที ถึงความใส ตึง ที่ผิวแก้ม แต่ภายหลังอายุ 20 ปี
คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลง พอสปริงไม่เด้งเหมือนเก่า ผิวหนังจึงยุบตัวลง ความเหี่ยวย่น ริ้วรอย และความชราของผิวพรรณจึงปรากฏ

การฉีด Filler

Filler (HA) ถูกนำมาฉีดเพื่อช่วยในการปรับแก้ไขรูปหน้า (ฉีดแบบเฉพาะจุด) เช่น เสริมจมูก เสริมคาง หรือเพื่อเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า
(ฉีดแบบ MesoFiller) ลดริ้วรอย ร่องลึก หรือแม้แต่การบำรุงผิวให้กลับกระชับ เปล่งปลั่ง สดใสอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า ลำคอ
หลังมือ หรือแม้กระทั่งบริเวณผิวหน้าอก และเมื่อสาร Filler นั้นเป็นสารที่ร่างกายมีอยู่แล้ว ดังนั้นการฉีดสารชนิดนี้เข้าไปในชั้นผิวหนังจึง
ไม่ก่อให้เกิดอันตราย และสามารถย่อยสลายไปเองได้ตามกระบวนการทำงานของร่างกาย

การฉีดปรับแก้ไขรูปหน้า (ฉีดแบบเฉพาะจุด)

เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับแก้ไขเฉพาะส่วน เช่น ฉีดเพื่อเสริมจมูก เสริมคาง เติมแก้มที่ตอบ เติมร่องใต้ตา
โดยผลลัพธ์การรักษาจะอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน

การฉีดแบบ MesoFiller และ Super Mesofiller

ล่าสุด Filler ได้ถูกพัฒนาขึ้น ให้ฉีดแบบเมโสเธอราปี (Mesotherapy) ซึ่งเป็นการใช้เข็มค่อยๆ ผลักตัวยาลงไปใต้ชั้นผิวทีละจุดๆ ทั่วทั้งหน้า เพื่อเติมเต็มทำให้ผิวเอิบอิ่ม กระชับผิวให้เต่งตึง และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือ หรือผิวหน้าอก นอกจากนั้นยังพบว่าการฉีด Filler สามารถทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิวหนังเราเองในบริเวณรอบๆโมเลกุลของ Filler ที่เราฉีดเข้าไป ซึ่งประสิทธิภาพคล้ายการทำ laser ยกกระชับผิวหน้า และทำให้หลุมสิวดีขึ้นได้ในบางราย โดยไม่ทิ้งรอยแผล ไม่เกิดแผลเป็น หรือรอยดำ ไม่ต้องหลบแดด ซึ่งล่าสุดนี้ MesoFiller ได้รับการค้นพบว่าสามารถช่วยในเรื่องความเหี่ยวย่นรอบดวงตาอีกด้วย ผลลัพธ์คือริ้วรอยใต้ตาที่ดีขึ้น ชุ่มชื้นขึ้นอย่างที่ไม่มีครีมชนิดใดให้ผลดีเท่านี้ ผิวรอบดวงตาของคุณจะกลับสดใสเหมือนวัยแรกรุ่นอีกครั้ง โดยผลการรักษาของการฉีดนั้นจะอยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน
ผลลัพธ์ที่ได้ : ผิวที่หย่อนคล้อยจะกระชับขึ้นชัดเจน ผิวที่แห้งกร้านจะรู้สึกชุ่มชื้นขึ้น และเนื้อผิวจะเนียนใสขึ้น ประสิทธิภาพอยู่ได้นานประมาณ 3-4 เดือน แต่สามารถฉีดซ้ำได้เพื่อบำรุงผิวทุก 1-2 เดือน ขึ้นกับสภาพผิว การบำรุงผิวจะดียิ่งขึ้น และคงประสิทธิภาพได้นานขึ้น หากได้รับการฉีดสาร ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง และสามารถทำร่วมกับ MesoWhite หรือการ Mask หน้าด้วยวิตามินเพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสร่วมด้วย

