ดั้งโด่งดอทคอม

ชื่อกระทู้: เคล็บลับดูแลผิวพรรณ [สั่งพิมพ์]

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-24 21:59
ชื่อกระทู้: เคล็บลับดูแลผิวพรรณ
เคล็ดลับ "เลือกเครื่องสำอางค์" ให้ถูกสภาพผิวของคุณ
เครื่องสำอางค์แต่งละชนิดย่อมมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันและเป็นที่แน่นอนว่า คุณสมบัติของเครื่องสำอางค์เหล่านั้นก็ย่อมจะแตกต่างกันแต่ล่ะสภาพผิวด้วย เช่นกัน ฉะนั้นวันนี้เราจึงมีเคล็ดลับในการเลือกเครื่องสำอางค์ให้ ถูกกับสภาพผิวของคุณ ๆ ทั้งหลายด้วยค่ะ เพื่อให้คุณ ๆ ได้ เลือกเครื่องสำอางค์ ได้ถูกกับสภาพผิวของคุณมากสุด และเพื่อให้คุณผู้หญิงได้รับประสิทธิของเครื่องสำอางค์ได้สูงสุดด้วยเช่นกัน ก็ควรที่จะ เลือกเครื่องสำอางค์ ให้ถูกสภาพผิวของคุณกันนะค่ะ นั้นเราก็มาเลือกเครื่องสำอางค์ให้ถูกสภาพผิวของคุณกันเลยดีกว่าค่ะ
เลือกเครื่องสำอางค์

- ครีม เหมาะสำหรับคนผิวแห้งมีส่วนผสมของน้ำมันมากกว่าน้ำ (Water in oil) มีคุณสมบัติกระจายตัวบนผิวหนังและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นเข้าสู่ผิวได้ดี

- โลชั่น เหมาะสำหรับผิวธรรมดามีส่วนผสมของน้ำมากกว่าน้ำมัน (Oil in water) จึงไม่เหนียวเหนอะหนะ ล้างออกง่าย และเหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรา

- เจล เหมาะกับผิวธรรมดาและผิวมัน ส่วนใหญ่นิยมใช้น้ำผสมกับสารเพิ่มความเหนียวข้น เมื่อทาเจลลงบนผิวหนังน้ำจะระเหยออกไปเหลือฟิล์มของเจลติดผิวไว้ทำให้สาร บำรุงทำงานได้ดีขึ้น

- อีมัลชั่น (Emulsion) เหมาะกับทุกสภาพผิวเนื่องจากเป็นเครื่องสำอางชนิดที่มีส่วนประกอบของของเหลว เช่น แอลกอฮอล์ น้ำ ฯลฯ มาก ทำให้สามารถกระจายสารบำรุงได้อย่างทั่วถึงนิยมใช้ในเครื่องสำอางสำหรับบำรุง ผิวหรือผม

นอกจากสภาพผิวจะเป็นปัจจัยในการเลือกผลิตภัณฑ์แล้วอายุที่มากขึ้นก็ส่งผลให้ ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้นได้ควรเลือกเครื่องสำอางที่มีความเข้มข้นมากขึ้น ตามไปด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-24 22:00
เคล็ดลับ วิธีเช็ดเครื่องสำอางค์ "อย่างถูกวิธี"
วันนี้เรามีวิธีเช็ดเครื่องสำอางค์อย่างถูกวิธีมาฝากคุณ ผู้หญิงกันค่ะ เชื่อว่าคุณผู้หญิงหลาย ๆ ท่านคงจะต้องมีการแต่งหน้ากันทุกวันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะค่ะ แต่อาจจะมีบ้างท่านที่ยังไม่รู้จัก วิธีเช็ดเครื่องสำอางค์ ที่ถูกต้อง ฉะนั้นวันนี้เราจึงนำเคล็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับ วิธีเช็ดเครื่องสำอางค์ "อย่างถูกวิธี" มาฝากคุณผู้หญิงกันค่ะ เพื่อให้ใบหน้าของคุณนั้นสวยใส ไร้ริ้วรอยได้ วิธีเช็ดเครื่องสำอางค์ "อย่างถูกวิธี" ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่เรื่องไหน ๆ บนใบหน้าของเราเลยนะค่ะ นั้นเรามาดู วิธีเช็ดเครื่องสำอางค์ "อย่างถูกวิธี" กันเลยค่ะ
วิธีเช็ดเครื่องสำอางค์ "อย่างถูกวิธี"

- ดวงตา ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่บอบบางมากเวลาเช็ดแนะนำให้หยดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ลงในสำลี แล้วเช็ดอย่างเบามือจากเปลือกตาลงมาจนถึงขอบตา เพื่อรูดมาสคาร่าให้ติดออกไปตามปลายขนตาส่วนขอบตาให้พับสำลีเป็นมุมสาม เหลี่ยมเช็ดออกอย่างเบา ๆ

- ริมฝีปาก พับสำลีเป็นสามเหลี่ยมแล้วใช้ตรงมุมเช็ดตามร่องปาก โดยเช็ดในแนวดิ่งจากด้านในออกมาตรงด้านนอกริมฝีปากห้ามถูในแนวขวาง เพราะจะทำให้ริมฝีปากแตกและถ้าทำบ่อย ๆ ส่งผลให้ริมฝีปากเป็นร่อง

- ผิวหน้า เช็ดจากบริเวณทีโซนก่อน เริ่มจากบริเวณหน้าผาก จมูกและคาง โดยใช้นิ้วนางและนิ้วกลางนวดคลึงในการทำความสะอาดตามจุดต่าง ๆ บนผิวหน้า แล้วค่อยล้างน้ำสะอาดหรือโฟมล้างหน้า

รู้อย่างนี้แล้วลองนำไปใช้กันดูได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

โดย: pang2536    เวลา: 2011-4-24 23:56
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ^^
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:32
เคล็ดลับ วิธีล้างหน้าให้สะอาด "เพื่อผิวสวยสะอาดหมดจรด"
วันนี้เรามีเคล็ดลับวิธีล้างหน้าให้สะอาดเพื่อผิวสวยสะอาด หมดจรดและไม่มีสิวมากวนใจค่ะ ฉะนั้น วิธีล้างหน้าให้สะอาด ถึงจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะเราเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว วิธีล้างหน้าให้สะอาด ยิ่งต้องเป็นอีกสิ่งที่สำคัญไม่เป็นรองเรื่องไหนๆ เลยทีเดียวค่ะ เพราะหากว่าผิวหน้าของเรานั้นถูกล้างไม่สะอาดแล้วละก็สิ่งสกปรกและแคททีเรีย ต่างๆ อาจจะสะสมและอุดตันอยู่บนผิวงามๆ ของคุณได้แล้ว แล้วปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น สิว ฝ้า และปัญหาโรคผิวหนังก็อาจจะตามมาเป็นปัญหาใหญ่ของคุณที่แก้ไขได้ยากได้ค่ะ ฉะนั้นหันมาล้างหน้าให้สะอาดกันดีกว่านะค่ะ แล้วอย่าลืมนำ เคล็ดลับ วิธีล้างหน้าให้สะอาด ของเราในวันนี้นำไปใช้ให้ถูกวิธีกันด้วยนะค่ะ
3 เคล็ดลับ วิธีล้างหน้าให้สะอาด

1. ลูบไล้คลีนเซอร์ลงบนใบหน้า ลำคอ และเนินอก (อย่าหยุดอยู่แค่ขากรรไกร)

2. การนวดด้วยคลีนเซอร์ จะช่วยกระตุ้นความเปล่งปลั่งให้ผิวได้ โดยเริ่มจากการค่อย ๆ ลากมือลงไปที่คอ เพื่อกระตุ้นระบบระบายของเสียภายในร่างกาย จากนั้น ลากนิ้วเป็นแนววงกลมออกจากใบหน้าและขึ้นไปข้างบน

3. ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ถ้าใช้น้ำร้อนเกินไปจะทำให้ผิวเสียได้ แต่ถ้าใช้น้ำเย็นเกินไป ก็จะทำให้รูขุมขนหดตัว จนทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ได้ยาก และอย่าลืมว่า หลังล้างหน้าทุกครั้งควรตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ทันที

ขอขอบคุณข้อมูลจาก lisa


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:33
วิธีป้องกันริ้วรอยบนใบหน้า แบบเบื้องต้น
ริ้วรอยเหี่ยวย่นปัญหาที่คงจะไม่มีใครที่อยากต้องการหรอกจริงไหมค่ะ นั้นเรามาหาวิธีป้องกันริ้วรอยบนใบหน้ากัน ดีกว่าค่ะ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังกล่าวไว้ว่า รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้านั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ด้วยกันคือ 1. รอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากอารมณ์ 2. รอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากแสงแดด และ 3. รอยเหี่ยวแห้ง และวันนี้เราก็มี วิธีป้องกันริ้วรอยบนใบหน้า แบบเบื้องต้นมาฝากกันด้วยค่ะ เป็น วิธีป้องกันริ้วรอยบนใบหน้า แบบง่าย ๆ ที่คุณผู้หญิงทั้งหลายควรรู้ไว้ค่ะแม้ว่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ผู้หญิงเราก็มักจะลืมตัวและเป็นสาเหตุให้เกิดรอยเหี่ยวย่นจนได้น๊า...

วิธีป้องกันริ้วรอยบนใบหน้า

ใคร ๆ ที่ชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บ่อย ๆ ระวังจะเกิดร่องได้ตามหัวคิ้วและหน้าผากเอานะ จะไปหวังพึ่งครีมลบริ้วรอยต่าง ๆ ก็ลำบากเพราะพวกนั้นเขาทำได้แค่ออกฤทธิ์เดชกับผิวชั้นขี้ไคลเท่านั้น การมีอารมณ์แจ่มใสจะช่วยลดรอยเหี่ยวย่นจากอารมณ์ได้ ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัด ๆ เพื่อป้องกันริ้วรอยจากแดดจ้า ส่วนรอยเหี่ยวแห้งก็ใช้ครีมบำรุงให้ความชุ่มชื่นช่วยแล้วกันจ้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:35
เคล็ดลับ การบํารุงผิวหน้า "ช่วงค่ำคืนให้เปล่งปลั่ง"
การบํารุงผิวหน้านับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญสำหรับ ผู้หญิงอย่างเรายิ่งนัก แล้วยิ่งช่วงหน้าร้อนแบบนี้ผิวหน้าของเราอาจเจอกับอาการจัดหนักของมลภาวะ ฝุ่นควันและแสงแดดอันแรงกล้าในช่วงเวลากลางวัน ฉะนั้น การบํารุงผิวหน้า ในช่วงค่ำคืนจึงเป็นสิ่งที่จะไปทดแทนสิ่งที่ผิวไม่ได้พักผ่อนไปตลอดทั้งวัน ได้นะค่ะ ฉะนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลายต้องหันมาใส่ใจกับ การบํารุงผิวหน้า ให้มากไม่อย่างนั้นหน้าแก่ก่อนวัยหรือมีตีกาถามหาไม่รู้ด้วยนะ และวันนี้เราก็มี เคล็ดลับ การบํารุงผิวหน้า "ช่วงค่ำคืนให้เปล่งปลั่ง" มาฝากกันด้วยค่ะ ถ้าอยากรู้มาดูเคล็ดลับนี้กันเลยค่ะ
การบํารุงผิวหน้า "ช่วงค่ำคืนให้เปล่งปลั่ง"

ในช่วงระหว่างวันนั้น ร่างกายของเราจะวุ่นวายกับการปกป้องตนเองจากรังสียูวี มลภาวะ และสภาพที่ทำให้เกิดความเครียดอื่น ๆ และไม่สามารถเยียวยาตัวเองได้จนกว่าจะถึงเวลานอน เพราะในตอนกลางคืนระดับการเผาผลาญจะลดลงทำให้ร่างกายผลิตอนุมูลอิสระได้ไม่ มากรวมทั้งไม่ถูกรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตโจมตี

ฉะนั้นเวลากลางคืนจึงเป็นเวลาที่เหมาะในการช่วยร่างกายซ่อมแซมตัวเองด้วย ครีมบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพสูง ผิวหนังจะดูดซับมอยสเจอไรเซอร์ได้มากขึ้นในช่วงกลางคืน โดยคุณควรทาครีมในขณะที่ผิวยังมีความชื้นอยู่เพราะผิวของคุณคือฟองน้ำอย่าง ดีหลังล้างหน้าเสร็จใหม่ ๆ ฉะนั้นก็ล้างหน้าให้สะอาดใช้ผ้าขนหนูซับหน้าเบา ๆ และในขณะที่ผิวยังชื้น ๆ และรูขุมขนเปิดกว้างอยู่นั้นก็ทาไนท์ครีมลงไปนอนหลับให้สบายแล้วตื่นขึ้นมา พบกับความเปล่งปลั่งสดใส
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

สูตรห น้าใสแบบธรรมชาติ "ของคนชอบนอนดึก"
ด้วยสูตรหน้าใสแบบธรรมชาติจะช่วยคนที่ชอบนอนดึก นอนน้อย นอนผิดเวลา ให้คุณได้กลับมามีผิวหน้าที่สดใสเปล่งปลั่งดั่งเดิมหรือจะดียิ่งกว่าเดิมอีก นะ อิอิอิ อยากรู้คงต้องลองกับ สูตรหน้าใสแบบธรรมชาติ กันได้แล้วล่ะจ๊ะ แต่ถ้าจะให้สวยจากภายในด้วยสำหรับสาว ๆ นอนดึกเนี่ยต้องหาอะไรทานช่วยผิวหน้ากันสักหน่อยแล้ว แม้ว่า สูตรหน้าใสแบบธรรมชาติ จะช่วยคุณได้แต่ก็เพียงภายนอกเท่านั้นถ้าได้ผสมผสานกับภายในด้วยก็ย่อมส่งผล กระตุ้นเซลล์ผิวได้เร็วยิ่งนะค่ะ ขอแนะนำหากคุณนอนดึกอาหารที่จะช่วยผิวคุณคือ กินปลา ผักสด ผลไม้สด ลดแป้งให้น้อย ดื่มน้ำผลไม้ อาทิเช่น น้ำแครท น้ำส้ม ฯลฯ เพียงแค่นี้ก็ช่วยผิวพรรณคุณได้เยอะแล้วค่ะ นั้นเรามาต่อกันที่ สูตรหน้าใสแบบธรรมชาติ ที่ช่วยส่งเสริมจากภายนอกกันเลยค่ะ
สูตรหน้าใสแบบธรรมชาติ

ส่วนผสม

- ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ
- มะเขือเทศลูกใหญ่ปั่นละเอียด 2 ลูก
- น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15-30 นาทีแล้วล้างออก หากเหลือเก็บใส่กล่องแช่เย็นได้นาน 1 สัปดาห์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:37
เคล็ดลับ! ลบริ้วรอยบนใบหน้า "คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวสวย"
ริ้วรอย อีกหนึ่งปัญหาหลักของผู้หญิง ยิ่งอายุมาก ริ้วรอย ก็ตามมามากชนิดที่เรียกว่า อยากจะเป็นเพื่อนซี้กับผิวหน้าของคุณเลยล่ะค่ะ แต่วันนี้เราจะพาคุณผู้หญิงมาลบริ้วรอยบนใบหน้าคืนความ อ่อนเยาว์ให้ผิวสวยกันดีไหมค่ะ ด้วยเคล็ดลับ ลบริ้วรอย จะช่วยให้ผู็หญิงมีทางเลือกที่มากขึ้น การ ลบริ้วรอยบนใบหน้า ของคุณก็จะเป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ เมื่อคุณผู้หญิงสามารถที่จะ ลบริ้วรอย ได้แล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมานั่นก็คือ ความสดใสอ่อนเยาว์อยู่เสมอของใบหน้าคุณอย่างไรล่ะค่ะ คุณผู้หญิงพร้อมที่จะ ลบริ้วรอยบนใบหน้า กันรึยังค่ะ ถ้าพร้อมแล้วมาเริ่มเคล็ดลับกันเลยค่ะ


ลบริ้วรอยบนใบหน้า

1. สารเติมเต็มผิว

หนึ่งในวิทยาการไฮเทคที่เห็นผลทันตาในการกำจัดริ้วรอยและร่องลึกบนผิวก็คือ การฉีดสารเติมเต็มผิวอย่างเช่น กรดไฮยาลูรอนิค ซึ่งข้อดีของมันก็คือ มันช่วยให้การทำงานของเซลล์ผิวหนังดีขึ้นรวมทั้งยังทำให้สิ่งที่ครีมทำไม่ ได้ก็คือ แทรกลึกลงไปในผิวชั้นล่างและเปลี่ยนความเสียหายของเซลล์ผิวให้กลับดีดังเดิม ผลการฉีดจะยืดยาวราว 4-5 เดือน ซึ่งนอกจะมีประสิทธิภาพสูงแล้ว ยังไม่มีอันตราย


2. คลื่นวิทยุ

จนถึงขณะนี้ยังเป็นที่ยอมรับกันว่า การใช้คลื่นวิทยุ หรือ เทอร์มาจ เป็นวิธีการอย่างเดียวที่ช่วยยกคิ้ว แนวกราม และทำให้ผิวดึงขึ้นได้โดยไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องพักพื้น มันเป็นการใช้คลื่นวิทยุเข้าไปกระตุ้นการเติบโตและปรับโครงสร้างของคอลลาเจน ในผิวเสียใหม่ ซึ่งการใช้แสงชนิดเข้มข้นอย่าง IPL อาจจะกระตุ้นคอลลาเจนได้แต่เทอร์มาจทำงานลึกลงไปในผิวหนังชั้นในทำให้คุณดู ดีทันทีหลังทำ และยิ่งดูดีขึ้นเรื่อง ๆ ในช่วง 6 เดือนถัดไป เนื่องคอลลาเจนสร้างตัวขึ้นมามันอาจไม่ใช่คู่แข่งของการผ่าตัดยกหน้าแต่ สำหรับในการรักษาความหย่อนคล้อยของผิวโดยเจ็บตัวน้อยที่สุดล่ะก็มันถือเป็น ปรากฎการณ์สำคัญเลยทีเดียว


3. เป็ปไทด์

ปัจจัยสำคัญของการเกิดริ้วรอยก็คือ คอลลาเจนในผิวลดน้อยลงไม่ต้องสงสัยว่า วิทยาศาสตร์จะต้องมองหาวิธีแก้ไขโครงสร้างที่จะช่วยพยุงผิวหน้าและก็พบว่า เมื่อคอลลาเจนเรื่มเสื่อมสลายลงเป็ปไทด์จะถูกปล่อยเข้ามาแทนมากขึ้น ครีมที่มีเป็ปไทด์จะเป็นการส่งสัญญาณเตือนผิวหลอก ๆ ให้ชดเชยการสร้างคอลลาเจนเพื่อให้ผิวกระชับและริ้วรอยลดน้อยลง


4. ความเครียดของผิว

งานวิจัยชี้ว่า ผิวร่วงโรยได้เร็วขึ้นในช่วงที่มีความเครียดทางอารมณ์ แต่นอกเหนือการบำบัดทางจิตใจและการผ่อนคลาย อย่างเช่น การเล่นโยคะ แล้วหนทางช่วยเหลืออื่นอย่างสำหรับผิวก็คือ การควบคุมไม่ให้ผิวมีการอักเสบด้วยการเพิ่มการป้องกันรังสียูวี การให้ความชุ่มชื่น การบริโภคแอนตี้ออกซิแดนซ์และการหลีกเลี่ยงการให้ผิวเครียด อย่างเช่น การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี หรือการลอกหน้าด้วยเคมี
5. อาหารผิว

ไม่จำเป็นว่าการชะลอความร่วงโรยของผิวจะเป็นไฮเทคเสมอไป งานวิจัยล่าสุดพบว่า น้ำมันโรสฮิป เป็นสารที่ช่วยต่อต้านความร่วงโรยตามธรรมชาติที่ทรงประสิทธิภาพและบำรุง ผิวอย่างน่าประทับใจด้วย เช่นเดียวกับการรับประทานน้ำมันดอกอิฟนิ่งพริมโรสเป็นอาหารเสริมซึ่งอาจไม่ ใช่หน้าใหม่ของวงการต่อต้านริ้วรอย หากในการศึกษาวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน The international Journat of Cosmetic Science ได้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานน้ำมันอิฟนิ่งพริมโรสเม็ดละ 500 มก. จำนวน 6 เม็ด ทุกวัน สามารถช่วยหยุดการร่วงโรยของผิวได้ใน 3 เดือน


6.ขัดลอกผิว

การทรีตเมนต์อย่างการลอกผิวด้วยสารเคมีและการขัดผิวด้วยเกร็ดอัญมณีเป็นการ ดูแลความงามที่แพร่หลายกระจายไปอย่างรวดเร็วในร้านเสริมสวย แต่งานวิจัยชี้ว่า การขัดลอกผิวเช่นนี้ไม่ได้วิเศษอะไรมากมายนักมันยิ่งอาจทำให้ผิวชั้นบนบางลง อย่างรวดเร็วอีกด้วย ซึ่งเป็นการรบกวนการป้องกันผิวและต้องใช้เวลาหลายวันในการซ่อมแซมตัวเอง มันอาจนำไปสู่อาการระคายเคืองผิวหนังและไวต่อแสงอีกด้วย ใช้การขัดลอกผิวอย่างอ่อนโยนเป็นประจำทุกวันด้วยตัวเองดีกว่า มันจะทำให้ผิวชั้นบนดีขึ้นให้ความชุ่มชื่น และยังลดเลือนริ้วรอยได้



โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:38
7. ไลฟ์สไตล์ของคุณ

การเผชิญหน้ากับรังสียูวี มลภาวะ และการสูบบุหรี่ยังเป็นปัจจัยสำคัญ 3 อันดับแรกของการทำให้ผิวร่วงโรย แต่การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ใกล้เกินไปก็ทำให้ใบหน้าเสี่ยงต่อการร่วงโรยได้ เร็วขึ้นเช่นกัน เนื่องมาจากรังสีไอโอนิกที่จะสะท้อนออกมจากหน้าจอนั่นเอง นอกจากนี้คุณอาจเคยได้ยินว่า การนอนตะแคงข้างทำให้คุณมีริ้วรอยแพทย์ผิวหนังยังให้คำอธิบายว่า คุณไม่มีวันมีริ้วรอยในแนวตั้งได้เนื่องจากแรงโน้มถ่วงตามธรรมชาติจะทำให้ เกิดริ้วรอยในแนวนอน พูดอีกอย่างหนึ่งคือ กล้ามเนื้อเคลื่อนไหวตัวขึ้นและลงไม่ใช่เคลื่อนที่ไปข้าง ๆ ริ้วรอยที่เกิดจากการนอนตะแคงข้างนั้นปกติจะจางหายไปเอง เว้นแต่มันจะถูกทำให้ผิวย่นซ้ำแล้วซ้ำอีกริ้วรอยพวกนั้นจะเกิดขึ้นอีกเป็น การถาวร ดังนั้น ถ้าการนอนหงายไม่ใช่ทางเลือกของคุณลองใช้หมอนผ้าไหมหรือซาตินมักจะลดริ้วรอย จากการนอนให้น้อยลงได้


8.ความลับของขิงและมะนาว

เป็นที่รู้กันว่าขิงมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและยังเสริมสร้าง สุขภาพและจากการทดลองในห้องแล็ปพบว่า สารสกัดจากขิงนั้นสามารถลดการหดตัวของกล้ามเนื้อผิวหนังได้ด้วย จึงช่วยคลายริ้วรอยลึกให้ตื้นขึ้นได้และยกกระชับผิวให้เนียนเรียบ ส่วนมะนาวก็มีคุณสมบัติในการช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าและลดการผลิตเมลานิน เมื่อนำมาร่วมกันแล้วขิงและมะนาวก็เป็นส่วนผสมจากธรรมชาติที่ทรงอำนาจอย่าง ยิ่งในการช่วยคุณต่อสู้ริ้วรอยอย่างได้ผล


9.ไวน์แดง โรสแมรี่ และข้าวโอ๊ต

นอกจากนักวิทยาศาสตร์จะพบแหล่งใหม่ของอนุมูลอิสระที่ทำให้ร่วงโรย พวกเขาก็ค้นพบแอนตี้ออกซิแดนซ์ชนิดใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นด้วย อย่างเช่น Reaveratral ในไวน์แดง กรดโรสมารินิกจากโรสแมรี่และกรดแฟรูลิกจากข้าวและข้าวโอ๊ตซึ่งเป็นอนาคต สำคัญของแอนตี้ออกซิแดนซ์ นอกจากนี้แพทย์ยังแนะนำในการผสมผสานวิตามินเอ ซี และ อี ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพของการต้านอนุมูลอิสระให้มากขึ้นด้วย


10.ความเสียหายจากน้ำตาล

โดยทั่วไปคนเรารับประทานน้ำตาลเฉลี่ยแล้ว 2 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งเป็นบริมาณที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่ามากเกินไป การรับประทานน้ำตาลมากเกินไปทำให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้นในร่างกาย ซึ่งจะทำร้ายเซลล์และนำไปสู่การแก่ก่อนวัย ฉะนั้น จงระวังเรื่องน้ำตาลที่ซ่อนอยู่ในอาหารต่าง ๆ อย่างเช่น ประหลาดใจไหมว่าถ้าเราจะบอกว่า ไอศครีมวานิลลาขนาดปกติ (112 กรัม) มีน้ำตาล (4.5 กรัม) มากกว่าน้ำส้มหนึ่งแก้วเสียอีก


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:39
วิธีเคล็ดลับ สูตรผิวเรียบเนียน ขาวใส
วันนี้เรามีเคล็ดลับสูตรผิวเรียบเนียน ขาวใส มาฝากคุณผู้หญิงที่กำลังมองหา สูตรผิวเรียบเนียน ขาวใส อย่างได้ผลก็ต้องของแนะนำเคล็ดลับ สูตรผิวเรียบเนียน ขาวใส ของเราเนี่ยแหละค่ะ สำหรับวัตถุดิบที่จะใช้สำหรับเคล็ดลับ สูตรผิวเรียบเนียน ขาวใสนี้มีเพียง 3 อย่างเท่านั้นค่ะ ซึ่งก็ได้แก่ มะละกอสุกงอม นมสด และน้ำส้มคั้นค่ะ ในมะละกอสุกงอมนั้นมีเอนไซม์ในการบำรุงผิวพรรณให้ขาวใส ผิวเนียนเรียบ อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของผิวชุ่มชื่นอีกด้วยค่ะ ส่วนน้ำส้มคั้นนั้นมีเอนไซม์ที่ช่วยบำรุงผิวเนียนเกลี้ยงเกลาเพิ่มความสด ชื่นให้กับผิวและช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขจัดเซลล์ผิวความหมองคล้ำ อีกทั้งยังช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวพรรณดูสดใสมีน้ำมีนวลค่ะ ส่วนนมสดนั้นมีวิตามินหลากหลายชนิดที่เป็นประโยชน์อย่างแรงในการบำรุงผิว พรรณในนมสดขึ้นชื่อเรื่องทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม ผุดผ่อง และช่วยให้ผิวเต่งตึงที่สำคัญยังทำให้ผิวเนียนเกลี้ยงเกลาอีกด้วยค่ะ 3 คุณประโยชน์ของ มะละกอสุกงอม นมสด และน้ำส้มคั้น ซึ่งเป็นเคล็ดลับ สูตรผิวเรียบเนียน ขาวใส ที่คุณผู้หญิงหลายคนไม่ควรพลาดเลยค่ะ
สูตรผิวเรียบเนียน ขาวใส

ส่วนผสม มะละกอสุกงอม 1 ถ้วย นมสด 1/2 ถ้วย น้ำส้มคั้น 2 ช้อนโต๊ะ ปั่นเข้ากันทาทั่วหน้า เว้นรอบตา พอกทิ้งไว้ 40-50 นาที ล้างออก ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ทำให้รักแร้ขาว เนียน แบบธรรมชาติ
ขอขอบคุณขัอมูลจากสังคมผู้หญิง n3k

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:40
สูตรผิวขาว "ด้วยธรรมชาติ" แต่ได้ผลเกินคาด!!!
ธรรมชาตินั้นมีประโยชน์ต่อผิวสวย ๆ ของคุณมากมายเลยนะค่ะ และวันนี้เราก็ขอแนะนำสูตรผิวขาวด้วย ธรรมชาติแต่ได้ผลเกินคาดมาฝากด้วยค่ะ เหมาะมาก ๆ กับคุณผู้หญิงที่อยากมีผิวขาวเนียนใสและยังประหยัดตังค์มาก ๆ อีกด้วยค่ะ และด้วย สูตรผิวขาว นี้จะทำให้ผิวของคุณขาวขึ้น ใสขึ้น และเนียนนุ่มขึ้นอีกด้วยค่ะ แถมที่สำคัญยังเป็น สูตรผิวขาวด้วยธรรมชาติ ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อผิวพรรณของคุณอีกด้วยค่ะ และเมื่อคุณผู้หญิงพร้อมที่จะมีผิวขาวแล้วเราก็มาเริ่มเคล็ดลับไปกับ สูตรผิวขาว กันเลยดีไหมค่ะ นอกจากเราจะมี สูตรผิวขาว แล้วเรายังได้รวม สูตรผิวขาวเนียน เอาไว้อีกด้วยค่ะ
สูตรผิวขาว

- ผักกาดหอม ปั่นผักกาดหอมหั่น 1 ถ้วย นมสด 1/3 ถ้วย วุ้นว่านหางจระเข้ 3 ช้อนโต๊ะไข่แดง 1 ฟอง และน้ำมันมะกอก 1 ชอนชา ให้ละเอียดเป็นเนื้อครีมแล้วทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20-25 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำสัปดาห์ละครั้งผิวหน้าจะชุ่มชื้นเนียนขาวใสเหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งและผิว แพ้ง่าย

- บัวบก ปั่นใบบัวบก 1 ถ้วย โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย และน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ จนละเอียดเป็นเนื้อครีมข้นแล้วทาทั่วใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20-25 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น จะทำให้ผิวหน้าเนียน ขาวใส รูขุมขนกระชับ

- ผักชีฝรั่ง ใช้ รากและใบผักชีฝรั่งสด 2 ถ้วยปั่นกับน้ำต้ม 1 ถ้วย กรองเอาแต่น้ำมาปั่นอีกครั้งกับวุ้นว่านหางจระเข้ 1/2 ถ้วย ใช้สำลีชุบส่วนผสมทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที ทาทับอีกครั้ง ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ผิวหน้าจะเนียนนุ่ม เต่งตึง ขาวใส

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:41
"ผิวหน้าไม่สดใส" ปัญหานี้จัดการได้!
ผิวหน้าไม่สดใสสาว ๆ หลาย ๆ คนก็อาจจะกลุ้มใจกันแล้วแต่สำหรับปัญหานี้เราจัดการได้ค่ะ ผิวหน้าไม่สดใส มักจะเกิดจากหลากหลายปัจจัยที่คุณผู้หญิงมักไม่ค่อยรู้ตัว และสิ่งที่ทำให้ ผิวหน้าไม่สดใส อาทิเช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกฮอล์ การรับประทานอาหาร แสงแดดแรง มลภาวะแวดล้อม หรือแม้แต่เซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพที่ถูกสะสมเนื่องจากหลายปัจจัยทำให้ เป็นเหตุให้ ผิวหน้าไม่สดใส ค่ะ ฉะนั้นแล้วมาหาวิธีแก้ไขผิวหน้าไม่สดใสไปกับเรากันดีกว่า รับรองว่าด้วยวิธีจัดการผิวหน้าไม่สดใสที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้จะช่วยให้ คุณผู้หญิงมีผิวหน้าที่สดใสมากยิ่งขึ้นค่ะ
วิธีแก้ ผิวหน้าไม่สดใส

1. ขัดผิว การขัดผิวจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนและขจัดสารพิษที่ทำให้ผิวดูหม่นหมองออก ไป แต่ควรทำอย่างระมัดระวังอย่าให้หนักมือจนเกินไปเพราะอาจทำให้ผิวถลอกหรือ เกิดอาการระคายเคืองได้

2. เติมความชุ่มชื้น ผิวแห้ง ๆ มักจะดูหม่นหมอง ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ และเพิ่มน้ำในผิวด้วยครีมซีรั่มและมาส์กชนิดที่ช่วยเติมความชุ่มชื้น

3. หลีกเลี่ยงความเย็น การล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเจี๊ยบจะทำให้เส้นเลือดเกิดการหดตัวและขยายตัวหลัง จากนั้นส่งผลให้เกิดอาการหน้าแดง และอาจนำไปสู่การอักเสบบนผิวหน้าได้ คุณจึงควรล้างหน้าด้วยน้ำในอุณหภูมิปกติรวมทั้งใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมความ ชุ่มชื้นและขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปด้วย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:42
ผิวไหม้จากแสงแดด เรามี "วิธีรักษา!"
ช่วงนี้อากาศร้อนแสงแดดแรงอาจจะทำให้ผิวไหม้จากแสงแดดได้ ค่ะ ฉะนั้นวันนี้เราเลยนำเคล็ดลับดี ๆ กับ วิธีรักษาผิวไหม้จากแสงแดด มาฝากคุณผู้หญิงกันทุกคนด้วย ยิ่งคุณผู้หญิงท่านไหนที่ต้องทำงานกลางแสงแดดเป็นเวลายิ่งต้องระวังเรื่อง ผิวไหม้จากแสงแดด นะค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นผิวสวย ๆ ของคุณอาจจะแลดูไม่สวยอีกต่อไป แต่ปัญหา ผิวไหม้จากแสงแดด ของคุณจะหมดไปได้เพราะว่าคุณมาเจอเราเข้าแล้ว จะยังไงนะเหรอก็เพราะว่าเรามี วิธีรักษาผิวไหม้จากแสงแดด ที่จะช่วยผิวสวยจัดการปัญหาผิวไหม้จากแสงแดดของคุณผู้หญิงอย่างไรล่ะค่ะ นั้นมาดูวิธีรักษาผิวไหม้จากแสงแดดกันเลยค่ะ
วิธีรักษา ผิวไหม้จากแสงแดด

1. ใช้ถุงน้ำชาที่ชงดื่มแล้วไปแช่ในน้ำเย็นแล้วนำมาวางแปะตามบริเวณที่มีรอยไหม้แดด สามารถใช้ได้กับบริเวณใบหน้า

2. ใช้น้ำแข็งห่อในผ้าเช็ดหน้าแล้ววางบนรอยไหม้สัก 10 นาที ทำทุก 2-3 ชั่วโมง

3. เปิดน้ำในอ่างน้ำผสมข้าวโอ๊ตลงไปนอนแช่สัก 10 นาที ทำซ้ำเช่นนี้อีกทุกๆ 3 ชั่วโมง

4. ผสมน้ำแข็งก้อนลงในนมพร่องไขมันใช้ผ้าขนหนูจุ่มน้ำนมมาประคบตามผิวที่ไหม้ แดดและแสบร้อนทำต่อเนื่องนาน 2 นาที และทำซ้ำอีกทุก 2 ชั่วโมง

เพียงเท่านี้ก็จะช่วยรักษารอยแผลไหม้จากแสงแดดได้แล้วล่ะค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:42
เคล็ดลับ การบํารุงผิวหน้า "ช่วงค่ำคืนให้เปล่งปลั่ง"
การบํารุงผิวหน้านับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญสำหรับ ผู้หญิงอย่างเรายิ่งนัก แล้วยิ่งช่วงหน้าร้อนแบบนี้ผิวหน้าของเราอาจเจอกับอาการจัดหนักของมลภาวะ ฝุ่นควันและแสงแดดอันแรงกล้าในช่วงเวลากลางวัน ฉะนั้น การบํารุงผิวหน้า ในช่วงค่ำคืนจึงเป็นสิ่งที่จะไปทดแทนสิ่งที่ผิวไม่ได้พักผ่อนไปตลอดทั้งวัน ได้นะค่ะ ฉะนั้นคุณผู้หญิงทั้งหลายต้องหันมาใส่ใจกับ การบํารุงผิวหน้า ให้มากไม่อย่างนั้นหน้าแก่ก่อนวัยหรือมีตีกาถามหาไม่รู้ด้วยนะ และวันนี้เราก็มี เคล็ดลับ การบํารุงผิวหน้า "ช่วงค่ำคืนให้เปล่งปลั่ง" มาฝากกันด้วยค่ะ ถ้าอยากรู้มาดูเคล็ดลับนี้กันเลยค่ะ

การบํารุงผิวหน้า "ช่วงค่ำคืนให้เปล่งปลั่ง"

ในช่วงระหว่างวันนั้น ร่างกายของเราจะวุ่นวายกับการปกป้องตนเองจากรังสียูวี มลภาวะ และสภาพที่ทำให้เกิดความเครียดอื่น ๆ และไม่สามารถเยียวยาตัวเองได้จนกว่าจะถึงเวลานอน เพราะในตอนกลางคืนระดับการเผาผลาญจะลดลงทำให้ร่างกายผลิตอนุมูลอิสระได้ไม่ มากรวมทั้งไม่ถูกรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตโจมตี

