ดู: 21979|ตอบกลับ: 103
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

[โปรทัวร์ศัลยกรรมเกาหลี] ข้อมูลศัลยกรรมเกาหลี

[คัดลอกลิงก์]
โดนขอร้อง แกมบังคับ ฮ่าฮ่า จากแอดมินของซิลิโคนคลับให้เขียนเรื่องศัลยกรรมของเกาหลี เนื่องจากวันดีคืนดีคุยๆกันอยู่ว่าอยากไปเกาหลี ก็เลยเล่าให้ฟังว่าอ้อเรารู้ๆว่าแถวไหนดี ทีนี้เขาเลยเห็นว่ามีข้อมูลเยอะน่าจะแบ่งปันในเวบบ้าง อีกอย่างเจ้าของเวบใจดีมากๆที่ช่วยแนะนำเรื่องคางให้เพื่อนเรา ไงบุญคุณนี้ต้องชำระ ค่ะ อิอิ


ข้อมูลเหล่านี้ เราสะสมมาเป็นปีแล้วละค่ะ เริ่มตั้งแต่ที่คิดว่าตัวเองแก้มใหญ่บ้าง หน้าใหญ่บ้าง แล้วเมื่อก่อนเวลาหาในเวบไทยทีไรก็ไม่ค่อยมีข้อมูลพวกนี้เท่าไร จึงตัดสินใจทำ research ตามเวบเมืองนอก สะสมมาเรื่อยๆ มาเผยกันวันนี้ในเวบนี้หมดเปลือก อิอิ หมดตัวเลยค่ะไม่มีการกั๊กใดๆทั้งสิ้น ส่วนรูปจริงๆแล้วอยากเอามาลงเยอะๆแต่เกรงเวบไซต์จะล่มซะก่อน ไงก็กดคลิ้กลิ้งไปตามคลีนิคต่างๆได้เลยนะค่ะจะมีรูปตัวอย่างย่อยๆมากมาย ความคิดในบทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัว โปรดใช้วิจารณาณในการอ่านนะค่ะ ผิดพลาดประการใดก็แนะนำติชมกันได้ค่ะ

ราคาที่เขียนเป็นราคาโดยคร่าวๆ ที่สืบทราบมาจากคนไข้ที่เคยไปทำแต่ราคาในแต่ละเคสนั้นไม่แน่นอนตายตัวแล้ว แต่ความยากง่าย ถ้าสนใจคงต้องสอบถามกับทางคลีนิคได้เลยค่ะ

1 USD ประมาณ 32 บาท เป็นอัตราแลกเปลี่ยนของวันนี้ค่ะ ยังไงก็อาจจะมีขึ้นมีลงเรื่อยๆ ทุกวันนะค่ะ

ถ้าใครได้มาอ่านแล้วสนใจบทความนี้ รบกวนให้เครดิตผู้เขียนหน่อยนะค่ะ เพราะกว่าจะเก็บรวบรวมข้อมูล แปลศัพท์ทางแพทย์มาเนี่ยก็ใช้เวลาเหมือนกันค่ะ ขอบคุณนะค่ะ


ในประเทศเกาหลีนั้น การศัลยกรรมนับว่าเป็นเรื่องธรรมดา ว่ากันว่าถ้าเรานั่งรถไปลงที่ถนนชื่อดังย่านนึง จะมีร้านคลีนิคศัลยกรรมตั้งเรียงกันเป็นว่าเล่น อย่างกับร้านกาแฟเลยละค่ะ ขนาดขึ้นรถไฟที่นั่น เหลือบไปเห็นป้านโฆษณาบนรถไฟ ยังต้องมีโฆษณาคลีนิคศัลยกรรมอยู่ด้วยเลย) มีคนไทยหลายๆท่านให้ความสนใจเกี่ยวกับการศัลยกรรมของประเทศเกาหลี อีกทั้งยังมีเอเย่นเปิดโครงการศัลยกรรมที่เกาหลีเป็นเรื่องเป็นราว ดังนั้นจงขอพูดถึงการทำศัลยกรรมใบหน้าของเกาหลีที่กำลังนิยมอยู่ในตอนนี้ ว่าทำไมถึงได้ดัง คนหลายๆประเทศถึงบินไป และทำไมหลายๆคนจึงไปแบบผ่านเอเย่น
เนื่องจากประเทศเกาหลีนั้นเป็นประเทศชาตินิยม คนเกาหลีหลายๆคนไม่สามารถหรืออาจจะสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้บ้างเล็กน้อย (แน่นอนค่ะมีเด็กๆน้องๆรุ่นใหม่ที่เรียนโรงเรียนสอนภาษา ไปโตเมืองนอก อีกเยอะแยะที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แต่คนเหล่านี้ก็มักจะไม่ได้ทำงานในคลีนิคศัลยกรรมซะด้วยสิ)
ในบางคลีนิคนั้นก็จะมีล่ามภาษาอังกฤษประจำอยู่บ้าง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนต่างชาติ แต่ในบางคลีนิคที่เป็นที่นิยมของคนเกาหลีเอง การที่เราจะเดินดุ่มๆเข้าไปแล้วไปคุยกับหมอ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ

ทางประเทศญี่ปุ่นเองเดี๋ยวนี้กำลังนิยมไปทำศัลยกรรมความงามที่เกาหลีกันมาก มีบริษัทนำเที่ยวที่พร้อมที่จะนำนักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นไปเกาหลีทั้งพา เที่ยวและศัลยกรรมพร้อมๆกัน มีบริการส่วนลดให้กับลูกค้าพร้อมกับมี contact กับหลายๆคลีนิคที่เกาหลีค่ะ รวมถึงการดูแลที่เยี่ยมยอดทั้งก่อนและหลังทำ การเฝ้าติดตามจนเราบินกลับประเทศ ซึ่งก็ค่อนข้างแพงสำหรับบางคน ดังนั้นในกระทู้นี้จึงอยากให้ข้อมูลสำหรับบางท่านที่สนใจ และอยากเปรียบเทียบว่ามันดีหรือต่างจากเมืองไทยอย่างไร คุ้มค่ากับการบินไปทำไหม
ว่ากันว่าที่เกาหลีนั้นมีถนนที่ผู้คนเรียกกันว่า Cosmetic Surgery Street เป็นย่านที่มีคลีนิคศัลยกรรมตั้งอยู่เยอะมาก ยังกับร้านกาแฟเลยละค่ะ การเดินทางนั้นก็ประมาณ 40 นาทีจากสนามบินแห่งชาติเกาหลี(Incheon International Airport) หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไฟไปอีกหน่อยประมาณ 20 นาทีกว่าๆก็จะถึง Kangnam เป็นแหล่งศัลยกรรมที่่านี่ละค่ะ
เนื่องจากที่พักที่เกาหลีที่ใกล้ๆย่านศํลยกรรมนั้นก็จะมีตั้งแต่ 50 USD ขึ้นไป ซึ่งเป็นโรงแรมระดับธรรมดาๆ ไม่แพงมาก ถ้าจะเอาถูกๆหน่อยก็ต้องนั่งรถไปไกลนิดนึง
ต่อมาจะขอกล่าวถึงรายการศัลยกรรมต่างๆที่นิยมๆกันนะค่ะ
- ศัลยกรรมตา
- ศัลยกรรมจมูก
- ศัลยกรรมลดโหนกแก้ม (Zygoma Reduction)
- ศัลยกรรมเสริมหน้าผาก
- ศัลยกรรมลดกราม (Jaw (Mandible) Reduction)
- การลดน่อง (Calf Reduction)
- การศัลยกรรมเต้านม และอื่นๆ

double_eyelid_surgery.jpg (38.73 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 10)

double_eyelid_surgery.jpg

B4AfterEyesSurgeryPtosis.jpg (25.26 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 4)