Filler Injection Pen

การฉีด Filler เทคนิคใหม่ โดยใช้เครื่องมือช่วยในการควบคุมประสิทธิภาพของการฉีดสารเติมเต็ม เพราะโดยปกตินั้น การฉีด Filler จะต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม สารที่ใช้ฉีด ซึ่งก็คือสาร Hyaluronic Acid (HA) นั้น มีความหนืดมาก ทำให้ควบคุมได้ยาก ดังนั้นการใช้เครื่องมือปากกามหัศจรรย์ตัวนี้เข้าช่วย จึงดีกว่าทั้งในด้านประสิทธิภาพ ความเที่ยงตรง แม่นยำกว่า และความเจ็บที่น้อยกว่าจนแทบไม่รู้สึก ดังนั้นการฉีดเพื่อเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึก หรือเพื่อเสริมจมูก และคาง ก็สามารถทำได้ง่าย และฉีดได้สวยงาม ราวกับผลงานศิลปะ เนื่องจากมีการควบคุมปริมาณ filler ที่ออกไปได้ดังใจ ไม่มากไม่น้อยเกินไป

และสำหรับ Mesofiller การฉีดจะมีประสิทธิภาพขึ้น ฉีดได้ละเอียดขึ้น สามารถฉีดได้ในจำนวนจุดที่มากขึ้น โดยแต่ละจุดมีขนาดพอเหมาะและเท่ากัน ทำให้ไม่เป็นก้อน และทำให้เนื้อ Filler ทั้งหมดเข้าสู่ผิวหน้า โดยไม่สูญเสียปริมาณ Filler อย่างไม่จำเป็น
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 17:35:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
โบท็อกซ์ คืออะไร ?
    คำว่า “โบท็อกซ์ (Botox?) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของสารชีวภาพชนิดหนึ่งคือ โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งถ้าใครไปค้นคำว่า “โบทูลินัม” ดู ก็จะพบว่าเป็นชื่อของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งคือ คลอสทริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์
    คำว่า “ท็อกซิน” นั้นแปลตรงตัวว่า “สารพิษ” แต่ว่าคำนี้เป็นคำกลางๆ นะคะ กล่าวคือ อาจจะเป็นสารพิษต่อมนุษย์หรือไม่ก็ได้ เช่น สารพิษบางอย่างเป็นพิษต่อแมลงบางชนิด แต่ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ ในกรณีนี้ก็เรียกสารดังกล่าวว่า “ท็อกซิน” ได้เช่นเดียวกัน ส่วนคำว่า “เอ” นั้นระบุว่า ท็อกซินชนิดนี้เป็นหนึ่งในท็อกซินที่สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ผลิตได้ (มีทั้งหมด 7 ชนิด)
จะขออนุญาตเรียกว่า “ท็อกซิน” ทับศัพท์ไป แทนที่จะใช้ว่า “สารพิษ” หรือ “ชีวพิษ” (ตามการบัญญัติศัพท์ของราชบัณฑิตยสถาน) เพราะต้องการหลีกเลี่ยงความหมายที่เหลื่อมล้ำกันเล็กน้อยสำหรับคำในภาษาอังกฤษและไทยนะคะ
สรุปง่ายๆ เสียตรงนี้ก่อนว่า โบท็อกซ์นั้นมีที่มาจากท็อกซิน ที่พบในแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษในมนุษย์นั่นเอง

    ท็อกซินชนิดนี้พบตามธรรมชาติตั้งแต่ปี 1817 โดยนายแพทย์ชาวเยอรมันชื่อ จัสทินัส เคอร์เนอร์ (Justinus Kerner) ท็อกซินชนิดนี้มีอันตรายไม่น้อย คือ อาจมีความรุนแรง ถึงขนาดทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาต หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว เนื่องจากท็อกซินดังกล่าว จะออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ชนิดหนึ่ง คืออะซีทิลโคลีน (acetylcholine)ได้ มีผลทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจหดตัวได้ ซึ่งในผู้ป่วยรายที่เสียชีวิต สาเหตุส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากว่า กล้ามเนื้อหน้าอกซึ่งเกี่ยวข้องกับการหายใจ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ นั่นเอง
บางคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วสินะครับว่า ถ้าการมีท็อกซินดังกล่าวมีอันตรายเช่นนั้นแล้ว ทำไมยังจะมีคนต้องการฉีด “โบท็อกซ์” อยู่อีก หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะสงสัยว่า ก็แล้ว “โบท็อกซ์” มาเกี่ยวข้องกับการลบรอยเหี่ยวย่นได้อย่างไร คำตอบเรื่องนี้ง่ายนิดเดียวนั่นก็คือ …
   การที่กล้ามเนื้อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ (หรือเป็นอัมพาตไป) ก็จะมีผลข้างเคียงสำคัญคือ มันจะไม่สามารถทำให้เกิด “รอยเหี่ยวย่น” ได้นั่นเอง