ฉะนั้นเวลากลางคืนจึงเป็นเวลาที่เหมาะในการช่วยร่างกายซ่อมแซมตัวเองด้วย ครีมบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพสูง ผิวหนังจะดูดซับมอยสเจอไรเซอร์ได้มากขึ้นในช่วงกลางคืน โดยคุณควรทาครีมในขณะที่ผิวยังมีความชื้นอยู่เพราะผิวของคุณคือฟองน้ำอย่าง ดีหลังล้างหน้าเสร็จใหม่ ๆ ฉะนั้นก็ล้างหน้าให้สะอาดใช้ผ้าขนหนูซับหน้าเบา ๆ และในขณะที่ผิวยังชื้น ๆ และรูขุมขนเปิดกว้างอยู่นั้นก็ทาไนท์ครีมลงไปนอนหลับให้สบายแล้วตื่นขึ้นมา พบกับความเปล่งปลั่งสดใส


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:43
สูตรหน้าใสแบบธรรมชาติ "ของคนชอบนอนดึก"
ด้วยสูตรหน้าใสแบบธรรมชาติจะช่วยคนที่ชอบนอนดึก นอนน้อย นอนผิดเวลา ให้คุณได้กลับมามีผิวหน้าที่สดใสเปล่งปลั่งดั่งเดิมหรือจะดียิ่งกว่าเดิมอีก นะ อิอิอิ อยากรู้คงต้องลองกับ สูตรหน้าใสแบบธรรมชาติ กันได้แล้วล่ะจ๊ะ แต่ถ้าจะให้สวยจากภายในด้วยสำหรับสาว ๆ นอนดึกเนี่ยต้องหาอะไรทานช่วยผิวหน้ากันสักหน่อยแล้ว แม้ว่า สูตรหน้าใสแบบธรรมชาติ จะช่วยคุณได้แต่ก็เพียงภายนอกเท่านั้นถ้าได้ผสมผสานกับภายในด้วยก็ย่อมส่งผล กระตุ้นเซลล์ผิวได้เร็วยิ่งนะค่ะ ขอแนะนำหากคุณนอนดึกอาหารที่จะช่วยผิวคุณคือ กินปลา ผักสด ผลไม้สด ลดแป้งให้น้อย ดื่มน้ำผลไม้ อาทิเช่น น้ำแครท น้ำส้ม ฯลฯ เพียงแค่นี้ก็ช่วยผิวพรรณคุณได้เยอะแล้วค่ะ นั้นเรามาต่อกันที่ สูตรหน้าใสแบบธรรมชาติ ที่ช่วยส่งเสริมจากภายนอกกันเลยค่ะ

สูตรหน้าใสแบบธรรมชาติ

ส่วนผสม

- ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ
- มะเขือเทศลูกใหญ่ปั่นละเอียด 2 ลูก
- น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15-30 นาทีแล้วล้างออก หากเหลือเก็บใส่กล่องแช่เย็นได้นาน 1 สัปดาห์


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:45
"ผิวกระจ่างใส" ด้วย! สูตรพอกหน้าใส
คุณผู้หญิงอยากมิวผิวกระจ่างใสฟังไว้ให้ดีค่ะเพราะวันนี้เรามีสูตรพอกหน้าใสด้วย แอปเปิลและน้ำผึ้งมาฝากให้คุณผู้หญิงทั้งหลายให้มี ผิวกระจ่างใส สมใจกันเลยค่ะ ก่อนที่เราจะไปดู สูตรพอกหน้าใส มาฟังคุณสมบัติของแอบเปิลและน้ำผึ้งกันสักหน่อยดีกว่าค่ะว่าจะช่วย ผิวกระจ่างใส ได้อย่างไรก่อนที่จะลงมือปฏิบัติตาม สูตรพอกหน้าใส ค่ะ ว่ากันว่าในแอบเปิลนั้นมีประโยชน์ต่อผิวหลายด้านและในแอบเปิลก็มีสารแอนตี้ ออกซิแดนต์ อิลาสติน คอลลาเจน ที่จะช่วยให้ผิวนั้นแข็งแรงและเกิดการยืดหยุ่นที่ดี รวมถึงยังมีสารต้านอนุมูลอิสระรวมถึงสารฟิโนลิกซึ่งจะป็นตัวช่วยยับยั้งไม่ ให้เกิดและยังช่วยชะลอความแก่อีกด้วยค่ะ

ในน้ำผึ้งก็มีสารแอนตี้ออก ซิแดนต์เช่นเดีวกันค่ะ ในน้ำผึ้งยังช่วยในเรื่องของการลดการอักเสบของผิวได้เป็นอย่างดีอีกทั้งยัง ช่วยในเรื่องของการฆ่าเชื้อแบคทีเรียอีกด้วยค่ะและน้ำผึ้งยังช่วยในเรื่อง ของการลดสิวเสี้ยนได้เป็นอย่างดีอีกด้วยค่ะ นั้นเราก็มาเริ่ม สูตรพอกหน้าใส กันเลยดีกว่าค่ะ ขอเสริมอีกนิดค่ะถ้าคุณทานแอบเปิลควบคู่ไปด้วยรับรองว่าจะส่งผลดีเป็น 2 เท่าทีเดียวค่ะ
สูตรพอกหน้าใส "ผิวกระจ่างใส"

เริ่มจากส่วนผสม แอปเปิลหั่นชิ้น 1 ลูก น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ปั่นเข้ากัน ทาทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา พอกทิ้งไว้ 20-30 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ทำสัปดาห์ละครั้ง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Mother&Care

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:47
วิธีทําให้หน้าใส เนียน "อย่างได้ผล!!"
วันนี้เรามีอีกหนึ่งวิธีทําให้หน้าใส เนียน อย่างได้ผล! มาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายที่อยากจะให้ใบหน้าของคุณนั้นเนียน ใส และที่สำคัญยังจะขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วยค่ะ ฮันแน่..คงอยากจะรู้ วิธีทําให้หน้าใส เนียน นี้กันแล้วใช่ไหมล่ะค่ะ เรารู้ดีกว่าใคร ๆ ก็คงอยากจะมีใบหน้าที่ขาว เนียน ใส ไร้สิวอย่าแน่นอน ด้วย วิธีทําให้หน้าใส เนียน นี้ยังช่วยในเรื่องของการลดสิวที่ใบหน้าของคุณอีกด้วยนะค่ะ อยากรู้เคล็ดลับวิธีทําให้หน้าใส เนียน อย่างได้ผลกันอะยังจ๊ะ อยากรู้แล้วเราก็มาดูวิธีทําให้หน้าใส เนียน กันได้เลยจ้า
สูตร วิธีทําให้หน้าใส เนียน

1. อันดับแรกต้องเตรียมอุปกรณ์กันก่อนนะจ๊ะ
- ผงขัดหน้าสมุนไพร 1 ซอง (ใช้ครึ่งซองพอค่ะ)(เลือกตามที่คุณชอบได้เลยค่ะแต่เลือกยี้ห้อที่คุณไว้ใจนะค่ะ)
- มะนาว 1 ลูก
- น้ำผึ้ง 1 ช้อน
- ไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเฉพาะไข่ขาวค่ะ)
- น้ำเปล่าสะอาด 1 แก้ว (แต่ใช้พอประมาณพอนะค่ะ)

2. นำส่วนผสมดังข้อ 1. มาผสมกันทั้งหมดเลยค่ะและคนให้เข้ากัน มะนาวให้คั้นน้ำใช้ทั้งลูกเลยค่ะ ส่วนน้ำให้เติมที่หลังแต่ค่อยเติมนะค่ะเอาแบบให้ส่วนผสมข้น ๆ จากนั้นล้างหน้าให้สะอาดและเช็ดหน้าให้แห้งก่อน แล้วค่อยนำส่วนผสมทั้งหมดมาทาที่ใบหน้าแล้วถูกขัดใบหน้าอย่างเบา ๆ ให้ทั่วจนแห้ง เมื่อแห้งแล้วใ้ห้พักหน้าไว้ก่อน 15-30 นาที แล้วล้างออกค่ะ ทำแบบนี้อาทิตย์และ 1 ครั้ง ใบหน้าของคุณก็จะขาวขึ้น เนียนขึ้น และใสขึ้นอย่างแน่นอน และที่สำคัญสิวของคณก็จะค่อย ๆ หายไปอีกด้วยค่ะ

เมื่อ คุณ ๆ รู้ สูตร วิธีทําให้หน้าใส เนียน กันแล้วก็อย่าลืมนำไปลองทำตามกันดูนะค่ะ ส่วนผสมทุกอย่างมาจากธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้นเลยค่ะ นอกจากจะประหยัดแล้วยังได้ผิวหน้าสวยกลับไปอีกด้วยนค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก N3K.IN.TH

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:47
สูตรมาร์คหน้า "ผิวสวย นุ่ม เปล่งปลั่ง ป้องกันริ้วรอย"
วันนี้เรามีอีกหนึ่งสูตรมาร์คหน้ามาฝากคุณผู้หญิงกันค่ะ ซึ่งขอบอกว่าเป็น สูตรมาร์คหน้า แบบธรรมชาติ ๆ กันอีกแล้วค่ะ แล้วอยากรู้ไหมเอยว่าเป็น สูตรมาร์คหน้า แบบไหนกันน๊า... ขอเฉลยค่ะนั้นก็คือ สูตรมาร์คหน้าด้วยแครอท นั่นเองค่ะ เห็นเป็นแครอทที่กระต่ายชอบกินแบบนี้ก็เถอะนะ แต่แครอทของเราก็สามารถนำมามาร์คหน้าได้นะ แถมสูตรมาร์คหน้าสูตรนี้ยังป้องกันริ้วรอย ช่วยให้ผิวสวย นุ่ม เปล่งปลั่งอีกด้วยนะค่ะ นอกจากจะแครอทจะได้ประโยชน์จากการกินแล้วแครอทยังให้ประโยชน์แก่ผิวสวย ๆ ของคุณอย่างมากอีกด้วย นั้นเรามาดูสูตรมาร์คหน้าด้วแครอทกันเลยค่ะ
สูตรมาร์คหน้า ด้วย แครอท

แครอทก็มีคุณงามความดีไม่น้อยหน้าไปกว่ากันแครอทมีวิตามินเอ และวิตามินซีสูง ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนต์ชั้นดีจึงช่วยปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระและส่งเสริม การสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม

หนึ่งในวิธีใช้แครอทเพื่อความงามอย่างง่าย ๆ ก็คือ มาร์คหน้าด้วยแครอท ซึ่งมีวิธีทำแสนง่ายและไม่ต้องการส่วนผสมที่ยุ่งยาก เพียงแค่ต้มแครอทให้สุกและบดจนละเอียดผสมน้ำผึ้งลงไป 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้งเป็นส่วนผสมที่ช่วยเยียวยาผิวช่วยฆ่าเชื้อโรคและลดอาการอักเสบ คุณอาจเติมน้ำมันมะกอกลงไป 1 ช้อนโต๊ะก็ได้ น้ำมันมะกอกจะช่วยบำรุงผิวทำให้นุ่มนวล ยืดหยุ่น และเปล่งปลั่ง

ส่วนผู้ที่มีผิวมันสามารถเพิ่มน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อยน้ำมะนาวเป็นแอสตริ งเจ้นท์ตามธรรมชาติที่ช่วยลดความมันของผิว ปริมาณของน้ำมะนาวขึ้นอยู่กับความมันของผิว ถ้าผิวคุณแห้งง่ายเติมน้ำมะนาวแค่ 8-10 หยด แต่ถ้าผิวมันมากเติมน้ำมะนาวได้ราวหนึ่งช้อนโต๊ะและเพื่อให้ส่วนผสมนุ่ม เนียนขึ้น คุณอาจเติมน้ำแร่ลงไปเล็กน้อยแต่อย่าให้มากเกินไป หรือถ้าส่วนผสมเหลวพอแล้วก็ไม่ต้องเติมน้ำอีกก็ได้ จากนั้นทามาร์คลงบนผิวสะอาด ๆ ให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก แครอทมาส์กเหมาะสำหรับผิวมันและเพื่อป้องกันริ้วรอย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:48
วิธีทำให้หน้าเนียน ใส สูตรลับ "แต่อยากบอก!!"
มีคุณผู้หญิงถามกันเข้ามามากกับคำถามนี้ "ทำอย่างไรให้หน้าเนียนใส" เอาล่ะคุ่ะวันนี้เราจะมาไขคำถามนี้ด้วย สูตรลับวิธีทำให้หน้าเนียนใส ด้วย สูตร วิธีทําให้หน้าเนียน นี้จะทำให้คุณผู้หญิงทั้งหลายได้มีหน้าตาและผิวหน้าที่เนียน ใส เกลี้ยงเกา และที่สำคัญยังสดใสผิวพรรณชุมชื้นอีกต่างหากค่ะ อยากรู้ วิธีทำให้หน้าเนียน ใส กันแล้วไหมล่ะ แต่ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะ่ค่ะว่า สูตร วิธีทำให้หน้าเนียน ใส นี้ต้องปฏิบัติกันทุกสัปดาห์สัปดาห์ละหนึ่งครั้งจึงจะเห็นผลนะขอบอก ถ้าเข้าใจตามนี้ก็มาดูสูตร วิธีทำให้หน้าเนียนใส กันได้เลยค่ะ อ๋อลืมบอกอีกอย่างหนึ่งสำหรับคนผิวแพ้ง่ายต้องระวังกันหน่อยนะค่ะเพราะสูตร นี้ของเค้าแรง
วิธีทำให้หน้าเนียน ใส

ส่วนผสมเริ่มจากนำสตรอเบอรี่ 2 ลูก แตงกวาผ่าครึ่ง 1 ซีก น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำขิงสดที่คั้นจากราก มาผสมให้เข้ากัน โดยอาจนำเข้าเครื่องปั่นจะได้ผสมปนกันดี

จากนั้นให้นำมาพอกทั่วทั้งใบหน้ายกเว้นบริเวณรอบดวงตาทิ้งไว้สัก 10 นาที อาจรู้สึกแสบนิด ๆ เมื่อครบกำหนดก็ให้ล้างออกทำบ่อย ๆ สัปดาห์ละครั้ง หน้าก็จะเนียน ใส เกลี้ยงเกลา เบา สบาย สมใจนึกแล้วล่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:49
สูตรหน้าเนียน ใส สวย
สาวไหนอยากมีผิวหน้าเนียน ใส สวยล่ะก็ วันนี้เพียงแค่คุณนั้นเจียดเวลาให้เราสักหน่อยค่ะเพราะเรานั้นมีสูตรหน้าเนียน ใส สวย มาฝากนะซิค่ เพียงแค่คุณนั้นใช้เวลากับ สูตรหน้าเนียน ใส สวย นี้ไ่ม่ถึง 30 นาที ก็สามารถหน้าเนียน ใส สวย ได้แล้วล่ะค่ะ แล้วยิ่งเวลาที่คุณผู้หญิงนั้นมีหน้าตาไม่สดใสเป็นเพราะอดนอนหรือหรือ เหนื่อยจากงานปาร์ตี้ก็ตามที สูตรหน้าเนียน ใส สวย นี้ก็ช่วยคุณให้ใบหน้าของคุณรู้สึกสดชื่นขึ้นได้ด้วยนะค่ะ เอาล่ะใครใครอยากได้ สูตรหน้าเนียน ใส สวย นี้ก็มาเริ่มลองมือพอกหน้ากันเลยดีกว่าค่ะ
เคล็ดลับ สูตรหน้าเนียน ใส สวย

งั้นเตรียมรับสูตรหน้าเนียน ใส สวย ได้เลยค่ะ แต่ใครที่ผิวแพ้ง่ายอาจต้องระวังกันซักนิด ส่วนผสมสำหรับ 1 หน้า เริ่มจากนำสตรอเบอรี่ 2 ลูก แตงกวาผ่าครึ่ง 1 ซีก น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำขิงสดที่คั้นจากรากมาผสมให้เข้ากันโดยอาจนำเข้าเครื่องปั่นจะได้ผสม ปนเปกันดิบดี

จากนั้นให้นำมาพอกทั่วทั้งใบหน้ายกเว้นบริเวณรอบดวงตาทิ้งไว้สัก 10 นาที อาจรู้สึกแสบนิด ๆ เมื่อครบกำหนดก็ให้ล้างออก ทำบ่อย ๆ สัปดาห์ละครั้ง หน้าก็จะเกลี้ยงเกลา เบา สบาย สมใจนึกแล้วล่ะค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:50
สูตร พอกหน้าด้วยโยเกิร์ต "เพื่อผิวสวย ขาว ใส"
มาพอกหน้าด้วยโยเกิร์ตกันเถอะค่ะจะได้มีผิวสวย ขาว ใสกันเนอะ อิอิอิ ก็เพราะวันนี้เรามีสูตร พอกหน้าด้วยโยเกิร์ต มาฝากกันนะซิค่ะ เป็นที่รู้กันดีในหมู่สาว ๆ ถึงประโยชน์ของโยเกิร์ตในเรื่องของผิวพรรณกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะค่ะ เพราะว่าโยเกิร์ตนั้นจากจะรับประทานแล้วเป็นผลดีต่อผิวพรรณแล้วการพอกหน้า ด้วยโยเกิร์ตก็ยังเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งที่คุณผู้หญิงหลาย ๆ มักจะนำมาพอกหน้าด้วยใช่ไหมล่ะค่ะ ด้วย สูตร พอกหน้าด้วยโยเกิร์ต นี้ไม่ใช่แค่จะทำให้คุณนั้นมีผิวนุ่มเพียงอย่างเดียวนะ และ สูตร พอกหน้าด้วยโยเกิร์ต นี้ยังจะช่วยให้คุณมีผิวสวย ขาว ใส อีกด้วยค่ะ ว่าแล้วเราก็มาเริ่มปฏิบัติการผิวหน้าสวย ขาว ใส ด้วย สูตรพอกหน้าด้วยโยเกิร์ต กันเลยดีกว่าค่ะ
สูตร พอกหน้าด้วยโยเกิร์ต

สิ่งที่คุณต้องการก็คือ สตรอเบอร์รี่ผลขนาดกลาง 3-4 ผล โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ (เลือกแบบออแกนิกส์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารพิษที่ทำให้ผิวระคายเคือง) บดสตรอเบอร์รี่ให้ละเอียด เติมครีมและน้ำผึ้งลงไปเพื่อให้เป็นส่วนผสมข้น ๆ ทาลงบนใบหน้าและลำคอที่ทำความสะอาดแล้ว (เว้นรอบบริเวณดวงตา) ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำแร่

น้ำผึ้งเป็นส่วนผสมที่รู้จักกันดีมานานนับศตวรรษแล้วว่า เป็นสารให้ความชุ่มชื้นชั้นยอด ส่วนโยเกิร์ตช่วยสร้างความสมดุลของกรดด่างในผิว ในขณะที่กรดซาลิไซลิกในสตรอเบอร์รี่ช่วยทำความสะอาดและกำจัดเซลล์ผิวที่ตาย แล้วผิวจะขาว สดชื่น และสดใสขึ้นทันทีด้วยมาสก์ตัวนี้

หรือคุณอาจเปลี่ยนมาใช้ราสเบอร์รี่แทนสตรอเบอร์รี่ก็ได้ มาสก์โยเกิร์ตและราสเบอร์รี่จะเหมาะอย่างมากสำหรับผิวแพ้ง่ายและไม่ทำให้ เกิดอาการระคายเคืองสำหรับคนที่อาจแพ้สตรอเบอร์รี่

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:51
สูตรพอกหน้ารักษาสิว
ใครไม่อยากเป็นสิววันนี้เรามีสูตรพอกหน้ารักษาสิวซึ่งมา ด้วยกัน 3 สูตรพอกหน้ารักษาสิว ที่เป็นทางเลือกให้กับคุณผู้ไม่อยากมีสิวได้เป็นอย่างดีกันเลยทีเดียวค่ะ ใครชอบใจ สูตรพอกหน้ารักษาสิว ข้อไหนก็เลือกใช้กันได้ตามสบายใจได้เลยนะค่ะ นอกจากใบหน้าของคุณจะไม่เป็นสิวมากวนใจแล้วด้วยสูตรพอกหน้ารักษาสิวนี้ยังจะ ช่วยให้ใบหน้าของคุณเนียนเรียบขึ้นอีกด้วยนะค่ะ เอาล่ะค่ะใครไม่อยากพลาดสูตรพอกหน้ารักษาสิวก็ลองนำไปใช้กันดูได้เลยค่ะ ที่สำคัญมาจากธรรมชาติปลอดภัยแน่นอนค่ะ
3 สูตรพอกหน้ารักษาสิว

สูตรที่ 1

ล้างหน้าให้สะอาดใช้ไข่แดงทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ไข่แดงมีโปรตีนและกรดไขมันมากจะช่วยให้หน้าคุณสดชื่นและขจัดสิ่งอุดตันรูขุม ขนได้


สูตรที่ 2

สำหรับคนที่มีผิวหน้ามันโดยเฉพาะ ล้างหน้าให้สะอาดแล้วใช้น้ำผึ้งผสมกับข้าวโอ๊ตทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นเช่นกัน ข้าวโอ๊ตมีสรรพคุณพิเศษในการช่วยดูดซับความมันจากผิว


สูตรที่ 3

มะเขือเทศหรือน้ำมะนาวเป็นสิ่งที่ดีมากต่อผิวคุณช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตาย แล้วออกไปไม่ให้อุดตันรูขุมขนอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ล้างหน้าให้สะอาด บีบมะนาวลงในถ้วยเล็ก ๆ ชุบด้วยสำลีแล้วนำมาทาให้ทั่วใบหน้า 2-3 ครั้ง รอจนน้ำมะนาวแห้งประมาณ 10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด หากคุณมีผิวที่ค่อนข้างอ่อนบางควรผสมน้ำเปล่าในน้ำมะนาวเพื่อให้เจือจางลง แต่ถ้าจะใช้มะเขือเทศก็ให้ฝานเป็นแว่น ๆ หนาพอประมาณ นำมาถูให้ทั่วใบหน้าเมล็ดเล็ก ๆ ในผลมะเขือเทศนั่นแหละที่ช่วยขัดผิวให้คุณ

ทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน จะสังเกตเห็นความมหัศจรรย์ใน 14 วัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:52
วิธีการลดหน้ามัน แบบง่าย ๆ ของสาวผิวมัน
วันนี้เอาใจสาวหน้ามันด้วยวิธีการลดหน้ามันแบบง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณไม่ต้องกังวลกับเรื่องผิวหน้ามันอีกต่อไปค่ะ เพราะเรารู้ดีว่าเวลาที่หน้าเกิดมันเยอะ ๆ จะทำให้คุณรู้สึกไม่สบายผิว ผิวหน้ามันเยิ้มเป็นคราบเวลาแต่งหน้าเป็นเหตุให้เครื่องสำอางหลุด และเป็นสาเหตุให้หน้าหมองคล้ำได้อีกด้วย วันนี้เราจึงนำเอา วิธีการลดหน้ามัน แบบง่าย ๆ ที่สาวหน้ามันสามารถใช้ได้ตลอดเวลามาฝากค่ะ ด้วย วิธีการลดหน้ามัน วิธีนี้จะทำให้คุณลืมไปเลยว่าเคยมีผิวมันเหนอะหนะ
วิธีการลดหน้ามัน

ความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่า คนผิวหน้ามันมักจะเป็นสิวได้ง่าย แต่ความเป็นจริงแล้วคนผิวหน้ามันก็มีข้อดีเหมือนกัน เพราะคนผิวหน้ามันจะมีน้ำมาเคลือบบนผิวเซลล์เกือบตลอดเวลาทำให้ผิวของคนผิว หน้ามันมักดูไม่เหี่ยวย่นได้ง่ายเมื่อเทียบกับคนผิวหน้าแห้ง นอกจากนี้ยังพบอีกว่าไม่ใช่แต่เพียงคนผิวหน้ามันที่เป็นสิว จริง ๆ แล้วคนที่ผิวหน้าแห้งมาก ๆ หรือมีปัจจัยใด ๆ ก็ตามมารบกวนผิวจะกระตุ้นให้เกิดสิวและมีสิทธิ์ไม่สวยได้

วิธีการดูแลผิวสำหรับคนที่มีผิวหน้ามัน ปัจจุบันมียาวิตามินเอสังเคราะห์ เช่น Isotretinoin หรือการใช้ยาในกลุ่ม aldactone ซึ่งมีฤทธิ์ข้างเคียงทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังลดจำนวนและขนาดลงมีผลให้ผิว หน้าแห้งขึ้น แต่ว่าการใช้ยาเหล่านี้มีข้อเสียด้วยจึงควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์

ปัจจุบันมีสินค้ามากมายมาใช้ควบคุมความมันบนใบหน้า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คนที่มีปัญหาผิวหน้ามันซับหน้าด้วยกระดาษซับมัน ระหว่างวันและใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (Oil Free, Oil Control) และไม่ควรกังวลมากเกินไปพยายามเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง

เพียงเท่านี้สาวผิวมันทั้งหลายก็จะสวยได้อย่างสาวผิวอื่น ๆ เช่นกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:56
สูตร ขัดผิวขาว ใส ! กับวิธีการขัดผิวอย่างถูกวิธี
ถ้าเรื่องความสวยความงามผู้หญิงเราไม่ว่าด้วยวิธีการไหนก็อยากลองกันทั้งนั้นการ ขัดผิวขาวก็ เป็นอีก วิธีหนึ่งที่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ นั้นนิยมกันเป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่เราจะ เริ่มทำการขัดผิว มีใครรู้บ้างว่าการขัดผิวนั้นคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และ ควรทำเมื่อไรและเท่าไรดี จริง ๆ แล้วการขัดผิว หรือ Exfoliating หมายถึง การที่เรานั้นได้ ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวของเรา ซึ่งเป็นผิวชั้นนอกและเผยเซลล์ผิวรุ่นใหม่ที่แข็งแรงกว่ามาแทนที่ ทำให้ผิวของเราดูสดใสและมีชีวิตชีวา ดังนั้นการขัดผิว ก็เหมือนการเผยผิวที่กระจ่างใสของเราที่โดนเซลล์ผิวเก่าของเราปิดบังซ่อนเอา ไว้อยู่นั้นเอง

การขัดผิวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งใช่อุปกรณ์ไม่ว่าจะฟองน้ำ ครีม หินขัด หรือ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถนำมาใช้ได้ แต่การขัดผิวที่ดีนั่นควรทำอย่างนิ่มนวล และ ไม่ทำบ่อยจนเกินไปเพราะจำทำให้ผิวอ่อนไหวและไม่สามารถทนแดด และจะทำให้แห้งกร้านได้ง่าย ปกติผิวของคนเราจะมีการผลิตเซลล์ผิวทุก 2 - 4 สัปดาห์ แต่หากอายุ เรามากกว่า 20 ปี ขึ้นไปแล้วการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลงไปเรื่อย ๆ แต่การขัดผิวจะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใส
ประโยชน์ของการขัดผิวขาวให้สวยใส ตามรูปแบบของผิวผู้หญิงแต่ละประเภท
•        ผู้หญิงที่ผิวแห้ง การขัดผิวจะช่วยให้เซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป และช่วยให้ครีมต่าง ๆ สามารถบำรุงและดูดซึมสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น
•        ผู้หญิงผิวผสม การขัดผิวจะช่วยลดการเกิดสิว และทำให้ผิวเนียนเรียบ มีสีผิวที่เสมอกันอีกด้วย
•        ผู้หญิวผิวหน้ามัน การขัดผิวจะทำให้รูขุมขนนั้นสะอาดขึ้น และช่วยลดการอุดตันของสิว และลดรอยดำได้เป็นอย่างดี
•        สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาริ้วรอย การขัดผิวจะเป็นตัวไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวให้ทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ช่วยลดริ้วรอยและผิวกระจ่างใสอ่อนวัยกว่าคนที่ไม่ได้ขัดผิวเลย
•        ผู้หญิงที่มีผิวแตกลาย ต้องขัดผิวด้วยฟองน้ำนุ่ม ๆ ที่ทำการแช่น้ำจนนิ่ม ทำทุกวันช่วยลบเลือนริ้วรอยให้จ่างลงได้เป็นอย่างดี พร้อมกระตุ้นการไหลของเลือกอีกด้วย

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:57
ขัดผิวขาวใสอย่างไรให้เหมาะสม
การขัดผิวนั้นไม่ควรทำมากจนเกินไป เพราะนอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังอาจจะทำลายผิวของตัวเราเองอีกด้วย การขัดผิวหน้าควรทำอยู่ที่สัปดาห์ละไม่กิน 2 ครั้ง และไม่ควร ทำติดกันอาจจะเว้น 3 - 4 วัน หรือ ทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะเหมาะสมที่สุด การขัดผิวเรือนกายนั้นควรทำประมาณ 2 ครั้งต่อเดือน โดยการขัดผิวกายนั้นให้ทำการขัดเป็นวงกลม เบา ๆ หลังขัดควรหามอยส์เจอไรเซอร์มาเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วยนะค่ะ

สูตรขัดผิวขาวอย่างอ่อนโยนเพื่อนผิวสวยอันเนียนนุ่มน่าจับ
สูตรนี้เหมาะกับคนที่ผิวแพ้ง่ายและผิวธรรมดา ที่ต้องการขัดผิวให้กระจ่างใสน่าสัมผัสเป็นพิเศษ เริ่มต้นด้วยการนำมะละกอสุก ซึ่ง มะละกอนั้นมีวิตามินเอและซีที่สูงมาก จะทำให้ผิวเราขาวกระจ่างใสและเนียนนุ่มเกลี้ยงเกลาได้เป็นอย่างดี ส่วนที่สอง ให้หาเกลือทะเล ซึ่งช่วยในการสมานผิว กระชับรูขุมขน และผลัดเซลล์ผิวได้ดี เตรียมเอาไว้ค่ะ สุดท้ายที่จะขาดไม่ได้เลยคือ โยเกิร์ต ค่ะ เพราะโยเกิร์ต์นั้นอุดมไปด้วยคุณค่ามากมายไม่ว่าจะเป็น ธาตุสังกะสี วิตามินเอ บี1 บี2 บี6 บี12 วิตามินดี อี แคลเซียม ยีสต์ และโปรตีน ถ้านำมากินช่วยสร้างก็รับประโยชน์กันไปเต็ม ๆ เลยจริงรึเปล่าค่ะ แต่โยเกิร์ตนั้นมีกรดที่ช่วยในการดูดซึมธาตุ วิตามิน โปรตีน เข้าสู่ร่างกายได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มน้ำมันให้ กับผิวได้อีกด้วย มีคุณสมบัติเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ตามธรรมชาติ ทั้งยังช่วยกระชับรูขุมขนทำให้ผิวเรียนเนียนอีกด้วย เห็นแล้วใช่ไหมค่ะว่ามีสิ่งดี ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผิวเยอะไป หมดเลย

ต่อไปจากนี้ให้เราเตรียมภาชนะใส่ส่วนผสมทั้งสามลงไปใส่ในเครื่องปั่นให้ ละเอียด อาจจะใส่เนื้อมะพร้าวลงไปปั่นด้วยก็ได้น่ะค่ะ เมื่อปั่นเสร็จแล้วให้นำมานวดวนเบา ๆ บนผิว หลังอาบน้ำหมาด ๆ ทั่วร่างกาย 10 - 15 นาที พอกทิ้งไว้ 20-30 นาทีล้างออกด้วยน้ำอุ่นค่ะ ^ ^

รวบรวมและจัดทำข้อมูลโดย N3K
แหล่งข้อมูลอ้างถึง : คอลัมน์ : Beauty นิตยสารแม่บ้านเดือนกรกฎาคม 2551 และ บทความจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:58
สูตรสครับผิวกาย "ผิวกายเนียนนุ่มขาวใส"
วันนี้เราพาคุณผู้หญิงมาทำสูตรสครับผิวกายเพื่อผิวกาย เนียนนุ่มขาวใสกันดีกว่า ใครอยากมีผิวขาว ผิวใส ผิวเนียนนุ่มมายิ่งขึ้นคงไม่คิดที่จะพลาดไปจาก สูตรสครับผิวกาย ของเราหรอกใช่ไหมค่ะ เพราะเรารู้ดีว่าผิวพรรณในแบบผู้หญิง ๆ อย่างเรานั้นต้องดูแลกันมากเป็นพิเศษหน่อย เพราะปัจจุบันมลภาวะและฝุ่นควันรวมถึงเชื่อโรคและแบคทีเรียข้างนั้นมีมากมาย แล้วยังส่งผลกระทบต่อผิวกายของเราเป็นอย่างมาก ทำให้ผิวเรานั้นหม่องคล้ำได้เร็วยิ่งโดนแดดอีกผสมปนเปกันไปก็ยิ่งตอกย้ำผิว เราให้เสียมากยิ่งขึ้น นั้นวันนี้เราก็มาทำ สูตรสครับผิวกาย เพื่อปรนนิบัติผิวของเราให้ผ่อนคลายแล้วยังทำให้ผิวกายเนียนนุ่มขาวใสอีก ด้วยค่ะ นั้นเรามาดูสูตรสครับผิวกายกันลยค่ะ
สูตรสครับผิวกาย "สูตรโยเกิร์ต"

- ส่วนผสม

โยเกิร์ตสูตรธรรมชาติ 2 ถ้วย
ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ


- วิธีใช้

ผสมส่วนผสมทุกอย่างคนให้เข้ากันนำมาขัดตัวหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ ขัดวนประมาณ 10 นาทีแล้วทิ้งไว้อีก 5 นาทีจึงล้างออกและอาบน้ำให้สะอาดอีกครั้ง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 08:59
สูตรพอกตัว แบบธรรมชาติ เพื่อผิวเนียนใส
หากว่าคุณผู้หญิงที่เบื่อกับการขัดผิวลองมาใช้สูตรพอกตัวแบบ ธรรมชาติเพื่อผิวเนียนใสของดูไหมค่ะ เพราะ สูตรพอกตัว ของเรานั้นจะทำให้คุณมีผิวที่เนียนนุ่นไร้จุดด่างดำที่เกิดจากสิว และที่สำคัญยังทำให้ผิวของคุณสดใสขึ้นจนคุณรู้สึกได้ค่ะ วันนี้มีมาให้เลือก 2 สูตรพอกตัว ค่ะ เป็น สูตรพอกตัวแบบธรรมชาติ ที่คุณหรือใครก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านค่ะ
2 สูตรพอกตัว

1. สูตรพอกตัว แบบธรรมชาติ

สูตรพอกตัวนี้เหมาะ สำหรับผู้ที่มีผิวค่อนข้างแห้งเพราะน้ำมันมะกอกจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และโยเกิร์ตยังทำให้ผิวเนียนนุ่มไม่แห้งกร้าน

ส่วนผสม

- ดินสอพองสะตุ  25 - 30  เม็ดใหญ่

- โยเกิร์ต   1/4  ถ้วย

- น้ำมันมะกอก  2 ช้อนโต๊ะ

- น้ำผึ้ง   2 ช้อนโต๊ะ

- น้ำมะนาว  1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ  นำดินสอพองสะตุมาบดละเอียดใส่ส่วนผสมทุกอย่างคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่ว ตัวทิ้งไว้ 20 - 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นตามด้วยน้ำเย็นอีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขนสำหรับ คนผิวมันให้ลดน้ำมันมะกอกลงเหลือ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วเพิ่มน้ำมะนาวเป็น 2 ช้อนโต๊ะ


2. สูตรพอกตัว แบบสมุนไพร

นอกจากขมิ้นที่มีประโยชน์ต่อผิวแล้วไพลยังมีสรรพคุณช่วยแก้ฟกช้ำ แก้รอยด่างดำ ทำให้ผิวสดใสขึ้น สูตรนี้เหมาะกับทุกสภาพผิว

ส่วนผสม

- ดินสอพองสะตุ  25 - 30 เม็ดใหญ่

- น้ำขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ

- น้ำไพล 1 ช้อนโต๊ะ

- น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

- น้ำมะนาว  1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ นำดินสอพองสะตุมาบดละเอียดใส่ส่วนผสมทุกอย่างคนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วตัว ทิ้งไว้ 20 - 30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นตามด้วยน้ำเย็นอีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขนสำหรับ คนผิวมันให้ลดน้ำมันมะกอกลงเหลือ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วเพิ่มน้ำมะนาวเป็น 2 ช้อนโต๊ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:00
สูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง "เพื่อผิวหน้าเนียนนุ่ม"
วันนี้ชวนคุณผู้หญิงให้มีผิวหน้าเนียนนุ่มกันด้วยสูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้งกัน แบบง่าย ๆ เลยค่ะ เพราะว่าขั้นตอนของ สูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง นี้ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใดทำง่าย ๆ มาก ๆ แต่ก็มีผิวหน้าที่เนียนนุ่มได้แล้วล่ะจ๊ะ ใครอยากให้ตัวเองมีผิวหน้าเนียนนุ่มก็ลองนำ สูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง นี้ไปใช้กันดูได้เลยนะจ๊ะ น้ำผึ้งนั้นเป็นส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติซึ่งไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด ทานก็ดีต่อร่างกายนำมาทาผิวก็ยิ่งส่งเสริมผิวพรรณให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วยเรียก ได้ว่าครบสูตรแบบทูอินวันเลยทีเดียวค่ะ นั้นเรามาเริ่มสูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้งกันเลยค่ะ
สูตรพอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง

น้ำผึ้งนอกจากจะมีรสหวานอร่อยเพราะมีส่วนผสมของน้ำตาลกลูโคล์สถึง 79% แล้ว ยังมีกรดชนิดต่าง ๆ ผสมอยู่ในปริมาณสูงจึงสามารถนำมาเป็นมาส์กพอกหน้าเพื่อกำจัดเซลล์ผิวที่ตาย แล้วออกไปได้ โดยอุ่นน้ำผึ้งให้ร้อนขึ้นเล็กน้อยในไมโครเวฟ จากนั้นทำความสะอาดผิวหน้าและใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้ง ใช้นิ้วมือหรือแปรงที่มีขนอ่อนนุ่มทาน้ำผึ้งอุ่น ๆ (ไม่ใช่ร้อน) ลงบนใบหน้า ปล่อยทิ้งไว้สิบนาทีแล้วล้างออกเบา ๆ ด้วยน้ำอุ่นและซับด้วยผ้าขนหนูนุ่ม ๆ

การพอกหน้าด้วยน้ำผึ้งนี้จะทำให้คุณรู้สึกว่าผิวเนียนนุ่มขึ้นได้ทันทีและ การพอกหน้าตำรับนี้คุณยังสามารถทำได้บ่อยตามต้องการ เพราะน้ำผึ้งไม่มีกรดที่รุนแรงต่อผิวหน้า


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:01
6 สูตร มาส์กหน้า
วันพาคุณผู้หญิงมาปรณิบัติผิวด้วยมาส์กหน้าอย่างไรได้ผล เพื่อให้ผิวของคุณได้รับสารบำรุงอย่างล้ำลึกและเพื่อเป็นการช่วยให้ผิว ของคุณได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่อีกด้วยค่ะ หากว่าคุณ มาส์กหน้า อย่างสม่ำเสมอผิวของคุณก็จะเนียนนุ่มสดใสและมีชีวิตชีวาอย่างไม่น่าเชื่อเลย ล่ะค่ะ สูตรมาส์กหน้า ต่อไปนี้ควรทำอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ค่ะ
มาส์กหน้า

1.มาส์กหน้าสูตรน้ำผึ้ง

ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียวนวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด


2.มาส์กหน้าสูตรแอปเปิ้ล

ปอกแอปเปิ้ลคว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้าง ตามด้วยน้ำสะอาดอีกที


3.มาส์กหน้าสูตรแตงโม

ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้าแล้วใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

4.มาส์กหน้าสูตรไข่ขาว

ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่มจุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หรือพอไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็งแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

5.มาส์กหน้าสูตรมะเขือเทศ

ฝานมะเขือเทศชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็นเช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด

6.มาส์กหน้าสูตรโยเกิร์ต

สำหรับทุกสภาพผิว โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวคั้นสดๆ 1 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากันแล้วพอกทั้งหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึกและบำรุงผิว ให้ชุ่มชื้น

ข้อควรระวัง

หากมีอาการคันหรือระคายเคืองระหว่างการมาส์กหน้าให้หยุดขั้นตอนการทำแล้วรีบล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดทันที


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman Plus

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:02
การดูแลผิวรอบดวงตา "ให้ผ่อนคลาย"
การดูแลผิวรอบดวงตาก็ จัดว่าสำคัญมาก ๆ ไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าเลยนะค่ะ เราควรจะทำ การดูแลผิวรอบดวงตา และหาวิธีผ่อนคลายให้กับผิวรอบดวงตาผู้บอบบางที่สุดค่ะ ด้วย เคล็ดลับ การดูแลผิวรอบดวงตา ให้ผ่อนคลายนี้จะได้ประโยชน์ทั้งผิวรอบดวงตาของคุณและดวงตาคู่งามของคุณก็ ได้ผ่อนคลายไปด้วยค่ะ จบจากการดูแลผิวรอบดวงตาแล้วก็มีวิธีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รอบดวงตามาฝากกัน อีกด้วยนะค่ะ
เคล็ดลับ การดูแลผิวรอบดวงตา

ใช้ ปลายนิ้วชี้ กลาง และนาง ยืดคิ้วออกด้านข้าง 3 ครั้งใช้นิ้วกลางของทั้งสองข้างหมุนวนรอบดวงตาพร้อม ๆ กัน โดยวนตามเข็มนาฬิกา ในทุกครั้งให้หยุดกดที่บริเวณหัวคิ้วทำแบบนี้ซ้ำทั้งหมด 6 รอบ และใช้นิ้วกลางกดจุดไล่ตั้งแต่หัวคิ้วถึงขมับ 3 รอบ กดจุดไล่ลงมาที่บริเวณใต้ตาไล่ตั้งแต่หัวตาถึงหางตา 3 รอบ ใช้นิ้วกลางนวดที่บริเวณขมับหมุนเป็นรูปเลขแปดทำซ้ำทั้งหมด 6 รอบ ทำซ้ำขั้นตอนที่ 2-5 ทั้งหมด 3 รอบ นำมือทั้งสองข้างปิดที่ดวงตา ลากน้ำหนักที่ปลายนิ้วออกไปที่ด้านข้างกรอบหน้าแล้วจึงค่อย ๆ ยกฝ่ามือออกจากใบหน้าเพียงเท่านี้ก็จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้

หาก ต้องการความอ่อนเยาว์ของดวงตาควรเข้ารับการตรวจตาเป็นประจำทุก ๆ 2-4 ปี และทุก ๆ 1-2 ปี สำหรับผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ที่ต้องนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ เริ่มฝึกนิสัยพักสายตาโดยการมองออกไปไกล ๆ ทุก ๆ 10-15 นาที สวมใส่แว่นตาดำที่ปกป้องและกรองแสงยูวีทุก ๆ ครั้งที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสควันและฝุ่นละอองต่าง ๆ โดยตรง


การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์รอบดวงตา

การ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับรอบดวงตาควรเลือกครีมที่ใช้สำหรับรอบดวงตาโดยเฉพาะ ห้ามนำครีมทาหน้ามาใช้ปะปนกัน ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้เกิดอาการอักเสบบวมได้ เนื่องจากเนื้อครีมที่ข้นเกินไปอาจซึมลงไปอุดตันท่อน้ำตาได้ ควรเลือกซื้อครีมที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติเพื่อความอ่อนโยนต่อผิวที่บอบบาง ที่สุด และสำหรับกลุ่มวัยรุ่นหรือผู้ที่มีผิวมันให้มองหาผลิตภัณฑ์ประเภทเจลเพิ่ม ความสดชื่นจะเหมาะที่สุด แต่ไม่ว่าเป็นครีมชนิดใดก็ตามควรมีกันแดดผสม

สำหรับ วิธีใช้ ให้ทารอบดวงตาด้วยนิ้วนาง (เพราะแรงกดน้อยที่สุด) ทาวนจากหัวตาด้านล่างวนขึ้นสู่หัวตาด้านบน จะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและลดริ้วรอยที่จะเกิดในอนาคตได้อีกด้วยอ่าน แล้วอย่าลืมหันมาดูแลรักษาผิวรอบดวงตาของเรากันด้วนะค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็น

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:05
วิธีดูแลผิวรอบดวงตา ให้ถูกวิธี
วันนี้เรามีวิธีดูแลผิวรอบดวงตามาฝากคุณผู้หญิงที่กำลังมี อุปสรรคมากั้นกลางความสวยบนใบหน้าของคุณค่ะ ด้วย วิธีดูแลผิวรอบดวงตา จะช่วยในเรื่องของ ถุงใต้ตา ขอบตาคล้ำเป็นแพนด้าน หรือกระทั้งริ้วรอยเราก็ช่วยคุณได้ด้วย วิธีดูแลผิวรอบดวงตา นี้ค่ะ เฮ้ย..อุปสรรคในการสวยของผู้หญิงอย่างเรานี่มีเยอะเหลือเกินเนอะแต่ไม่ เป็นไรนะถ้าเป็นเรื่องรอบดวงตาละก็ให้ วิธีดูแลผิวรอบดวงตา ช่วยล่ะกันนะจ๊ะ

วิธีดูแลผิวรอบดวงตา

ในแต่ละวันคุณอาจต้องสบตากับคนนับร้อยผิวรอบดวงตาจึงเป็นส่วนที่คน อื่นจะมองเห็นชัดมากที่สุด ถ้าตาบวมตุ่ยหรือใต้ตาดำคล้ำก็เท่ากับสูญเสียความสวยไปแล้วครึ่งหนึ่ง ถ้าคุณเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีแก้ไขอย่างถูกวิธีก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะมีผิว รอบดวงตาที่สวยสะดุดใจ

ตาบวม

อาการบวมใต้ดวงตาเกิดมาจากการที่มีของเหลวมาคั่งอยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งมักเกิดขึ้นในตอนตื่นนอนเนื่องจากการสะสมตัวของของเหลวขณะนอนหลับหรือ เกิดจากการร้องไห้มาก ๆ เป็นไซนัสมีอาการภูมิแพ้ นอนไม่พอ ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปและอาการบวมน้ำช่วงก่อนมีประจำเดือน

ข่าวดีก็คือ ตาบวมนี้จะเป็นแค่ชั่วคราวและแก้ไขง่ายโดยการนอนหนุนหมอนสูงหรือช่วยเร่งการ ระบายของเหลว ด้วยการใช้ปลายนิ้วค่อย ๆ กดไล่น้ำบริเวณใต้ตาจากหัวตาออกไปทางหางตาหรือใช้ความเย็นประคบไม่ว่าจะเป็น น้ำแข็ง หรือทาครีม เจล หรือมาส์กบำรุงผิวรอบดวงตาที่แช่ไว้ในตู้เย็น

แต่อย่าสับสนระหว่างถุงใต้ตากับอาการตาบวมเพราะอาการคั่งของของเหลวเช่นนี้ มันอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเดียวกันแต่จริง ๆ แล้วถุงใต้ตาเกิดจากการสะสมตัวของไขมันไม่ใช่ถุงน้ำใต้ตา ซึ่งมักเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์หรือเมื่อมีอายุมากขึ้นคุณก็อาจพบกับปัญหา นี้ได้เช่นกัน เนื่องเพราะผนังกล้ามเนื้อรอบเบ้าตาอ่อนแอไขมันรอบนอกจึงย้อยออกมารวมตัว ด้านหน้าเป็นถุงซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดหรือถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็อาจ บรรเทาได้ด้วยผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ช่วยเพิ่มอิลาสตินแต่ผลที่ได้ไม่ถาวรและอาจ เห็นผลไม่ชัดเจนเท่า


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:05
รอยคล้ำใต้ตา

รอยคล้ำใต้ตาเหมือนหมีแพนด้าแต่ไม่น่ารักเหมือนหมีแพนด้าตัวจริง เป็นอีกปัญหาที่บั่นทอนความงามของสาว ๆ และสาเหตุที่ทำให้ตาคล้ำเช่นนี้มีอยู่ 3 ข้อใหญ่ ๆ ซึ่งมีวิธีแก้แตกต่างกันไปนั่นก็คือ

- โครงสร้างของกระดูกเบ้าตา สาวที่มีเบ้าตาลึกรอยคล้ำจะยิ่งเห็นชัดขึ้น วิธีเดียวที่ช่วยได้ก็คือปกปิดรอยคล้ำซึ่งมักจะเป็นสีออกน้ำเงินด้วยคอนซี ลเลอร์ที่มีสีออกเหลือง

- เม็ดสีใต้ผิวหนัง กรรมพันธุ์ทำให้เม็ดสีผิวใต้ตาคล้ำกว่าส่วนอื่น ๆ คุณอาจใช้ครีมบำรุงที่ผสมวิตามินเอช่วยได้บ้าง แต่ต้องซ่อนด้วยคอนซีลเลอร์จะดีที่สุด

- การอักเสบบวมของเส้นเลือด การนอนดึกติดต่อกัน ภูมิแพ้และขาดสารอาหารจะทำให้เส้นเลือดใต้ผิวบาง ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นเพราะเลือดไปคั่งอยู่จึงเห็นความคล้ำชัดเจนสามารถอำพรางได้ ด้วยคอนซีลเลอร์อีกเช่นกัน หรือหากมีเวลาก็แปะแตงกวาเย็น ๆ ที่ล้างสะอาดหรือถุงชาแช่เย็นซัก 5-10 นาที ความเย็นจะช่วยทำให้เส้นเลือดหดตัวลงได้แต่ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอและเปลี่ยน สไตล์การใช้ชีวิตด้วย

ริ้วรอยรอบดวงตา

ริ้วรอยรอบดวงตาส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นเนื่องจากวัยมันมีเหตุผลหลายอย่างที่ทำ ให้เกิดริ้วรอยเมื่อเราอายุมากขึ้น โดยสาเหตุหลัก ๆ ก็คือ การลดลงของคอลลาเจนและอิลาสติน กรดไฮยาลูรอนิกในผิวที่ลดลงและสารอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ผิว นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวแสดงอารมณ์ต่าง ๆ บนใบหน้าที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน ก็มีส่วนในการทำให้ริ้วรอยต่าง ๆ แสดงตัวอย่างชัดเจนมากขึ้นด้วย

แต่การดูแลผิวอย่างเหมาะสมด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับดวงตาอย่างเช่น ครีมหรือเจลจะสามารถป้องกันริ้วรอยบาง ๆ รอบดวงตาได้โดยเลือกอายครีมที่ไม่เพียงแต่ให้ความชุ่มชื้นหากมีส่วนผสมที่ สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวได้ด้วย

อายครีมป้องกันริ้วรอยได้อย่างดีอายครีมเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกัน ริ้วรอยรอบดวงตาและควรใช้เป็นประจำทุกวัน เนื่องจากผิวบริเวณรอบดวงตามีปริมาณไขมันในผิวต่ำทำให้ผิวใต้ตาสามารถแห้ง ได้ง่ายเพราะมีปริมาณไขมันในชั้นผิวน้อย อายครีมจะช่วยรักษาทั้งความชุ่มชื้นและป้องกันรวมถึงลดเลือนริ้วรอยที่มี อยู่แล้วให้จางลงไปได้

สิ่งสำคัญไม่แพ้การเลือกอายครีมหรือเจลที่เหมาะกับสภาพผิวก็คือวิธีการทาควร ทาอายครีมลงบนผิวแห้งหรือชื้นเล็กน้อยหลังการทำความสะอาดและไม่มีผลิตภัณฑ์ อะไรทาอยู่ก่อน เราจึงแนะนำให้ทาอายครีมเป็นอย่างแรกก่อนทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอื่น ๆ ซึ่งควรหลีกเลี่ยงบริเวณบอบบางรอบดวงตาด้วย ในขณะที่ทาครีมเหล่านี้ควรใช้วิธีการตบเบา ๆ ลงบนผิวอย่าลากหรือดึงผิวหนังที่จะทำให้ผิวใต้ดวงตาเพราะเส้นเลือดที่อยู่ ใกล้กับผิวในบริเวณนี้มีความบอบบางมาก

การถูหรือดึงผิวรอบดวงตายังสามารถทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลงและนำไปสู่ ความหย่อนคล้อยของผิวและรอยย่นที่มากขึ้นด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงการถูหรือดึงผิวบริเวณนี้และใช้นิ้วก้อยหรือนิ้วนางในการทา ครีมเนื่องจากเป็นนิ้วที่มีแรงกดน้อยที่สุด

นอกจากนี้เพื่อป้องกันอันตรายจากแสงแดดจึงเป็นไอเดียที่ดีในการทาครีม ซึ่งมีส่วนผสมของสารกันแดดเพื่อปกป้องผิวรอบดวงตาในเวลากลางวันด้วย

ดูแลเปลือกตา

เปลือกตาต้องโดนกระหน่ำเมกอัพหลากชนิดแทบทุกวันคุณจึงลืมไม่ได้ที่จะถนอม เปลือกตาด้วยการชำระล้างเมกอัพและสิ่งสกปรกอื่น ๆ ให้เกลี้ยงก่อนเข้านอน ด้วยการแปะสำลีชุ่มอายเมกอัพรีมูฟเวอร์เพื่อให้อายเมกอัพละลายก่อนค่อย ๆ ปาดลงแล้วเช็ดซ้ำเบา ๆ จนเกลี้ยง จากนั้นอาจใช้คอตตอนบัดชุบอายเมกอัพรีมูฟเวอร์แล้วเช็ดตามขอบตาและซอกมุม เล็ก ๆ ให้สะอาดหมดจดยิ่งขึ้น

ขอขอบคุณขอมูลจาก lisa



โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:06
วิธีลดรอยคล้ำใต้ตา แบบง่ายๆ
วันนี้เรามีวิธีลดรอยคล้ำใต้ตาแบบง่ายๆ มาฝากคุณผู้หญิงค่ะ แต่หากจะใช้ วิธีลดรอยคล้ำใต้ตา อย่างได้ผลก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดด้วยนะค่ะ วิธีลดรอยคล้ำใต้ตา ถึงจะได้ผลจนถึงขีดสุดค่ะ ด้วย วิธีลดรอยคล้ำใต้ตา นี้จะเป็น วิธีลดรอยคล้ำใต้ตาแบบง่ายๆ ซึ่งขั้นตอนนั้นก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใดหากแต่มีเพียงบางข้อเท่านั้นที่คุณ ผู้หญิงอาจจะใจไม่แข็งพอ แต่ถ้าอยากสวยในไร้ความหมองคล้ำใต้ตาล่ะก็ต้องอดทนกันหน่อยนะค่ะ ฟังดูเหมือนวิธีลดรอยคล้ำใต้ตานี้จะยากอยู่สักหน่อย แต่อันที่จริงแล้วไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ
วิธีลดรอยคล้ำใต้ตา

1. ควรลดปริมาณการดื่มกาแฟ และไม่สูบบุหรี่

การรับประทานอาหารเผ็ด อาหารเค็มและการสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การทานช็อคโกแล็ตพฤติกรรมหล่านี้จะทำให้การไหลเวียนเลือดไม่สมบูรณ์

2. การทำความสะอาดรอบดวงตา

รอบดวงตาควรได้รับการล้างทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้น้ำยาล้างทำความสะอาดที่มีคุณสมบัติในการล้างสิ่งสกปรกตกค้าง คราบไขมันได้สะอาดหมดจรดที่จากเกิดจากผลกระทบของลมและแสงแดด

3. พยายามอย่าเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ

ความเครียด การนอนหลับน้อย การพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวมีการผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้น

4. ดูแลผิวบริเวณรอบดวงตาด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของวิตามินที่เหมาะสมเป็นประจำ จะสามารถคืนความกระจ่างใสแก่ดวงตาได้ง่ายขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:07
วิธีรักษาขอบตาดำ "เพื่อใบหน้าที่สดใส"
ขอบตาดำคล้ำ เป็นเหตุให้ ดวงตาไม่สวย ไม่สดใส วันนี้เรามีวิธีรักษาขอบตาดำมา ฝากด้วยนะ ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งต้องควรรู้ วิธีรักษาขอบตาดำ กันไว้ด้วยนะ เพราะว่าเวลาที่คนเรามีใต้ตาดำคล้ำหรือขอบตาดำคล้ำนั้นจะส่งผลต่อสีหน้าของ เราอย่างมากเลยค่ะ เวลามีคนที่มองหน้าเราก็จะรู้เหมือนว่าใบหน้าเราเศร้าหมองทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย คุณผู้หญิงคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวคุณใช่ไหมค่ะ ฉะันั้นเรามารู้จักกับ สาเหตุที่ทำให้ขอบตาดำกันจะได้หาวิธีป้องกันกันไว้ก่อน หรือถ้าไม่มีล่ะก็เราก็ยังมี วิธีรักษาขอบตาดำ ของคุณอีกด้วยค่ะ

วิธีรักษาขอบตาดำ

สาเหตุของขอบตาดำ

ขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ ดังนี้

- กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำแล้วลองหันไปมองญาติพี่น้องพ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียว กับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก

- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้จะพบว่า เส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไปและเส้นเลือดดำเหล่านี้ นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

- การระคายเคืองแถว ๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น

- แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีมซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่

- อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อย ๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้นเพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม

- เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้าง เม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบ ๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ

วิธีรักษาขอบตาดำ

ถ้าไม่ใจร้อนรักษาแบบได้ผลช้า ๆ ก็ใช้เป็นยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้นและได้ผลเร็ว ๆ การรักษาด้วยเลเซอร์หรือเครื่องแสงเข้มข้นเป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ดและสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาดำคล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้นคล้ายกับเลเซอร์แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่ เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอย ๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้

ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องรักษากันนานและถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดีนอนหลับ ไม่เพียงพอไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:08
วิธีรักษารอยคล้ำใต้ตา "แบบเร็ว!!"
วันนี้เรามีวิธีรักษารอยคล้ำใต้ตาแบบเร็ว! มาฝากหลายคุณผู้หญิงหลาย ๆ ท่านที่กำลังกลุ้มใจเหลือเกินกับรอยคล้ำใต้ตาเพราะต้องรีบออกไปงานปาร์ตี้ แล้ว เกิดเพื่อน ๆ หรือใครเห็นก็อดที่อายไม่ได้เลยค่ะ เดี๋ยวหาว่าเรานั้นไปอดหลับอดนอนที่ไหนมาอย่างงี้แย่เลย แต่ไม่เป็นไรนะค่ะเพราะวันนี้เรามี วิธีรักษารอยคล้ำใต้ตา แบบเร็วแถมยังมาจากธรรมชาติอีกด้วยค่ะ และ วิธีรักษารอยคล้ำใต้ตา วัตถุดิบที่ต้องใช้มีเพียงหนึ่งอย่างเท่านั้นก็คือ มันฝรั่งนั่นเองค่ะ หลายคนอาจจะไม่เชื่อว่ามันฝรั่งช่วยรักษารอยคล้ำใต้ตาได้จริงหรือนั้นเรามี ดู วิธีรักษารอยคล้ำใต้ตา "แบบเร็ว!!" กันเลยค่ะ
วิธีรักษารอยคล้ำใต้ตา

ถ้าคุณมีรอยคล้ำใต้ตามากกว่าปกติ ก็วางมันฝรั่งที่ฝานเป็นแผ่นบาง ๆ ไว้บนบริเวณใต้ตาเป็นเวลา 10 นาที มัน ฝรั่งมีเอนไซม์ที่ทำให้ผิวดูอ่อนจางลงได้ จึงช่วยลดความหมองคล้ำให้คุณได้ชั่วคราว วิธีนี้จึงเหมาะจะใช้เวลาที่คุณต้องการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:09
สูตรลดริ้วรอยรอบดวงตา "อย่างได้ผล!!!"
สาวไหนอยากลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตาอย่างได้ผลมาฟังความลับทางนี้เลยจ้า เพราะว่าเรานำสูตรลดริ้วรอยรอบดวงตาอย่าง ได้ผลสูตรความลับแต่ต่อไปนี้จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป เพราะว่าเราจะนำ สูตรลดริ้วรอยรอบดวงตา นี้มาฝากสาว ๆ กันในวันนี้นะซิค่ะ และวัตถุดิบที่ใช้ใน สูตรลดริ้วรอยรอบดวงตา นี้คุณผู้หญิงหลาย ๆ คนอาจจะคาดไม่ถึงก็ได้ว่าใช้ได้ด้วยเหรอ อยากรู้ไหมว่าวัตถุดิบที่ว่านี้ที่ใช้ในสูตรลดริ้วรอยรอบดวงตานี้คืออะไรกัน เอ่ย...นั่นก็คือ วิตามินซี นั่นเองค่ะ อยากรู้ไหมว่าเราจะใช้วิตามินซีกับสูตรลดริ้วรอยรอบดวงตาอย่างไรนั่นเราก็มา ดูกระบวนการสูตรลดริ้วรอยรอบดวงตากันเลยดีกว่าค่ะ
สูตรลดริ้วรอยรอบดวงตา VS วิตามินซี

เพิ่มประสิทธิภาพให้แก่อายครีมของคุณด้วยการผสมน้ำร้อน 1/2 ช้อนชากับวิตามินซี 1 เม็ด ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นก่อนนำมาผสมกับอายครีมของคุณ แล้วนำมาแตะแต้มบริเวณใต้ตาเบา ๆ ก็จะช่วยลดเลือนริ้วรอยให้คุณได้ ถ้าคุณใช้อย่างต่อเนื่อง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:14
เป็นสิวทําไงดี? เรามี! "วิธีการรักษาสิว"
เป็นสิวทําไงดี? เป็นสิวทําไงดี? เป็นสิวทําไงดี? วันนี้เรามีวิธีการรักษาสิวแบบ ง่าย ๆ มาฝากกันด้วยค่ะ หนึ่งใน วิธีการรักษาสิว คือ ก่อนอื่นเราก็ต้องหลีกเลี่ยงสารก่อนอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เป็นสิวมากที่สุด วิธีการรักษาสิว ขั้นที่สองก็คือการเลือกใช้ยารักษาให้เหมาะสมนั่นเองค่ะ เพียงแค่คุณรู้เรื่องตัวการการทำให้เกิดสิวกับตัวยารักษาสิว เรื่อง สิว ๆ ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่อง สิว ๆ ๆ แล้วล่ะค่ะ เห็นไหมค่ะว่า วิธีการรักษาสิว ของเราในวันนี้เป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังเป็นสิวอย่างคุณมากขนาดไหน นั้นเรามาดู สารก่อสิว เพื่อให้ห่างไกลและตัวยารักษาสิวกันเลยดีกว่าค่ะ


น่ารู้เรื่อง วิธีการรักษาสิว

เขียนโดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล
- สารก่อสิว (Comedogenic agents) พบได้จากส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น

1. เครื่องสำอางที่มีไขมันและน้ำมันชนิดหนัก (heavy oils) เป็นองค์ประกอบสามารถก่อให้เกิดสิวได้ง่ายผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง ตัวอย่าง เช่น น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันมะกอก, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันถั่ว, Cocoa butter, Lanolin (จากขนแกะ), Myristyl myristate, Isopropyl myristate, Isopropyl palmitate เป็นต้น

2. ผลิตภัณฑ์สเปรย์สำหรับเส้นผม มีองค์ประกอบที่สำคัญที่ก่อสิว คือ ไอโซโพรพิวแอลกอฮอล โพลีเมอร์ในกลุ่ม PVA/PVP ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เส้นผมอยู่ทรงได้ดี สารชนิดนี้หากหายใจเข้าไปสะสมในปอดก่อให้เกิดปัญหาโรคปอดได้ง่าย

3. ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว สารก่อสิวที่สำคัญได้แก่ สารให้ฟองมาก Sodium lauryl sulfate (SLS), Ammonium lauryl sulfate (ALS) และสารปรับแต่งความเป็นกรด-ด่าง (พีเอช) เช่น โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NoaH), Triethanolamine (TEA)

4. สารกันเสียในผลิตภัณฑ์ทุกชนิด เช่น โพรพิวเมททิว พาราเบน (Propylmethyl Parabens) และอนุพันธ์ของสารพาราเบนอีกหลายชนิด

5. สีสังเคราะห์ สีสังเคราะห์ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เตรียมมาจาก coal tar จะมีส่วนผสมของโลหะหนัก นอกจากเป็นสารก่อสิวแล้วยังเป็นสารก่อมะเร็งผิวหนังอีกด้วย

6. แสงแดดและฝุ่นละออง รังสีดวงอาทิตย์มีผลต่อผู้ที่ผิวแพ้ง่ายก่อให้เกิดสิวได้ ฝุ่นละอองและควันเสียจากท่อไอเสียของรถยนต์ทำให้สิวเพิ่มความรุนแรงได้

7.ยารักษาโรค บางชนิดกระตุ้นการเกิดสิว เช่น ยาสเตียรอยด์

- ยารักษาสิว

ซาลิไซลิคแอซิด (Salicylic acid) และ เรตินเอ (Retin-A) ครีมหรือโลชั่น จะช่วยให้หัวสิวนุ่มลงและหลุดลอก

ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย เบนโซอิว เพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide), อีริโทรไมซิน ขี้ผึ้งหรือเจล, ครินดาไมซินด์โลชั่น

ซัลเฟอร์ (Sulfur) และ รีซอร์ซินอล (Resorcinol) ทำหน้าที่ทั้งต้านเชื้อแบคทีเรียและช่วยให้หัวสิวนุ่มลงและหลุดลอกง่าย

ยารักษาสิว บางชนิดอาจมีส่วนผสมของตัวยาหลายชนิดผสมกันระยะเวลาการรักษาและเห็นผลอย่าง น้อย 2 สัปดาห์ ถึง 3 เดือน แล้วแต่ความรุนแรงของสิว ยาบางชนิดได้ผลดีแต่อาจทำให้ผิวหน้าแพ้ง่ายเมื่อโดนแสงแดด เช่น เรตินเอ จึงควรใช้ร่วมกับครีมกันแดดและควรทาก่อนนอนเท่านั้นจะปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือเภสัชกรก่อนการใช้ยาเหล่านี้

- ข้อสังเกต

เครื่องสำอางที่มีฉลากคำว่า "Oil free" หรือปราศจากน้ำมัน ความจริงยังคงมีน้ำมันเป็นองค์ประกอบตามปกติ แต่เป็นน้ำมันชนิดพิเศษที่ให้ความรู้สึกไม่เหนอะหนะเท่านั้นเอง และเครื่องสำอางธรรมชาติจากสมุนไพรก็ยังคงมีส่วนผสมของสารต่าง ๆ ที่อาจเป็นสารก่อสิวได้มากมายตามที่ยกตัวอย่างข้างต้น ผู้บริโภคจึงควรพิจารณาจากฉลากและค่อย ๆ ศึกษาหรือทำความคุ้นเคยกับชื่อเคมีเหล่านี้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:15
เคล็ดลับ ผิวสวยด้วยสูตรธรรมชาติ "แบบสมุนไพร ๆ"
วันนี้ขอหยิบสมุนไพรไทย ๆ ของเราเนี่ยแหละค่ที่จะทำให้คุณผู้หญิงมีผิวสวยด้วยสูตรธรรมชาติ ๆ สาวไหนอยากประหยัดแต่ได้อะไรที่คุ้มค่ายิ่งกว่าคุ้มซะอีกก็ต้อง เคล็ดลับ ผิวสวยด้วยสูตรธรรมชาติ "แบบสมุนไพร ๆ" ของเราเนี่ยแหละค่ะ นอกจากคุณจะได้ ผิวสวยด้วยสูตรธรรมชาติ แล้วคุณยังได้ไม่ต้องเสี่ยงกับสารเคมีที่คุณยังไม่รู้อีกด้วยที่คุณกลัวว่า จะแพ้นะค่ะ จะมีอะไรที่ดีไปกว่าอะไรที่มาชากธรรมชาติแต๊ ๆ ๆ ละจริงไหมค่ะ ด้วย เคล็ดลับผิวสวยด้วยสูตรธรรมชาติ นี้จะช่วยรักษาผิวพรรณของคุณได้หลายอย่างอีกด้วยค่ะ นั้นเรามาดูกันเลยดีกว่า


4 เคล็ดลับ ผิวสวยด้วยสูตรธรรมชาติ

1. ครีมมะเขือเทศ

ที่มีสรรพคุณใช้ในทำความสะอาดผิวหน้าและช่วยป้องกันรูขุมขนอุดตัน รักษาสิวได้อีกด้วย ส่วนผสมที่ใช้ทำมี มะเขือเทศ 4 ผลน้ำผึ้งบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา ข้าวโอ๊ตบดละเอียดขนาดพอให้ครีมข้นพอกหน้าได้ ขั้นตอนเริ่มที่นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากันถูเบา ๆ บริเวณผิวที่มีปัญหาพอทั่วไว้ประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นให้สะอาด

2. ครีมล้างหน้า ขมิ้นชัน-มะขาม

มีสรรพคุณใช้ทำความสะอาดผิวหน้าและช่วยรักษาสิวที่เกิดจากการติดเชื้อ ส่วนผสมที่ใช้มีขมิ้นชันบดละเอียด 1/2 ช้อนชา น้ำผึ้งบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา มะขามเปียกที่เอาใยและเมล็ดออกหมดแล้ว 2- 3 ฝัก ทำได้โดยนำมะขามเปียกมาคั้นกับน้ำอุ่นและนมสดกรองด้วยผ้าขาวบางเติมน้ำผึ้ง และขมิ้นชันคนให้เข้ากันนำไปบดให้ละเอียดแล้วทาบาง ๆ ให้ทั่วหน้ารอให้แห้งล้างออกให้สะอาด

3. ครีมล้างหน้ามะขาม สำหรับผิวมัน

สรรพคุณใช้ล้างหน้าแทนสบู่เพื่อชำระล้างสิ่งสกปกแก่ผิวทำให้ใบหน้าขาว นุ่มนวล ส่วนผสมก็มีมะขามเปียกที่เอาใยและเมล็ดออกหมดแล้ว 2-3 ฝัก น้ำอุ่น 2 ช้อนโต๊ะ นมสด 6 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้งบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา ขั้นตอนการทำเพียงนำมะขามเปียกมาคั้นกับน้ำอุ่นและนมสดกรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำผึ้งคนให้เข้ากันนำไปบดให้ละเอียดแล้วทาบาง ๆ ให้ทั่วหน้า รอให้แห้งล้างออกให้สะอาดแต่ต้องจำไว้เสมอนะคะว่าต้องเก็บครีมล้างหน้ามะขาม ไว้ในตู้เย็นหรือนำไปนึ่งก่อนเก็บ

4. ครีมกล้วยหอม สำหรับผิวแห้ง

สรรพคุณใช้บำรุงผิวให้ความชุมชื้นและลดรอยเหี่ยวย่นของผิวโดยมีส่วนผสม ดังนี้ กล้วยหอมสุกบด 1 ผล (ประมาณ 250 กรัม) น้ำผึ้งบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา วิธีทำให้นำส่วนผสมดังกล่าวมาผสมเข้าด้วยกันนำไปบดให้ละเอียดกันนำไปบดให้ ละเอียดและใช้พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส.