B4AfterEyesSurgeryPtosis.jpg
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:42:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ถ้าจะกล่าวถึงการศัลยกรรมในบ้านเราจริงๆแล้วก็ก้าวหน้าไปไกลไม่แพ้เกาหลี เช่นกัน มีหมอชื่อดังหลายท่านที่เชี่ยวชาญในการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อความสวยงาม ด้วยเทคนิคและวิธีที่ทันสมัยไม่แพ้เกาหลี แต่ถ้าจะพูดถึงความแตกต่างในแต่ละด้านของการศัลยกรรมระหว่างไทยกับเกาหลี นั้น ขอยกเป็นข้อๆดังนี้ค่ะ
ในการศัลยกรรมตาของ ไทยและเกาหลีนั้น หลักๆก็จะคล้ายคลึงกัน คือเป็นการศัลยกรรมที่ทำให้ตาโตขึ้น มีตาสองชั้นคมขึ้น ทางฝั่งเกาหลีนั้นจะมีกรรมวิธีหลากหลายประเภท ทั้งแบบ มีรอยแผลเป็นและไม่มีรอย
ในแบบไม่มีรอยตะเข็บนั้นเหมาะสำหรับผู้ที่ มีหนังตาค่อนข้างบาง ไขมันน้อย และผิวหนังชั้นตาค่อนข้างเต่งตึงสักหน่อย ในเทคนิคแบบนี้นั้นจะมีแผลเป็นแต่น้อยมากและจะค่อยๆหายไปเอง
แบบมีรอยนั้น เหมาะสำหรับคนที่มีหนังตาหนา ไขมันเยอะ หรือเนื้อค่อนข้างหย่อน
ในการเย็บแบบมีรอยก็แบ่งเป็นหลักๆได้สอง แบบ
แบบแรกเรียกว่า Dynamic Fixation เป็นการเย็บชั้นตาลงไปไม่ลึกมากกับโครงสร้างของหนังตา เช่น กล้ามเนื้อตา ผลที่ได้ก็คือแผลเป็นนั้นเรียบและสม่ำเสมอ เพราะการเย็บไม่ลึกมาก และยืดหยุ่นเคลื่อนที่ได้เวลาหลับตาจึงดูเป็นธรรมชาติ
ข้อเสียก็คือ ยากที่จะทำให้ชั้นตาเท่ากัน เนื่องจากการเป็นการเย็บที่ไม่ลึกมาก บนโครงสร้างที่เคลื่อนที่ตลอดเวลาจึงกำหนดความสูงของรอยเย็บให้เท่ากันยาก
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:45:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จากรูป รอยแผลเป้นจากการเย็บแบบ dynamic น้อยแทบไม่สังเกตุเห็น
ดังนั้นวิธีนี้จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์และเทคนิคชั้นสูงในการเย็บ แนะนำวิธีนี้สำหรับตาคนเอเชีย
ต่อมาคือแบบ Static Fixation เป็นการเย็บผิวหนังลงไปลึกผลก็คือเกิดรอยแผลไม่เรียบ
javascript:;
javascript:;

Eyelid_Pt5.jpg (16.37 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 6)

Eyelid_Pt5.jpg

B_scar3.jpg (6.17 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 8)

B_scar3.jpg
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:45:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จากรูปรอยแผลเป็นจากการเย็บแบบ static
ข้อดีก็คือ ง่ายต่อการทำให้ชั้นตาเท่ากัน (วิธีนี้หมอไทยบางท่านก็ยังใช้วิธีนี้กันอยู่ เพราะง่ายและสะดวกและหมอสมัยก่อนๆก็เช่นกัน)

ทีนี้คำถามก็คือ ทำไมทำตาที่เกาหลีจึงดีกว่าที่อื่น เทคนิคเขาดีกว่าหรืออย่างไร
- การทำตานั้น ถ้ารอยพับตาถูกเย็บในชั้นบางๆและตื้นๆ ผลก็คือรอยแผลจะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแต่น้อยมาก (หมอเกาหลีมักจะเน้นเทคนิคไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น) หมอไทยก็มีเช่นกันค่ะ อันนี้ต้องหาข้อมูลกันในเวบซิลิโคนคลับนี้ละค่ะ
- การฉีดยาชา ถ้าฉีดยาชาอย่างช้าๆด้วยเข็มบางๆ จะไม่เจ็บและการบวมหลังจากนั้นจะน้อยลงไปตามลำดับ(ซึ่งเกาหลีจะเน้นเรื่อง การลดบวมจากการผ่าตัดมาก เนื่องจากลูกค้าหลายๆคนเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ และต้องเดินทางกลับประเทศหลังผ่าตัด จึงไม่อยากให้เกิดปัญหาหน้ากับพาสปอร์ตไม่เหมือนกัน เท่าไร )
- รอยเย็บ ถ้าเย็บให้ถูกมุม การกระทบและบาดเจ็บของเนื้อเยื่อจะเกิดน้อยที่สุด เลือดก็จะออกไม่มาก ผลก็คือแผลหายเร็วมีรอยแผลเป็นน้อยที่สุด
การศัลยกรรมเปิดหัวตา(Medial Epicanthoplasty)
เป็นการศัลยกรรมเพื่อกำจัดรอยพับแบบมองโกเลีย (มันคล้ายๆกับรอบพับที่แบบมองๆไปแล้วเหมือนคนๆนั้นง่วงนอนค่ะ ที่พับลงมาครึ่งตา)ซึ่งเป็นรอยพับตรงหัวตาซึ่งทำให้ตาดูห่างๆและเล็กเหมือ นบูกอัลมอนด์
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:46:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
javascript:;