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 17:38:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย alexandra เมื่อ 2011-4-25 11:40

     ในระยะแรกของการนำ “โบท็อกซ์” มาใช้งานนั้น จุดประสงค์หลักๆ ก็คือ เพื่อใช้สำหรับรักษาอาการกระตุกของกล้ามเนื้อตา อาการตาเหล่หรือตาเข ตลอดไปจนถึงอาการปวดตึง ผิดธรรมดาของกล้ามเนื้อคอ   โดยมีการอนุญาตให้ใช้ได้ในประเทศสหรัฐฯ มาตั้งแต่ปี 2532
    แต่เรื่องของการฉีดโบท็อกซ์มาฮือฮากันจริงๆ ก็ตอนที่องค์การอาหารและยา สหรัฐฯ หรือที่นิยมเรียกกันย่อๆ       ว่า เอฟดีเอ (FDA, Food and Drug Administration) อนุมัติให้ใช้ “โบท็อกซ์” เพื่อประโยชน์ในอุตสาหกรรมความงามในเดือนเมษายน 2545 เพราะฉะนั้น ใครไปฉีดโบท็อกซ์กันมาก่อนหน้านั้น ก็ควรจะรับทราบกันไว้ด้วยว่า เป็นการทำศัลยกรรมแบบผิดกฎหมายนะครับ เนื่องจากไม่มีหน่วยงานไหนในโลก รับรองความปลอดภัยให้นะครับ ส่วนของประเทศไทยนั้น องค์การอาหารและยา (หรือ อย.) อนุญาตให้ใช้ได้หรือไม่ ผมยังค้นข้อมูลแบบเป็นทางการไม่พบนะครับ ถ้าใครพอทราบช่วยบอกให้ทราบด้วยนะ
      ประเด็นที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งก็คือ การฉีดโบท็อกซ์นั้นจะเห็นผลได้เร็วมากคือ อาจจะเพียงไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึง 2-3 วันภายหลังจากการฉีด แต่ผลจากการฉีดจะไม่คงอยู่อย่างถาวรนะครับคือ มีรายงานว่าจะอยู่ได้ราว 3-6 เดือน (อาจนานได้ถึง 8 เดือน) หากต้องการลบรอยย่นอีก ก็ต้องฉีดซ้ำอีก โดยจะต้องเป็นการฉีดโดยตรง ที่กล้ามเนื้อบริเวณนั้นๆ เพื่อลดความเสี่ยง จากการแพร่กระจายของท็อกซิน ที่อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน
       การดื่มแอลกอฮอล์อาจจะมีผลทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้ไม่ดี หรืออาจแย่ไปกว่านั้นอีกก็คือ ทำให้เกิดรอยแผล บริเวณตำแหน่งที่ฉีดโบท็อกซ์ได้อีกด้วย แต่คำเตือนที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นที่ FDA เตือนไว้เช่นกันก็คือ ในระหว่างการฉีดโบท็อกซ์ อาจเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้เสมอ (มักจะเกิดกับคนไข้ราว 3-10 เปอร์เซ็นต์) จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแล อย่างใกล้ชิดของแพทย์ และต้องทำการฉีดในสถานที่ซึ่งมีเครื่องมือ พร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉินได้

       ผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์นั้น มีหลายรูปแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอาการเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ปวดศีรษะ คลื่นไส้ คัน เจ็บคอ มีไข้ มีอาการคล้ายเป็นหวัด ไปจนถึงเกิดอาการเจ็บปวดและเกิดแผลช้ำบริเวณที่ฉีด เกิดอาการกล้ามเนื้อเปลือกตาหย่อน กล้ามเนื้ออ่อนแรง และเกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบน
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดนั้น การฉีดโบท็อกซ์ที่ผิดขนาดไปมากๆ อาจทำให้คนไข้เสียชีวิตได้เช่นกัน