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:16
น่ารู้เผย! เคล็ดลับ หน้าอ่อนกว่าวัย
วันนี้เราจะมาเผยเคล็ดลับหน้าอ่อนกว่าวัยให้แก่คุณผู้หญิง ทุกคนเลยค่ะ เรื่อง หน้าอ่อนกว่าวัย ใคร ๆ ก็อยากมีโดยเฉพาะผู้หญิงอย่างเราเมื่อย่างก้าวเข้าสู่อายุที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผิวที่ไม่ค่อยกระชับ ริ้วรอยเริ่มถามหา หรือแม้แต่ความหย่อนคล้อยของเซลล์ผิว สิ่งเหล่านี้คุณผู้หญิงคงจะไม่ต้องการจริงไหมค่ะ แล้วจะทําอย่างไรให้ดูอ่อนกว่าวัยดีล่ะทีนี้ ไม่ต้องเป็นกังวลค่ะเพราะด้วย เคล็ดลับหน้าอ่อนกว่าวัย นี้จะช่วยปกป้องผิวของคุณให้หากไกลสิ่งเหล่านี้แล้วกลับมามี หน้าอ่อนกว่าวัย อีกครั้ง และด้วย เคล็ดลับหน้าอ่อนกว่าวัย นี้ยังจะช่วยให้คุณแลดูมีผิวที่ สวย นวล เนียน และกระชับขึ้นอีกด้วยนะจ๊ะ

เคล็ดลับ หน้าอ่อนกว่าวัย
- กรดไขมันจำเป็น

กรดไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ผิวและผมของเราสวยเป็นเงางามจะมีอยู่ด้วยกันสอง ประเภท คือ โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ซึ่งกรดไขมันจำเป็นนี้ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เองจะต้องรับเข้ามาจากอาหาร ที่กินเข้าไปในแต่ละวัน คุณควรรับกรดไขมันจำเป็นเข้าไปประมาณ 15% ของแคลอรี่ทั้งหมด ซึ่งวิธีที่จะช่วยให้คุณได้รับกรดไขมันจำเป็นได้อีกทางหนึ่งก็คือ การใช้น้ำมันงาหรือน้ำมันถั่วเหลืองประกอบอาหาร แต่ที่สำคัญคุณควรลดการบริโภคไขมันอิ่มตัว และไขมันที่ผ่านกระบวนการด้วยนะเพราะไขมันเหล่านี้จะไปหยุดยั้งประสิทธิภาพ ในการทำงานของกรดไขมันจำเป็นค่ะ

กรดไขมันจำเป็นมีมากใน : ในสัตว์พบในปลาซาร์ดีน ทูน่า และแซลมอน ส่วนพืชพบในถั่ว เมล็ดพืช ถั่วเหลือง ไข่ และกุ้งนาง

- สารแอนตี้ออกซิแดนท์

ไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องร่างกายจากการคุกคามของโรคร้ายต่าง ๆ อย่างโรคหัวใจและมะเร็ง สารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินเอ ซี อี วิตามินบีเชิงซ้อนบางชนิด ซีลีเนียม แมงกานีส สังกะสี และเอนไซม์บางตัว ยังมีบทบาทหลักในการทำลายอนุมูลอิสระที่จะเข้าไปจู่โจมคอลลาเจนในผิวของเรา อีกด้วย ซึ่งถ้าหากคุณทำหยิ่งไม่ช่วยปกป้องเจ้าคอลลาเจนนี้ ผิวของคุณก็จะแห้ง เหี่ยว กร้าน และขาดความยืดหยุ่นได้ค่ะ

สารแอนตี้ออกซิแดนท์มีมากใน : ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อย่างสตรอเบอร์รี่ และราสเบอร์รี่ บร็อกโคลี แครอท มะละกอ และมะเขือเทศ

- วิตามินเอ

มีส่วนเกี่ยวข้องในการฟอกเซลล์ผิวหนังและช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นแถมยังมี ประโยชน์ต่อสุขภาพตาและผมอีกด้วย หากร่างกายได้รับวิตามินเอไม่เพียงพอ ผิวจะแห้งกร้านและเป็นขุย

วิตามินเอมีมากใน : นม เนย ตับ น้ำมันปลา และไข่

- วิตามินอี

หนึ่งในสารแอนตี้ออกซิแดนท์เมื่อทำงานร่วมกับซีลีเนียมจะช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการกำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นป้องกันริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย สีผิวซีดจาง และเป็นสิว

วิตามินอีมีมากใน : น้ำมันพืช ถั่ว และเมล็ดธัญพืช เนยถั่ว ธัญพืช อะโวคาโด และมันเทศ
- เบต้าแคโรทีน

เป็นรูปหนึ่งของวิตามินเอที่พบในพืชที่ร่างกายสามารถดัดแปลงเพื่อนำไปใช้ ประโยชน์ได้ ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแก่เกินวัยอันมีสาเหตุเนื่องมาจากถูกแสงแดดทำลาย

เบต้าแคโรทีนมีมากใน : ผักสีเขียวเข้มอย่างผักโขม บร็อกโคลี ส้ม มะม่วง มันเทศ ฟักทอง มะเขือเทศ และแอพริคอท

- ซีลีเนียม

ป้องกันเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระช่วยให้ผิวชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน เมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอีจะช่วยให้การทำงานของภูมิคุ้มกันร่างกายเป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ

ซีลีเนียมมีมากใน : เนื้อสัตว์ อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ ชีส ไข่ เห็ด ถั่ว และธัญพืช

- วิตามินบีเชิงซ้อน

วิตามินบีช่วยนำพลังงานจากอาหารมาให้กับกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของผิวหนังทำให้ผิวชุ่มชื้นและเนียนสวย

วิตามินบีเชิงซ้อนมีมากใน : นม ไขมันปลา เนื้อหมู เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ ไข่ กล้วย ถั่วเหลือง ธัญพืช และเนยถั่ว

- วิตามินซี

จัดเป็นหนึ่งในสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีความจำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนช่วยไม่ให้ผิวเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร


เมื่อรู้คุณสมบัติอย่างนี้แล้ว ไหนเรามาลองเดากันเล่น ๆ ดูซิคะว่า เมนูข้างล่างนี้อันไหนนะมีวิตามินซีมากที่สุด

เม็ดมะม่วงหิมพานต์ (167 มิลลิกรัม)

สตรอเบอร์รี่ (97 มิลลิกรัม)

มะนาว (41 มิลลิกรัม)

มะเฟือง (33 มิลลิกรัม)

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman Plus


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:17
เผย! เคล็ดลับหน้าอ่อนเยาว์
วันนี้เราจะมาเผยเคล็ดลับหน้าอ่อนเยาว์ให้กับคุณผู้หญิง ได้รู้กันค่ะ สัญญาณผิวร่วงโรงแห่งวัยนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้หญิงอย่างเราไม่สามารถ หลีกเลี่ยงหรือหลีกหนีได้ ฉะนั้นเราจึงต้องการ เคล็ดลับหน้าอ่อนเยาว์ เพื่อช่วยชะลอสัญญาณผิวร่วงโรงแห่งวัยนี้ และวันนี้เราก็มี เคล็ดลับหน้าอ่อนเยาว์ มาบอกกันแล้วอย่าได้กังวลไปใย สำหรับริ้วรอยแห่งวัยมักจะเกิดขึ้นที่รอบดวงตาก่อนเป็นอันดับแรกมีเราเริ่ม มีอายุที่มากขึ้น เราจึงควรทำการป้องกันผิวสวยของเรากันก่อนเป็นอันดับแรกเลยนะค่ะ และเคล็ดลับหน้าอ่อนเยาว์นี้ช่วยคุณได้ค่ะ

4 เคล็ดลับหน้าอ่อนเยาว์

1. ดูแลผิวให้ดี สภาพผิวของคุณจะเป็นยังไงก็ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวของคุณเอง ปัจจัยทางด้านสภาวะแวดล้อมและพฤติกรรมคือเหตุผลหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อน วัย ฉะนั้นถ้าคุณไม่มีความเครียด ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่โดนแดนเผา และไม่กินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพแล้วละก็ริ้วรอยตามวัยก็อาจจะไม่โผล่ออกมา ก่อนที่คุณจะอายุครบ 45 ปี

2. ใช้สารต่อต้านอนุมูลอิสระ การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจึงแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารต่อต้าน อนุมูลอิสระอย่างชาเขียว ไลโคปีน โคเอนไซม์ คิว 10 รวมทั้งวิตามินซีและอีก่อนที่จะมีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น

3. ใช้อายครีม สัญญาณแห่งวัยมักจะเกิดขึ้นแถว ๆ ดวงตาเป็นที่แรกคุณจึงควรใช้อายครีมเป็นประจำ ซึ่งในสมัยนี้มีครีมดี ๆ ให้คุณเลือกมากมาย แต่คุณควรทาอย่างเบามือเพราะผิวรอบดวงตานั้นค่อนข้างบอบบาง

4. งดน้ำตาล มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นได้ง่าย เพราะน้ำตาลจะเข้าไปเกาะเส้นใยโปรตีนในผิว ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่นคุณจึงควรลดการบริโภคน้ำตาลรวมทั้งอาหารประเภท แป้งด้วย เพราะแป้งเมื่อย่อยแล้วก็จะเปลี่ยนรูปเป็นน้ำตาลเหมือนกัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:20
อาหารเสริมผิวสวย ผิวขาว ผิวใส ผิวอมชมพู
วันนี้เรานำความรู้อาหารเสริมผิวสวย ผิวขาว ผิวใส ผิวอมชมพู มาฝากคุณผู้หญิงทั้งกันด้วยค่ะ เป็นที่รู้กันดีว่าอาหารเสริมผิวสวย ผิวขาว ผิวใส ผิวอมชมพู ณ เวลานี้มีกันออกมามากมายและหลากหลายเหลือเกิน ฉะนั้นแล้วหากว่าคุณผู้หญิงต้องจะเลือก อาหารเสริมผิวสวย ให้เหมาะกับสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้วยิ่งต้องรู้เรื่อง อาหารเสริมผิวสวย กันเอาไว้เลยนะค่ะ และวันนี้เราก็มี 7 อาหารเสริมผิวสวย มาฝากให้คุณผู้หญิงได้เลือกกันอีกด้วยค่ะ นั้นเรามาดูคำแนะนำของอาหารเสริมผิวสวย ผิวขาว ผิวใส ผิวอมชมพู กันเลยค่ะ ต่อไปคุณผู้หญิงหญิงจะได้เลือกอาหารเสริมเพื่อการบำรุงผิวพรรณได้อย่างถูก ต้องค่ะ


7 อาหารเสริมผิวสวย ผิวขาว ผิวใส ผิวอมชมพู

1. กลูตาไธโอน (Glutathione)

- เป็นสารสกัดที่ได้มาจากปลา เนื้อ แอสพารากัส อะโวคาโด และวอลนัท

- ทำให้สีผิวสม่ำเสมอ จุดด่างดำดูจางลง และทำให้ผิวขาวขึ้น

- คุณสมบัติของสาร Detoxification ที่มีอยู่จะเปลี่ยนสารพิษต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่ในร่างกายและขับถ่ายทิ้ง

- ช่วยเร่งประสิทธิภาพการทำงานของวิตามิน C และ E ให้ดูดซึมได้ดีขึ้น

- ไม่พบว่ามีผลข้างเคียงใด ๆ ต่อผู้ใช้

- ขนาดที่ควรรับประทานอยู่ที่ 500-1000 มิลลิกรัมต่อวัน

2. โคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10)

- ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ลดการเกิดริ้วรอย ป้องกันผิวหนังอักเสบจากแสงแดด และช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้เซลล์ผิวทำให้ผิวยืดหยุ่นแข็งแรง

- พบมากในอาหารทะเล เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว น้ำมันถั่วเหลือง บรอคโคลี่ เป็นต้น

- ถูกดูดซึมได้ดีหากรับประทานพร้อมกับอาหารที่มีไขมัน

- ปริมาณที่แนะนำคือ 30 มิลลิกรัมต่อวัน

- เปลือกสนสกัด (Pine Bark)

- ช่วยทำให้ผิวขาว ใส และลดปฏิกิริยาการเพิ่มเม็ดสีของผิวหนังเมื่อถูกแดด รวมทั้งลดขนาดและความเข้มของฝ้าโดยไม่มีผลข้างเคียงกับผิวบริเวณอื่น

- ไม่มีปฎิกิริยากับยา สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวอื่น ๆ

- ปริมาณที่ควรรับประทานนั้นอยู่ที่ 20-25 มิลลิกรัมต่อวัน

3. สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract)

- ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวและป้องกันผิวจากรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตรวมทั้งลดอาการแพ้จากสภาพแวดล้อมและเครื่องสำอาง

- ควรรับประทานในปริมาณที่ 20-60 มิลลิกรัมต่อวัน


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:21
4. สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract)

- ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอย

- สามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ได้ดี

- ขนาดรับประทานที่แนะนำอยู่ที่ 300-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

5. ไลโคพิน (Lycopene)

- พบมากในผักและผลไม้บางชนิด เช่น แอพรีคอต เกรฟฟรุ๊ต แตงกวา มะเขือเทศ และแตงโม

- มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระและชะลอความชราสูงกว่าเบตาแคโรทีนถึง 2 เท่าและให้สารอาหารได้มากกว่ากว่าวิตามินอีถึง 1000 เท่า

6. น้ำมันสกัดจากดอกอีฟนิ่งพริมโรส (Evening Primrose Oil)

- ป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิวหนังให้ผิวคงความชุ่มชื่น สดใส เปล่งปลั่ง ปรับสภาพผิวที่แห้งกร้านให้ดูนุ่มขึ้น ลดริ้วรอยและความหมองคล้ำของผิวพรรณ ลดการเกิดสิวอุดตัน ตลอดจนช่วยรักษาอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวหนังแห้ง รวมถึงอาการผมร่วง มีรังแค และเล็บเปราะได้

- อาจเกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น อาการคลื่นไส้ ท้องอืดเฟ้อ ปวดศีรษะ อาการผื่นแพ้ และอาการลมชักกำเริบ ฯลฯ จึงควรรับประทานผลิตภัณฑ์พร้อม ๆ กับการรับประทานอาหารเพราะสามารถลดอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้

7. บริเวอร์ยีสต์ (Brewer's Yeast)

- อุดมไปด้วย Biotin หรือวิตามิน B ชนิดหนึ่งซึ่งช่วยให้เล็บที่เปราะแข็งแรงขึ้น และช่วยบำรุงสุขภาพผมและยังมีสรรพคุณในเรื่องการรักษาสิวได้ผลดี รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการชะลอความชรา

- ขนาดรับประทานที่แนะนำอยู่ที่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน

- บริเวอร์มีผลต่อตัวยาอื่น การใช้จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน โรคเก๊าท์ หรือมีระบบภูมิคุ้มกันเสียหายอย่างรุนแรงควรหลีกเลี่ยง ทั้งนี้บริเวอร์ยีสต์ยังมีผลข้างเคียงกับผู้ที่ร่างกายแพ้ต่อการสัมผัสได้ ง่าย คืออาจก่อให้เกิดอาการไมเกรน ปวดหัว บางครั้งอาจมีอาการผื่นคัน อาการบวมน้ำ หรือเป็นหัดได้

- การใช้ครั้งแรกอาจก่อให้เกิดแก๊สในลำไส้ ดังนั้นจึงควรเริ่มใช้แต่น้อยก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่แนะนำ หากมีอาการคลื่นเหียนอาเจียน ควรหยุดใช้ทันทีและรีบปรึกษาแพทย์

น่ารู้เรื่อง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมผิวสวย ผิวขาว ผิวใส ผิวอมชมพู

สารสกัดเหล่านี้มีทั้งในรูปของสารสกัดบริสุทธิ์และรูปของอาหารเสริมที่มีจุด มุ่งหมายเฉพาะด้าน เช่น เพื่อให้ผิวขาว ลดกระและฝ้า ลดริ้วรอยหรือให้ผิวพรรณผ่องใส ซึ่งบนฉลากผลิตภัณฑ์ไม่สามารถบอกสรรพคุณนั้น ๆ ได้ เพราะกฎหมายกำหนดไว้ สังเกตได้จากกล่องอาหารเสริมทุกกล่องจะระบุว่า "การได้รับปริมาณอาหารที่จำเป็นนั้น ควรได้รับจากสารอาหารให้ครบ 5 หมู่" เพราะอาหารเสริมไม่ใช่สิ่งจำเป็น

ก่อนตัดสินใจเลือกใช้อาหารเสริมชนิดใดควรรู้ความต้องการของตนเองเสียก่อน เพื่อจะได้พิจารณาสารที่เป็นส่วนประกอบในอาหารเสริมได้อย่างเหมาะสมหลายคน เข้าใจว่า ยิ่งมีสารมากตัวเท่าไหร่ยิ่งดีประสิทธิภาพยิ่งสูงทั้ง ๆ ที่บางครั้งเราไม่ได้จำเป็นต้องใช้สารตัวนั้นเลย แถมยิ่งมีสารมากตัวราคาก็ย่อมมากขึ้นด้วย ที่สำคัญในทุก ๆ ผลิตภัณฑ์จะระบุปริมาณของสารแต่ละชนิดที่ผสมอยู่ การมีปริมาณสารที่มากหรือน้อยเกินไปย่อมเกิดผลเสียทั้งนั้น

ถ้าคุณต้องการเลือกบริโภคอาหารตามธรรมชาติเพื่อให้ได้รับสารเหล่านั้นแทนการ กินในรูปอาหารเสริมก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องรับประทานในปริมาณที่มากกว่าเพราะตัวสารสกัดนั้นได้ดึงเอาเฉพาะ สารที่ต้อง
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:21
การเพื่อความสะดวกเป็นสำคัญ แต่มีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสียเพราะในกรรมวิธีการสกัดเอาสารนั้น ๆ ออกมาจำเป็นต้องใช้ตัวทำละลาย ซึ่งหากผู้ผลิตไม่มีความชำนาญเพียงพออาจพบปัญหาการตกค้างของตัวทำละลายที่ ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากบริษัทผู้ผลิตที่ต้องมีความ น่าเชื่อถือและไว้ใจได้

อีกทั้งต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนพิจารณาเลือกซื้อเพราะอาหารเสริมบางตัว อาจมีผลหักล้างกัน เช่น หากเรารับประทานไคโตซานเพื่อดักจับไขมันในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดความอ้วน แต่ต้องการน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสออยส์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวเจ้าไคโต ซานก็จะดักจับน้ำมันอีฟนิ่งไว้เพราะถือเป็นไขมันชนิดหนึ่งหรืออย่าง ผลิตภัณฑ์บางชนิดที่อาจมีผลข้างเคียง เช่น คอนลาเจนที่จะทำให้ร่างกายบวมน้ำคนที่ท้วมจึงไม่ควรรับประทานเพราะจะยิ่งทำ ให้ดูน้ำหนักมากขึ้นไปอีก

สิ่งที่ต้องพึงปฏิบัติคือการปฏิบัติตามคำเตือนบนฉลากโดยเฉพาะวิธีใช้ซึ่งเรา ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้อาหารเสริมมีประสิทธิภาพได้อย่างที่ควรจะเป็น

ธรรมชาติของอาหารเสริมทุกชนิดที่ควรเข้าใจให้ถูกต้องคือ เมื่อเรารับประทานอาหารเสริมชนิดนั้น ๆ ไปได้สักประมาณ 2 เดือน ควรหยุดประมาณครึ่งถึงหนึ่งเดือนเพื่อให้ร่างกายได้กำจัดส่วนเกินออกไป โดยอาจจะรับประทานวันเว้นวันเพื่อไม่ให้ร่างกายต้องปรับมากเกินไป จากนั้นจึงกลับไปใช้ใหม่ในปริมาณเท่าเดิม

การแพ้อาหารเสริมข้อสังเกตง่าย ๆ ที่บ่งว่าเกิดอาการแพ้คือ ขึ้นผื่น มีอาการบวม หรือความผิดปกติอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น หากเกิดอาการเหล่านี้อันดับแรกให้กลับมายังร้านที่ซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสอบถาม ว่ามีคนเกิดอาการเหมือนเราไหมเพราะถ้ามีเป็นจำนวนมากก็น่าจะแสดงว่าเป็น เรื่องของผลข้างเคียงมากกว่าอาการแพ้ แต่ส่วนใหญ่อาการแพ้อาหารเสริมมักไม่ค่อยรุนแรงเพียงแค่หยุดรับประทานอาการ ก็จะหายไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:23
การทำความสะอาดผิวหน้า อย่างล้ำลึก "เพื่อผิวขาว กระจ่างใส รูขุมขนกระชับ"
ผิวสวย หน้าขาวใส รูขุมขนกระชับ สีผิวสม่ำเสมอ ไร้สิวและริิ้วรอย ใคร ๆ ก็อย่างมี แต่สิ่งต่อไปนี้ช่วยให้คุณได้นั่นคือ การทำความสะอาดผิวหน้าอย่าง ล้ำลึกนั่นเองค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เพียง การทำความสะอาดผิวหน้า แต่เพียงอย่างเดียวเรายังมีการบำรุงผิวหน้าอย่างล้ำลึกอีกด้วย และต่อไปนี้สิ่งที่เรากำลังจะบอกนั้นคือ ขั้นตอน การทำความสะอาดผิวหน้า และ ขั้นตอนการบำรุงผิวหน้า ที่จะช่วยให้คุณนั้นมีผิวสวย หน้าขาวใส รูขุมขนกระชับ สีผิวสม่ำเสมอ ไร้สิวและริ้วรอยอย่างที่ใจคุณต้องการเลยทีเดียวค่ะ

การทำความสะอาดผิวหน้า อย่างล้ำลึก

- ขั้นตอนแรก คือ การทำความสะอาด (Cleansing)

ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการชำระล้างที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวคุณเอง และทำความสะอาดผิวหน้าอย่างนุ่มนวลทั้งตอนเช้าและโดยเฉพาะเวลาก่อนเข้านอน หากคุณแต่งหน้าจัดอยู่เป็นประจำซึ่งการล้างหน้าที่ถูกวิธีนั้นให้หมุนขึ้น และวนออกเพื่อเป็นการเปิดและชำระล้างสิ่งอุดตันและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ติดอยู่ในรูขุมขนให้หลุดออกในขณะนวดล้างทำความสะอาด

- ขั้นตอนต่อมาที่ช่วยล้างผิวหน้าอย่างล้ำลึก (Deep Cleanser)

คือหลังจากการล้างหน้าตามปกติอาจยังมีสิ่งสกปรกที่ยังหลงเหลืออยู่ การมาร์คหน้า พอกหน้านั้นจึงเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งในการกระตุ้นการชำระล้างได้อย่างล้ำลึก อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวให้ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้ หลุดออกขจัดน้ำมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขนให้หมดไป ลดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของสิวเสี้ยนและยังช่วยป้องกันการเกิด สิวหัวขาว (สิวเม็ดข้าวสาร) ได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ผิวพรรณสะอาดอย่างล้ำลึกผิวแลดูสดใสเปล่งปลั่ง

- ปรับสภาพผิวให้เนียนเรียบกระชับ (Toners)

การใช้โทนเนอร์เช็ดผิวหน้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสามารถคืนความสมดุลและ ปรับสภาพผิวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งยังเป็นเกราะป้องกันผิวจากเชื้อแบคทีเรียทำให้ผิวสดชื่นสดใสและ เปล่งปลั่ง อีกทั้งยังเป็นการกระชับผิวให้รูขุมขนเล็กลงช่วยควบคุมน้ำมันส่วนเกินบริเวณ หน้าผาก จมูก คาง (T-ZONE) ให้การแต่งหน้าได้คงทนยิ่งขึ้น

- บำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่นด้วยครีมบำรุง (Moisturizer)

ขาดไม่ได้เลยสำหรับอาหารผิวด้วยการเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว พรรณของคุณ การบำรุงให้ความชุ่มชื้นกลับคืนสู่ผิวด้วยครีมบำรุงผิวนั้นถือเป็นการคืน ความชุ่มชื่นสร้างความยืดหยุ่นสำหรับผิวชั้นนอกเพื่อคงความเปล่งปลั่งช่วย ให้ผิวเก็บกักความชุ่มชื้นช่วยให้ผิวมีน้ำหล่อเลี้ยงได้ถึงผิวชั้นใน ให้ผิวเนียนนุ่มไม่แห้งตึงสวยสมบูรณ์แบบสาวผิวสวยได้ไม่ยากเลยล่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:24
น่ารู้! ไวท์เทนนิ่ง ทำให้ผิวขาว
ไวท์เทนนิ่งอีกหนึ่งปัจจัยของสาว ๆ หลายคนค่ะ เพราะผู้หญิงนั้นรักสวยรักงานมด้วยกันทั้งนั้นทำให้ ไวท์เทนนิ่ง มีบทบทที่สำคัญมาก ๆ เลยในชีวิตของคุณผู้หญิงอย่างเรียกว่าขาดกันไม่ได้ทีเดียวค่ะ เพราะมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่อยากให้ตัวเองมีผิวขาวขึ้นซึ่ง ไวท์เทนนิ่ง นี้ก็มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้คุณผู้หญิงหลาย ๆ ท่านนั้นขาวขึ้นได้ วันนี้เราเลยพาคุณผู้หญิงมาทำความรู้จักกับ ไวท์เทนนิ่งทำให้ผิวขาว กันให้มากขึ้น เพื่อให้คุณผู้หญิงได้เลือกไวท์เทนนิ่งที่ถูกกับตัวเองได้ประโยชน์อย่างสูง สุดและเป็นไปอย่างที่ใจคุณผู้หญิงการให้เป็นค่ะ นั้นเรามทำความรู้จักกับ ไวท์เทนนิ่งทำให้ผิวขาว กันเลยค่ะ


ไวท์เทนนิ่ง ทำให้ผิวขาว

คำว่า "ไวท์เทนนิ่ง" ก็คือ สารประเภทที่ทำให้ผิวขาว (Whitening Agents) ด้วยกระบวนการหลักของการลดการผลิตเม็ดสีใต้ชั้นผิว ซึ่งอาจจะปรากฏอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น เป็นยารักษา เป็นเครื่องสำอางควบคุมและเป็นเครื่องสำอางที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป


สารที่ทำให้ผิวขาวนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น แบบที่เรียกว่า สารฟอกสี (Bleach Agents) ซึ่งค่อนข้างละเอียดอ่อนและต้องควบคุมโดยแพทย์ แบบเคลือบปกปิด (Covering Agents) สำหรับใช้ชั่วครั้งชั่วคราว โดยมี Titanium Dioxide เป็นสารหลัก คุณสมบัติของมันก็คือเคลือบผิวเฉพาะกิจพอล้างหรืออาบน้ำก็หลุดออกหมด


สารประเภทที่น่าสนใจและเกี่ยวเนื่องกับกระบวนการของไวท์เทนนิ่งเต็ม ๆ ก็คือ AHA - Alpha Hydroxy Acids หรือกรดผลไม้หลากชนิด Retinol A,Kojic Acid และ วิตามินบี 3 ผลิตภัณฑ์ของไวท์เทนนิ่งเป็นแหล่งรวมของสารผสมที่ทำงานครอบคลุม


ปกติผิวของเราจะมีเซลล์สี Melanocytes เป็นตัวกลางสร้างเมลานินมากำหนดสีผิว ไม่ว่าผิวจะคล้ำเข้มทั้งตัวหรือคล้ำเป็นหย่อม ๆ เฉพาะที่เนื่องจากโดนกระตุ้นจากปัจจัยใด ๆ ก็ตาม แต่การที่เมลาโนไซต์สจะผลิตหรือสร้างเมลานินเมื่อไรนั้นมันจะต้องได้รับคำ สั่งจากเอนไซม์ที่ชื่อว่า Tyrosinase เสีย ก่อน เอนไซม์ไทโรซิแนสตัวนี้เองที่เหล่านักวิชาการความงามให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะหากควบคุมมันได้ก็จะส่งผลต่อการทำงานของเมลาโนไซต์สด้วยไม่ว่าจะสภาพ ผิดปกติหรือสภาพปกติ
จากการค้นคว้าอย่างต่อเนื่องยาวนานก็ทำให้พบสารที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ที่น่าสนใจมากมาย เช่น โคจิกแอซิด ซึ่งเป็นกระชนิดหนึ่งที่ได้จากการหมักกลูโคสของผลผลิตในธรรมชาติ มีคุณสมบัติบางอย่างที่ช่วยในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิแนสไม่ให้มันสั่งพร่ำ เพรื่อเสียจนผลิตเซลล์เม็ดสีออกมาเกินควร


ในส่วนของ เอเอชเอ ก็มีคุณสมบัติไปละลายเนื้อเยื่อที่เกาะเกี่ยวอ้อยอิ่งอยู่ตามเซลล์เสื่อม สภาพทั้งหลาย จึงมึผลด้านการผลัดลอกเซลล์ผิวชั้นบนโดยมีเรตินอลเอเป็นตัวเร่งการผลิตเซลล์ ผิวใหม่และวิตามินบี 3 จะไปช่วยลดการกระจายตัวของเซลล์เม็ดสีอีกแรงหนึ่ง


นอกจากนี้ในผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อยังมีการเติมสารประเภท อะมิโนโปรตีนเสริมเข้าไปเพื่อให้ทั้งแก้ไขปัญหา และบำรุงสภาพผิวพร้อมกันเมื่อทั้งหมดผนึกกำลังทำงานร่วมกันจึงมีส่วนช่วยทำ ให้ผิวดูสดใสขึ้นได้


อย่างไรก็ตามข้อสำคัญที่ควรทราบก็คือ เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อยู่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะทั้งเรตินอล เอ และ เอเอชเอ ไม่ชอบแดด โดนเมื่อไรจะยิ่งมีปฏิกิริยาระคายเคืองจึงต้องใช้ควบคู่กับครีมกันแดดเสมอ และแม้ว่าไวท์เทนนิ่งจะช่วยให้ผิวสดใสขึ้นแต่หากใช้อย่างบ้าคลั่งผิวก็มี สิทธิ์อ่อนแอและบางลงได้ง่าย ๆ ความที่ทั้งเร่งผลัดลอกเซลล์ผิวและควบคุมกลไกการทำงานของร่างกายมากเกินควร


ขอขอบคุณข้อมูลจาก อสมท.

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:25
เรื่อง ครีมบํารุงผิวหน้ากลางคืน Night cream
มีคุณผู้หญิงหลาย ๆ ท่านถามกันเข้ามามากว่าครีมบํารุงผิวหน้ากลางคืนนั้น สำคัญและจำเป็นต่อผิวหน้าของเราขนาดไหน คำตอบนี้คือ แน่นอนค่ะว่า ครีมบํารุงผิวหน้ากลางคืน นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับผิวหน้าเราค่ะ เพราะตอนกลางวันนั้นผิวหน้าของเรามีการสู้รบปรบมือกับมลภาวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แสงแดด ฝุ่น ควันต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อผิวหน้างาม ๆ ของเราเป็นอย่างมากเลยค่ะ ฉะนั้นแล้วใครไม่อยากผิวหน้าไปเร็วก่อนวัยก็ต้องหันมาใช้ ครีมบํารุงผิวหน้ากลางคืน กันสักหน่อยแล้วล่ะค่ะ และวันนี้เราก็ยังมีเรื่องครีมบํารุงผิวหน้ากลางคืนเพิ่มเติมกันต่ออีกนิดมา ฝากด้วยค่ะ

ครีมบํารุงผิวหน้ากลางคืน Night cream

การบำรุงผิวหน้าและผิวพรรณในช่วงเวลากลางคืนนั้นจำเป็นนะคะ เพราะในช่วงเวลากลางคืนที่คุณนอนหลับผิวของคุณก็จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ กล้ามเนื้อใบหน้าได้ผ่อนคลายร่างกายเริ่มกระบวนการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และที่แน่ ๆ ผิวมีการสร้างเซลล์ผิวใหม่และกระตุ้นการผลัดผิวที่กระจ่างใสเนียนนุ่มกว่า เดิม

ดังนั้น ถ้าคุณอยากให้ผิวหน้าพิสุทธิ์ใสการบำรุงผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าใน ยามค่ำคืนด้วยไนท์ครีม (Night cream) ก่อนนอนเป็นประจำนั้น เรียกได้ว่าเป็นการให้อาหารเสริมเพื่อเข้าไปบำรุงปรนนิบัติผิวคุณ จากภายนอกสู่ภายใน นอกเหนือจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะสารบำรุงต่าง ๆ จากเนื้อครีมจะเป็นตัวผลักดันให้เกิดขบวนการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่เปล่งปลั่ง สดใสมีสุขภาพดี

ในการเลือกใช้ไนท์ครีมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุดนั้นควรเลือกให้ เหมาะกับสภาพผิวพรรณ โดยคุณ ๆ ที่มีลักษณะผิวมันควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นโลชั่นน้ำนม ชึ่งจะซึมซาบได้ไม่เหนียวเหนอะหนะและคุณ ๆ ที่มีผิวธรรมดาถึงผิวแห้งผลิตภัณฑ์ชนิดครีมจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นเปรียบ เสมือนน้ำหล่อเลี้ยงผิวในยามค่ำคืนให้ผิวคุณใสเหมือนวัยแรกสาวค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:26
วิธีทาครีมที่ถูกต้อง "ช่วยหน้าสวย เด้ง ได้นะ"
แม้ว่าครีมที่คุณซื้อมาจะมีราคาแสนแพงเพียงใดแต่ถ้าวิธีทาครีมของคุณยังไม่ ถูกวิธีล่ะก็ ครีมเหล่านั้นก็มักจะใช้ไม่ได้ผลหรอกนะค่ะ แต่วันนี้เรามีวิธีทาครีมที่ถูกต้องมา ฝากคุณผู้หญิงกันด้วยนะค่ะ เพื่อให้คุณผู้หญิงได้รู้จักกับ วิธีทาครีมที่ถูกต้อง และเพื่อการบำรุงที่ได้ผลอย่างสูงสุดจะทำให้ใบหน้าของคุณทั้งสวยทั้งเด้งเลย นะขอบอก ว่าแล้วอย่ารอช้าเรามาเริ่ม วิธีทาครีมที่ถูกต้อง กันตั้งแต่วันนี้กันดีกว่าค่ะ

วิธีทาครีมที่ถูกต้อง

เริ่มแรกควรต้องเตรียมผิวหน้าให้สะอาดเสียก่อนแล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้อง ใช้ให้พอเหมาะ เพราะถ้าน้อยเกินไปก็จะไม่ได้ผล หรือถ้ามากเกินไปก็จะทําให้ผิวหน้ามัน และที่สําคัญคือเปลืองครีมโดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้ประมาณ 1 ลูกเชอร์รี่เท่านั้น


วิธีทาครีมใบหน้า

จากนั้นแต้มครีมให้ทั่วทั้ง 5 จุด บนใบหน้า คือ เริ่มจากหน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้างและคาง แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางในการเกลี่ยครีมให้ทั่วใบหน้า โดยเริ่มจากบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้มส่วนกลางไปยังส่วนข้าง ๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้าย และทางด้านขวาออกขวา แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้


วิธีทาครีมที่คอ

อย่าลืมทาครีมบริเวณลําคอเด็ดขาดเพราะไม่อย่างนั้นอาจจะดูแปลก ๆ หากหน้าเต่งตึงแต่คอยาน ซึ่งการทาครีมที่คอนั้นให้ใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้า โดยเริ่มจากบริเวณที่กว้างที่สุดของคอก่อนคือบริเวณฐานลําคอแล้วใช้ปลายนิ้ว ทั้งหมดค่อย ๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลงเพราะจะทําให้ผิวบริเวณลําคอหย่อนทําให้เกิดรอยย่นภายหลังได้


วิธีทาครีมรอบดวงตา

สําหรับการทาครีมรอบดวงตาควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา ขอย้ำว่าต้องนิ้วนางเท่านั้นในบริเวณนี้เพราะจะให้น้ำหนักกดที่เบาที่สุด โดยไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตาจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ จากนั้นวนครีมรอบ ๆ ดวงตา จะวนเข้าหรือวนออกได้ตามถนัดแต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก daradaily


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:27
วิธีนวดหน้า "เรียว" ด้วยตัวเอง
วันนี้พาคุณผู้หยิงมารู้จักกับวิธีนวดหน้าเรียวด้วยตัวเอง ค่ะ ด้วย วิธีนวดหน้า จะช่วยให้คุณผู้หญิงมีใบหน้าที่ยกกระชับและเรียวขึ้น หรือจะเรียกว่า วิธีนวดหน้าเรียว ก็ได้นะจ๊ะ ที่สำคัญ วิธีนวดหน้า นี้คุณยังสามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านโดยไม่ต้องเสียเงินไปเข้าร้านกันเลย ทีเดียวค่ะ สำหรับ วิธีนวดหน้าด้วยตัวเอง นี้ควรทำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้งนะค่ะ คุณผู้หญิงพร้อมจะเรียน วิธีนวดหน้าเรียว กันรึยังเ่อ่ย...ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มวิธีนวดหน้ากันเลยค่ะ

วิธีนวดหน้า

- เริ่มจากบริเวณหน้าผาก ให้ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเริ่มจากกึ่งกลางหน้าผากนวดวนขึ้นเป็นแนวขดลวด (ขึ้นหนักลงเบา) นวดจนถึงบริเวณขมับ 6 จังหวะ ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายให้กดจุดที่ขมับเพื่อความผ่อนคลาย

- บริเวณรอบดวงตาและยกกระชับริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดเบา ๆ บริเวณใต้ตา โดยเริ่มจากแนวโครงกระดูกเบ้าตาล่าง วนไปมาเบา ๆ นับ 1 ครั้ง ทำซ้ำ 3 ครั้ง จากนั้นเริ่มนวดจากบริเวณใต้โพรงจมูกลูบออกด้านข้างในลักษณะยกผิวขึ้น ลูบไปมา 3 ครั้งและเลื่อนนิ้วลงมาบริเวณใต้ริมฝีปากล่างลูบออกตามแนวริมฝีปากในลักษณะ ยกขึ้นทำซ้ำ 3 ครั้ง

- ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณกึ่งกลางคางขึ้นไปที่บริเวณมุมปากในลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

- ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณมุมปากในลักษณะยกผิวขึ้นเป็นมุมกว้าง ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยลูบลงทำซ้ำ 3 ครั้ง

- ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณดวงตา ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกดบริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง กดเบา ๆ นับ 1-3 แล้วลูบผ่านเปลือกตาและวนรอบดวงตากลับมากดที่หัวตาทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายลูบผ่านเปลือกตาไปกดจุดที่บริเวณขมับ

ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้นวดหน้ากันดูได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:28
วิธีแก้รูขุมขนกว้าง "เพื่อผิวเนียนใสรูขุมขนกระชับ"
วันนี้เรามีวิธีแก้รูขุมขนกว้างมาฝากคุณผู้หญิงที่กำลัง เกิดปัญหารูขุมขนกว้างหรือรูขุมขนใหญ่ สำหรับ วิธีแก้รูขุมขนกว้าง นี้เป็นอีกหนึ่งแนวทางให้คุณผู้หญิงนั้นลองไปปฏิบัติใช้กันดู นอกจากจะช่วยแก้ปัญหารูขุมขนกว้าง ใหญ่ ได้แล้วด้วย วิธีแก้รูขุมขนกว้าง นี้ยังจะช่วยให้คุณนั้นมีผิวเนียนใสรูขุมขนกระชับขึ้นอีกด้วยค่ะ เพราะสาเหตุที่คนเรามีรูขุมขนกว้างหรือใหญ่มักจะเกิดได้หลากหลายสาเหตุ บ้างก็เป็นเพราะกรรมพันธ์ บ้างก็เป็นเพราะเครื่องสำอางค์ที่เราใช้อยู่ ฉะนั้นแล้วลองใช้วิธีแก้รูขุมขนกว้างของเราก็ดูก่อนนะค่ะ เพราะจะเป็นสิ่งเริ่มแรกในการผิวสวยเนียนใสรูขุมขนกระชับค่ะ
4 วิธีแก้รูขุมขนกว้าง

1. รักษาความสะอาด ถ้ามีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันอยู่ในรูขุมขนผิวหน้าก็จะผลิตน้ำมันนส่วนเกินออก มาซึ่งจะทำให้สิ่งสกปรกฝังตัวอยู่ในรูขุมขนมากขึ้น และทำให้รูขุมขนมีขนาดกว้างและใหญ่ขึ้นอีกด้วย คุณจึงควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดวันละสองครั้งรวมทั้งใช้มาส์กพอก หน้าเพื่อทำความสะอาดอย่างล้ำลึกและขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขนออกไปสัปดาห์ละ ครั้ง

2. อย่าบีบ การบีบรูขุมขนเพื่อพยายามจะทำให้มันดูเล็กลงนั้นเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรทำ อย่างยิ่ง เพราะนั่นอาจสร้างความระคายเคืองให้แก่ผิวหน้าจนอาจนำไปสู่อาการอักเสบและ ติดเชื้อได้