1.jpg (19.96 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 9)

1.jpg
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:47:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จากรูป การเปิดหัวตาพร้อมกับทำตาสองชั้น
ผลที่ได้จากการเปิดหัวตาก็คือ
- ตามองดูใกล้กันมากขึ้น
- เปิดตาให้กว้างขึ้น กำจัดรอยพับแบบมองโกเลีย ทำให้ตาสดใจไม่เหมือนคนง่วงนอน
- ทำให้ตาดูอ่อนโยนลง
เขาใช้เทคนิคที่เรียกว่า Epicanthoplasty : เป็นเทคนิคที่ใช้กันมานานกว่าสิบปี เป็นการสร้างรอยพับใหม่ให้หัวตาทำให้ตาเปิดกว้างขึ้นค่ะ (อันนี้หมอไทยก็ทำกันหลายๆท่านค่ะ)
อีกทั้งยังมีการแก้ตา การกำจัดถุงใต้ตา การเพิ่มไขมันใต้ตา การกำจัดรอยคล้ำใต้ตา ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ก็คล้ายๆกับหมอศัลยกรรมเมืองไทย ดังนั้นขอไม่กล่าวถึงนะค่ะ
ส่วนสนนราคาการทำศัลยกรรมตาที่เกาหลีก็หลากหลาย ตั้งแต่ 2500 USD ขึ้นไป ไม่รวมค่าเดินทางค่าห้องพัก
การศัลยกรรมตานั้นระยะพักฟื้นแค่ สามถึงสี่วันก็ถือว่าสามารถเดินออกไปข้างนอกชอบปิ้งได้แล้วละค่ะ
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:48:05 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สำหรับคลีนิคไหนที่มีชื่อด้านการทำศัลยกรรมตานั้น เห็นเขาว่าๆกันว่าคลีนิคมิโกะค่อนข้างเชี่ยวชาญค่ะ (ถ้าใครมีความสามารถด้านภาษาเกาหลีหรือจีน สามารถเดินเข้าไปดูตามคลีนิคได้เลยค่ะ) ทางคลีนิคไม่มีเวบไซต์ภาษาอังกฤษค่ะ แต่มีล่ามภาษาอังกฤษและแมนดาริน พนักงานคนอื่นส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ได้เลยค่ะ ดูลิ้งทำตาของมิโกละกันนะค่ะ www.migoclinic.com/c_eye/eye8.asp เดี่ยวจะหาลิ้งคลีนิคศัลยกรรมอื่นๆมาฝากตอนท้ายบทความด้วยค่ะ (แต่ยังไงถ้าสนใจก็อยากให้ไปศึกษารายละเอียดกันอีกรอบนะค่ะเพื่อความมั่นใจ)
อ้อ อยากจะบอกว่าเรื่องราคานั้น บางคลีนิคก็มีราคาต่างชาติกับราคาคนเกาหลีค่ะ (ซึ่งอาจจะถูกกว่าสักสองเท่าตัว) หมอบางคลีนิค(ได้ยินเขาเล่าๆมา) ก็ไม่ค่อยพอใจถ้าเราไปถามต่อราคาว่าทำไมราคาคนเกาหลีถูกกว่าเน้นว่าบางคลีนิ คเท่านั้นคะ
อย่างไรซะหลายๆคนไปทำที่เกาหลีแล้วอยากจะแก้ตาบ้านเราก็มี อาจจะธรรมชาติไป ไม่เหมาะกับรูปหน้าหรืออะไรก็ตาม หรือบางทีปัญหาการสื่อสารก็สำคัญ คือไม่สามารถสื่อกับหมอให้เข้าใจได้(อันนี้สำคัญมากค่ะ )บางท่านก็ว่าที่ญี่ปุ่นจะเซียนเรื่องนี้กว่า อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลค่ะ