      
คุณแพมนี่สวยด้วยเก่งด้วยนะค่ะ...
พิมยังตามมาอิจฉาอยู่ค่ะ..อิอิ

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 17:41:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอบกระทู้ พิม123 ตั้งกระทู้

ขอบคุณค่ะ เอาเนื้อหามาเเป๊ะรวมกันดีกว่าเน๊าะจะได้เปรียบเทียบได้ง่ายดีค่ะ
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 17:46:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
     ในเอกสารการวิจัยทางการแพทย์ก็มีระบุว่า ผู้ที่ฉีดโบท็อกซ์บ่อยๆ นั้นมีผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึงอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีใบหน้าที่ “ดูคล้ายหน้ากาก” คือ   แลดูไม่มีอารมณ์ ความรู้สึกมากขึ้นทุกที   ซึ่งก็คล้ายกับอาการ ที่พบในผู้ป่วยที่โดนพิษโบท็อกซ์ ตามธรรมชาติบางราย ที่เป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อใบหน้าบางส่วน เนื่องจากโบท็อกซ์ อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ง่ายและได้มาก การควบคุมปริมาณหรือโดส (dose) ของโบท็อกซ์ให้ถูกต้องเหมาะสม จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
     จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า แม้ว่าเรื่องของโบท็อกซ์นั้น จะมีข้อมูลพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์รองรับอยู่จริง และไม่ได้เป็น “วิทยาศาสตร์เทียม” ด้วยตัวของมันเองก็ตามที   แต่ก็น่าสนใจไม่น้อยว่า   การที่เริ่มต้นจากเจตนาดีที่ต้องการนำ   โบท็อกซ์มาใช้ในการรักษาโรค
แต่ต่อมาก็เกิดเลยเถิดมาเป็นเรื่องของการทำศัลยกรรมความงามไปเสีย
    ตัวความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ได้มีความดีหรือความเลว โดยตัวของมันเอง แต่ขึ้นอยู่กับ “ผู้นำไปใช้” และ “จุดประสงค์ของการนำไปใช้” มากกว่า ว่าเป็นไป “เพื่อประโยชน์” หรือ “เพื่อผลประโยชน์”
     แหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์
สำหรับท่านที่สนใจข้อมูลเกี่ยวกับโบท็อกซ์หรือมาตรฐานเกี่ยวกับอาหารและยาชนิดต่างๆสามารถหาความรู้ได้จากเว็บไซต์ของ FDA ที่ http://www.fda.gov/ อีกเว็บไซต์หนึ่งที่ให้ข้อมูลอย่างละเอียดละออเกี่ยวกับโบท็อกซ์และเรื่องอื่นๆ ทางการแพทย์ได้แก่ http://www.emedicine.com/

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 18:00:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คอลลาเจน