3. ใช้โทนเนอร์ โทนเนอร์คืออาวุธลับในการช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอางที่ยังหลงเหลืออยู่บน ใบหน้า แต่ควรเลือกใช้แบบที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพราะโทนเนอร์ที่มีฤทธิ์แรง เกินไปนั้นอาจทำให้ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื้นซึ่งจะกระตุ้นให้ผิวหน้าผลิต น้ำมันออกมาชดเชยมากขึ้น

4. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะ โดยใช้ครีมบำรุงผิวหน้าที่ช่วยทำให้รูขุมขนเล็กลงซึ่งผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของกรดเอเอชเอ เรตินอลด์ หรือเปปไทด์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa



โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:29
กระชับรูขุมขนแบบธรรมชาติ

หลังการล้างหน้าตามปกติ ลองใช้เกล็ดน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ห่อด้วยผ้าบาง ๆ มาประคบผิวบริเวณที่มีปัญหา โดยประคบเบา ๆ บนผิวไปมาให้ทั่วบริเวณประมาณห้านาที ความเย็นของน้ำแข็งจะช่วยกระชับรูขุมขน หากทำเป็นประจำรับรองว่าผิวจะดูสดใส ไร้ร่องรอยรูขุมขนกว้าง สูตรนี้นางงามหลายคนนิยมทำกันด้วยนะ
สูตรพอกหน้ากระชับรูขุมขน "อย่างได้ผล!"
วันนี้คุณผู้หญิงหรือใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองนั้นมีรูขมขนโตหรือกว้างปัญหานี้กำลังจะหมดไปค่ะ เพราะเรานั้นมีสูตรพอกหน้ากระชับรูขุมขนอย่าง ได้ผลมาฝากกันค่ะ ด้วย สูตรพอกหน้ากระชับรูขุมขน นี้จะช่วยให้คุณผู้หญิงนั้นกระชับรูขุมขนให้เล็กลงและใบหน้าก็จะเรียบเนียน ขึ้นอีกด้วยค่ะ สำหรับส่วนผสมของ สูตรพอกหน้ากระชับรูขุมขน นี้ก็เป็นสูตรแบบธรรมชาติ ๆ ที่ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด แถมสูตรพอกหน้ากระชับรูขุมขนนี้ยังใช้วัตถุดิบในการพอกหน้าไม่มากสุดท้ายเลย ก็คือราคาย่อมเยาว์อย่างแน่นอนค่ะ ว่าแล้วเราก็มาเริ่มกระชับรูขุมขนกันเลยดีกว่ากับสูตรพอกหน้ากระชับรูขุมขน นี้ค่ะ
สูตรพอกหน้ากระชับรูขุมขน

- ส่วนผสม น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมไข่ขาว 1 ฟอง คนให้เข้ากัน ทาทั่วหน้า เว้นรอบดวงตา นวดเบา ๆ 5 นาที แล้วทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Mother&Care

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:30
เคล็ดลับ วิธีกระชับรูขุมขนแบบธรรมชาติ
วันนีเรามี วิธีกระชับรูขุมขนง่ายๆ ซึ่งก็เป็นวิธีกระชับรูขุมขนแบบธรรมชาติเช่น เดียวกันที่เรากำลังจะนำมาฝากคุณผู้หญิงที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง และด้วย วิธีกระชับรูขุมขนแบบธรรมชาติ ที่เรากำลังจะแนะนำนี้ก็คือจะเป็น วิธีกระชับรูขุมขนด้วยน้ำแข็ง นั่นเองค่ะ หลายท่านคงแปลกใจกันใช่ไหมว่าเจ้าน้ำแข็งก้อนเดียวจะช่วย กระชับรูขุมขนได้จริง ๆ นะเหรอ ด้วยเจ้าน้ำแข็งเพียงก้อนเดียวก็ช่วยให้ใบหน้าของคุณ กระชับรูขุมขน ได้จริง ๆ ค่ะ แถมยังเป็น วิธีกระชับรูขุมขนแบบธรรมชาติ หาง่ายราคาประหยัดอีกต่างหาก เรามาลงปฏิบัติการกระชับรูขุมขนกันเลยดีกว่าค่ะ

เคล็ดลับ วิธีกระชับรูขุมขนแบบธรรมชาติ
วันนีเรามี วิธีกระชับรูขุมขนง่ายๆ ซึ่งก็เป็นวิธีกระชับรูขุมขนแบบธรรมชาติเช่น เดียวกันที่เรากำลังจะนำมาฝากคุณผู้หญิงที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง และด้วย วิธีกระชับรูขุมขนแบบธรรมชาติ ที่เรากำลังจะแนะนำนี้ก็คือจะเป็น วิธีกระชับรูขุมขนด้วยน้ำแข็ง นั่นเองค่ะ หลายท่านคงแปลกใจกันใช่ไหมว่าเจ้าน้ำแข็งก้อนเดียวจะช่วย กระชับรูขุมขนได้จริง ๆ นะเหรอ ด้วยเจ้าน้ำแข็งเพียงก้อนเดียวก็ช่วยให้ใบหน้าของคุณ กระชับรูขุมขน ได้จริง ๆ ค่ะ แถมยังเป็น วิธีกระชับรูขุมขนแบบธรรมชาติ หาง่ายราคาประหยัดอีกต่างหาก เรามาลงปฏิบัติการกระชับรูขุมขนกันเลยดีกว่าค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คู่หูเดินทาง

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:32
คอลลาเจน คือ ... ??? น่ารู้! ประโยชน์ของคอลลาเจน
วันนี้เรานำเรื่องน่ารู้เกี่ยวประโยชน์ของคอลลาเจนและคอลลาเจน คือ อะไร? วันนี้เราก็มีคำตอบให้คุณผู้หญิงหลาย ๆ หายส่งสัยกันด้วยค่ะ เพราะว่ามีคุณผู้หญิงมากมายเหลือเกินที่ยังไม่เข้าใจถึง ประโยชน์ของคอลลาเจน และยังไม่รู้ว่า คอลลาเจน คือ อะไร? กันแน่ค่ะ เพราะเป็นที่รู้กันดีกว่า ณ เวลานี้ คอลลาเจน ได้รับความสนใจอย่างมากโดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิงอย่างเรา ๆ และคอลลาเจนก็ถูกแต่งเติมขึ้นมาอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอางค์ หรือแม้แต่ในอาหารต่าง ๆ ให้คุณผู้หญิงได้เลือกบริโภค แต่ถ้าคุณผู้หญิงอยากรู้ถึง ประโยชน์ของคอลลาเจน และกำลังหาคำตอบว่า คอลลาเจน คือ อะไร? นั้นเราก็มาดูกันเลยดีกว่าค่ะ

ประโยชน์ของคอลลาเจน VS คอลลาเจน คือ ?
- คอลลาเจนคือ ?

คอลลาเจน หรือ Collagen ที่มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก (มีความหมายว่า กาว คนในยุคนั้นนำเอาผิวหนังสัตว์ไปเคี่ยวเพื่อให้ได้กาวเหนียว ๆ มาใช้งาน) จริง ๆ แล้วคอลลาเจนคือ โปรตีนธรรมชาติในร่างกาย ในคอลลาเจนมีสารสำคัญ 2 ชนิด คือ Proteoglycan และ Glycosaminoglycans ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นโครงสร้างหลักของผิว เส้นผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ ตลอดจนผนังหลอดเลือด บางคนเรียกมันว่า กาวแห่งชีวิต เพราะคอลลาเจนทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ในร่างกายเข้าด้วยกันปกป้องอวัยวะภายใน ร่างกายและเชื่อมอวัยวะต่าง ๆ ให้อยู่ด้วยกัน ในผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) จะประกอบด้วยคอลลาเจนจนถึง 75%

- คอลลาเจนเกี่ยวอะไรกับผิวสวย?

ภายในผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) ที่ประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75% ความอุดมสมบูรณ์ของคอลลาเจนจึงมีส่วนสำคัญในการทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น นุ่มนวลมีความยืดหยุ่นดีทำให้ผิวเต่งตึงกระชับ ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผิวเยาว์วัยที่ไม่เหี่ยวย่นไม่มีริ้วรอยและตีนกาเป็น ผิวที่เราทุกคนเป็นเจ้าของในช่วงวัยเด็กและวัยสาวก่อนอายุจะย่าง 30 ทั้งนี้เพราะภายในชั้นผิวของเรามีความอุดมสมบูรณ์ของคอลลาเจนสูง
- จริงหรือที่ว่าเมื่อ อายุย่าง 30 คอลลาเจน จะลดลงปีละ 15%?

ในช่วงวัยเด็กและวัยสาวรุ่น ร่างกายจะสังเคราะห์คอลลาเจนอย่างเต็มที่สมบูรณ์ จนเมื่ออายุย่างเข้า 30 อัตราการสังเคราะห์คอลลาเจนจะเริ่มลดลงปีละ 1.5% ในทุก ๆ ปี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และยังโชคร้ายที่จะ เกิดขึ้นชัดเจนในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เขาถึงบอกว่า ผู้หญิงแก่ง่ายกว่าผู้ชาย อัตราการลดลงอย่างต่อเนื่องของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้จะมีผลให้ผิวพรรณ ค่อย ๆ สูญเสียความชุ่มชื่น นุ่มเนียนและความยืดหยุ่น ผิวที่เคยสวยเต่งตึง นุ่มนวล ค่อย ๆ แห้งกร้าน ผิวจะยุบตัวลงทุกปีทุกปีทำให้เกิดริ้วรอยเหยี่ยวย่นและตีนกา และกว่าคุณจะอายุ 45 ปี ระดับคอลลาเจนในชั้นผิวได้ลดลงไปแล้วกว่า 30%


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:32
- มีวิธีหยุดการลดลงของคอลลาเจนไหม?

อัตราการสังเคราะห์คอลลาเจนที่ลดลงปีละ 1.5% ทุกปี ตั้งแต่เราอายุย่างเข้า 30 นั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน โดยที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่เราสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณและรักษาผิวไว้ให้ดูดีให้นานที่ สุดได้ โดยการวิจัยด้านโภชนาการได้ค้นพบว่า การรับประทานคอลลาเจนที่สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกเป็นอาหารเสริมประจำอย่างต่อ เนื่องสามารถช่วยเสริมเติมคอลลาเจนที่พร่องลงตามวัยที่เพิ่มขึ้นคืนกลับให้ กับร่าง กาย สามารถช่วยป้องกันและชะลอริ้วรอยเหยี่ยวย่น รอยตีนกา ความแห้ง กระด้าง ช่วยรักษาผิวพรรณให้มีความชุ่มชื้น นุ่มนวลเรียบเนียน คงความยืดหยุ่นของผิวไว้ ถ้าให้ดียิ่งขึ้นควรรับประทานวิตามินอีด้วย เพื่อช่วยเพิ่ม (Dermis) ซึ่งการทาที่ผิวหน้าและผิวตัวจะซึมเข้าสู่ผิวได้แค่เพียงชั้นหนังกำพร้าเท่า นั้น

- ถ้าทาคอลลาเจนที่ผิวจะได้ผลไหม?

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างใหญ่มากไม่สามารถซึมผ่านเข้าไปในผิวชั้น หนังแท้ (Dermis) ได้ ดังนั้นการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของคอลลาเจนทาที่ผิว คอลลาเจนจะซึมผ่านเข้าไปได้แค่ผิวชั้นหนังกำพร้าที่อยู่ชั้นนอกสุดอาจทำให้ ผิวหนังกำพร้าชุ่มชื้นขึ้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยที่เกิดจากการลดลงของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ (Dermis) ได้ วิธีเพิ่มคอลลาเจนคืนกลับให้ผิวที่ได้ผลคือ การฉีดเข้าใต้ผิวหนังและการรับประทานเท่านั้น แต่การรับประทานจะเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่าและนำคอลลาเจนเข้าไปเสริม สร้างผิวพรรณทั้งใบหน้าและทั่วทั้งร่างอีกทั้งเข้าไปเสริมสร้างเส้นผมให้เงา งาม เล็บมือ เล็บเท้าไม่เปราะ หักง่าย เพราะคอลลาเจนเป็นโปรตีนสำคัญที่เป็นโครงสร้างของผมและเล็บที่งอกใหม่ออกมา ทุกวัน ในขณะที่การฉีดจะเสริมคอลลาเจนได้เฉพาะที่เท่านั้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ผู้หญิงวันนี้

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:33
สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีอะไรบ้างน๊า...??? "มีคำตอบ!!!"
สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีอะไรบ้างน๊า....วันนี้มีคำตอบมาตอบคำถามของผู้ที่สงสัยและอยากรู้เรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ตัวนี้ค่ะ เพราะหากว่าคนเราโดยเฉพาะผู้หญิงอย่างเรา ๆ ได้รับ สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ก็จะเป็นส่วนช่วยผลักดันในเรื่องของผิวพรรณและชะลอการเสื่อมโทรมของสภาพผิว หนักที่อาจจะแก่ก่อนวัยได้ค่ะ แต่ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระก็ไม่ได้หมดแต่เพียงเท่านี้หรอกนค่ะ แต่เรามาดู สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) กันเลยดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้างจะได้เลือกใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมค่ะ

10 สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)

1.สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

สารซูเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์คุณค่าสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และวิตามินอี 50 เท่า อยู่ในกระแสเลือดได้นานถึง 72 ชั่วโมง สามารถป้องกันและลดการทำลายล้างจากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเรา ตลอดเวลาทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน โดยเฉพาะระบบหลอดเลือด หัวใจ ผิวหนัง และตา ช่วยชะลอการเสื่อมของผิวพรรณไม่ให้แก่ก่อนวัยอย่างตรงจุด ปริมาณการใช้ วันละ 20-60 มก.

2.ชาเขียว

สารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์หลายชนิด โดยเฉพาะสาร EGCG ที่มีฤทธิ์มากกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่า สามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะ โดยเฉพาะมะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเป็นพิษจากการสูบบุหรี่ ปริมาณการใช้วันละ 300-1,000 มก.

3. สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส

ช่วยแก้ปัญหาเรื่องฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสีให้อยู่ ในสภาวะที่สมดุลมีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ปริมาณการใช้ วันละ 75 มก.

4. โคเอนไซม์คิวเท็น

สร้างพลังงานในระดับเซลล์ให้ทำงานได้อย่างปกติเซลล์ที่ต้องการพลังงานสูงและ ต้องการโคเอนไซม์คิวเท็นมากเป็นพิเศษ ได้แก่ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์สมอง เพื่อให้มีความตื่นตัวเพิ่มทักษะในการจดจำและผ่อนคลายจากความตึงเครียด ส่วนเซลล์ผิวหนังต้องการโคเอนไซม์คิวเท็นเพื่อช่วยฟื้นฟูความสดใส ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.
5. เนชันรัลเบต้าแคโรทีน

บำรุงสายตาและผิวพรรณป้องกันการเกิดมะเร็งที่ปอดจากการสูบบุหรี่ ช่วยลดการก่อเซลล์มะเร็งที่ผิวหนัง เบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติที่สกัดได้จากสาหร่าย เป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนที่เข้มข้นและปลอดภัย ปริมาณการใช้วันละ 6-15 มก.

6. ลูติน

เป็นสารธรรมชาติพบได้มากในพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาดเขียวใบหยิก ผักปวยเล้ง ลูตินจะเป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดรับภาพและจอประสาทตาได้ดี ปริมาณการใช้วันละ 6-20 มก.

7. กรดอัลฟาไลโปอิค

สารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติมีบทบาทสำคัญในการช่วยปรับปรุงกระบวนการเผาผลาญ น้ำตาลให้เป็นพลังงาน จึงช่วยป้องกันและบรรเทาโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้ดี ปริมาณการใช้วันละ 50-200 มก.

8. สารสกัดจากใบแปะก๊วย

ป้องกันความเสื่อมของเซลล์สมองช่วยบำรุงสุขภาพสมองอย่างมีประสิทธิภาพและ เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตและยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันที่สมองเช่น กัน ปริมาณการใช้ วันละ 40-80 มก.

9. วิตามินซี

ป้องกันโรคหวัดและบรรเทาอาการภูมิแพ้ช่วยสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนเพิ่มความ ยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณ คลายความเครียด ความอ่อนเพลีย แก้สภาวะการเป็นหมันในผู้ชาย โดยช่วยเพิ่มความแข็งแรงและปริมาณของตัวอสุจิอีกด้วยปริมาณการใช้วันละ 1,000-4,000 มก.

10. วิตามินอี

บำรุงผิวพรรณป้องกันโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือดในหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง ต่าง ๆ ปริมาณการใช้วันละ 200-400 มก.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman Plus


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:35
เคล็ดลับ! สุขภาพผิวดี
เคล็ดลับสุขภาพผิวดีเพื่อสาวเอเชียอย่างเรา ๆ โดยเฉพาะจะว่าไปแล้วผิวพรรณของสาวเอเชียนั้นมักจะโชคดีกว่าสาว ๆ ชาวยุโรปอีกนะ เพราะเนื่องมากเม็ดลีเมลานินที่ต่างกันทำให้การปกป้องผิวจากแสงแดดจึงต่าง กันด้วย แต่ถึงแม้ว่าสาวเอเชียจะมีสุขภาพผิวดีกว่าสาวชาวยุโรปแต่ก็ห้ามชะล่าใจเป็น อันขาดค่ะ ฉะนั้นมาฟัง เคล็ดลับ! สุขภาพผิวดี กันเลยดีกว่าค่ะ

สุขภาพผิวดี

ปกป้องผิวจากแสงแดด

เลือกครีมกันแดดที่ทาแล้วรู้สึกสบายผิว โดยทาหลังอาบน้ำล้างหน้าขณะที่ผิวยังชื้นน้ำลงให้ทั่วผิวทุกส่วนที่เผยออก มานอกร่มผ้า ทั่วใบหน้า ลำคอ แขน หลังมือ หลังเท้า ถ้าใส่สายเดี่ยวก็คงต้องลงให้ทั่วเนินอกและแผ่นหลัง เพียงลูบให้ทั่วผิวชุ่ม ๆ ไม่จำเป็นต้องถูครีมกันแดดกับผิวแรง ๆ ไม่งั้นประสิทธิภาพของครีมอาจลดลงถึง 25 เปอร์เซ็นต์

จะเลือกมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดดหรือผสมมอยส์เจอไรเซอร์ทั่วไปกับครีมกันแดดในปริมาณพอ ๆ กันที่ผ่ามือก่อนลงก็ใช้ได้


หลบเลี่ยงแสงแดด

แค่ ทาครีมกันแดดเป็นประจำยังไม่เพียงพอต้องพยายามหลบแดดอย่างจริงจังร่วมด้วย ครีมกันแดดเป็นเพียงตัวช่วยที่สำคัญเมื่อต้องออกแดดควรเตรียมร่ม แว่นกันแดด หมวกปีกกว้าง รวมทั้งสวมเสื้อคลุมผิวและคอยหลบแดดในร่มทันทีที่ทำได้


หยุดบุหรี่

ไม่น่าเชื่อว่าบุหรี่จะทำลายความเปล่งปลั่งของผิวมากมาย จากการศึกษาเปรียบเทียบผิวพรรณฝาแฝดพบว่า แฝดคนที่สูบบุหรี่ติดต่อกันเป็นเวลานานผิวพรรณจะดูแก่กว่าคู่แฝดที่ไม่สูบ บุหรี่เลย 40 เปอร์เซ็นต์ กิริยาดูดบุหรี่จะก่อให้เกิดริ้วย่น ๆ เล็ก ๆ รอบริมฝีปากการหรี่ตาหลบควันบุหรี่จะก่อให้เกิดรอยตีนกาที่ลึกและเด่นชัด กว่าปกติ

การสูบบุหรี่ไม่เพียงทำให้ผิวได้รับออกซิเจนและสารอาหารลดลงยังมีผลให้แผล ต่าง ๆ หายช้าลง และอาจส่งผลให้เกิดแผลเป็นในลักษณะที่กว้างใหญ่ขึ้นหลังแผลหายแพทย์ศัลยกรรม ตกแต่งบางท่านจะเตือนผู้สูบบุหรี่ที่คิดจะทำการผ่าตัดถึงความจริงข้อนี้



โดย: joy234    เวลา: 2011-4-25 09:35
หลับเป็นเวลา

ครีมบำรุงขวดละเท่าไรก็ไม่สู้การได้หลับ สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงผิวดีช่วงขณะหลับเป็นช่วงเวลาที่ผิวฟื้นฟูตนเอง ให้กลับสดใสแข็งแรงกล้ามเนื้อใบหน้าผ่อนคลายเต็มที่ริ้วรอยต่าง ๆ ที่เกิดจากการเกร็งกล้ามเนื้อในช่วงกลางวันจะค่อยคลายลงและดูนุ่มนวลขึ้นใน เช้าอีกวัน

ควรนอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมงทุกวัน และนอนให้เป็นเวลาจะช่วยให้ระบบชีวภาพภายในร่างกายดำเนินไปตามปกติ ไม่รวนในวันที่ต้องการพักผ่อนเป็นพิเศษอาจเข้านอนก่อนเวลาแต่ควรตื่นในเวลา เดิมแม้จะเป็นวันหยุดจะตื่นสายก็ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมง

หลีกเลี่ยงการแอบงีบระหว่างวัน ถ้าง่วงจริง ๆ ให้ทำสมาธิแทนจะช่วยให้รู้สึกแจ่มใสและร่างกายได้พักเหมือนกัน เพียงแต่จะไม่รบกวนวงจรการหลับในช่วงกลางคืน

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟอีนหลังบ่ายสามโมง อย่างชา กาแฟ น้ำอัดลม (จำพวกที่มีชื่อเล่นว่าน้ำดำ) ช็อกโกแลต หรือแม้แต่เครื่องดื่มสกัดกาแฟอีนแล้ว ส่วนแอลกอฮอล์ อาจช่วยให้คุณง่วงและหลับเร็วแต่จะเป็นการหลับที่ไม่สนิท

ควรจัดห้องนอนให้โปร่งอากาศถ่ายเทสะดวก คนโบราณแนะนำให้หันหัวเตียงไปทางเหนือเชื่อว่าแม่เหล็กโลกทางเหนือจะช่วยให้หลับสนิท
ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า

หลีกเลี่ยงการขมวดคิ้ว นิ่วหน้า หยีตา หรือการเกร็งกล้ามเนื้อใด ๆ ระหว่างวันให้มากที่สุด การขยับกล้ามเนื้อและผิวในบริเวณใดซ้ำ ๆ กันเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดริ้วรอยในบริเวณนั้น

เริ่มจากวางกระจกไว้ที่โต๊ะทำงานหรือข้างโทรศัพท์คอยเหลือบมองตนเองในกระจก คราวใดที่ใบหน้าเครียดเกร็งจะได้รู้ตัว วางสองนิ้วบนกล้ามเนื้อที่เกร็งขมวดลูบเบา ๆ เพื่อคลายอาการเกร็ง

การ เหลือบมองตนเองในกระจกขณะโทรศัพท์ยังช่วยให้จับได้ว่าตนเองชอบทำหน้าเช่นไร ขณะพูด สีหน้าที่ปราศจากอาการเกร็ง นิ่งผ่อนคลายสบาย ๆ จะก่อให้เกิดริ้วรอยน้อยที่สุด ควรคงลักษณะสีหน้าเช่นนั้นไว้ให้มากที่สุดและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แสงจ้า ไม่อย่างนั้นคุณจะหรี่ตาติดต่อกันเป็นเวลานาน


อาหาร

ร่างกายทั้งระบบต้องการสารอาหารครบทั้งห้าหมู่ผิวพรรณก็เช่นกันใส่ใจเรื่อง การกิน ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว สนใจอาหารที่อุดมกากใยเนื่องจากอาหารประเภทนี้จะอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ หลากหลาย กากอาหารจะช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำและขับถ่ายของเสีย ขณะที่เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์และกาแฟอีนจะดึงน้ำออกจากเซลล์เซลล์ อาจอยู่ในสภาพขาดน้ำทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารเต็มที่ การบริโภคติดต่อกันนาน ๆ ในปริมาณมาก ๆ ผิวจะสูญเสียความเปล่งปลั่งดูซีดเทา ๆ ไม่สดใส

แนะนำให้ดื่มน้ำคั้นแยกกากจากผักผสมผลไม้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ผสมแครอต 2 หัว แอปเปิ้ลเขียว 1 ผล ผักชีฝรั่งกำเล็ก ๆ และขิงอีกนิดหน่อยปั่นรวมกันในเครื่องแยกกากแล้วดื่มทันที คุณอาจลองดื่มน้ำปั่นจากผักและผลไม้อื่น ๆ ตามชอบกล้วยหอมและมะเขือเทศปั่นสดก็อุดมด้วยสารบำรุงผิวน้ำผักและผลไม้ไม่ เพียงให้ความสดชื่นทันทีที่ดื่ม ดื่มเป็นประจำผิวดีขึ้นจนคุณเองอาจรู้สึกได้


การดูแลผิว

อันดับแรกเลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนกับผิวมองหาผลิตภัณฑ์ที่ปราศจาก ส่วนผสมของสบู่ มีค่า pH ที่สมดุลกับผิว ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีจุดเด่นดังกล่าว มักจะแจ้งให้ทราบบนฉลากผลิตภัณฑ์ล้างหน้าใดใช้แล้วรู้สึกผิวตึงเลิกใช้ได้ เลยอย่าเสียดาย

ถ้าคุณไม่ใช่สาวผิวมันตัวจริงเสียงจริงการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าในตอนเช้าอาจ ไม่จำเป็น (ยกเว้นเมื่อคืนคุณจะหลับทั้งไม่ล้างหน้า) ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าก็เพียงพอโดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้งมาก จากนั้นลงมอยส์เจอไรเซอร์ตามขณะที่ผิวยังชื้นน้ำสำหรับผู้ที่ผิวผสมจะขอลง ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าเฉพาะช่วงทีโซนก็พอ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: wasari    เวลา: 2011-4-25 11:53
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆที่มีประโยชน์ค่ะ
โดย: wasari    เวลา: 2011-4-25 22:58
ชอบอ่านเรื่องพวกนี้อยู่แล้วล่ะค่ะ ดีมากๆเลย อย่าลืมเข้ามาโพสอีกเรื่อยๆนะคะ จะได้ติดตามอ่านค่ะ :-)
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:34
เป็นสิวทําไงดี? เรามี! "วิธีการรักษาสิว"
เป็นสิวทําไงดี? เป็นสิวทําไงดี? เป็นสิวทําไงดี? วันนี้เรามีวิธีการรักษาสิวแบบ ง่าย ๆ มาฝากกันด้วยค่ะ หนึ่งใน วิธีการรักษาสิว คือ ก่อนอื่นเราก็ต้องหลีกเลี่ยงสารก่อนอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เป็นสิวมากที่สุด วิธีการรักษาสิว ขั้นที่สองก็คือการเลือกใช้ยารักษาให้เหมาะสมนั่นเองค่ะ เพียงแค่คุณรู้เรื่องตัวการการทำให้เกิดสิวกับตัวยารักษาสิว เรื่อง สิว ๆ ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่อง สิว ๆ ๆ แล้วล่ะค่ะ เห็นไหมค่ะว่า วิธีการรักษาสิว ของเราในวันนี้เป็นประโยชน์ต่อคนที่กำลังเป็นสิวอย่างคุณมากขนาดไหน นั้นเรามาดู สารก่อสิว เพื่อให้ห่างไกลและตัวยารักษาสิวกันเลยดีกว่าค่ะ
กำจัดสิว ต้นเหตุที่แท้จริง

มีคำพูดอยู่หนึ่งคำที่เรามักคุ้นหูกับคำพูดที่ว่า เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถึงจะเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างไรก็คงที่จะอดกังวลใจอยากกำจัดสิวไป โดยเร็วใช่ไหมล่ะค่ะ และยิ่งหากว่าต้องออกไปเข้าสังคมสังสรรคเกิดเป็นสิวเต็มหน้ารองพื้นชนิดใด เฉดสีไหนก็เอาไม่อยู่จะยิ่งทำให้กังวลใจกันไปใหญ่เลย กลัวคนทักบ้าง กลัวคนว่าบ้าง กลัวคนนินทา ยิ่งทำให้รู้สึกอับอายไปกันใหญ่ วันนี้เรามา กำจัดสิว ต้นเหตุที่แท้จริงด้วยกันเถอะค่ะ แล้วคุณจะได้ไม่ต้องพบเจอกับเรื่องสิว ๆ ที่ไม่สิวถ้าเกิดมาเจอบนหน้าของคุณอีกต่อไปค่ะ แล้วเมื่อ กำจัดสิว ได้แล้วต่อไปก็เดินเชิดหยิ่งกันได้แล้วค่ะ เอาชนิดที่เรียกว่า ไม่สวย ไม่เริด ไม่ได้หรอก อิอิอิ
กำจัดสิว

ดร.เมอร์ฟราน เมลการ์ สมาชิกสมาคม โรคผิวหนังของประเทศฟิลิปปินส์ อธิบายสาเหตุของการเกิดสิวว่า สิว เกิดจากการเจริญเติบโตของ follicular ที่เปลี่ยนแปลงไปทําให้มีการผลิตซีบัมเพิ่มขึ้น

แบคทีเรีย ที่ชื่อว่า Propionibacterium acnes จึงเจริญเติบโตได้ดีและทําให้เกิดการอักเสบในที่สุด มีความซับซ้อนและรุนแรงแต่ในความเป็นจริง สิว เกิดจากสารเคมีในผิวหนังมนุษย์ซึ่งถูกกระตุ้นได้โดยแบคทีเรียที่ซุกซน การผลิตซีบัมที่มากเกินจะไปอุดตันรูขุมขนทําให้เป็นที่อาศัยของแบคทีเรียจาก สิ่งสกปรกต่าง ๆ รูขุมขนจึงเกิดการอักเสบและเกิดผลที่ไม่น่ายินดีนัก ซึ่งก็คือ สิว นั่นเอง

โดยปกติสิวที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นจะเป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ตามพัฒนาการของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ทั้งชายและหญิงที่ย่างเข้าสู่วัย 30 และมากกว่านั้นอาจยังต้องทรมานกับโรคผิวหนังชนิดนี้อยู่ กุญแจสําคัญในการป้องกันและจัดการกับปัญหานี้คือ การเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการรักษา

วิธีรักษาสิวบนใบหน้า

วิธีการรักษาสิวที่ได้ผลในช่วงเวลาดังกล่าวอาจช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ซึ่ง ก็นําเราเข้าไปสู่ทฤษฎีที่คุ้นเคยกันว่า การล้างหน้าบ่อย ๆ ช่วยลดการเกิดสิวได้ สําหรับการล้างหน้าด้วยสบู่ที่ไม่ผสมไขมันหรือเคลนเซอร์ทําความสะอาดใบหน้า ซึ่งจะช่วยลดซีบัมได้แล้ว ทาด้วยโทนเนอร์หรือน้ำยาทําความสะอาดหลังล้างหน้าจากนั้นตามด้วยยาฆ่าเชื้อ แบคทีเรียเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เพียง 3 ขั้นตอนที่ช่วยควบคุมการเกิดสิว รักษาสิว และช่วยให้หน้าใสเปล่งประกายผิวสุขภาพดี


ขอขอบคุณข้อมูลจาก daradaily

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:39
6 อาหารเสริมบำรุงผิว
อยากมีผิวสวยเนียนกระชับวันนี้เรามีตัวอย่างอาหารเสริมบำรุงผิวมา ฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายที่ใส่ใจในผิวพรรณและสุขภาพค่ะ 6 อาหารเสริมบำรุงผิว ที่เรากำลังจะแนะนำต่อไปนอกจากจะทำให้คุณมีผิวพรรณเปล่งปลั่งดูสุขภาพดีจาก ข้างในแล้วยังช่วยให้ผิวของคุณขาวขึ้นอย่างได้ผลจนคนรอบข้างอาจจะสะดุดตาไป เลยค่ะ
อาหารเสริมบำรุงผิว

และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวที่มีอยู่ในอาหารเสริมเพื่อผิวสวยชั้นนำทรง ประสิทธิภาพ ให้ผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็วกว่าในการลดริ้วรอยหมองคล้ำเหี่ยวย่น พร้อมกับบำรุงผิวให้ขาวเนียน เปล่งปลั่ง กระจ่างใส ดูอ่อนวัย มีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน สารอาหารสำคัญที่มีคุณค่าจำเป็นต่อการบำรุงผิวครบถ้วนทั้ง 6 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น

1. โปรตีนจากปลาทะเลลึก (Marine Protein) แถบ ประเทศนอร์เวย์ประกอบด้วยอณูอะมิโนจำเป็นต่อร่างกาย 18 ชนิด และมีอณูอะมิโนชนิดพิเศษคือ Peptoaminoglycan ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอิลาสตินทั้งด้าน ปริมาณและคุณภาพอันจะช่วยให้ผิวแต่งตึง เปล่งปลั่ง กระชับ เรียบเนียน และนวลนุ่มชุ่มชื่น

2. โคเอ็นไซม์คิวเทน (Coenzyme Q 10) สาร อาหารช่วยเสริมพลังงานให้กับเซลล์ผิวต้านอนุมูลอิสระต้นเหตุของการเสื่อม สภาพและแก่ก่อนวัยของเซลล์ต่าง ๆ ทั้งยังช่วยลดและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยที่เกิดจากแสงแดดช่วยให้ผิวดู อ่อนเยาว์สดใสมีชีวิตชีวา

3. สารสกัดจากเปลือกสนมาริไทม์ฝรั่งเศส (French Maritime Pine Bark) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอย่างยิ่งยวด (Super Antioxidant) ช่วยต้านความชราของผิวพรรณยับยั้งการเกิดเม็ดสีที่ผิดปกติต้นเหตุของฝ้า กระ ความหมองคล้ำ ทำให้ผิวขาวเนียนสดใส และมีเลือดฝาด

4. วิตามินซี (Vitamin C) สาร ต้านอนุมูลอิสระลดอาการหมองคล้ำ ความร่วงโรย เสริมสร้างปริมาณและความแข็งแรงของคอลลาเจน ช่วยให้โครงสร้างผิวพรรณแข็งแรงสุขภาพดีมีความยืดหยุ่นกระชับและขาวเนียนใส

5. วิตามินอี (Vitamin E) สารต้านอนุมูลอิสระอีกตัวหนึ่งยับยั้งความเสื่อมชราของเซลล์ต่าง ๆ ช่วยให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น สดใสและดูอ่อนวัย

6. สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) มีสาระสำคัญคือ คาเตซินช่วยต้านอนุมูลอิสระทำให้กลไกในการฟื้นฟูสภาพผิวทำงานได้ดีสามารถขับถ่ายและล้างพิษออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น
เตรียมผิวสวยทุกครั้ง

ผู้หญิงทุกคนก็คงอยากจะอวดผิวสาวที่ขาวนวล เปล่งปลั่ง เรียบเนียน และมีชีวิตชีวาแก่สายตาทุกคู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว  เพียงรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมทั้ง 6 ชนิดดังที่กล่าวมา ร่วมกับกฎเหล็กในการดูแลความงามเหล่านี้

- อาบน้ำทุกเช้า-เย็น เพื่อปลุกเซลล์ผิวให้ตื่นตัวเปล่งปลั่ง

- ทามอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดขณะผิวหมาดจะทำให้โลชั่นซึมซาบสู่ผิวได้ดี

- กันหรือถอนคิ้วหลังอาบน้ำผิวจะอ่อนนุ่มรูขุมขนเปิดกว้างช่วยให้ถอนได้ง่ายขึ้น

- ลงรองพื้น 10 นาทีหลังอาบน้ำ เพราะน้ำมันตามธรรมชาติจะซึมออกจากผิวนิด ๆ ช่วยให้เกลี่ยรองพื้นได้ง่ายขึ้น

- แต่งตาควรปัดมาสคาร่าเป็นอันดับแรก เมื่อขนตาดูเข้มจะทำให้ใช้อายแชโดว์น้อยลงใบหน้าก็จะดูงดงามเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น

- ทาครีมบำรุงช่วงเวลา 3-4 ทุ่ม เป็นเวลาที่ผิวซ่อมแซมตัวเองรูขุมขนเปิดกว้างช่วยให้เนื้อครีมและโลชั่นซึมสู่ผิวได้ดีกว่าปกติ

- สร้างวินัยในการออกกำลังกาย หาเวลาทำกิจกรรมหรือออกกำลังกาย 15-30 นาทีทุกวัน

- ควบคุมการรับประทานให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ หลักง่าย ๆ ก็คือในแต่ละมื้อควรมีผักและผลไม้อยู่ครึ่งหนึ่งของอาหารที่รับประทานและ ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว

- พักผ่อนเพียงพอ ด้วยการนอนหลับลืมเรื่องราวความเครียดต่าง ๆ ก่อนเข้านอนสงบจิตใจด้วยการละวาง