ทีนี้มากล่าวถึงศัลยกรรมเสริมจมูกกันบ้าง อยากจะบอกว่าหมอที่ไทยจะเก่งในเรื่องศัลยกรรมจมูกด้วยซิลิโคนแท่งมากกว่า เกาหลีนะค่ะ (จากการเปรียบเทียบด้วยสายตาตัวเอง ) หมอไทยอาจจะเจอเคสคนที่มีเนื้อจมูกเยอะๆบ่อยกว่าหมอเกาหลี อีกอย่างคือจมูกคนไทยนั้น ฐานกระดูกกว้าง ปลายหนา บางคนปีกบานเนื้อเยอะน่าจะเหมาะกับซิลิโคนแท่งซึ่งเนื้อเยอะๆสามารถรองรับ ได้ จึงเรียกว่าหมอไทยนั้นจะเก่งในเรื่องการเสริมด้วยซิลิโคนแท่งมากกว่าเพราะ มันตรงประเด็นกับจมูกคนไทยเลยละค่ะ แต่ทีนี้ลองพิจารณาที่หลายๆท่านบอกว่าทำไมต้องไปแก้หรือไปทำจมูกที่เกาหลี
หมอศัลยกรรมเกาหลีนั้นจะใช้วัสดุ อุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่าไทย (หมอเกาหลีไม่ค่อยปลื้มแท่งซิลิโคนสักเท่าไหร่ อาจจะเนื่องจากว่าคนเกาหลีส่วนใหญ่เนื้อจมูกจะไม่เยอะเหมือนคนไทย ปลายก็ไม่ค่อยบาน) ยกตัวอย่างเช่น กระดูกซี่โครง silitex( เกาหลีคิดขึ้นเอง เป็นการเอาข้อดีของซิลิโคนมาผสมกับข้อดีของกอร์เท๊กซ์) กอร์เท็กซ์ เดอร์โมแฟต คาทิเลจ อัลโลเดริม รวมทั้งซิลิโคนแท่ง (แต่ขอเน้นว่าถ้าเป็นซิลิโคนแท่งหมอไทยจะชำนาญกว่าค่ะ ที่เกาหลีจะไม่ค่อยนิยมสักเท่าไร)
ตัวอย่างวัสดุต่างๆที่ใช้ในการศัลยกรรมจมูก
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:49:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เริ่มจาก Gortex
javascript:;

11.jpg (47.44 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 7)

11.jpg
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:52:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
Medpor พร้อมลิ้ิงค์วิธีการตัดมาใช้งาน www.porexsurgical.com/english/surgical/smedpor.asp

4.jpg (6.05 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 8)

4.jpg

5.jpg (20.54 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 7)

5.jpg
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:54:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
alloderm เป็นการนำเนื้อเยื่อผิวหนังขนาด 1-2 มม สอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อให้เนื้อเยื่อนี้เจริญเป็น collagen ผลการรักษาได้ผลดีและอยู่ได้นาน ใช้ไดักับเนื้อเยื่อต่างๆแม้กระทั่งเหงือก ปาก รอยย่นมุมปาก จมูก คางและอื่นๆค่ะ

ย.jpg (27 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 7)