ผู้ผลิตสินค้าคอลลาเจนให้ข้อมูล (และโฆษณา) โปรตีนแห่งความงามที่ว่านี้ ว่า
"คอลลาเจน'' เป็นโปรตีนสำคัญของผิวหนัง เพราะเป็นส่วนสปริงของผิวหนัง ในการสร้างความตึงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้"
"คอลลาเจนมีปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย คอลลาเจนใต้ผิวหนังของเรา จะอยู่ในผิวหนังชั้นหนังแท้ คอลลาเจนทำหน้าที่เสริมความเรียบตึงของผิวหนัง ทำให้ผิวแข็งแรง และเรียบเนียน"
"น่าเสียดายที่ภายหลังอายุ 20 ปี คอลลาเจนโปรตีนจะเสื่อมสภาพลง ทำให้ชั้นผิวหนังมีการยุบตัวลง ต้นเหตุของความเหี่ยวย่น ริ้วรอย และความชราของผิวพรรณ"
"มีการนำสารสกัดโปรตีนจากปลาทะเลบางประเภท ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้างของคอลลาเจนของผิวคน โดยวิธีการ (Enzymatic Hydrolysis) ,มาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แล้วพบว่าภายหลังการรับประทานไประยะหนึ่ง จะสามารถช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน"
สรุป คือ คอลลาเจนเป็นโปรตีนในผิวหนังที่ทำให้ผิวเต่งตึง เมื่ออายุมากคอลลาเจนจะเสื่อม ดังนั้นควรบริโภคคอลลาเจนเข้าไปทดแทน ข้อมูลนี้เป็นความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น
     เป็นเรื่องจริงที่คอลลาเจนเป็นองค์ประกอบหลักของผิวหนัง เป็นโปรตีนที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะคอลลาเจนไม่เพียงเป็นองค์ประกอบของผิวหนังเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ทุกๆ เซลล์ในร่างกายไว้ด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นเนื้อเยื่อ เป็นอวัยวะ และร่างกายที่สมบูรณ์ขึ้นมาได้ คอลลาเจนจึงมีปริมาณถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย เพราะเป็นโครงสร้างในส่วนที่ยืดหยุ่นของร่างกาย
     collagen เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง คือ scleroprotein ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) โดยจะอยู่ในรูปของ fiber ที่ประกอบด้วย peptide chain (สายไขมัน) 3 สายที่เรียกว่า triple helix โดยจะถูกสร้างโดย fibroblast มีคุณสมบัติทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประสิทธิภาพความยืดหยุ่นของคอลลาเจนจะเสียไป โดย พบว่าคอลลาเจนจะเหนียวมากขึ้นและอุ้มน้ำได้น้อยลง จึงทำให้ผิวหน้าแห้งได้ง่าย
การฉีดคอลลาเจน เพื่อนำมาแก้ปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่น ได้มีการนำมาใช้ในระยะ 20 กว่าปีที่ผ่านมา (ค.ศ.1981) อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะด้านศัลยกรรมตกแต่ง
       การเติมสารคอลลาเจน อาจทำให้เกิดปฏิกริยาต่อผิวหนังได้ 3 ลักษณะดังนี้
1. ปฎิกริยาจากการชอกช้ำ (Trauma) ซึ่งเป็นผลจากการแทงเข็ม และดันสารคอลลาเจนเข้าไป โดยจะพบเป็นรอยแดง หรือฟกช้ำ ซึ่งอาจหายได้เอง ภายใน 1-7 วัน
2. ปฏิกริยาจากการแพ้ เนื่องจากสารคอลลาเจนเป็นสารแปลกปลอม แม้จะได้ทำการสังเคราะห์ลดปฎิกริยาการแพ้แล้ว ก็อาจมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ดังนั้นก่อนทำการฉีด แพทย์ส่วนใหญ่จะทำการทดสอบการแพ้ โดยลองฉีดสารคอลลาเจนเข้าที่บริเวณท้องแขน แล้วรอแปลผล ประมาณ 4 สัปดาห์ว่าบริเวณที่ฉีดมีอาการแพ้ แล้วเกิดบวมแดง หรือบวมนูน ถ้าไม่พบรอยดังกล่าวก็น่าจะฉีดได้ นอกจากนี้ อาการแพ้อาจเกิดกับร่างกายบริเวณอื่น เช่น ไขข้ออักเสบ กล้ามเนื้ออักเสบ เป็นต้น
3. ปฏิกริยาจากการฉีด มักเกิดจากการฉีดที่ไม่ชำนาญ โดยอาจฉีดตื้น หรือ ปริมาณมากเกินไป ทำให้เกิดเป็นตุ่นนูนเรื้อรัง หรืออาการติดเชื้อบวมแดง
       ข้อจำกัดในการฉีดสารคอลลาเจน ได้แก่
1. มีอาการแพ้ได้บ้าง (ประมาณ 1-4 %)
2. ไม่คงตัวถาวร ต้องฉีดซ้ำ ภายใน 6-8 เดือน
3. ริ้วรอยที่มีขนาดเล็ก อาจทำให้เห็นเป็นรอยนูน เนื่องจากปริมาณที่ฉีดไม่พอดีกับรอยร่องหลุม
4. ตำแหน่งที่ฉีดแต่ละแห่ง อาจมีวิธีฉีดแตกต่างกัน ทั้งปริมาณ ตำแหน่งของเข็มที่ปักลงไป ชนิดของคอลลาเจน เพื่อผลการรักษาที่แตกต่าง
     