และเพียงแค่ 4 สัปดาห์แรก คุณก็จะสามารถสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงจากผิวที่เคยหมองคล้ำแห้งกร้านขาด ความชุ่มชื้น สู่ผิวที่ขาวเนียนสดใสเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลแลดูอ่อนวัยได้อย่างชัดเจน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:42
ยาทำให้ผิวขาว
แหม๋ไม่ไ้ด้เลยนะจ๊ะคุณสาว ๆ พอได้ยินคำว่า ยาทำให้ผิวขาว คงอดไม่ได้ที่ต้องซื้อมาลองกันล่ะซิ แต่เอาเถอะใคร ๆ ก็อยาก ขาวด้วยกันทั้งนั้น วันนี้ดิฉันจึงเอาใจเป็นพิเศษด้วย ยาทำให้ผิวขาว เรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่ามียาอะไรกันบ้างแต่ก็ขอเตือนกันไว้อีกนิดว่า ยาแต่ละชนิดควรจะทำการศึกษาอย่างถ่องแท้ก่อนซื้อมารับประทานนะค่ะ

9 ยาทำให้ผิวขาว

1.กลูตาไธโอน
ลดการสร้างเม็ดสีเมลานินต้านการเสื่อมของเซลล์ผิวส่งผลให้ผิวหน้าขาวสวยใส เปล่งปลั่งไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่น ใต้วงแขน บริเวณขอบชุดชั้นใน ริมฝีปาก และบริเวณหัวนมให้ขาวอมชมพู

2.สารสกัดจากเปลือกสน
ทำให้ผิวขาวใสโดยลดปฏิกิริยาของผิวหนังเมื่อถูกแสงแดด ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดขนาดและความเข้มของฝ้า กระ และช่วยปรับสภาพผิวให้กลับขาวใสขึ้น เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้แรง

3.สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
ในเมล็ดองุ่นมีสารบางชนิดช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวทำให้เนื้อเยื่อ โครงสร้างผิวแข็งแรง ปกป้องเนื้อเยื่อโครงสร้างผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอย ลดความหยาบกร้าน หมองคล้ำ ทำให้ผิวใส เรียบเนียน


4.ชาเขียวสกัด
ปกป้องและรักษาผิวจากการทำลายของมลภาวะโดยเฉพาะแสงแดด ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวให้กลับคืนสู่สภาพปกติช่วยให้ผิวขาวขึ้นช่วยลดและ ชะลอการเกิดริ้วรอย

5.โคเอนไซม์คิวเทน
ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดการเกิดริ้วรอย ด้วยการเร่งการผลิตคอลลาเจนทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิวทำให้ผิวยืดหยุ่นแข็งแรง


6.วิตามินซี
เสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยลดการเกิดริ้วรอย ลดการถูกทำลายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยคงความแข็งแรงของผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและเผยผิวขาวเนียนสดใส


7.สารสกัดจากมะเขือเทศ
ลดรอยดำ และความหมองคล้ำจากผลกระทบโดยตรงหรือโดยทางอ้อมจากแสงแดด ลดการถูกทำลายของผิว ช่วยปกป้องจาการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย เสริมฤทธิ์กับชาเขียวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว


8.วิตามินอี
เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย

9.ซีลิเนี่ยม
ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำงานเสริมกับวิตามินซี และวิตามินอี


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:44
การทำความรู้จัก! สารกลูต้าไธโอน "สารเพิ่มผิวขาว"
มีหลากหลายคำถามที่ได้ถามกันเข้ามาถึงสารกลูต้าไธโอนว่า ช่วยเพิ่มความขาวได้จริงรึเปล่า วันนี้เรา จึงไปทำการค้นหาข้อมูลและค้นหาคำตอบถึงเจ้า สารกลูต้าไธโอน ว่าจะช่วยให้คุณได้คำตอบที่ชัดเจนและกระจ่างขึ้นมากเลยทีเดียวค่ะ นั้นอย่างรอช้าค่ะเรามาทำความรู้จักอย่างท่องแท้กับ น่ารู้! สารกลูต้าไธโอน "สารเพิ่มผิวขาว" กันเลยค่ะ

สารกลูต้าไธโอน

สารกลูตาไธโอน เป็นสารที่เซลล์ในร่างกายเราสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองมีคุณสมบัติเป็น โปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน โดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษ ออกจากร่างกาย เช่น ตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำเมื่อรวมตัวกับสารกลูตาไธโอนจะช่วยให้ละลาย น้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกายได้ในที่สุด สารพิษจำพวกโลหะหนักหรือสารกำจัดแมลงสามารถถูกขจัดออกจากร่างกายได้โดยการทำ งานของกลูตาไธโอนร่วมกับตับ

สารกลูตาไธโอนยังมีหน้าที่สำคัญอีกมากมายในร่างกาย เช่น สังเคราะห์โปรตีนช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความแข็งแรง ช่วยเร่งการซึมผ่านของสารอาหารเข้าสู่เซลล์ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ ให้ถูกทำลายซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็งนั่นเอง

โดยสรุปสารกลูตาไธโอนจึงเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายที่มีกำลังสูงเมื่อ เปรียบเทียบกับวิตามินซีหรือวิตามินอี เมื่ออายุคนเรามากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลงมีผลทำให้เซลล์ และอวัยวะทุกส่วนเสื่อมโทรมลง ในทางตรงกันข้ามนักวิจัยพบว่าผู้ที่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงมักจะ ตรวจพบสารกลูตาไธโอนปริมาณสูงในกระแสเลือด

การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์

สารกลูตาไธโอนมีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง เช่น โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยได้รับการรับรองให้ใช้เป็นยามามากกว่า 30 ปี การรักษามักจะให้โดยการฉีดเข้าเส้นหรือเข้าที่กล้ามเนื้ออาการข้างเคียงของ ยาดังกล่าวตอนนี้ยังไม่พบ แต่อย่างไรก็ตามพบว่า สารกลูตาไธโอนมีผลข้างเคียงในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งทำให้เม็ดสีของ ผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ผลข้างเคียงนี้จึงทำให้มีการแตกตื่นและนำกลูตาไธโอนมาเตรียมเป็นยาเม็ดเพื่อ ใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อชะลอวัยและหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู


ยาเม็ดกลูตาไธโอน ได้ผลจริงหรือ ?

ในวงการของอาหารเสริมมีการนำสารกลูตาไธโอนมาทำเป็นยาเม็ดในขนาดความแรงต่าง ๆ กัน เพื่อใช้ในการรับประทานเป็นอาหารเสริมโดยหวังผลว่า จะสามารถเสริมและทดแทนปริมาณกลูตาไธโอนที่ร่างกายมีไม่พอหรือบกพร่องไปอัน เนื่องมาจากสาเหตุของโรคต่าง ๆ

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า สารกลูตาไธโอนจะไม่สามารถถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้เพราะจะถูกย่อยสลายและ ขับออกทางลำไส้ ดังนั้นการรับประทานยาเม็ดกลูตาไธโอนจึงไม่ได้รับประโยชน์เลยไม่ว่าจะกิน ครั้งละหลาย ๆ เม็ดหรือในขนาดที่สูงมาก ๆ ก็ตาม


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:45
สารกลูตาไธโอนช่วยให้ผิวขาวได้จริงหรือ?

ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของการใช้ยากลูตาไธ โอนคือ การยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีให้ผิวหนัง รวมทั้งการเปลี่ยนเม็ดสีที่สร้างขึ้นจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว จึงมีการคิดนำเอาสารชนิดนี้มาใช้เป็นอาหารเสริมโดยหวังว่า จะสามารถเสริมและเพิ่มความเข้มข้นของกลูตาไธโอนในกระแสเลือดให้มาก ๆ เพื่อหวังผลให้ผิวหน้าขาวอมชมพู แต่ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมนั้น ทานมากเท่าไหร่ก็จะไม่ได้ผลเพราะสารชนิดนี้จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่าง กายไม่ถูกดูดซึม แพทย์หลายสำนักจึงได้มีการดัดแปลงโดยทำการฉีดเข้าเส้นหรือเข้ากล้ามเนื้อ เช่นเดียวกับการรักษาโรคต่าง ๆ อย่างไรก็ตามอาการข้างเคียงของผิวขาวเป็นอาการชั่วคราวเท่านั้นจึงไม่ควรใช้ ยานี้ในทางที่ผิด

ภาวะที่ร่างกายขาดสารกลูตาไธโอน

เนื่องจากสารดังกล่าวร่างกายสร้างได้เองแต่สภาวะที่ร่างกายอาจขาดหรือมี กลูตาไธโอนไม่เพียงพอ เช่น เมื่อร่างกายมีโรคแทรกซ้อนทำให้กลูตาไธโอนลดน้อยลงด้วยสาเหตุการถูกทำลาย ด้วยยารักษาหรือด้วยตัวโรคเอง หากร่างกายขาดหรือมีกลูตาไธโอนน้อยจะมีผลทำให้เกิดโรคตับอักเสบง่ายทำให้ตับ ทำงานได้ไม่เต็มที่มีโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ โรคหืด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่องของกลูตาไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรก ซ้อนทางระบบประสาท ผู้ที่ป่วยด้วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ปริมาณกลูตาไธโอนในระบบ เลือดจะต่ำมาก ๆ ผู้ที่สูบบุหรี่จัดก็เช่นกัน ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จะเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย


กลูตาไธโอนในธรรมชาติ

พบมากในผลไม้ ได้แก่ แตงโม สตรอเบอรี่ องุ่น ผลอโวกาโด ส่วนในผักพบมากใน หน่อไม้ฝรั่ง สำหรับเนื้อสัตว์จะพบได้ในปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ดังนั้นควรเลือกรับประทานจากธรรมชาติดีกว่าที่จะหลงไปใช้สารนี้อย่างผิด ๆ และขาดความเข้าใจ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:46
การทำความสะอาดผิวหน้า อย่างล้ำลึก "เพื่อผิวขาว กระจ่างใส รูขุมขนกระชับ"
ผิวสวย หน้าขาวใส รูขุมขนกระชับ สีผิวสม่ำเสมอ ไร้สิวและริ้วรอย ใคร ๆ ก็อย่างมี แต่สิ่งต่อไปนี้ช่วยให้คุณได้นั่นคือ การทำความสะอาดผิวหน้าอย่าง ล้ำลึกนั่นเองค่ะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้เพียง การทำความสะอาดผิวหน้า แต่เพียงอย่างเดียวเรายังมีการบำรุงผิวหน้าอย่างล้ำลึกอีกด้วย และต่อไปนี้สิ่งที่เรากำลังจะบอกนั้นคือ ขั้นตอน การทำความสะอาดผิวหน้า และ ขั้นตอนการบำรุงผิวหน้า ที่จะช่วยให้คุณนั้นมีผิวสวย หน้าขาวใส รูขุมขนกระชับ สีผิวสม่ำเสมอ ไร้สิวและริ้วรอยอย่างที่ใจคุณต้องการเลยทีเดียวค่ะ
การทำความสะอาดผิวหน้า อย่างล้ำลึก
- ขั้นตอนแรก คือ การทำความสะอาด (Cleansing)

ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการชำระล้างที่เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวคุณเอง และทำความสะอาดผิวหน้าอย่างนุ่มนวลทั้งตอนเช้าและโดยเฉพาะเวลาก่อนเข้านอน หากคุณแต่งหน้าจัดอยู่เป็นประจำซึ่งการล้างหน้าที่ถูกวิธีนั้นให้หมุนขึ้น และวนออกเพื่อเป็นการเปิดและชำระล้างสิ่งอุดตันและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ติดอยู่ในรูขุมขนให้หลุดออกในขณะนวดล้างทำความสะอาด

- ขั้นตอนต่อมาที่ช่วยล้างผิวหน้าอย่างล้ำลึก (Deep Cleanser)

คือหลังจากการล้างหน้าตามปกติอาจยังมีสิ่งสกปรกที่ยังหลงเหลืออยู่ การมาร์คหน้า พอกหน้านั้นจึงเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งในการกระตุ้นการชำระล้างได้อย่างล้ำลึก อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวให้ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้ หลุดออกขจัดน้ำมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่ในรูขุมขนให้หมดไป ลดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุของสิวเสี้ยนและยังช่วยป้องกันการเกิด สิวหัวขาว (สิวเม็ดข้าวสาร) ได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ผิวพรรณสะอาดอย่างล้ำลึกผิวแลดูสดใสเปล่งปลั่ง

- ปรับสภาพผิวให้เนียนเรียบกระชับ (Toners)

การใช้โทนเนอร์เช็ดผิวหน้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสามารถคืนความสมดุลและ ปรับสภาพผิวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งยังเป็นเกราะป้องกันผิวจากเชื้อแบคทีเรียทำให้ผิวสดชื่นสดใสและ เปล่งปลั่ง อีกทั้งยังเป็นการกระชับผิวให้รูขุมขนเล็กลงช่วยควบคุมน้ำมันส่วนเกินบริเวณ หน้าผาก จมูก คาง (T-ZONE) ให้การแต่งหน้าได้คงทนยิ่งขึ้น

- บำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่นด้วยครีมบำรุง (Moisturizer)

ขาดไม่ได้เลยสำหรับอาหารผิวด้วยการเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว พรรณของคุณ การบำรุงให้ความชุ่มชื้นกลับคืนสู่ผิวด้วยครีมบำรุงผิวนั้นถือเป็นการคืน ความชุ่มชื่นสร้างความยืดหยุ่นสำหรับผิวชั้นนอกเพื่อคงความเปล่งปลั่งช่วย ให้ผิวเก็บกักความชุ่มชื้นช่วยให้ผิวมีน้ำหล่อเลี้ยงได้ถึงผิวชั้นใน ให้ผิวเนียนนุ่มไม่แห้งตึงสวยสมบูรณ์แบบสาวผิวสวยได้ไม่ยากเลยล่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:48
ควรรู้! คําศัพท์เครื่องสําอางค์
วันนี้พาคุณผู้หญิงทั้งหลายมาเรียนรู้คําศัพท์เครื่องสําอางค์เพื่อ ประโยนช์ครั้งหน้าในการเลือกซื้อเครื่อง สำอางค์ได้อย่างตามความต้้องการที่ถูกต้องของคุณ ๆ ค่ะ เพราะถ้าคุณรู้ คําศัพท์เครื่องสําอางค์ ก็จะทำให้คุณได้รับประโยชน์แก่ผิวของคุณได้อย่างเต็มที่เพื่อผิวสวยและนุ่ม นวลค่ะ
  
คําศัพท์เครื่องสําอางค์

Anti-aging : เครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติต่อต้าน ลบเลือน หรือชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย พบมากในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและผิวกายที่เกิดริ้วรอยได้ง่าย รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับริมฝีปากและรอบดวงตาด้วย นอกจากนี้ยังมีคำว่า Age-defense, Anti-wrinkle, Time Defiance ที่มีความหมายเดียวกัน

Fragrance Free : คือปราศจากส่วนผสมที่เป็นน้ำหอม (สังเคราะห์จากสารเคมี) ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองได้ในผิวที่บอบบางแพ้ง่าย

Allergy Tested : หากมีคำนี้ก็แสดงว่าเครื่องสำอางชนิดนั้นได้ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่แพ้

Non-alcohol : ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งมักพบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับคนผิวแห้ง แต่สำหรับคนผิวอื่น ๆ ก็ควรเลือกใช้เพราะเป็นสาเหตุให้น้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติจะถูกกำจัดออก ไปทำให้ผิวมีความแห้งตึงและแพ้ได้

Against Animal Testing : มี ความหมายว่า ไม่มีการทดสอบกับสัตว์ทดลอง (ซึ่งจะทำการทดสอบกับอาสาสมัครที่เป็นคนแทน) จึงเป็นการบ่งบอกถึงศีลธรรมจรรยาไม่เกี่ยวข้องกับสรรพคุณของเครื่องสำอางแต่ อย่างใด

Firming/Lift : เป็นคุณสมบัติที่ช่วยยก กระชับผิวให้เต่งตึง ลดเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่น แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น มักมีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผิวเกิดการตึงตัวซึ่งจะอยู่ได้เพียงไม่กี่ ชั่วโมงจากนั้นก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ดังนั้นเครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติกระชับผิวที่ดีจะต้องมีส่วนผสมของสาร บำรุงผิวเข้าไปด้วย เช่น คอลลาเจน หรือสารที่ช่วยกระตุ้นให้ผิวผลิตคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ผิวจึงจะดีขึ้นได้ในระยะยาว

Oil Control/Shine Control : เครื่องสำอางที่ผสมสารบำรุงผิว (มอยเจอร์ไรเซอร์) ที่ช่วยควบคุมไม่ให้เกิดความมัน แต่ถ้าเป็นคำว่า Oil Free จะไม่มีส่วนผสมของไขมันเลย เหมาะกับคนที่มีผิวมันมาก ๆ มักมีส่วนผสมของ Cetearyl alcohol, Isopropyl myristate, Myristic acid, Palmitic acid เป็นต้น

Anti-oxidant : มีส่วนผสมที่มีคุณสมบัติ ต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการที่ก่อให้ผิวเกิดริ้วรอยก่อนวัย สารต้านอนุมูลอิสระมีหลายชนิดด้วยกันส่วนใหญ่ได้จากการสกัดจากพืชพรรณ ธรรมชาติ

Waterproof : คุณสมบัติที่สามารถกันน้ำได้หรือไม่ละลายน้ำ ซึ่งไม่ทำให้ตัวแป้งละลายหายไปกับเหงื่อติดทนนาน แต่ก็จะล้างออกยากเช่นกัน อาจต้องใช้ครีม (คลีนเซอร์) เช็ด

Aromatherapy : ถ้า เป็นเครื่องสำอางที่ดีจะต้องเป็น Aromatherapy ที่มาจาก Essential Oil - น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ที่สกัดจากธรรมชาติจริง ๆ จึงจะได้ผลในการบำบัดด้วย

White/Whitening : Whitening ที่ดีนั้นต้องค่อย ๆ ทำให้ขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติไม่ระเคืองต่อผิวและเชื่อถือได้ว่าไม่ผสมสาร เคมีอันตรายบางตัวที่ทำให้ผิวขาวขึ้นได้เช่นกัน

UV Filter : สามารถป้องกันรังสีอัลต้าไวโอเล็ตจากแสงแดดได้โดยจะมีส่วนผสมของสารกันแดด ที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป ซึ่งครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพดีควรมีส่วนผสมของ Titanium dioxide และ Zinc dioxide เพราะมีอานุภาพในการสะท้องรังสี UV กลับสูง แต่ข้อเสียคือจะค่อนข้างทำให้หน้ามันเยิ้มและเป็นคราบเมื่อเหงื่อออกมาก ๆ

Hydrating Cream : คือครีมที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวโดยไม่ทิ้งความมันบนใบหน้า เหมาะกับผิวธรรมดาถึงผิวมัน

สารเคมีที่มักพบในเครื่องสำอาง

สารเคมีทั่วไป

Lanolin : ลา โนลิน สารสกัดที่ได้จากธรรมชาติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวป้องกันการแห้งตึง แต่การวิจัยบางชิ้นพบว่าอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและเป็นสาเหตุหนึ่งของ การอุดตันและการก่อตัวของสิว


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:50
Mineral Oil : มิเนอ รัลออยล์ เป็นผลผลิตที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมใช้เป็นสารทำความหล่อลื่นใน เครื่องสำอาง พบได้ในโลชั่น มอยเจอร์ไรเซอร์ ครีมล้างหน้า อายครีม ฯลฯ ซึ่งมีโมเลกุลค่อนข้างใหญ่ จึงไม่สามารถซึมลงไปใต้ผิวหนังอย่างที่เคยคิดกันแม้จะไม่ก่อให้เกิดโทษร้าย แรงแต่ก็ไม่มีประโยชน์ต่อผิว

Glycerin : กลีเซอรีน เป็นสารที่เกิดจากการเติมด่างลงไปในไขมันใช้มากในการทำสบู่และเครื่องสำอาง ที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว รวมถึงน้ำยาบ้วนปากและยาสีฟันโดยได้รับการรับรองว่าปลอดภัยไม่ทำให้ระคายเคือง

Propylene Glycol : โพรไพลีน ไกลคอล นิยมใช้กันมากในเครื่องสำอางดูแลผิวที่ต้องการคุณสมบัติกักเก็บความชุ่มชื้น และซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ดีปลอดภัยต่อผิว

Dimethicone : ไดเมธิโคน คือน้ำมันซิลิโคนชนิดหนึ่งใช้เป็นเบสของผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นครีมต่าง ๆ ไม่เป็นอันตรายต่อผิว

Polysorbate : โพ ลีซอร์เบต มักพบในเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหย เพราะเป็นสื่อผสมให้น้ำสามารถเข้ากับน้ำมันหอมระเหยได้ค่อนข้างปลอดภัยต่อคน

Cocamidopropyl Betaine : โคคามิโดโพรพิล บีเทน เป็นสารที่ได้จากน้ำมันมะพร้าวมักใช้ผสมในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่าง ๆ เช่น สบู่ แชมพู คอนดิชั่นเนอร์ หรือโฟมล้างหน้า ช่วยในการลดแรงตึงผิวของน้ำและทำให้เกิดฟอง แต่หากใช้ในปริมาณมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้

Butylene Glycol : บิ วไทลีน ไกลคอล เป็นสารที่ทำหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื้นรักษากลิ่นและความเข้มข้นของ ผลิตภัณฑ์ให้คงรูป มักเป็นส่วนผสมของโลชั่นต่าง ๆ ไม่เป็นอันตรายต่อผิว

Phenoxyethanol : ฟีน็อกซ์ ซีธานอล พบได้ในเครื่องสำอางที่มีน้ำหอมผสมอยู่เพราะมีคุณสมบัติทำให้น้ำหอมคงตัว ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้แต่ต้องไม่ใช้ในปริมาณที่เข้มข้นไม่เช่นนั้นอาจ เกิดอาการแพ้ได้

Sodium Chloride : โซเดียมคลอไรด์ หรือเกลือทะเลไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด แต่หากใช้ในปริมาณที่เข้มข้นเกินไปก็ทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้พบในน้ำยา บ้วนปาก สบู่ อายครีม เกลืออาบน้ำ เป็นต้น

Stearic Acid : กรดสเตียริก เป็นสารที่เกิดไขมันและน้ำมันจากสัตว์จึงค่อนข้างปลอดภัย มักใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย โลชั่น ครีมรองพื้น และสบู่ มีคุณสมบัติช่วยสร้างความนุ่มนวล ลื่น เป็นประกายแวววาว


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:50
สารเคมีที่ควรระวัง

Hydroquinone : ไฮโดรควิโนน สารนี้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางทาฝ้าหาใช้ในระยะยาวจะก่อให้เกิดผลเสียต่อ ผิวอย่างมาก เช่น แพ้ ระคายเคือง และทำให้ผิวหน้าดำคล้ำกลายเป็นผ้าถาวร

Sodium Laureth Sulfate : โซเดียมลอริธซัลเฟต พบได้ในโฟมล้างหน้า ยาสีฟัน และในแชมพูมากที่สุด(ประมาณ 90 % ของแชมพูท้องตลาด) อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน ดังนั้นหากมีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง

Formaldehyde : ฟอร์มาลดีไฮด์ ช่วยฆ่าเชื้อโรคและเชื้อราต่าง ๆ พบมากในยาทาเล็บ สบู่ และแชมพู หากสูดดมมาก ๆ อาจเป็นอันตรายต่อระบบหายใจได้

S. D. Alcohol : เอส. ดี. แอลกอฮอล์ ใช้ในเครื่องสำอางประเภทรักษาความมันและสิวอุดตัน โดยจะเป็นตัวนำน้ำมันและสิ่งสกปรกออกไปรวมทั้งน้ำหล่อเลี้ยงบนชั้นผิวด้วย จึงทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นและแห้งตึงได้

Sodium Hydroxide : โซเดียมไฮดรอกไซด์ ใช้เป็นส่วนประกอบหลักใน สบู่ แชมพู น้ำยายืดผม ซึ่งเป็นสารที่มีความเป็นด่างสูง จึงอาจทำให้ผิวหรือหนังศีรษะแห้งลอกหรือเกิดการอักเสบได้

Talc/Talcum : แป้งทัลส์หรือทัลคัมที่พบได้ทั่วไปในผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่น แป้งอัดแข็ง บลัชออน อายแชโดว์ หรือสเปรย์ระงับกลิ่นกาย ให้ความรู้สึกลื่น นุ่มนวล แต่ไม่ควรใช้กับส่วนเล้นลับเพราะมีการวิจัยพบว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งมดลูกได้มากกว่าปรกติถึง 3 เท่า

Steroid : สเตียรอยด์ สารอันตรายที่ก่อให้เกิดความผิดปรกติของผิวหนังได้ เนื่องจากสเตียรอยด์เป็นสารอันตรายผู้ผลิตจึงมักไม่ระบุชื่อลงไปในฉลาก ดังนั้นจึงควรเลือกเครื่องสำอางที่น่าเชื่อถือมีเลขทะเบียนอนุญาตจำหน่าย หรือตราที่รับรองว่าผ่านการตรวจสอบแล้ว


เคล็ดลับการเลือกและการเก็บรักษา

ส่วนผสมปลอดภัย
บรรจุภัณฑ์ดูดี
แหล่งที่มาน่าเชื่อถือ
รายละเอียดสินค้าชัดเจน
มีอย. รับรอง
ทดสอบว่าไม่แพ้

สำหรับการเก็บรักษาเครื่องสำอางให้สามารถใช้งานได้นานที่สุดและไม่เสื่อม สภาพไปก่อนอายุไขอันควรคือ ประมาณ 2 ปี นับจากวันที่ผลิต สิ่งสำคัญอยู่ที่การรักษาความสะอาดและอุณหภูมิอันเหมาะสมไม่ควรเก็บในห้อง ที่อากาศร้อนอบอ้าว ควรเก็บไว้ในที่ที่แดดส่องไม่ถึงบางคนชอบนำไปเก็บในตู้เย็น (ชั้นที่ไม่เย็นจัดนัก) ซึ่งก็ช่วยรักษาสภาพของเครื่องสำอางไว้ได้นาน

ไม่ควรนำมือเข้าไปควักหรือป้ายเครื่องสำอางออกมาจากขวดควรเทหรือใช้ช้อน สำหรับตักเล็ก ๆ ตักเครื่องสำอางออกมา หลังใช้ทุกครั้งควรปิดฝาให้สนิทเพื่อป้องกันการระเหยของส่วนผสมที่เป็นน้ำใน เครื่องสำอาง และการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุทำให้เครื่องสำอางบูดเสียได้ หากเครื่องสำอางมีกลิ่นหรือสีเปลี่ยนไปส่วนผสมแยกตัวออกจากกันเกิดฟองขึ้น หรือจับตัวเป็นก้อนแข็ง ฯลฯ แสดงว่าเสียใช้ไม่ได้แล้ว  

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:51
เลือกใช้ "ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า" เพื่อผิวหน้าสวยใส
ผิวหน้าสวยใส คือ เสน่ห์ที่ผู้หญิงหลายคนโหยหาแต่หากว่าเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ไม่เหมาะสมผิวหน้าสวใสของคุณก็อาจจะ กลายไปอย่างอื่นไปได้ ฉะันั้นคุณควรจะเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ให้เหมาะกับผิวหน้าของคุณ เพราะผิวหน้าคือหน้าต่างของหัวใจจริงไหมค่ะ

วิธีเลือก ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดผิวหน้านั้น ส่วนใหญ่จะมีสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) ทำหน้าที่กำจัดคราบไขมันและสิ่งสกปรกบนใบหน้าให้หมดไปแต่ควรมีคุณสมบัติ สำคัญที่น่าใช้ ดังนี้ คือ

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดผิวหน้าควรเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวหน้าและที่ สำคัญควรมีค่า pH ที่เหมาะสมกับสภาพผิวตามธรรมชาติให้มากที่สุด ค่า pH ที่เหมาะสมคือ ค่า pH 0.5-5.5 (ค่า pH คือค่าความสมดุลของกรดด่าง)
ผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องปราศจากส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดการอุดตันบริเวณต่อมรู ขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการก่อให้เกิดสิว หรือที่เรียกว่า Non-Comedogenic นั่งเองค่ะ

ส่วนผสมของสารที่ปรับสภาพผิวหน้าให้นุ่มคืนความชุ่มชื่นสู่ผิวพรรณเป็นหลัก นั่นคือ Moisturizer (มอยส์เจอร์ไรเซอร์) วิตามินอี หรือส่วนผสมจากวิตามินธรรมชาติในการบำบัดบำรุงผิวพรรณเป็นหลัก ใช้แล้วผิวหน้าไม่แห้งตึงที่สำคัญไม่ว่าคุณผู้หญิงจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิด ใดก็ตามเลือกที่มีคุณภาพสมราคาไม่ใช่ว่าของแพงราคาสูงลิบลิ่วจะดีเสมอไป หรือว่าของถูกมีของแถมซื้อ 1 แถม 3 ก็ใช่ว่าจะมีคุณค่าต่อผิวพรรณ เลือกที่ไว้ใจได้ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาการระคายเคืองต่อผิวพรรณของคุณก็จะ เป็นการดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือสวยด้วยแพทย์

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:53
การเลือกใช้ไนท์ครีม
ปัจจุบันการเลือกใช้ไนท์ครีมเป็นสิ่งที่จำเป็นมากขึ้น หลายคนอาจจะส่งสัยเมื่อเวลาไปซื้อ เดย์ครีม กับ ไนท์ครีม มันต่างกัน อย่างไร ที่ต่างกันก็คือ เดย์ครีม จะใช้ตอนกลางวัน ส่วน ไนท์ครีม จะใช้ตอนกลางคืน แต่ก็อาจจะมีคำถามต่อไปว่า ใช้ทั้งอย่างเดียวทั้งกลางวันกลางคือไม่ได้เหรอ คำตอบคือได้ค่ะแต่ไม่เหมาะสมอาจเกิดผลข้างเคียงได้เพราะว่าเค้าผลิตมาโดย เฉพาะ แต่วันนี้เราจะพามารู้จักกับ การเลือกใช้ไนท์ครีม เพื่อให้คุณผู้หญิงเข้าใจมากขึ้นค่ะ
วิธี การเลือกใช้ไนท์ครีม
1. ควรเลือกไนท์ครีมที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินอี วิตามินซี เพราะตลอดทั้งวันผิวหน้าของคนเรา ต้องเผชิญกับมลภาวะมากมาย ซึ่งก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ตัวการสำคัญในการทำลายเซลล์ผิวหน้า

2. ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย ควรเลือกไนท์ครีมที่มีส่วนผสมของ Q10 ซึ่งยับยั้งการสร้างเอนไซม์ทำลายคอลลาเจน ขณะเดียวกันก็ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว

3. ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยมากๆ ควรเลือกไนท์ครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอล ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ และกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจน จะช่วยลดริ้วรอยต่างๆ บนใบหน้าลงได้

4. เมื่อเลือกใช้ไนท์ครีมที่เหมาะสมกับตัวเองได้แล้ว อย่าลืมบำรุงผิวรอบดวงตาด้วยอายครีม เพราะคงไม่มีใครอยากตื่นมาตาดำเป็นหมีแพนด้าแน่ๆ

เป็๋นไงบ้างคะ ไนท์ครีมก็มีประโยชน์เหมือน ๆ กับเดย์ครีม สาว ๆ น่าจะลองมาให้ความสำคัญกับไนท์ครีมบ้างนะคะ...


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:54
"อายครีม" กับ "รอบดวงตา" จำเป็นไหม?
แน่นอนว่าดวงตาเป็นส่วนที่บอบบางที่สุดของร่างกาย แต่คุณก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องซื้ออายครีมมา ทา รอบดวงตาเสมอไป เพียงแค่คุณมีครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำในปริมาณสูงคุณก็สามารถนำมาทารอบ ดวงตาได้แล้ว แต่เพื่อป้องกันการแพ้ขอใหัคุณตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อนว่า อายครีม ทาหน้านั้นมีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่หรือเปล่า

อายครีม กับ รอบดวงตา

ถึงแม้ว่าผิวหนังรอบดวงตาของเรานั้นจะเป็นส่วนที่ดูจะบอบบางที่สุดของ ร่างกาย แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อครีมทารอบดวงตาโดยเฉพาะเสมอไป หากว่าคุณใช้ครีมทาหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำอยู่ในปริมาณสูง และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ คุณก็สามารถใช้ครีมนั้นทารอบดวงตาด้วยได้โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อครีมทาตาให้ สิ้นเปลือง แต่เพื่อเป็นการป้องการการแพ้หรือระคายเครื่องที่อาจเกิดขึ้นได้ คุณก็ควรตรวจสอบให้ดีก่อนว่าครีมที่ใช้ทาหน้านั้น มีส่วนผสมของน้ำหอมอยู่หรือเปล่า

เพราะนั่นคือสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้ผิวรอบดวงตาเกิดอาการระคายเคือง ส่วนสารกันแดดอย่างซิงค์ออกไซด์และไทเทเนียมไดออกไซด์กลับไม่ก่อให้เกิด อาการแพ้มากนัก แต่ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่ายก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้กับผิวรอบดวงตาจะเป็นการดี กว่า และจงจำไว้ด้วยว่าการทาครีมรอบดวงตานั้น จะต้องทำอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้นิ้วนางลูบไล้เบาๆ จากหัวตาไปหางตา เพราะนิ้วนางเป็นนิ้วที่มีแรงน้อยที่สุด จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ทำให้ผิวรอบดวงตาต้องเป็นปัญหาจากการทาครีมแรงๆ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:55
วิธีใช้ "ครีมกันแดด" อย่างถูกต้อง
ผู้หญิงที่กลัวแดดและกลัวดำเชิญฟังทางนี้สักนิด ครีมกันแดดที่ คุณใช้นั้นอาจะมีประสิทธิภาพที่ดี แต่ถ้าคุณใช้ไม่ถูกวิธีและหละก็จะทำให้ประสิทธิภาพใน ครีมกันแดด ทำงานได้ไม่เต็มที่และเป็นเหตุให้ผิวคุณเสียได้ ฉะนั้นวันนี้เราเลยนำคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีใช้ครีมกันแดดอย่างถูกวิธีมาฝาก กันจ้า


วิธีใช้ ครีมกันแดด
1. การทาครีมกันแดดนั้นหากจะให้ได้ประสิทธิภาพตามที่กำหนดก็ต้องใช้ปริมาณครีม ราว 1 ช้อนชาหรือประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ สำหรับทาหน้าและคอ แนะนำให้แบ่งทา 2 รอบค่ะ

2. ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดราว 15 นาที เพื่อให้ครีมกันแดดยึดติดกับผิวได้ดีกว่า และถ้าอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ๆ ก็ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมง

3. หากต้องมีกิจกรรมกลางแดดต่อเนื่องหรือเล่นกีฬากลางน้ำกลางแดดควรเลือกครีมกันแดดชนิดกันน้ำ และทาครีมกันแดดซ้ำ ทุก 2 ชั่วโมง

4. ต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำสม่ำเสมอ

โดยสรุป การหลีกเลี่ยงแสงแดดสามารถลดปัญหาที่เกิดจากแสงแดดได้ดีที่สุด นอกเหนือจากนี้ควรป้องกันแสงแดดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ร่มเวลาที่ต้องออกแดด และการใช้ครีมกันแดดเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดควรเลือกให้เหมาะสมกับแต่ ละบุคคล ร่วมกับวิธีการใช้ที่ถูกต้อง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 00:59
โลชั่นทาครีมอย่างไรให้ได้ผล
อาจมีทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายที่มักจะเกิดคำถามที่ว่า ทาครีมอย่างไรให้ได้ผล เพราะทาไปเท่าไหร่ยังไง๊...ยังไง ก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปซักที คุณรู้ไว้เถอะค่ะว่านั้นคือการที่คุณทาครีมอย่างผิด ๆ ทำให้ ครีมมีค่าราคาแพงของคุณดูจะไม่ค่อยเห็นผลเท่าไหร่ จึงไม่แปลกใจเลยค่ะที่จะเจอคำถามที่ว่า ทาครีมอย่างไรให้ได้ผล ถ้าอยากทาครีมให้ได้ผลล่ะก็ลองมาดูคำตอบต่อไปนี้กันค่ะ
ทาครีมอย่างไรให้ได้ผล เริ่มจาก
ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจดแล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไปก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรหรือถ้ามากเกินไปก็จะทำ ให้ผิวหน้ามันเกินไปและก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่

เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของ ใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้าง และคาง ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางในการเกลี่ยบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้าง ๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้ายและทางด้านขวาออกขวาแล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน การลงน้ำหนักนิ้วควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบางควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไปอาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้

การทาครีมรอบดวงตา ควร ใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุดแล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบ ๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัดแต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง

การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบ หน้า โดยเริ่มทาจากบริเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อย ๆ ลูบไล้ขึ้นไม่ควรทาลง เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลกทำให้เกิดรอยย่น ภายหลังได้

การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ และวนให้ทั่วแผ่นอกเพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิวแล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้า ท้องและส่วนหลัง

การทาครีมบริเวณแขน จะเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อนแล้วทาวนขึ้นหลังแขนโดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว

การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะเริ่มต้นที่ต้นขาก่อนแล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้าเพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