ย.jpg
12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:54:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต้องบอกว่าการศัลยกรรมจมูกนั้นเป็นการศัลยกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง เอาออก เอาเข้า บ่อยมากๆ เลยคิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุให้ทางหมอศัลของเกาหลีเห็นปํญหาตรงนี้จากซิลิโคน แท่ง จึงเน้นเสริมจมูกด้วยอุปกรณ์ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า อย่างsilitex (ซึ่งเอาออกยากกว่าซิลิโคนแท่ง) แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือสวยงาม เข้าไปกับรูปโครงจมูกของเรา แต่ทีนี้ถ้ามีปัญหาต้องเอาออกหรือไม่ชอบรูปทรงเนี่ยนะสิ หมอไทยคงไม่ชอบเอาออกให้เป็นแน่ ขนาดซิลิโคนแท่งธรรมดาเวลามีปัญหากลับไปหาหมอบางคนยังพูดจาบ่ายเบี่ยงเลย ก็คงต้องบินกลับไปที่เกาหลีให้ทางหมอที่นั่นเอาออกให้ค่ะ
ส่วนคนที่มีปัญหาจากการศัลยกรรมด้วยซิลิโคน เนื้อหายไป แล้วต้องการจะแก้ไขจริงๆเพราะไม่อยากเสริมด้วยซิลโคนแท่งอีกต่อไป อันนี้ก็เห็นสมควรว่าไปทำที่นั่นน่าจะดีกว่านะค่ะเพราะหมอท่านนึงที่เห็นที่ เกาหลีจะเก่งในเรื่องศัลยกรรมซ่อมแซมจมูกจริงๆ แต่อาจจะไม่ใช่ทำแค่ครั้งเดียวเสร็จ ต้องมีการทำสองถึงสามครั้งกว่ารูปร่างจะกลับคืนมาให้สวยใกล้เคียงกับจมูกคน ปกติที่โด่งสวยงาม ส่วนวิธีการนั้นมีมากมายเยอะแยะเหลือเกิน หมอที่ดังๆในเรื่องศัลยกรรมจมูกที่นั่นก็คือคุณหมอจุง หรือจัง อันนี้ไม่แน่ใจ (Dr. Jung) มีเวบไซต์ของตัวเองคือ www.nose.co.kr/ คุณหมอคนนี้ต้องบอกว่าเทคนิคมากมายจริงๆค่ะ ไงก็ขออนุญาติเอารูปตัวอย่างมาแปะนะค่ะ เป็นศัลยกรรมเพื่อการแก้ไขจริงๆ แต่สนนราคาเนี่ยก็แพงไปด้วย เริ่มต้น 3500 USD ขึ้นไปนะค่ะแล้วแต่เคสยากง่าย
13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:56:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จากรูป คนนี้เคยเสริมด้วยสิริโคนแท่งได้สักสี่เดือนไม่มีปัญหา หลังจากนั้นปลายเริ่มยุบลงทำให้เห็นรอยสิริโคน คุณหมอก็แก้เอาซิลิโคนออกแล้วเสริมใหม่ (วิธีการคงต้องเมลส์ถามคุณหมอแล้วละค่ะท่าทางซับซ้อนเหลือเกิน)
สำหรับรูปตัวอย่างจมูกอีกมากมายคลิ้กไปดูได้ที่
www.nose.co.kr/english/recent/recent01.a...lag=8&LangType=1
14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 20:57:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทีนี้ขอพูดถึงเรื่องการรักษาตัว หลังเสริมจมูก ทำอย่างไรให้ลดบวม(สำหรับคนที่แพ้ง่ายบวมง่าย)

- ขอกล่าวถึงยาซึ่งได้มาจากพืชและสมุนไพรธรรมชาติที่ช่วยลดบวมได้เป็นอย่างดี นะค่ะ
1. เอ็นไซม์ที่สกัดมาจากสับปะรด (Bromelain) เป็นเอ็นไซม์ที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลเยอรมันนีว่าสามารถช่วยรักษาการ อักเสบที่เกิดจากการผ่าตัด โดยเฉพาะบริเวณจมูกและไซนัส อีกทั้งยังช่วยรักษาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฟา อาหารไม่ย่อย และมะเร็งได้อีก
2. ขมิ้นชัน (Tumeric) ขึ้นชื่อในเรื่องการช่วยรักษาการอักเสบ และสร้างภูมิต่อต้านมะเร็ง มีรายงานจาก The International Journal of Cancer ว่าสารในขมิ้นชันนั้นสามารถฆ่าเชื้อมะเร็งที่โตในแลปได้
3. Quercetin เป็นสารเคมีในผักและผลไม้ มีประโยชน์หลายด้าน รวมถึงความสามารถในการต้านไวรัส โดยเฉพาะการติดเชื้อในทางเดินหายใจ รวมทั้งลดการอักเสบและมีสารต่อต้านมะเร็ง
4. วิตามินซี จะเป็นการดีกว่าถ้าเรารับประเทานผลไม้ที่มีวิตามินซีโดยตรง
5. ใบบัวบก ซึ่งรู้จักกันดีว่าน้ำใบบัวบกช่วยแก้ช้ำใน และยังมีสรรพคุณอื่นๆอีกมาก
6. ครีมบัวหิมะ(BAO FU LING) อันนี้เขาว่ากันว่าช่วยลดอาการอักเสบของผิวหนังได้ (แต่ยังไม่ได้รับรองเป็นทางการ)
- พยายามเดินออกกำลังหลังจากผ่าตัดเพื่อให้เลือดลมเดินสะดวกไม่ไปคั่งอยู่ที่ แผลผ่าตัดนะค่ะ
- ประคบน้ำเย็น
- ดื่มน้ำเยอะๆ
- ลองใช้ Traumeel ซึ่งก็คือครีม arnica ที่มักจะถูกใช้เพื่อบำบัดอาการบาดเจ็บเฉียบพลัน ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุใด (คล้ายเรพาริลบ้านเรา) ทำมาจากพืชเช่นกันค่ะ ส่วน arnica แบบเม็ดก็มีเช่นกันค่ะ
ยิ่งถ้าเป็นการผ่าตัดใหญ่ๆอย่างกรามหรือ โหนกแก้มซึ่งจะมีการบวมที่มากกว่าจมูกแล้วแนะนำให้กิน Bromelain กับขมิ้นชันล่วงหน้าสักอาทิตย์ค่ะ
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:02:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มาถึงไฮไลท์ของงาน การผ่าตัดลดความกว้างของใบหน้า หรือ Facial bone contouring สำหรับคนที่อยากให้หน้าเล็กลง
แยกออกได้เป็น
การผ่าตัดลดกราม (Jaw ,mandible, Reduction) มีคำถามที่ตามมาคือ ถ้าอายุยังน้อยสามารถไปตัดกรามได้หรือไม่ คำตอบคือได้ แต่ตัดไปแล้วอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงของกระดูกกรามอยู่ตลอดเวลา เพราะกระดูกใบหน้ายังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นจะเป็นการดีที่จะรอให้อายุสัก 28 ขึ้นไป เมื่อกระดูกใบหน้าอยู่ตัวแล้ว และไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก ถึงไปตัดกรามค่ะ
การผ่าตัดกระดูกกรามนั้นที่เกาหลียังแบ่งออกได้อีกเป็นสองแบบคือ
- การผ่าตัดลดมุมกราม (Mandible angle resection)
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:04:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สวยงามครับ
อยากทำมั้ง