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 18:00:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สิ่งที่ควรรู้ก่อนการฉีดคอลาเจน
การฉีดคอลลาเจนไม่ได้ช่วยลบริ้วรอยแผลเป็นใดๆ เพียงแต่ทำให้แผลตื้นขึ้น  ดูดีขึ้น
การฉีดคอลลาเจนในรายที่ผิวหนังเหี่ยวย่น ( Aging face ) ไม่สามารถทดแทนการผ่าตัดดึงหน้าได้ ( Facelift )
คอลลาเจนที่ฉีดเข้าไปจะสลายตัวหมดภายใน 6 - 24 เดือน
3 % ของคนที่ฉีดคอลลาเจนจะเกิดอาการแพ้ ดังนั้นท่านจะต้องทำการทดสอบผิวหนังก่อนการฉีดคอลลาเจน ประมาณ 1 เดือน จึงจะแปลผลได้ว่าท่านแพ้คอลลาเจนหรือไม่
Collagen คืออะไร
เป็น โปรตีนชนิดหนึ่งของร่างกาย สามารถพบได้ทุกส่วนของร่างกาย ทำหน้าที่เสมือนกาวยึดโครงสร้างต่างๆเข้าด้วยกัน และยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นเลือดและเนื้อเยื่อ
โครงสร้าง Collagen ของคนและสัตว์มีความใกล้เคียงกัน จึงได้นำ collagen ของสัตว์มาใช้ในคน
องค์การอาหารและยาของสหรัฐได้รับรองการใช้ collagen มาแก้ไขรอยย่นหรือแผลเป็นของผิวหนัง
      ข้อบ่งชี้ในการฉีด Collagen
แผลเป็นจากสิว
แผลเป็นจากอุบัติเหตุ
ผิวย่นจากอายุมาก
รอยตีนก
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 18:03:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ข้อห้ามในการฉีด

  • แพ้สาร Collagen
  • แพ้ยาชา
  • ตั้งครรภ์
  • โรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันธ์เช่น  dermatomyocitis

การเลือกชนิดของสารที่จะใช้ฉีดการเลือกของสารที่จะฉีดขึ้นกับความลึกของแผลเป็น ซึ่งจะใช้ไม่เหมือนกัน
  • แผลตื้นๆให้ใช้สาร Collagen, hyaluronic acid polymers
  • แผลลึก ไขมันFat, สารสังเคราะห์ synthetic materials, ซิลืโคน silicone, implants, or permanent fillers
ความเสี่ยงของการฉีด Collagen
  • แพ้ยาชาที่เป็นส่วนผสมของ collagen
  • แพ้สาร collagen โดยเฉพาะที่ได้จากสัตว์
  • ผื่นแดง
  • บวมและเขียวบริเวณที่ฉีด
  • คันบริเวณที่ฉีด
  • ก้อนใต้ผิวหนัง
  • ฝีบริเวณที่ฉีด




11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 18:06:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย alexandra เมื่อ 2011-4-25 12:08

ชนิดของ Collagen

เราสามารถแบ่งสาร Collagen ที่นำมาฉีดได้เป็นชนิดดังนี้
1.    Collagen ที่เตรียมจากสัตว์หรือที่เรียกว่า Bovine collagen เช่น Zyderm I and II, Zyplast, Resoplast
2.    Human collagen เป็น collagen ที่ได้จากคนแบ่งออกเป็นสองชนิดคือ
Allogeneic เป็นcollagen ที่ได้จากคนอื่นเช่น Dermalogen, AlloDerm, Fascian, Cymetra สารพวกนี้อาจจะก่อให้เกิดแพ้
Autologous collagen เป็นcollagen ที่เตรียมจากตัวผู้ป่วยเอง จะไม่เกิดอาการแพ้
Zyderm and Zyplast collagen
เป็น collagen ที่เตรียมจากสัตว์และเป็นสารตัวแรกที่องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 20 ปีก่อน ยาจะเตรียมอยู่ใน syringe ขนาด 1 ลบ.ซซ
และผสมยาชาด้วยแบ่งออกเป็น 3 ชนิด
Zyderm I collagen ประกอบด้วย collagen 25%หลังฉีดจะอยู่ได้นาน 6-10 เดือนเหมาะสำหรับแผลตื้นๆ
Zyderm II มีส่วนประกอบของ collagen  มากกว่าชนิดแรก เหมาะสำหรับแผลที่ใหญ่และอยู่ได้นานกว่า
Zyplast ใช้กับแผลที่ลึกและใหญ่และสามารอยู่ได้นานกว่า