โดย: pang2536    เวลา: 2011-4-27 03:12
มีข้อมูลใหม่ๆ  และมีประโยชน์มาให้ได้อ่านกันอีกแล้ว  ขอบคุณนะคะ  ^^
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:06
ด้วยความยินดีค่ะ
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:10
บำรุงผิว กับ การทาโลชั่นที่ถูกต้อง
โลชั่นบำรุงผิวนั้นมีมากมายหลากหลายตัวและหลากหลายชนิด ถึงแม้ว่าจะมี โลชั่นบำรุงผิว มากแค่ไหนการทาโลชั่นที่ถูกต้องก็ จัดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กับ โลชั่นบำรุงผิว เลยล่ะค่ะ ฉะันั้นแล้ว การทาโลชั่นที่ถูกต้อง ถือเป็นเรื่องสำคัญและ การทาโลชั่นที่ถูกต้อง ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้ผิวของคุณสวยและเป็นตัวการทำให้ โลชั่นบำรุงผิว ออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากทีเดียวค่ะ เพราะฉะนั้นเราควรจะหันมาทำ การทาโลชั่นที่ถูกต้อง กันนะค่ะ
การทาโลชั่นที่ถูกต้อง

เอ-กฤษณา เรืองศรี กูรูชื่อดังจาก ดิวาน่า เนอเชอร์ สปา ให้คำแนะนำสาว ๆ เรื่องการดูแลผิวว่า การทาโลชั่นบำรุงทั่วตัวเป็นเรื่องไม่ยาก แต่สาว ๆ ชอบละเลย เพียงใส่ใจเพิ่มขึ้นอีกสักนิดทาโลชั่นให้ครอบคลุมทั้งบริเวณต้นแขน ต้นขา แผ่นหลัง และหน้าท้อง บวกกับเคล็ดลับดูแลผิวพรรณง่ายๆ แค่นี้สาว ๆ ก็พร้อมอวดผิวทุกที่ ทุกเวลาอย่างมั่นใจ

สำหรับการทาโลชั่นในส่วน ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง และแผ่นหลัง ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากหรือเสียเวลาอย่างที่หลายคนเข้าใจและไม่ได้สิ้นเปลือง อย่างที่คิด เพียงแค่เตรียมผิวให้สามารถซึมซับคุณค่าบำรุงจากผลิตภัณฑ์โลชั่นบำรุงผิว ด้วยการใช้แปรงที่ทำจากขนสัตว์ขัดผิวให้ทั่วตัวก่อนอาบน้ำทุกครั้ง เท่านี้ก็ช่วยผลัดเซลล์ตายทำให้เนื้อโลชั่นซึมเข้าสู่ชั้นผิวได้ดียิ่งขึ้น พร้อมช่วยกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิตให้รู้สึกสดชื่นตลอดวัน และการทาโลชั่นที่ถูกต้อง คือ นวดกดลงน้ำหนักเล็กน้อยด้วยฝ่ามือวนซ้ำช้า ๆ เหมือนก้นหอยให้ทั่วตัวโดยไม่ลืมผิวส่วนสำคัญอย่างต้นขา แผ่นหลัง หน้าท้อง และต้นแขน

ช่วงเวลาที่เหมาะกับการทาโลชั่นให้ผิวกายเพื่อให้ได้คุณค่าบำรุงสูงสุด คือ หลังอาบน้ำตอนเช้าและเย็น เพราะเป็นช่วงที่รูขุมขนเปิดพร้อมรับคุณค่าสารอาหารเข้าสู่ชั้นผิว และต้องวอร์มโลชั่นให้อุณหภูมิเท่ากับผิวด้วยการถูไปมาบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ราว 5-10 วินาที หรือจนรู้สึกว่าเนื้อโลชั่นอุ่นขึ้นเสียก่อนถึงจะซึมเข้าสู่ผิวได้ดียิ่ง ขึ้น

สาว ๆ ที่ผิวมีจุดด่างดำกวนใจหรือมีสีผิวไม่สม่ำเสมอแนะนำให้ใช้โลชั่นที่มีส่วน ผสมของไข่มุกธรรมชาติและยูวีฟิลเตอร์ ช่วยลดปัญหาผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำเพื่อผิวเนียนสวยกระจ่างใสทั่วเรือนร่าง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ข่าวสด

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:11
ความแตกต่างระหว่าง "ครีมบำรุงผิวหน้า" และ "ครีมบำรุงผิวกาย"
อาจมีหลาย ๆ คนคงจะสงสัยในความแตกต่างระหว่าง ครีมบำรุงผิวหน้า และ ครีมบำรุงผิวกาย ว่าสองสิ่งนี้สามารถที่จะใช้แทนกันได้หรือไม่ และ "ครีมบำรุงผิวหน้า" และ "ครีมบำรุงผิวกาย" มีความแตกต่างกันอย่างไรเหตุใดจึงใช้แทนกันไม่ หรือหากว่าใช้แทนกันได้เหตุใดราคาถึงได้แตกต่างกันมากนัก วันนี้เรามีคำตอบค่ะ

ครีมบำรุงผิวหน้า และ ครีมบำรุงผิวกาย

ครีมบำรุงผิวที่มีจำหน่ายในท้องตลาดจะพบหลากหลายมากมายจนผู้บริโภคเลือกซื้อ ไม่ถูก เฉพาะชนิดที่บำรุงผิวหน้ามีทั้ง เดย์ครีม และ ไนท์ครีม ส่วนครีมบำรุงผิวกายนั้นก็มีหลากหลายให้เลือก วันนี้จะแนะนำให้ผู้อ่านเข้าใจองค์ประกอบของครีมบำรุงชนิดต่าง ๆ เพื่อจะได้เลือกซื้อสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริง โดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อสินค้าที่แพงเกินความจำเป็น

ผิวหนังตามลำตัวของคนเราจะมีความหนากว่าผิวหน้ามากมายทำให้มีความทนทานต่อ สิ่งแวดล้อมและไม่แพ้ง่ายต่อสารเคมี ดังนั้นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผิวกายโดยทั่วไปจะมีราคาถูกกว่า ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับผิวหน้า

ในทางตรงกันข้ามสารเคมีทุกชนิดที่จะถูกคัดเลือกมาเป็นองค์ประกอบของครีม บำรุงผิวหน้าจะต้องผ่านขบวนการทดสอบว่า ไม่แพ้ง่ายสำหรับคนส่วนใหญ่ องค์ประกอบหลายชนิดที่ใช้สำหรับครีมบำรุงผิวกายจะไม่สามารถใช้ในครีมบำรุง ผิวหน้าได้เลย จึงเป็นเหตุให้ครีมบำรุงผิวหน้ามีราคาแพง


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:11
อย่างไรก็ตามหากผู้บริโภคท่านใดที่ไม่แพ้ง่ายสามารถทดลองนำครีมบำรุงผิวกาย ที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำมาทาผิวหน้า โดยเริ่มทาบริเวณข้างแก้มทิ้งไว้ประมาณ 15-30 นาที หากพบว่าไม่มีอาการแดงหรือคันใด ๆ แสดงว่าท่านสามารถใช้ครีมทาผิวกายมาใช้ทาผิวหน้าได้เช่นกัน เนื่องจากประโยชน์ที่ได้จะคล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ครีมบำรุงจะทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นโดยธรรมชาติแต่ ผู้ที่มีอาการแพ้ควรจะหยุดใช้โดยทันที
โดยทั่วไปองค์ประกอบของครีมบำรุงผิวจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คือ ส่วนที่เป็นน้ำและส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมัน

ส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมันจะทำหน้าที่สำคัญคือทำหน้าที่เคลือบผิวหนังเพื่อ ลดการสูญเสียความชื้นของผิวหนัง ช่วยให้ผิวหนังนุ่มนวลและยังทำหน้าที่ทดแทนน้ำมันธรรมชาติที่ถูกชะ ล้างออกไประหว่างการอาบน้ำอีกด้วย องค์ประกอบของส่วนน้ำมันและไขมันนี้มีทั้งชนิดที่สกัดได้จากธรรมชาติทั้งจาก พืชและจากสัตว์และได้จากการสังเคราะห์ โดยทั่วไปครีมบำรุงผิวกายองค์ประกอบในส่วนของน้ำมันและไขมันมักจะเป็นชนิด สังเคราะห์เป็นส่วนมาก เนื่องจากราคาไม่แพงและมักจะไม่เหม็นหืน แต่หากเป็นองค์ประกอบที่ได้จากพืชมีข้อดีมากมายเนื่องจากมีสารไวตามินและแร่ ธาตุโดยธรรมชาติอย่างละเล็กละน้อยเป็นองค์ประกอบ ซึ่งให้คุณค่าต่อผิวได้ดีแต่มีราคาแพง โดยทั่วไปมักจะพบน้ำมันสกัดจากธรรมชาติเหล่านี้ในครีมบำรุงผิวหน้า

สำหรับเดย์ครีม เป็นครีมบำรุงผิวหน้าสำหรับทาตอนกลางวัน โดยทั่วไปผู้ผลิตมักจะมีการใส่สารกันแดดเพื่อปกป้องผิวหน้าจากรังสียูวีใน ระหว่างวันจึงเหมาะสำหรับทากลางวัน แต่สำหรับไนท์ครีมเป็น ครีมบำรุงผิวหน้าที่ผู้ผลิตออกแบบมาเพื่อใช้ทาผิวหน้าตอนกลางคืนก่อนนอน บางยี่ห้ออาจจะเป็นเพียงครีมบำรุงผิวชนิดพื้น ๆ กล่าวคือมีสารให้ความชุ่มชื้นผิวและสารน้ำมันเพื่อเคลือบผิวเท่านั้น

ถ้าเป็นกรณีนี้สามารถนำไปใช้ทาผิวตอนกลางวันได้ ไนท์ครีมบางยี่ห้อก็อาจจะมีการเติมสารส่วนที่เป็นน้ำมันและไขมันมากเป็น พิเศษสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งมากและผู้ที่นอนในห้องปรับอากาศซึ่งอากาศจะแห้ง มากกว่าปกติ ไนท์ครีมบางชนิดจะมีการเติมสารโปรตีนชนิดคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของ ผิวหน้า ซึ่งสามารถใช้ทาหน้าได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืนได้อย่างปลอดภัย

แต่ไนท์ครีมบางชนิดจะมีการใส่กรดวิตามินเอหรือเรตินอลซึ่งสารดังกล่าวจะไว ต่อแสงมาก จึงควรที่ผู้บริโภคจะใช้ทาเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น หากนำมาทาตอนกลางวันผิวหน้าได้รับแสงแดดจะมีอาการแพ้ได้ง่าย เช่น มีอาการแดง คัน แสบ ผิวหน้าจะลอกได้ เป็นต้น

ข้อแนะนำที่สำคัญ คือ ผู้บริโภคควรจะอ่านรายละเอียดของฉลากเพื่อจะได้เลือกซื้อและเลือกใช้ให้เกิดประโยชน์ตามที่ต้องการได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:12
วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น "คืนผิวสดใส"
วันนี้เรามีวิธีทำให้หน้าชุ่มชื้นคืนผิวสดใสมาฝากคุณ ผู้หญิงกันอีกเช่นเคยค่ะ และที่ำสำคัญไปยิ่งกว่านั้นก็คือ วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น ผิวสดใส นี้เป็นวิธีธรรมชาติด้วยซิน่า ซึ่งนอกจากจะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ผิวพรรณสดใสแล้ว ด้วย วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น ยังช่วยลดเรื่องอาการตาบวมของคนนอนดึกหรือคนชอบร้องไห้อีกด้วยค่ะ ฟังแค่นี้ก็น่าสนใจใน วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น "คืนผิวสดใส" นี้กันแล้วใช่ไหมค่ะล่ะค่ะ ที่สำคัญสูตรนี้ยังหาซื้อวัตถุดิบได้อย่างง่าย ๆ อีกด้วย ไม่เป็นอันตรายเพราะมาจากวัตถุดิบธรรมชาตินั้นวันนี้เราก็ขอเสนอ 2 วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น "คืนผิวสดใส" นี้กันเลยก็แล้วกันค่ะ
2 วิธีทำให้หน้าชุ่มชื้น "คืนผิวสดใส"

1. แช่ถุงชาเขียว (ซึ่งมีแอนตี้ออกซิแดนท์ตามธรรมชาติอันเข้มข้น) ในน้ำเย็น จากนั้นวางลงบนตาสักสองสามนาที ดวงตาจะสดใสขึ้นทันทีและลดอาการบวมได้ด้วย

2. การใช้ผ้าขนหนูสะอาด ๆ ชุบนมแบบไม่พร่องมันเนยเย็นเจี๊ยบบิดพอหมาดคลุมบนใบหน้าสัก 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น นมเย็นจะช่วยต้านการเกิดรอยแดงในขณะที่กรดแลกติกในนมจะช่วยขัดเซลล์ผิวที่ ตายแล้วพร้อมตรึงความชุ่มชื้นไว้ในผิว

ด้วย 2 วิธีนี้ก็ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นและสดใสแล้วล่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:14
หน้าใสไร้ริ้วรอย ด้วย 11 เคล็ดลับ
ผู้หญิงคนไหน ๆ ก็ฝันอยากจะมีใบหน้าใสไร้ริ้วรอยด้วยกัน ทั้ง แต่ก่อนที่คุณอยากจะมี หน้าใสไร้ริ้วรอย ได้ลอง สำหรวจพฤติกรรมเบื้องต้นอันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุแล้วหรือยัง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเราแต่อย่างใดเพราะวันนี้เราจะแนะนำ หน้าใสไร้ริ้วรอย ด้วย 11 เคล็ดลับ ที่จะทำให้คุณสวยได้ถ้าคุณปฏิบัติตามค่ะ
หน้าใสไร้ริ้วรอย
1. ไม่ควรนอนดึกหรืออดนอน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยใช้เวลาช่วงกลางคืนหมดไปกับการอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือทำงานก็ตาม แต่ถ้าอยากหน้าใสไร้ริ้วรอยเมื่อถึงเวลาหัวค่ำแล้วก็ควรเข้านอนให้ตรงเวลาซะ หยุดกิจกรรมที่เคยชินเสียเดี๋ยวนี้ ร่างกายจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

2. ควรดื่มน้ำในปริมาณอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน ซึ่งน้ำในที่นี้ไม่นับพวกน้ำหวาน น้ำอัดลม แต่ต้องเป็นน้ำเปล่าที่สะอาดไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป

3. ไม่ลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควรบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่าย ๆ แค่ขยับปากพูดคำว่า "อา อี เอ โอ อู" แค่นี้กล้ามเนื้อหน้าก็จะได้รับการดูแลไม่ให้เหี่ยวย่น

4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด และเครื่องดื่มจำพวกน้ำชา กาแฟ อีกทั้งต้องงดการสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่คือตัวอันตรายที่จะทำให้หน้าของคุณดูแก่เกินอายุ

5. หลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสง แดดที่แรงจัด มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ก่อนวัยโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ถ้าหากจำเป็นต้องเผชิญกับแสงแดดก็อย่าลืมใช้ครีมกันแดด SPF สูง ๆ ทาป้องกันก่อนเดินทางออกจากบ้าน
6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยงหรืออยู่ในสถานที่ที่มีสิ่งแวดล้อมที่จะ ทำให้แก่ง่าย เช่น ในห้องแอร์ฯ ที่หนาวจัด ถ้าอยู่นาน ๆ ความเย็นที่ติดลบก็จะทำลายผิวหนังของคุณ

7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใบหน้าให้ สะอาดอยู่เสมอ ยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้วคุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการ รักษาสิวเท่านั้น โดยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้นที่สำคัญห้ามแกะ แคะ บีบเกา บริเวณที่เป็นสิวอย่างเด็ดขาด

8. ความเครียดก็เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้หน้าคุณหมองคล้ำ ความเครียดเกิดจากหลายสาเหตุทั้งเรื่องงาน เงิน ครอบครัว หรือความรัก เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญหาใดมารบกวนจิตใจคุณก็จงอย่างเครียดค่อย ๆ แก้ไขอย่างมีสติและพยายามสงบใจไม่ให้เป็นทุกข์

9. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ก็ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษควรที่จะใช้โลชั่นที่มี AHA หาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามันก็แนะนำให้ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิด ครีม

10. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน และคุณควรจำไว้ให้ขึ้นใจว่าทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงาน หรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรคฝุ่นละอองต่าง ๆ มาตลอดทั้งวัน และการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นใบหน้าได้

11. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยให้คุณล้างมาสคาร่าหรืออายแชโดว์ด้วยเครื่องสำอางที่ ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคาญเคืองผิวซึ่งอาจนำไปสู่การกำเนิดสิว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ first

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:15
8 ขั้นตอน ทำความสะอาดหน้า
ใบหน้าดีใบหน้าเนียนนุ่มน่าสัมผัสปราศจากความมันวาวแถมเต่งตึงและอวบอิ่มใบหน้าดูดีมีเลือดฝาดไม่ แห้งกร้าน ด้วย 8 ขั้นตอน ทำความสะอาดหน้า ที่ได้ผลจริง แล้วคุณกล้าพลาดขั้นตอน ทำความสะอาดหน้า ดี ๆ แบบนี้ได้หรือค่ะ
ทำความสะอาดหน้า
1 ใช้นมสด ที่ไม่ได้ผ่านความร้อนแตะบนสำลีหมุนวนบนใบหน้า คอ แก้ม 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น

2 แตงกวาฝาน นำมาเช็ดวนเป็นวงกลมเบา ๆ บนใบหน้า 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น

3 ฝานมะเขือเทศครึ่งลูก นำมาวน ๆ บนใบหน้า คอ 15 นาที และล้างออกด้วยน้ำเย็น

4 มะนาวฝาน นำมาคลึง ๆ ค่อนข้างแรง บนหน้า หรือคอ แต่แนะนำให้ทำ 3-4 วันครั้ง

ภายหลังจากที่ล้างหน้าด้วยนมหรือผลเหล่านี้แล้ว ให้ใช้ oat bran หรือ besan ผสมน้ำเปียก ๆ แล้วล้างพร้อมถูเบาๆ เพื่อขจัดเซลที่ตายออก ห้ามใช้สบู่ ใช้แต่น้ำเย็นที่สะอาด

5 ใช้แป้งข้าวเจ้า ทำความสะอาด ถ้าหน้ามันใช้มะนาวช่วย

6 ใช้ buttermilk นวดคลึงบริเวณใบหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

7 ใช้ก้อนน้ำแข็งธรรมดา คลึงและล้างใบหน้า

8 วางแอปเปิลฝานบา งๆ บนใบหน้าคุณ ทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อทำให้หน้าเต่ตึงกระชับ แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นธรรมดา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman Plus

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:15
สูตร! ขัดริมฝีปาก "เพื่อริมฝีปากสวยใส"
หันมาใส่ใจริมฝีปากให้มากขึ้นด้วยการขัดริมฝีปากกันดีกว่า ค่ะ หากว่าริมฝีปากแห้งแตกอาจจะดูไม่ค่อยหน้ามองมากนักค่ะ และวันนี้เราก็มี สูตร ขัดริมฝีปาก มาฝากคุณผู้หญิงกันอีกด้วยค่ะ ให้คุณผู้หญิงได้ไปลองฝึก ขัดริมฝีปาก แบบง่าย ๆ กันเลยทีเดียวค่ะ สำหรับ สูตรขัดริมฝีปาก นี้ก็ยังเป็นสูตรธรรมชาติที่เรานำมาฝากกันอีกเช่นเคยค่ะ คุณผู้หญิงรู้ไหมค่ะว่าริมฝีปากนั้นคุณผู้ชายเองก็ชอบแอบมองเป็นอันดับต้น ๆ เหมือนกันนะค่ะ ถ้าหากอยากให้ริมฝีปากสวยใสก็ต้องมาลองใช้สูตร! ขัดริมฝีปาก "เพื่อริมฝีปากสวยใส" สูตรนี้กันเลยนะค่ะ

สูตร! ขัดริมฝีปาก

เริ่มจาก ผสมน้ำมันมะกอกหนึ่งช้อนชาเข้ากับน้ำผึ้งหนึ่งช้อนชา น้ำตาลทรายสองช้อนชา และน้ำมะนาวสดอีกเล็กน้อย คนส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันจนได้เป็นเนื้อทรายข้น ๆ

จากนั้น ใช้นิ้วหรือแปรงสีฟันถูส่วนผสมนั้นลงบนริมฝีปากเบา ๆ สักสองสามนาที แล้วล้างน้ำออกคุณก็จะได้ริมฝีปากที่เนียนนุ่มขึ้น โดยไม่ต้องทุ่มเงินซื้อผลิตภัณฑ์ราคาแพง ๆ ค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:18
เคล็ดลับ "สครับปาก" ให้เนียนนุ่ม
วันนี้ชวนคุณผู้หญิงมาสครับปากให้เนียนนุ่มไม่ต้องลอกเป็น ขุยหรือว่าปากแตกแห้งอีกต่อไปค่ะ กับ เคล็ดลับ "สครับปาก" ให้เนียนนุ่ม ค่ะ ด้วย วิธีสครับปาก นี้จะช่วยในการกระตุ้นให้ริมฝีปากผลัดเซลล์ผิวใหม่เผยผิวที่สดใสแดงระเรื่อ กว่าที่เคย และไม่เพียงเท่านั้นเคล็ดลับ สครับปาก ยังช่วยให้ริมฝีปากของคุณเนียนขึ้นและนุ่มขึ้นอีกด้วยนะค่ะ ที่สำคัญ วิธีสครับปาก นี้ก็ยังเป็นการสครับปากที่สุดแสนจะง่ายได้อีกด้วยค่ะ ว่าแล้วไม่รอช้าเรามาเริ่ม เคล็ดลับ "สครับปาก" ให้เนียนนุ่ม กันเลยดีกว่าค่ะ
วิธี สครับปาก

เพียงขัดริมฝีปากด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มหลังแปรงฟันสัปดาห์ละครั้งเพื่อ ขจัดเซลล์เก่าให้หลุดออก และหากมีเวลาให้นำน้ำตาลเม็ดละเอียด 2 ช้อนโต๊ะมาผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาวลงไปเล็กหน่อยแล้วขัดริมฝีปากสักครู่จึงล้างออก เพียงเท่านี้คุณก็จะมีริมฝีปากที่สดใสเนียนนุ่มไปอีกนาน...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:19
"ปากแห้งแตก" แต่รักษาได้!!
อากาศหนาวปากแห้งแตกหรือแม้แต่ในวันที่อากาศธรรมดา ปากแห้งแตก อีก ลองมาดูวิธีรักษา ปากแห้งแตก ของเรากันค่ะ เพราะเรานั้นมีวิธีรักษาอาการริมฝีปากแห้งแตกมาฝากที่จะช่วยคุณได้มากที เดียวค่ะ รับรองว่า อาการปากแห้งแตก ของคุณจะบรรเทาไปได้เยอะจนริมฝีปากของคุณกลับมาสวยกิ๊งกันดั่งเดิมค่ะ คุณผู้หญิงที่มีอาการปากแห้งแตกลองใช้วิธีนี้ของเราดูนะค่ะ แต่ก่อนอื่นนั้นเราควรจะต้องรู้อาการปากแห้งแตกก่อนว่าสาเหตุที่แท้จริงของ อาการปากแห้งแตกว่าเกิดจากอะไร เช่น อาจจะมีสาเหตุมาจากการดื่มน้ำน้อย ความเครียด หรือแม้แต่การพูดนาน ๆ ก็อาจเกิดอากาศปากแห้งแตกได้เช่นเดียวกันค่ะ หรือแม้แต่การรับประทานยารักษาโรคบางชนิดที่ทำให้คุณปากแห้งแตกได้เหมือนกัน ค่ะ รวมทั้งการรักษาโรคแบบใช้รังสีก็ทำให้ปากแห้งแตกได้เหมือนกันค่ะ

วิธีรักษา ปากแห้งแตก

อาการปากแห้งหากปล่อยทิ้งไว้อาการอาจรุนแรงจนริมฝีปากแห้งแตกลอกเป็นขุย หนักเข้าปากอาจเริ่มเจ่อบวมแดงจนเกิดอาการเจ็บแสบในยามขยับปากหรือรับประทาน อาหารที่มีรสเผ็ดร้อน นอกจากนี้ปากแห้งมากจนน้ำลายเหนียวก็สามารถส่งผลให้เชื้อโรคในช่องปากจะ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดกลิ่นปากตามมาอีกด้วย


สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้อาการปากแห้งคือการดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ หรือจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ หากปากแห้งมากจนลอกเป็นขุยให้ใช้น้ำอุ่นผสมเกลือป่นเล็กน้อยใช้สำลีหรือ ทิชชู่ชุบให้เปียกพอหมาด ๆ แล้วใช้ปากคาบทิ้งไว้ 3-5 นาที หรือเช็ดไล้เบา ๆ ไปบนริมฝีปากจะช่วยให้ขุยต่าง ๆ หลุดลอกออกไปได้ และหมั่นทาลิปมันหรือปิโตรเลียมเจลบนริมฝีปากเป็นประจำ

ถ้าริมฝีปากแห้งแตกอีกครั้งหน้าก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:20
วิธีแวกซ์ขน "อย่างถูกวิธี!!!"
"ขน" อีกหนึ่งเหตุผลที่ผู้หญิงบางคนไม่อยากมีวันนี้เราจึงมีเคล็ดลับดี ๆ กับวิธีแวกซ์ขนอย่าง ถูกวิธีเพื่อให้คุณผู้หญิงได้มีผิวสวยและเรียบเนียนมาฝากค่ะ สำหรับ วิธีแวกซ์ขน ที่เรานำมาฝากในวันนี้คงจะช่วยให้คุณผู้หญิงหลาย ๆ ท่านเสริมสร้างความมั่นใจให้กับเองได้ดียิ่งขึ้น และ วิธีแวกซ์ขน ที่เราจะบอกต่อไปนี้สามารถนำไป แวกซ์ขนขา แวกซ์ขนรักแรก แวกซ์ขนบิกินี่ หรือ แวกซ์ขนแขน ก็ได้เช่นเดียวกันค่ะ ด้วย วิธีแวกซ์ขน ที่ถูกต้องจะทำให้คุณไม่เป็นขนคุดหรือหนังไก่อีกด้วยนะค่ะ ว่าแล้วเราก็มาทำความรู้จักกับ วิธีแวกซ์ขนอย่างถูกวิธี กันดีกว่าค่ะ
วิธีแวกซ์ขน

ทำไมต้องแวกซ์ขน

การแวกซ์ขนเป็นวิธีการถอนขนแบบทั้งรากทั้งโคนที่เร็วและมีประสิทธิภาพสามารถ กำจัดขนได้คราวละมาก ๆ ครอบคลุมได้เกือบทุกส่วนของร่างกายไม่ว่าจะเป็นใต้วงแขน น่อง หน้าท้อง หรือแม้แต่จุดสุดหวง โดยคุณทำเองที่บ้านได้ ฃแต่ถ้าทำไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้ผิวอักเสบหรือมีปัญหาขนคุดได้ ถ้ายังไม่มั่นใจคุณอาจพึ่งพาบริการของซาลอนและสปาต่าง ๆ ที่แว็กซ์โดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งแม้จะแพงกว่า แต่ก็รวดเร็ว ถูกวิธี และย่นระยะเวลาความเจ็บปวดลงได้มากกว่าทำเอง ทั้งยังทำให้ผิวคงความเนียนสวยได้นาน 6-8 สัปดาห์เลยทีเดียว แถมเส้นขนที่งอกขึ้นมาใหม่จะมีสีอ่อนลงและมีปริมาณน้อยลงด้วย

แวกซ์แบบไหนดี

ไม่ว่าจะเลือกทำเองหรือทำที่สปาสิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเป็นอันดับแรก คือ ประเภทของผลิตภัณฑ์แว็กซ์ขนที่มีอยู่ในท้องตลาด

- แวกซ์ร้อน ก่อนใช้ต้องนำขี้ผึ้งไปอุ่นให้หลอมเหลวเสียก่อนแล้วจึงนำมาป้ายบนผิวหนัง เส้นขนก็จะฝังอยู่ในขี้ผึ้งเมื่อขี้ผึ้งแข็งตัวก็นับหนึ่ง...สอง...สาม แล้วดึงออกในทิศทางตรงกันข้าม เส้นขนก็จะหลุดติดออกมาด้วยอย่างง่ายดาย วิธีนี้จะเจ็บปวดหน้อยกว่าการแว็กซ์แบบอื่นๆ


- แวกซ์เย็น ผลิตภัณฑ์แบบนี้มักเป็นแถบสำเร็จรูปเคลือบด้วยขี้ผึ้งมาเรียบร้อยใช้ปิดลงบน ผิวหนังในทิศทางเดียวกับเส้นขน เวลาดึงออกก็ดึงในทิศทางตรงกันข้ามเหมือนแบบแรก เหมาะกับคนที่ผิวค่อนข้างบอบบางมากกว่าแบบแรกเพราะว่ามีโอกาสเกิดการระคาย เคืองน้อยกว่า


- แวกซ์น้ำตาล กำจัดขนโดยใช้หลักการเดียวกับสองวิธีแรก แต่เปลี่ยนจากขี้ผึ้งมาเป็นน้ำตาลเหนียวเหมือนคาราเมลแทน ทาลงบนผิวหนังแล้วใช้ผ้าแถบปิดทับลงไปก่อนจะดึงออกในทิศทางตรงกันข้าม ข้อดีคือทำความสะอาดได้ง่ายกว่าเพียงใช้น้ำล้างทำความสะอาดตามปกติเท่านั้น


การเตรียมตัวก่อนแวกซ์

ก่อนการแวกซ์ควรเตรียมตัวเองให้พร้อมโดยอย่างแรกต้องแน่ใจก่อนว่าเส้นขนนั้น มีความยาวประมาณ 1/8 นิ้ว ผิวหนังบริเวณนั้นไม่มีการอักเสบ ต้องระวังไม่ให้เส้นขนสัมผัสกับน้ำก่อนการแวกซ์เพราะเส้นขนที่ดูดซึมน้ำไป แล้วจะค่อนข้างอ่อนนุ่มและไม่ควรทาโลชั่นใด ๆ ลงบนผิวก่อนทำเพราะที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะทำให้การแวกซ์ยากขึ้น (ขนที่หยาบและแห้งสนิทจะติดแวกซ์ได้ดีกว่า) นอกจากนั้นผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่าไม่ควรแวกซ์ในช่วงที่มีประจำเดือน เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่ร่างกายบวมน้ำและผิวหนังจะระคายเคืองง่ายกว่าปกติ



วิธีดูแลผิวหลังแวกซ์

แม้สติจะเลือนหายไปบ้างเพราะความเจ็บปวดจากการแวกซ์ แต่ถึงอย่างไรคุณก็ต้องไม่ลืมทำความสะอาดแวกซ์ส่วนเกินที่ติดอยู่บนผิวหนัง ให้สะอาดด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นหมาด ๆ แล้วใช้มือนวดคลึงเบา ๆ ตามด้วยโลชั่นเพื่อช่วยปลอบประโลมผิวหรือใช้น้ำแข็งประคบก็ได้ บางคนอาจรู้สึกว่าผิวหนังส่วนที่แว็กซ์นั้นดูคล้ำขึ้นเล็กน้อยจึงควรหลีก เลี่ยงแสงแดดอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หลังทำ หรือถ้าจำเป็นจริง ๆ ต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ


คนที่ทำบิกินี่แวกซ์อาจจะต้องดูแลบริเวณนั้นเป็นพิเศษ โดยต้องขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบริเวณนั้นด้วยฟองน้ำนุ่มและหลีกเลี่ยงการสวม กางเกงที่คับเกินไปในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังทำ เพราะอาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองและขนคุดตามมาได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก อสมท.


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:21
สูตรแว๊กขน "ด้วยตัวเอง"
เรื่องขน ๆ ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติอะนะ แต่ถ้าเมื่อเกิดกับผู้หญิงแบบว่าไม่ควรจะเกิดก็อย่างว่าแหละคนเราเลือกเกิด ไม่ได้ คุณผู้หญิงที่มีขนเยอะก็ต้องทำใจกันไป แต่ต่อไปนี้จะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้วค่ะเพราะเรามีสูตรแว๊กขนที่ คุณก็สามารถที่จะทำด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องเข้าร้านราคาแพงให้เปลืองกระเป๋า และ สูตรแว๊กขน ก็เป็นสูตรแบบธรรมชาติ ๆ ที่จะทำให้ขนของคุณขึ้นช้าและบางลงเรื่อย ๆ แต่ต้องทำบ่อย ๆ นะจะช่วยคุณได้เยอะเลย เมื่อไม่ขนก็ไม่ต้องโดนใคร ๆ ล้ออีกต่อไป แล้วที่สำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายต้องจำไว้ว่าการโกนขนจะทำให้ขนขึ้นเร็วแล้ว ก็เป็นขนคุด ตุ่มไก่ แถมรักแร้ดำอีกต่างหาก จงหลีกเลี่ยงการโกนขนอย่างเด็ดขาดแล้วหันมาแว็กขนแทนกันเถอะ ว่าแล้วเราก็มาเริ่มลงมือปฏิบัติการ สูตรแว๊กขน กันเถอะค่ะ
สูตรแว๊กขน

1. เริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์กันก่อน
    - หม้อหุงข้าวไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ หม้ออะไรก็ได้ค่ะ
    - น้ำตาลครึ่งกิโล
    - มะนาว 5 ลูก
    - น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ (ไม่มีไม่เป็นไร)
    - ช้อน 1 อัน
    - ผ้าฝ้าย (ถ้าไม่มีใช้ผ้าอะไรก็ได้ที่ไม่หนาและไม่เบามากนักและต้องเป็นผ้าที่ไม่มีขนนะ)
    - แป้งฝุ่น 1 กระป๋อง

2. นำน้ำตาลที่เตรียมไว้เทลงในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า (หม้ออื่นแต่อันนี้ต้องตั้งไฟฟ้าเอาเองนะจ๊ะและเป็นการตั้งไฟแบบอ่อน ๆ) บีบน้ำมะนาวแล้วเทใส่ในหม้อแล้วตามด้วยน้ำผึ้งแล้วใช้ช้อนคนทุกอย่างให้เข้า กัน คนจนกว่าส่วนผสมทุกอย่างจะลายเข้ากันกลายเป็นน้ำหลังจากนั้นให้ปิดไฟ คนต่อไปอีกสักพักให้เหนียวหนืดและพออุ่น ๆ

3. ตอนนี้ก็มาถึง วิธีแว๊กขน แล้วนะจ๊ะ ให้นำสูตรแว๊กขนที่เราได้ทำเรียบร้อยแล้ว ใช้ช้อนทาบริเวณขนที่จะแว๊กแต่ก่อนหน้านั้นให้ทำความสะอาดบริเวณที่จะแว๊กซะ ก่อนแล้วเมื่อผิวแห้งให้นำแป้งฝุ่นมาทาจากนั้นค่อนนำแว๊กมาทาทับ หลักจากที่เริ่มทาแว๊กขนก็ให้รีบนำผ้าฝ้ายที่เตรียมไว้มากดทับด้วยความรวด เร็ว จากนั้นก็ดึงขนแบบย้อนทางเป็นอันว่าเรียบร้อย

4. ขั้นตอนสุดท้ายแล้วนะค่ะ หลังจากที่ทำการแว็กขนเรียบร้อยแล้วก็ให้ทำความสะอาดผิวอีกรอบหนึ่ง แล้วประคบด้วยน้ำแข็งหรือใช้น้ำเย็นก็ได้ ความเย็นจะช่วยให้รูขุมขนของคุณกระชับและเล็กลงค่ะ จากนั้นค่อยลงครีมบำรุงอีกทีหนึ่งเป็นอันว่าขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยค่ะ

เอา ล่ะค่ะสำหรับคุณผู้หญิงที่อยากมีผิวเรียบเนียนไร้เส้นขนก็ลองนำสูตรวิธีแว๊ก ขนด้วยตัวเองลองไปใช้ที่บ้านกันดูนะค่ะ แล้วคุณก็ได้เผยผิวสวย ๆ ได้อย่างไม่ต้องอายใครอีกต่อไปค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สังคมผู้หญิง n3k

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:23
ทำไมถึงเป็นสิว? "คำถามนี้มีคำตอบ"
เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ทำไมถึงเป็นสิว? นะเหรอ อืม...แม้ว่าเรื่องสิวจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติแต่ก็สร้าง ความกังวลใจให้ใคร ๆ หลายได้เยอะเลย จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า ทำไมถึงเป็นสิว? จริง ๆ แล้วสิวสามารถเกิดได้หลายปัจจัยทั้งสภาพแวดล้อมและตัวของเราเองที่เวลาออกไป ข้างนอกจับโน้นจับนี้แล้วก็ลืมมาจับหน้าของตัวเองก็ทำให้เกิดสิวอุดตันได้ ค่ะ วันนี้จะมาตอบคำถามที่ว่า ทำไมถึงเป็นสิว แบบเบื้องกันก่อนนะ
ทำไมถึงเป็นสิว ?