F_vertical.jpg (12.33 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 5)

F_vertical.jpg
17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:04:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เป็นการตัดมุมกรามและเกรามุมกรามเพื่อให้มุมกรามดูโค้งมนขึ้นไม่เป็นเหลี่ยม ผลจากการผ่าตัดมุมกรามนี้จะมองเห็นได้เมื่อจากด้านข้าง จะกลมมนไม่มีเหลี่ยมเงามากวนใจ เหมาะสำหรับคนที่มีมุมกรามเป็นเหลี่ยมชัดเจนมองด้านข้างแล้วมุมกรามแข็งๆดู ไม่นุ่มนวล แต่การลดมุมกรามนี้ไม่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงด้านหน้าแต่อย่างใด (ศัลยแพทย์ไทยส่วนใหญ่ผ่าตัดมุมกรามด้วยวิธีนี้)
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:05:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
- การผ่าตัดแยกกระดูกแนวตั้ง  (Sagittal splitting osteotomy)

F_sagittal.gif (6.54 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 7)

F_sagittal.gif
19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:05:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เป็นการผ่าตัดแยกกระดูกด้านนอกออกซึ่งมาสารถลดความกว้างของมุมกรามด้านหน้า ลงได้
ทั้งนี้การผ่าตัดส่วนล่างของใบหน้า(กราม) เพื่อทำให้ใบหน้าดูแคบลงนั้น แพทย์ศัลยกรรมของเกาหลีนิยมผ่าตัดร่วมระหว่างแยกกระดูกกับลดมุมกรามเข้าด้วย กันเพื่อให้ได้ผลการผ่าตัดอย่างมีประสิทธิภาพและเห็นความเปลี่ยนแปลง
การผ่าตัดลดกรามนั้นเป็นการผ่าตัดใหญ่ แต่แพทย์เกาหลีชอบทำกันจริงๆ ไม่ว่าคลีนิคเล็กๆหรือใหญ่ๆก็จะมีการให้บริการศัลยกรรมลดกรามทั้งนั้น ส่วนเทคนิคนั้น จะเป็นการผ่าจากด้านในปากถัดจากฟันกรามซี่สุดท้าย ซึ่งหลายๆท่านที่สนใจการผ่าตัดกรามคงได้เคยอ่านมาแล้วบ้างจากเวบไทย ของเกาหลีก็คล้ายกันค่ะ จะต่างกันตรงที่เกาหลีถ้าอยากลดความกว้างของหน้าด้านตรง จะมีการผ่าตัดแยกกระดูกด้านนอกร่วมด้วย
การผ่าตัดกรามจะใช้เวลาในการรักษาตัวหลังผ่าตัดค่อนข้างนาน อย่างน้อยก็สองอาทิตย์กว่าจะลดบวมให้หน้ากลับมาเหมือนกับหน้าปกติ(ก่อนตัด) แต่หลายๆคนอาจจะบ่นว่าทำไมไม่เห็นเปลี่ยนเลย จริงๆแล้วมันยังยุบบวมเรื่อยๆค่ะ บางท่านก็เลยไปถึงสี่เดือนถึงจะเห้นผลก็มี ฉะนั้นใครคิดจะไปผ่าตัดกรามที่เกาหลี เตรียมตัวพักที่นั่นสองอาทิตย์เป็นอย่างต่ำนะค่ะ
ทีนี้จะทราบได้อย่างไรว่าปลอดภัยหรือเปล่า แพทย์ที่ทำการผ่าตัดกรามจะต้อง ทำการเอ็กซเรย์ใบหน้าส่วนล่างก่อนทำการผ่าตัด จะได้เห็นแนวเส้นประสาทว่าวางพาดมายังไง การจะตัดได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการวางพาดตัวของเส้นประสาท(เส้นสีดำ ใหญ่ๆในรูปที่วางพาดมาตามแนวฟันค่ะ) จะต้องตัดห่างจากแนวเส้นประสาทนั้นสักสองเซ็นต์ค่ะ
20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:06:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จากรูปเป็นแนวเส้นประสาทสีดำๆตาม แนวฟันที่หมอจะพิจารณาร่วมว่าจะตัดได้มากน้อยแค่ไหนค่ะ

