ดู: 2246|ตอบกลับ: 0
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

[ดูแลผิว] แพทย์ผิวหนังเตือนกินยาสิว “กรดวิตามินเอ”

[คัดลอกลิงก์]
แพทย์ผิวหนังเตือนกินยาสิว “กรดวิตามินเอ” พร่ำเพรื่อ เสี่ยงตับพัง-ไขมันสูง ชี้แม่ท้องเสี่ยงแท้ง-เด็กพิการ


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

แฉมาตรการ อย.อ่อน จนยาสิวอันตรายขายเกลื่อนตลาด แพทย์ผิวหนังหวั่นกินยาสิวชนิด “กรดวิตามินเอ” พร่ำเพรื่ออันตราย ผลข้างเคียงอื้อ เตือนระบบประสาท-หลอดเลือด-ตับพัง-ไขมันสูง ระบุแม่ท้องควรเลี่ยง เสี่ยงแท้ง-เด็กพิการ แนะเป็นสิวต้องปรึกษาแพทย์ ชี้ยาชนิดนี้ต้องให้หมอผิวหนังสั่งเท่านั้น
      
       วันนี้ (21 ก.ย.) ที่อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี ซ.ศูนย์วิจัย สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย จัดการแถลงข่าว “กินยาสิวอย่างไรให้ปลอดภัย” โดย รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันมีการใช้ยารักษาสิวโดยการรับประทานยาชนิดกรดวิตามินเอ หรือ ไอโซเตติโนอิน (Isotretinoin) กันอย่างแพร่หลาย ทั้งๆ ที่เป็นยาที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประกาศเป็นยาควบคุมพิเศษ โดยผู้ที่มีสิทธิสั่งยาตัวนี้ต้องเป็นแพทย์ที่ได้รับวุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนัง หรือต้องผ่านการอบรมทางผิวหนังอย่างน้อย 2 ปี แต่ต่อมาการควบคุมลดหย่อนลง ทำให้ปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งมีขายตามร้านขายยา หรือสถานเสริมความงามทั่วไป ซึ่งหากเภสัชกรทราบและเข้าใจถึงผลข้างเคียงของยาตัวนี้จะไม่จ่ายยาให้ เนื่องจากเป็นยาที่มีผลข้างเคียงมาก โดยเฉพาะในสตรีที่มีครรภ์จะทำให้ทารกพิการได้
      
       รศ.นพ.นภดล กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลของหน่วยวิจัยอนามัยการเจริญพันธุ์และงานวางแผนครอบครัว โรงพยาบาลศิริราช พบว่า ในระหว่างปี 2550-2552 มีสตรีมาขอรับการปรึกษาเพื่อทำแท้ง เนื่องจากได้รับยากลุ่มดังกล่าวถึง 10 ราย โดยทั้งหมดกังวลว่า หลังจากรับยาจะเกิดผลกระทบต่อครรภ์ของตนเอง นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาชนิดนี้ขณะตั้งครรภ์พบอัตราการแท้งได้ 3-20% ส่วนรายที่มีการคลอดพบว่า ทารกมีความพิการแต่กำเนิด 18-47 % ซึ่งความผิดปกติพบได้หลายระบบ เช่น กระดูกใบหน้าและศีรษะ ระบบประสาท ระบบหลอดเลือด อีกทั้งยังมีผลต่อเยื่อบุและผิวหนัง โดยมีอาการปากแห้ง แตก ผิวแห้ง แดง เป็นผื่นแดง ลอก คัน อีกทั้ง ยังมีผลทำให้ไขมันในเลือด และคอเรสเตอรอลสูง และส่งผลต่อการทำงานของตับ ในบางรายจะเจอความดันในศรีษะเพิ่มขึ้น และปวดเมื่อยกล้ามเนื้อร่วมด้วย
      
       นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังฯ กล่าวต่อว่า ยาดังกล่าวเป็นยาสำหรับรักษาผู้เป็นสิวชนิดรุนแรง สิวอักเสบ เป็นหนอง ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะไม่สั่งยาชนิดนี้หากไม่จำเป็น โดยจะทำการรักษาขั้นตอนอื่นๆไปก่อน อาทิ การให้ยาทา การรับประทานยาแก้อักเสบ ฯลฯ แต่ปัจจุบันกลับพบว่ายาดังกล่าวถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อ เพราะเดิมบริษัท โรช เป็นผู้นำเข้ายาดังกล่าว แต่เมื่อลิขสิทธิ์หมดมีการผลิตโดยบริษัทอื่นทั้งในและต่างประเทศ ทำให้การควบคุมทำได้ยากขึ้น จึงอยากเตือนถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ทางที่ดีที่สุดหากมีอาการสิวขั้นรุนแรง มีการอักเสบ เป็นสิวหัวช้าง เป็นหนองควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังโดยตรง เพราะปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามจำนวนมาก ซึ่งบางครั้งอาจไม่ได้บอกรายละเอียดและผลข้างเคียงของยามากนัก
      
       “แนะนำผู้ที่กินยาชนิดกรดวิตามินเอ หรือยาสิวอยู่ทั้งหญิงและชาย ห้ามบริจาคเลือดเด็ดขาด เพราะเลือดที่เราบริจาคไปอาจจะมีการปนเปื้อนของตัวยาอยู่ หากนำไปให้คนท้องก็จะเสี่ยงได้ ดังนั้น ถ้าจะบริจาคได้ก็ต้องหลังจากหยุดยาดังกล่าวไปแล้วอย่างน้อย 1 เดือน เพราะแพทย์จะให้วิตามินเอกินต่อเนื่องนานอย่างน้อย 4 เดือน คนไข้บางรายอาจจะนานเป็นปี ดังนั้น ระหว่างรักษาต้องมีการปรึกษาแพทย์เป็นระยะ และต้องทำการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบผลข้างเคียงของยาด้วย เพราะฉะนั้นการซื้อยาดังกล่าวมากินเองจะเสี่ยงมาก” รศ.นพ.นภดล กล่าว


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์        21 กันยายน 2553 14:25 น.
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ที่ webdungdong@gmail.com|บริษัท ดั้งโด่งดอทคอม จำกัด|ติดต่อลงโฆษณา| ดั้งโด่งดอทคอม@2020

Copyright © 2001-2013 Comsenz Inc.   All Rights Reserved. Powered by Discuz! X3.2 R20140618, Rev.27, Thzaa City 1 Style

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้