ข้อ เสียของการฉีดสารกลุ่มนี้ได้แก่ต้องฉีดบ่อย และอาจจะเกิดการแพ้ได้ แต่ไม่มาก การทดสอบว่าแพ้ต่อสารที่ฉีดจะช่วยให้ลดอาการแพ้โดยการฉีดเข้าที่ท้องแขนก่อน การฉีดจริง 4 สัปดาห์ ผู้ป่วยร้อยละ 97 จะไม่แพ้
Fibrel

เป็นสารที่เตรียมจากสารสามชนิดคือ gelatin, amino caproic acid, และ plasma เมื่อฉีดเข้าไปใต้แผลเป็นจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารcollagen แต่ปัจจุบันไม่ต้องใช้plasma เป็นส่วนผสมทำให้ผลการรักษาอยู่ได้ถึง 5 ปี ผลข้างเคียงของการฉีดคือจะมีอาการอักเสบบริเวณที่ฉีดยา
Artecoll
เป็นสารที่ทำมาจากสารสังเคราะห์ polymethyl methacrylate microspheres (PMMA) ละลายใน collagen เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนังสาร collagen จะถูกดูดซึมเหลือแต่สารPMMA ซึ่งจะอยู่ที่แผลเป็น

Hylan B gel
เป็นสาร Hyluronic acid ที่เตรียมได้จากสัตว์ปีกจะมีคุณสมบัติใกล้เคียงของคนทำให้ไม่ต้องทดสอบผิวหนังก่อนฉีด จะต้องฉีด 2-3 ครั้งและผลของการฉีดอยู่ได้ 9-12 เดือน ผลข้างเคียงมีน้อย อาจจะมีผื่นแดง ผื่นแพ้
Resoplast
เป็นสาร collagen ที่เตรียมจากวัวมีความเข้มข้นสองขนาดคือ 3.5 และ6.5%จะใช้เหมือน Zyderm I และ Zyderm II จะต้องทดสอบผิวหนังก่อนการฉีด หากแพ้ Zyderm ก็ไม่สามารถฉีดสารตัวนี้
Autologen
เป็นcollagen ที่ได้จากตัวคนไข้เองผลดีจากการใช้ของตัวเองคือไม่แพ้ และอยู่ได้นานพบว่าร้อย75ผลการรักษาอยู่ได้เกิน 1 ปี
Isolagen
เป็นการนำผิวหนังของผู้ป่วยไปสกัดเอาและเพาะเลี้ยงเอา collagen แล้วนำมาฉีดให้ผู้ป่วยดังนั้นจึงจะมี collagen ของผู้ป่วยสำหรับการฉีดครั้งต่อไป เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อตัวเองจึงไม่เกิดอาการแพ้
Dermalogen
เป็น collagen ที่เตรียมได้จากคนซึ่งเก็บไว้ในธนาคารเนื้อเยื่อ ซึ่งผ่านการฆ่าเชื้อหลายขั้นตอนจนกระทั่งไม่มีเชื้อไวรัสหรือโรควัวบ้า ประกอบไปด้วย collagen และ ส่วนประกอบนำไปเก็บไว้ เนื่องจากไม่มียาชาผสมก่อนการฉีดอาจจะต้องใช้ครีมยาชาทาก่อน หลังจากฉีดร่างกายจะมีการสร้างเส้นเลือดไปเหล่าเลี้ยงและสร้าง collagen ขึ้นใหม่ อาจจะต้องฉีด 2-3 ครั้งเพื่อให้ผลที่ดี
Alloderm
เป็นการนำเนื้อเยื่อผิวหนังขนาด 1-2 มม สอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อให้เนื้อเยื่อนี้เจริญเป็น collagen ผลการรักษาได้ผลดีและอยู่ได้นาน

12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2011-4-25 22:44:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

รูปเเบบสารคอลลาเจน

     


รูปเเบบสารโบท๊อกซ์
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้