Trigeminal_nerve.gif (36.41 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 5)

Trigeminal_nerve.gif
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:08:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จากรูปคือฟิล์มเอ็กซเรย์แนวเส้น ประสาทที่พาดใต้แนวฟันค่ะ อาจจะมองยากนิดนึง

molar_fig1-20100306.jpg (28.68 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 6)

molar_fig1-20100306.jpg
22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:09:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทีนี้แพทย์จะวินิจฉัยว่าใครสมควรตัดหรือมิสมควรตัดอาจจะใช้ฟิมล์เอ็กซเรย์ ควบคู่กันไปด้วย ว่าเส้นประสาทเราอยู่ใกล้ไกลกับแนวกรามแค่ไหน มิฉะนั้นโอกาสที่จะเสี่ยงไปโดนเส้นประสาททำให้ใบหน้าเสียรูปเป็นไปได้สูงมาก ค่ะ ซึ่งทางคลีนิคของเกาหลีแทบทุกที่จะทำการเอ็กซเรย์ตรวจเลือด ตรวจความดันดูความพร้อมก่อนเข้าทำการผ่าตัดอยู่แล้วค่ะ บางคลีนิคก็อาจจะดูเล็กไปสักนิดจนน่าใจหาย แต่มาตรฐานของเขาก็ถือว่าใช้ได้ในระดับหนึ่ง(ในเรื่องความปลอดภัย) แต่ในเรื่องความสวยงามและสมมาตรนั้น สืบทราบมาว่าโรงพยาลที่ชื่อ ID hospital จะเป็นโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ (สังเกตุนะค่ะบางคลีนิคได้แต่ตัดแต่ลืมคำนึงถึงความเท่ากันระหว่างหน้าซีก ขวากับซ้ายค่ะ) แต่โรงพยาบาลนี้ขึ้นชื่อทางด้านสมมาตร และสนนราคาก็แพงใช่ย่อยเช่นกันค่ะ อ้อจะมีล่ามภาษาอังกฤษคอยดูแลอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันค่ะ เวบไซต์โรงพยาบาลค่ะ eng.idhospital.com/sub02/index302.asp คุณหมอชื่อ Dr.Park Sang-Hoon คุณหมอพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ
23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:10:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตัวอย่างแรกเป็นการตัดกรามจาก ID Hospitalค่ะ เป็นการตัดกรามรวมทั้งเลื่อนคาง ทำหน้าให้สมดุลย์ขึ้นค่ะ

777.jpg (42.64 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 6)

777.jpg
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:12:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
.........123--!

7.jpg (37.61 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 5)

7.jpg
25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2010-4-28 21:13:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตัวอย่างที่สองเป็นเคสตัดกรามจาก OZ clinic ค่ะ(คุณหมอชื่อพาร์คเหมือนกัน ฮ่าฮ่า หลายพาร์คมากค่ะ พูดภาษาอังกฤษเก่งมากค่ะ)

F_botox.jpg (7.94 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 7)

F_botox.jpg
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้