ด้วยชีวิตประจำวันที่ต้องเจอกับแสงแดดและความร้อน ก่อให้เกิดสิ่งสกปรกสะสมความมันส่วนเกิน การอุดตันรูขุมขน และการก่อตัวของสิวในผิว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสิวชนิดต่าง ๆ และริ้วรอยแผลเป็นจากสิว

สาเหตุการเกิดสิว เบื้องต้น

- ปากรูขุมขนที่ถูกปกคลุมด้วยเซลล์ที่ตายแล้ว (ขี้ไคล หรือ Keratin)

- ต่อมไขมัน

- รูขุมขนกว้าง

- เกิดจากการที่สิวอุดตัน มีการติดเชื้อแบคทีเรีย


ประเภทของสิว

- สิวอุดตัน

- สิวอักเสบ

ปกติหมอผิวหนังก็จะใช้วิธีการรักษาหลายอย่างตั้งแต่การใช้ยาทา ยากินเพื่อควบคุมฮอร์โมน ยาฉีดเพื่อให้สิวแห้งยุบตัวเร็ว และก้าวล้ำไปกว่านั้นก็ถึงขั้นรักษาด้วยเลเซอร์ เพื่อสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้แข็งแรงกระชับขึ้นกว่าเดิมทั้งนี้ก็อย่าลืมว่า ขึ้นอยู่กับระดับอารมณ์และการพักผ่อนของคุณด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Woman Plus


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:25
กำจัดสิว ต้นเหตุที่แท้จริง
มีคำพูดอยู่หนึ่งคำที่เรามักคุ้นหูกับคำพูดที่ว่า เรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถึงจะเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างไรก็คงที่จะอดกังวลใจอยากกำจัดสิวไป โดยเร็วใช่ไหมล่ะค่ะ และยิ่งหากว่าต้องออกไปเข้าสังคมสังสรรคเกิดเป็นสิวเต็มหน้ารองพื้นชนิดใด เฉดสีไหนก็เอาไม่อยู่จะยิ่งทำให้กังวลใจกันไปใหญ่เลย กลัวคนทักบ้าง กลัวคนว่าบ้าง กลัวคนนินทา ยิ่งทำให้รู้สึกอับอายไปกันใหญ่ วันนี้เรามา กำจัดสิว ต้นเหตุที่แท้จริงด้วยกันเถอะค่ะ แล้วคุณจะได้ไม่ต้องพบเจอกับเรื่องสิว ๆ ที่ไม่สิวถ้าเกิดมาเจอบนหน้าของคุณอีกต่อไปค่ะ แล้วเมื่อ กำจัดสิว ได้แล้วต่อไปก็เดินเชิดหยิ่งกันได้แล้วค่ะ เอาชนิดที่เรียกว่า ไม่สวย ไม่เริด ไม่ได้หรอก อิอิอิ

กำจัดสิว

ดร.เมอร์ฟราน เมลการ์ สมาชิกสมาคม โรคผิวหนังของประเทศฟิลิปปินส์ อธิบายสาเหตุของการเกิดสิวว่า สิว เกิดจากการเจริญเติบโตของ follicular ที่เปลี่ยนแปลงไปทําให้มีการผลิตซีบัมเพิ่มขึ้น

แบคทีเรีย ที่ชื่อว่า Propionibacterium acnes จึงเจริญเติบโตได้ดีและทําให้เกิดการอักเสบในที่สุด มีความซับซ้อนและรุนแรงแต่ในความเป็นจริง สิว เกิดจากสารเคมีในผิวหนังมนุษย์ซึ่งถูกกระตุ้นได้โดยแบคทีเรียที่ซุกซน การผลิตซีบัมที่มากเกินจะไปอุดตันรูขุมขนทําให้เป็นที่อาศัยของแบคทีเรียจาก สิ่งสกปรกต่าง ๆ รูขุมขนจึงเกิดการอักเสบและเกิดผลที่ไม่น่ายินดีนัก ซึ่งก็คือ สิว นั่นเอง

โดยปกติสิวที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นจะเป็นผลเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ตามพัฒนาการของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ทั้งชายและหญิงที่ย่างเข้าสู่วัย 30 และมากกว่านั้นอาจยังต้องทรมานกับโรคผิวหนังชนิดนี้อยู่ กุญแจสําคัญในการป้องกันและจัดการกับปัญหานี้คือ การเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการรักษา

วิธีรักษาสิวบนใบหน้า

วิธีการรักษาสิวที่ได้ผลในช่วงเวลาดังกล่าวอาจช่วยป้องกันการเกิดสิวได้ซึ่ง ก็นําเราเข้าไปสู่ทฤษฎีที่คุ้นเคยกันว่า การล้างหน้าบ่อย ๆ ช่วยลดการเกิดสิวได้ สําหรับการล้างหน้าด้วยสบู่ที่ไม่ผสมไขมันหรือเคลนเซอร์ทําความสะอาดใบหน้า ซึ่งจะช่วยลดซีบัมได้แล้ว ทาด้วยโทนเนอร์หรือน้ำยาทําความสะอาดหลังล้างหน้าจากนั้นตามด้วยยาฆ่าเชื้อ แบคทีเรียเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อ เพียง 3 ขั้นตอนที่ช่วยควบคุมการเกิดสิว รักษาสิว และช่วยให้หน้าใสเปล่งประกายผิวสุขภาพดี


ขอขอบคุณข้อมูลจาก daradaily


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:26
ลดสิวอักเสบ ด้วย สูตรว่านหางจระเข้
หากคุณผู้หญิงที่มักจะตื่นมาเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ ๆ อยู่บ่อย ๆ บนใบหน้า วันนี้เรามีวิธีลดสิวอักเสบด้วย สูตรว่านหางจระเข้มาฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายค่ะ แต่ก่อนที่จะทำการ ลดสิวอักเสบ ด้วยตัวเองนั้น ต้องขอเตือนกันสักนิดว่าห้ามแคะ แกะ และเกา สิวเม็ดนั้น ๆ เป็นอันขาด เพราะว่ายิ่งคุณผู้หญิงทั้ง แคะ แกะ เกา แล้วนอกจากสิวอักเสบจะไม่ลดลงแล้วยังทำจะให้เกิดอาการเฮ่อสิวอักเสบอีกต่าง หาก เพราะเมื่อคุณผู้หญิงแคะ แกะ เกา จะทำให้สิวอักเสบเกิดการติดเชื้อและบวมขึ้นมาใหญ่กว่าเดิมได้ค่ะ ฉะนั้นเรามาทำการลดสิวอักเสบ ด้วย สูตรว่านหางจระเข้ กันดีกว่าค่ะ
วิธี ลดสิวอักเสบ

ว่านหางจระเข้มีสารที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และสารออกฤทธิ์สมานแผล จึงทำให้สิวอักเสบยุบลงได้ทันใจลองสูตรนี้ดูสิคะ
สูตรว่านหางจระเข้

- ตัดว่านหางจระเข้แล้วนำไปแช่น้ำประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้ยางสีเหลืองไหลออกมา จากนั้นปอกเปลือกจนเหลือแต่วุ้นใส ๆ นำไปล้างยางออกให้หมด นำวุ้นออกมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ หรือบดละเอียด คั้นเอาแต่น้ำวุ้นว่านหางจระเข้มาใช้

- กลางคืน ล้างหน้าให้สะอาด ใช้น้ำวุ้นทาบริเวณที่เป็นสิวแห้งและยุบลง

- กลางวัน ล้างหน้าให้สะอาด ใช้น้ำวุ้นแต้มบริเวณหัวสิว (สามารถทาครีมบาง ๆ ทับได้)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก สยามดารา

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:28
น่ารู้! เรื่อง ฝ้า กระ
วันนี้เรามาทำความรู้จักกับเจ้า ฝ้า กระ กันดีกว่าค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะคุณผู้หญิงทั้งหลายยิ่งต้องควรจะระมัดระวังอย่างมาก แต่สาเหตุหลักของ ฝ้า กระ นั้นมักจะเกิดจากแสงแดดเป็นหลักฉะนั้นจะออกไปไหนมาไหนก็ควรจะทาครีมกันแดด และพกร่มติดตัวทุกครั้งด้วยนะจ๊ะ เอาล่ะเรามาดูวิธีรักษา ป้องกัน การเกิด ฝ้า กระ กันดีกว่าค่ะ
ฝ้า กระ
ดร.คิม ดอง คุน ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังจากประเทศเกาหลีกล่าวว่า ผู้หญิงเอเชียส่วนใหญ่ใส่ใจกับเรื่องผิวคล้ำจากการผลิตเม็ดสีผิวที่มากเกิน ไปหรือการผลิตเม็ดสีที่ไม่เท่ากัน ซึ่งทุกสภาพผิวมีโอกาสได้รับผลจากการผลิตเม็ดสีที่ผิดปกติโดยขึ้นอยู่กับผล กระทบจากภายนอกได้ เช่น แสงแดดหรือปัจจัยภายในร่างกายอย่างฮอร์โมนหรือจากสภาพผิวที่ได้รับการถ่าย ทอดตามกรรมพันธุ์ของแต่ละคน โดยมากการผลิตเม็ดสีผิวที่ผิดปกติมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากสำหรับผู้ที่มีผิว มันและเป็นไปตามลักษณะเชื้อชาติ


"การรักษาประกอบด้วยหลายวิธี เนื่องจากความผิดปกตินี้เกิดจากปัจจัยที่มีความซับซ้อนแต่กรณีที่เกิดขึ้นบน ผิวชั้นหนังกำพร้า สามารถควบคุมได้ด้วยครีม แต่ถ้าเป็นบริเวณที่ลึกกว่านั้น เช่น เนื้อเยื่อ ก็ไม่สามารถรักษาด้วยครีมตัวใดตัวหนึ่งหรือแม้แต่การศัลยกรรมขัดผิวหนัง เพื่อรักษาแผลเป็น หรือการใช้เลเซอร์ โดยปกติแล้วจะให้การรักษาแบบตรงจุด เช่น การลอกผิว หรือการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion) ซึ่งดูเหมือนว่าจะส่งผลการรักษาได้รวดเร็ว" ผู้เชี่ยวชาญอธิบาย


พร้อมกันนี้ ดร.คิม ยังกล่าวด้วยว่า ลักษณะของจุดด่างดำหรือปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอมีหลายประเภท ซึ่งบางคนเป็นแล้วเป็นอีกอย่าง จุดด่างดำหรือปานดำ (Age or Liver Spots) เป็นลักษณะการเกิดรอยดำที่ไม่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์ แต่มีสาเหตุมากจากอันตรายของแสงแดดและปัจจัยภายนอก และไม่ได้เกี่ยวเนื่องใด ๆ จากกระบวนการทำงานของตับ รอยดำเป็นปื้นเล็ก ๆ เหล่านี้มักพบบริเวณมือ หน้า และบริเวณที่ต้องเผชิญกับแสงแดดบ่อยครั้ง
ฝ้า มีลักษณะคล้ายกับจุดด่างดำแต่มีบริเวณที่กระจายกว้างกว่า ส่วนมากฝ้าเป็นผลจากการเปลี่ยนเเปลงฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์หรือผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด เพราะระบบภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายคลึงกับช่วงตั้งครรภ์


กระ คือจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ ซึ่งสามารถเกิดบริเวณใดก็ได้ในร่างกายแต่ส่วนมากมักพบบริเวณหน้าและมือ ความแตกต่างของจุดด่างดำและนั่นคือการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หูด ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเม็ดสีเช่นกัน เกิดขึ้นจากการขยายตัวทีละเล็กละน้อยของผิวที่มีสีน้ำตาลอ่อนจนเข้มขึ้น ส่วนมากมักเกิดขึ้นในบริเวณหนังศีรษะ หน้า คอ หน้าอก และแผ่นหลังส่วนมากมักเกิดขึ้นในวัย 40-50 ปี โดยอาจขยายมาจากจุดด่างดำนั่นเอง


อย่างไรก็ตามก่อนจบการพุดคุย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องผิวพรรณจากเกาหลีแนะนำว่า การปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นประจำจำเป็นที่สุด เพราะการเผชิญกับแสงแดดอย่างรุนแรงเพียงหนึ่งวันกลับต้องใช้เวลารักษาหลาย เดือนเลยทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:29
รู้! รักษาฝ้า เพื่อหน้าสวย
"ฝ้า" เมื่อได้ยินคำนี้ผู้หญิงหลายคนคงไม่อยากได้ยินหรือไม่อยากเจอกับตัวเองเลยด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าต้องมาเป็นบนใบสวย ๆ คงจะอดไม่ได้ที่จะกลุ้มอกกลุ้มใจกันเหลือเกิน ฉะนั้นวันนี้เราจึงมีคำแนะนำในการ รักษาฝ้า แต่ก่อนหน้านั้นเรามาการรู้จักกับ ฝ้า กันก่อนค่ะ

ฝ้า คือ แผ่นสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้มบนใบหน้ามักพบที่แก้ม หน้าผาก จมูก เหนือริมฝีปากและคาง นอกจากนี้อาจพบได้ที่คอและแขนด้านนอกพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายโดยเฉพาะใน ระหว่างการตั้งครรภ์และในวัย 30 และ 40 ปีขึ้นไป

ฝ้าเกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสีซึ่งอยู่ในชั้นหนังกำพร้ามีการสร้างเม็ดสี เมลานินออกมามากผิดปกติ และส่งเม็ดสีให้เซลล์ผิวหนังด้านบนเป็นจำนวนมากกว่าปกติด้วย
รักษาฝ้า
ควรแนะนำข้อปฏิบัติตัวแก่ผู้ป่วย คือ อย่าถูกแดดมาก (เวลาอยู่กลางแจ้งควรใส่หมวกหรือกางร่ม) ควรหลบแสงไฟแรง ๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอมและเครื่องสำอางที่สำคัญควรพักผ่อนให้เพียงพอและ อย่าเครียด

การใช้ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีโดยไม่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีและ เร่งเซลล์ผิวหนังชั้นบนซึ่งมีเม็ดสีเมลานินที่สร้างขึ้นมาแล้วให้หลุดลอกออก ไป (ยารักษาฝ้าในปัจจุบันมักประกอบด้วยสารหลายชนิดที่สำคัญคือ ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) กรดวิตามินเอและสเตอรอยด์เป็นยารักษาฝ้าที่มีประสิทธิภาพดีแต่อาจเกิดผลข้าง เคียงจากการระคายเคืองได้จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์)

การป้องกันไม่ให้เกิดฝ้ามากขึ้นโดยหลีกเลี่ยงแสงแดดและใช้ครีมกันแดดที่มี ค่าป้องกันสูง หลีกเลี่ยงการได้รับฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด เครื่องสำอาง และน้ำหอมที่มีฮอร์โมนหรือสเตอรอยด์เป็นส่วนผสม

การลอกฝ้าควรใช้ในรายที่แพทย์เห็นสมควรโดยใช้ยาลอกฝ้า ได้แก่ ไฮโดรควิโนนขนาด 2-4% ทาวันละ 2 ครั้งจะช่วยลดการสร้างเม็ดสี ทำให้ฝ้าจางลงได้ยานี้อาจทำให้แพ้ได้ จึงควรทดสอบโดยทาที่แขนแล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน(ห้ามล้างออก) ดูว่ามีผื่นแดงหรือไม่ถ้ามีก็ห้ามใช้ยานี้

ใช้ยากันแสง ได้แก่ พาบา (PABA ซึ่งย่อมาจาก Para-amin Benzoic Acid) ทาตอนเช้าหรือก่อนออกแดด ควรใช้ชนิดที่มีความสามารถในการกรองแสง (Sun Protective Factior/SPF) มากกว่า 15 ขึ้นไป ยานี้อาจทำให้แสบตา แสบจมูก เป็นสิวหรือแพ้ได้ โดยทั่วไปมักจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าอาการจะดีขึ้นและจะต้องใช้ยากันแสง ไปเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันการกลับเป็นฝ้าอีก ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1-2 เดือน หรือแพ้ยาที่ทารักษาฝ้าหรือสงสัยเป็นโรคอื่นควรปรึกษาแพทย์ทางโรคผิวหนัง การใช้แสงเลเซอร์ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้า คือ

ฮอร์โมนการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานผิดปกติ เช่น ในระหว่างการตั้งครรภ์หรือวัยหมดประจำเดือนและการได้รับฮอร์โมนจากภาย นอกร่างกายทำให้มีโอกาสเป็นฝ้าได้มาก เช่น รับประทานยาคุมกำเนิด การใช้เครื่องสำอางบางชนิดที่มีฮอร์โมนผสมอยู่

แสงแดดหรือรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นเซลล์ให้สร้างเม็ดสีมากขึ้น ทำให้เกิดฝ้าและมีส่วนสำคัญที่ทำให้ฝ้าเข็มขึ้นอีกด้วย เชื่อว่าเกิดจากแสงอัลตราไวโอเลต A,B และ Visible Light จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-15.00 น.

- ความเครียด สารเคมี (เช่น น้ำมันดิน) น้ำหอม เครื่องสำอาง ก็มีส่วนกระตุ้นให้เกิดฝ้าหรือรอยด่างดำบนใบหน้าได้

- ผู้ที่เป็นโรคบางชนิด เช่น เนื้องอกของรังไข่ โรคแอลดิสัน ก็อาจทำให้หน้าเป็นฝ้าดำได้เช่นกัน

- พันธุกรรม อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในผู้ที่เป็นฝ้าที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน

- ผลข้างเคียงจากยา เช่น ยากันชัก เป็นต้น


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:30
เรื่องควรรู้เกี่ยวกับฝ้า

1. ฝ้าที่เกิดจากการตั้งครรภ์ โดยการกินหรือฉีดยาคุมกำเนิดอาจหายได้เองหลังคลอดหรือหลังหยุดใช้ยาคุม กำเนิด (อาจใช้เวลาเป็นสองเท่าของระยะเวลาที่กินยาคุมกำเนิด เช่น ถ้ากินยาอยู่นาน 1 ปี ก็อาจใช้เวลาถ้า 2 ปี กว่าฝ้าจะหาย)

2. ฝ้าอาจมีสาเหตุจากโรคที่ซ่อนเร้นภายในร่างกาย เช่น เนื้องอกของรังไข่ โรคแอดดิสัน เป็นต้น นอกจากนี้ โรคเอสแอลอี ก็อาจมีผื่นแดงขึ้นที่แก้มคล้ายรอยฝ้าได้ ดังนั้นถ้าพบมีอาการผิดสังเกตอื่น ๆ เช่น อ่อนเพลีย เป็นลมบ่อย ปวดข้อ ผมร่วง เป็นไข้เรื้อรัง เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

3. ยารักษาฝ้าบางชนิดอาจมีสารเคมีที่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ทำให้หน้าขาววอกเป็นรอยแดงหรือเป็นรอยด่างอย่างน่าเกลียด ดังนั้น จึงควรระมัดระวังอย่าซื้อยาลอกฝ้ามาทาเองอย่างส่งเดช โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่โฆษณาว่าทำให้หายได้ทันที ยาลอกฝ้าที่ผสมสารปรอทอาจทำให้ฝ้าจางลงแต่อาจมีอันตรายจากการสะสมปรอทที่ผิว หนังและในร่างกายได้

4. ในการรักษาฝ้าอาจต้องใช้เวลานานเป็นแรมเดือนหรืออาจไม่มีทางรักษาให้หายขาด เพียงแต่ใช้ยากันแสงและยาลอกฝ้าทาไปเรื่อย ๆ ถ้าหยุดยาอาจกำเริบได้ใหม่ สำหรับฝ้าที่อยู่ตื้อ ๆ (สีน้ำตาลหรือน้ำตาลเข้ม) มักจะรักษาได้ผลดีแต่ฝ้าที่อยู่ลึก (สีน้ำตาลเทาหรือสีดำ) อาจได้ผลช้าหรือไม่ได้ผลเลย

5. การลอกหน้า ขัดผิว ตามร้านเสริมสวยทั้งน่ากลัวแล้วยังอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การแพ้ส้มผัส จึงไม่แนะนำให้ไปลอกหน้า ขัดผิว

เรื่องควรรู้เกี่ยวกับกระ

กระ จัดเป็นเรื่องปกติของคนเอเชียผิวใครไม่มีกระต่างหากที่ถือเป็นเรื่องแปลก กระจะเกิดขึ้นในคนที่มีผิวขาวโดยมีแสงแดดเป็นตัวกระตุ้น และมีกรรมพันธุ์เป็นพื้นฐาน

เป็นเรื่องจริงที่ว่า ถ้าไม่ถูกแสงแดดก็จะไม่เกิดกระ ดังนั้นเราจะพบการเป็นกระเฉพาะบริเวณที่ถูกแสงแดด อาทิ เช่น ใบหน้า คอ แขน เป็นต้น และกระจะมีสีเข้มและมีจำนวนมากขึ้นในฤดูร้อนที่แดดแรงและจะจางลงในฤดูหนาว

วิธีการรักษากระแบ่งเป็น 2 แนวคิด คือ

หมอจะพยายามเตือนให้คนไข้หลีกเลี่ยงแสงแดดและทายากันแดด (SPF30) ทุกวัน หรืออาจจะใช้ครีม Whitening ไปทาเพื่อให้สีกระจางลง

หมอจะยิงเลเซอร์ให้คนไข้ซึ่งกระก็จะหายไปแต่ค่าใช้จ่ายจะสูงมากและหลังจาก ยิงเลเซอร์แล้วจำเป็นอย่างยิงที่จะต้องดูแลตัวเองไม่ให้ถูกแสงแดดหรือไอแดด มิฉะนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะกลับมาเป็นอีก


ขอขอบคุณข้อมูลจาก first

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:31
การรักษากระลึก เพื่อผิวสวย
วันนี้พาคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายทั้งหลายที่เป็น กระลึก มาดูทางเลือกในการรักษากระลึกให้ หาย กระลึก นั้นเกิิด จากหลากหลายสาเหตุซึ่งส่วนจะพบผู้หญิงเป็นกระมากกว่าผู้ชายและพบมากบริเวณ ช่วงโหนกแกม ฉะนั้นหากอยากสวยหล่ออย่างหมดจดก็มาทำการรักษากระลึกกันค่ะ

การรักษากระลึก

กระลึก มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Horl?s nevus ลักษณะที่พบจะเห็นเป็นจุดสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ มักพบบริเวณโหนกแก้มทั้งสองข้าง พบในผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชาย สำหรับสาเหตุการเกิดกระลึกยังไม่ทราบชัดเจนบางคนอาจมีประวัติกรรมพันธุ์ บางคนพบว่ากินยาคุมแล้วสีเข้มขึ้นหรือเจอแสงแดดทำให้กระลึกเด่นชัดขึ้นเป็น ต้น

การรักษากระลึก ค่อนข้างเป็นปัญหาที่รักษาหายยาก เนื่องจากเม็ดสีอยู่ลึกการรักษาต่าง ๆ ที่ช่วยในการลดเม็ดสีที่อยู่ลึกจึงต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน

การดูแลรักษา

- พยายามหลีกเลี่ยงยาคุมหรือฮอร์โมนที่เป็นตัวกระตุ้นเม็ดสีให้เด่นชัดขึ้น

- หลีกเลี่ยงแสงแดดหรือให้ใช้ครีมกันแดดทุกวัน ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีค่า SPF 30 ขึ้นไป

- การใช้ครีมหรือยาทาเพื่อลดเม็ดสีของกระลึกมีส่วนช่วยได้บ้าง ทำให้กระลึกจางลงได้แต่ไม่หายหมด

- การรักษาด้วยเลเซอร์ ถือว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับกระลึก แต่เป็นการรักษาที่ใช้เวลานานต้องทำการรักษาหลายครั้ง


การรักษากระลึกด้วยเลเซอร์

เป็นวิธีที่ดีในการกำจัดเม็ดสีของกระลึก บางคนสามารถรักษาจนหายหมดหรือเกือบหมดได้ เพียงแต่ต้องมีความใจเย็นในการรักษา เนื่องจากกระลึกต้องทำการยิงเลเซอร์กันหลายครั้ง บางคนยิง 3 ครั้งบางคนอาจถึง 5-6 ครั้ง ระยะเวลาแต่ละครั้งห่างกัน 6-8 สัปดาห์

การยิงเลเซอร์ไม่ยุ่งยากไม่เจ็บหลังยิงเลเซอร์จะเป็นสะเก็ดดำอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ สะเก็ดก็หลุดไป หลังสะเก็ดหลุดจะเห็นเป็นดวงสีขาว หลังจากนั้นสีจะจางไปทีละน้อย แต่บางคนในระยะการยิง 2-3 ครั้งแรก อาจมีสีเข้มขึ้นก่อนแล้วจึงจะจางไปทีหลัง

โดยส่วนใหญ่กระลึกมักจะจางลงหลังยิงเลเซอร์ไปแล้ว 2-3 ครั้ง ควรทำการรักษาต่อเพื่อให้เม็ดสีหายจนหมดหรือบางคนอาจพอใจที่เม็ดสีหายไปเกิน ครึ่งแล้วสามารถใช้เครื่องสำอางหรือแป้งทากลบจนไม่เห็นกระลึก ก็สามารถหยุดการรักษาด้วยเลเซอร์ได้ค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือสวยด้วยแพทย์

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:31
วิธีลดฝ้า กระ ด้วย "หัวไชเท้า"
ปัญหาฝ้า กระ สาวไหนก็คงไม่อยากมี วันนี้เราจึงมี วิธีลดฝ้า กระ มาบอกให้กับคุณสาว ๆ ทุกคนที่กำลังประสบกับปัญหาฝ้า กระ บนใบหน้านี้เลยค่ะ ด้วย วิธีลดฝ้า กระ นี้จะใช้สมุนไพรพื้นบ้านที่หากันได้ง่าย ๆ นั่นก็คือ หัวไชเท้า เนี่ยแหละค่ะ คุณผู้หญิงรู้ไหมค่ะว่า เจ้าหัวไชเท้าเนี่ยเป็นวิธีลดฝ้า กระ ให้จางลงได้ภายในเวลาเพียงแค่ 10-15 นาที เท่านั้นค่ะ แถมยังเป็น วิธีลดฝ้า กระ แบบธรรมชาติที่ไม่ต้องเพิ่งสารอันตรายจากสารเคมีและก็ยังช่วยให้ใบหน้าของ คุณสวยเด้งได้ อยากรู้ เคล็ดลับ วิธีลดฝ้า กระ ด้วย "หัวไชเท้า" กันแล้วใช่ไหมล่ะค่ะ
วิธีลดฝ้า กระ

หัวไชเท้าเป็นสมุนไพรที่มีอยู่ในตำรายาจีน โดยแนะนำให้คนวัยทองนำหัวไชเท้าดิบมาหั่นซอยเป็นเส้นฝอยกินวันละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ หรือมื้อละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง (ถ้ารู้สึกมีกลิ่นฉุนอาจรับประทานร่วมกับน้ำผึ้ง) เชื่อว่าจะทำให้ผิวพรรณสดใสมีน้ำมีนวล ดูเปล่งปลั่งเหมือนคนหนุ่มสาว ยังเชื่อว่าหัวไชเท้าช่วยกำจัดพิษสามารถช่วยให้ปัสสาวะใส ไม่ขุ่น ช่วยชำระล้างผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยย่อยและช่วยทำให้หายใจโล่งขึ้น

ประโยชน์อีกอย่างของหัวไชเท้า คือ สามารถช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางลงได้ โดยนำหัวไชเท้า 1 หัว (ขนาดเล็ก) มาล้างน้ำให้สะอาดทำการปอกเปลือกแล้วหั่นบาง ๆ นำไปปั่นให้พอละเอียดใส่น้ำมะนาวประมาณ 1 ช้อนแกง ปั่นรวมกันอีกครั้ง ใช้ทาทั่วผิวหน้า (ยกเว้นรอบดวงตาและปาก) ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำเป็นประจำจะช่วยลดฝ้าและกระให้จางลง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็น



โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:34
สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ตัวการแห่งวัยสวย!
คุณหญิงทั้งหลายรู้ไหมค่ะว่า เจ้าสารแอนตี้ออกซิแดนท์ตัวนี้สามารถช่วยผิวพรรณของคุณผู้หญิง ทั้งหลายได้ ช่วยยังไงนะเหรอ? ก็ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระและคือความสดใสให้กับผิวของคุณยังไงล่ะค่ะ แต่แค่นี้คงยังไม่เพียงเรามาทำความรู้จักกับ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ว่ามีประโยชน์อย่างนอกเหนือกจากนี้กัน

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ
สำหรับผิวสวยเราต้องการทั้งการแก้ไขและปกป้อง และเพื่อให้คุณได้ทำทั้งสองอย่างในกิจวัตรการดูแลผิวประจำวันของคุณ คุณต้องหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมซึ่งแก้ไขความเสียหายที่มีอยู่ และปกป้องความเสียหายในอนาคตไม่ให้เกิดขึ้นซึ่ง สารแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ สารสุดวิเศษสำหรับผิว ซึ่งคุณได้เห็นมันมากมายอยู่บนเคาน์เตอร์เครื่องสำอางแต่มันมีหลายอย่างที่ คุณอาจยังไม่รู้เกี่ยวกับมันซึ่งเราได้รวบรวมมาให้คุณแล้ว


1. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ
หากจะอธิบายอย่างสั้น ๆ อนุมูลอิสระเกิดขึ้นจากที่โมเลกุลต้องสูญเสียหนึ่งในอิเล็กตรอน (ที่ต้องมีเป็นคู่เสมอ) ทำให้มันต้องไปดึงเอาอิเล็กตรอนมาจากโมเลกุลตัวอื่น และเมื่ออีกตัวหนึ่งเสียอิเล็กตรอนไปมันก็จะทำแบบเดียวกันเป็นลูกโซ่ต่อ เนื่องกันไป ความพยายามในการซ่อมแซมตัวเองเช่นนี้ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า อนุมูลอิสระ ขึ้นมา ออกซิเจนหรือสารประกอบอื่นที่มีโมเลกุลของออกซิเจน อย่างเช่น คาร์บอนมอนอกไซด์หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ รวมทั้งแสงแดดและมลพิษเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกายเราตลอด เวลา และอนุมูลอิสระรับผิดชอบต่อความร่วงโรยของผิวเนื่องจากมันทำร้ายคอลลาเจนและ อิลาสตินในผิว โดยสารแอนตี้ออกซิแดนท์ทั้งปกป้องและต่อสู้กับความเสียหายนี้ด้วยการทำให้ อนุภาคนี้กลายเป็นกลาง

2. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ไม่ใช่ส่วนผสมใด ๆ ทั้งสิ้น
สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ไม่ใช่วิตามินหรือส่วนผสมพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่มันเป็นการทำงานของส่วนผสมบางอย่างที่ป้องกันการที่โมเลกุลจะดึง อิเล็กตรอนจากอะตอมตัวอื่นและเริ่มต้นปฏิกิริยาลูกโซ่ของอนุมูลอิสระ โชคดีที่สารแอนตี้ออกซิแดนท์จำนวนมากสามารถพบได้ในร่างกายมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตามมีโอกาสอย่างมากว่าเราจะไม่ได้รับสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากพอ ที่จะจัดการกับอนุมูลอิสระและความเสียหายจากอนุมูลอิสระที่เกิดการสลายตัว หรือไม่อาจทำหน้าที่ได้ตามปกติ ส่วนผสมที่มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระมีทั้งวิตามินเอ ซี อี เบต้าแคโรทีน ซีลีเนียม คิเนติน และสังกะสี

3. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ปกป้องผิวจากมะเร็งผิวหนัง
เมื่อสารแอนตี้ออกซิแดนท์ทำให้อนุภาคของอนุมูลอิสระกลายเป็นกลาง มันก็ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ในผิวของคุณ ความเสียหายที่เกิดกับโครงสร้างของเซลล์และองค์ประกอบเซลล์นี้ สามารถสะสมตัวมากขึ้นเรื่อง ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป และในที่สุดก็สามารถนำไปสู่โรคร้ายอย่างเช่นมะเร็งผิวหนังได้

4. สารแอนตี้ออกซิแดนท์รักษาริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัย
เนื่องจากริ้วรอยและสัญญาณต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงความร่วงโรยของผิว เช่น สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ จุดด่างดำ และความหยาบกร้านของผิว ล้วนเกิดจากอนุมูลอิสระทั้งสิ้น การใช้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ในรูปของการทาลงบนผิวจึงอาจมีบทบาทในการชะลอความ เสียหายจากอนุมูลอิสระให้ช้าลงได้ อย่างไรก็ตาม ผลของมันก็ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน ความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกายมนุษย์อาจเกิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วน ความเสียหายจากอนุมูลอิสระในร่างกายมนุษย์อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนานเป็น ปี ๆ ก่อนที่จะสังเกตเห็นความเสื่อมถอยใด ๆ คุณจึงไม่อาจชโลมสารแอนตี้ออกซิแดนท์ลงบนผิว และหวังว่า ริ้วรอยของคุณจะลดลงอย่างทันที

5. สารแอนตี้ออกซิแดนท์สามารถปกป้องผิวจากแสงแดด
นอกเหนือจากการต่อสู้กับอนุมูลอิสระแอนตี้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ยังบช่วยปก ป้องผิวจากรังสีที่เป็นอันตรายของแสงแดด แต่อย่าได้เลิกใช้ครีมกันแดดไปเลย เนื่องจากการปกป้องของแอนตี้ออกซิแดนต์ต่อรังสียูวีมีค่อนข้างน้อยมาก จึงควรจับคู่สกินแคร์ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์กับครีมกันแดดหรือมองหา ผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งสองอย่าง


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:35
6. สารแอนตี้ออกซิแดนท์สามารถเข้ากันได้กับผลิตภัณฑ์สกินแคร์อย่างอื่น
สารแอนตี้ออกซิแดนท์เป็นมิตรต่อการดูแลผิวทุกประเภท และสามารถนำมาใช้ผสมผสานกับครีมอื่น ๆ ได้อย่างปลอดภัยรวมถึงผลิตภัณฑ์เพื่อต่อต้านสิวและปกป้องแสงแดดด้วย

7. มันดีที่สุดที่จะให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์แก่ผิวด้วยการทา
ร่างกายของคุณจะส่งผ่านวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ ที่คุณบริโภคเข้าไปให้แก่ผิวในปริมาณค่อนข้างน้อย ฉะนั้นคุณจะเห็นประโยชน์มากกว่าเมื่อคุณทาสารแอนตี้ออกซิแดนท์ลงบนผิวโดยตรง และงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ก็สนับสนุนเรื่องการปกป้องของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ทาลงบนผิว ตัวอย่างเช่น วิตามินซี อี และซีลีเนียม ได้มีการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากแสงแดดต่อผิวและแสดงให้เห็น ด้วยว่า สามารถปกป้องความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อไป นอกจากนี้การทาสารแอนตี้ออกซิแดนท์ยังเพิ่มระดับการปกป้องความเสียหายจาก สภาพแวดล้อมแก่ผิวและการช่วยชะลอกระบวนการแก่ก่อนวัยได้

Famous Antioxidant

มีส่วนผสมหลายอย่างที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และนี่คือบางส่วนที่นิยมใช้กันในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่คุณสามารถหาได้ตาม เคาน์เตอร์เครื่องสำอาง

วิตามินเอหรือเบต้าแคโรทีน คือ สิ่งที่ช่วยปกป้องผลไม้และผักที่มีสีเขียวเข้ม เหลือง และส้มจากความเสียหายจากรังสีของพระอาทิตย์ และเชื่อกันว่ามันทำหน้าที่แบบเดียวกันในร่างกายมนุษย์

วิตามินซี ช่วย ซ่อมแซมผิวจากความเสียหายของแสงแดดและปกป้องผิวจากความร่วงโรย แต่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่สลายตัวได้เร็วมากเมื่อสัมผัสกับออกซิเจน

วิตามินอี เป็นวิตามินหลักในร่างกายที่ทำหน้าที่สารแอนตี้ออกซิแดนท์ปกป้องเซลล์เมมเบรนและโครงสร้างอื่นที่มีส่วนประกอบของไขมัน

ฟลาโวนอยด์ เป็นเม็ดสีในพืชที่รับผิดชอบในการสร้างสีสันของผลไม้ ผัก และดอกไม้ ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ทรงอานุภาพ แล้วยังมีคุณสมบัติในการต้านอาการอักเสบและต้านไวรัสได้ด้วย ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ต่อผิวพรรณ ฟลาโวนอยด์ที่มีผลประโยชน์เป็นพิเศษได้แก่ Proanthocyanins ซึ่งพบในองุ่นและต้นไพน์ และPolyphenols ซึ่งพบในชาเขียวและขาขาว

โคเอนไซม์คิว 10 (Coenzyme Q10) นี่เป็นสารที่ปกติร่างกายจะสร้างขึ้นได้เอง แต่ปัจจัยหลายอย่างอาจทำให้ระดับของ CoQ10 ในร่างกายลดลง ส่งผลให้เกิดการสร้างคอลลาเจนอิลาสติน และโมเลกุลที่สำคัญอื่น ๆ ของผิวน้อยลงนอกจากนี้ ผิวที่ขาด CoQ10 ยังอาจเสียหายได้ง่ายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งมีอยู่มากมายบนผิว ดังนั้น CoQ10 อาจเพิ่มการซ่อมแซมตัวเองของผิว และการสร้างเซลล์ผิวใหม่และลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระได้

สังกะสี (Zinc) ช่วยปกป้องรังสียูวี ช่วยให้แผลสมานตัวได้เร็ว ส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันและการทำงานของระบบประสาท เนื้อเยื่อทั่วร่างกายต่างมีสังกะสีเป็นส่วนประกอบและมีในชั้นหนังแท้ มากกว่าหนังกำพร้า การทาสังกะสีลงบนผิวในรูปของซิงก์ไอออน (Zinc lons) มีรายงานว่าสามารถปกป้องผิวจากแสงได้

ซีลีเนียม เป็นแร่ธาตุที่พบในซีเรียล ถั่ว และไข่ งานวิจัยบางชิ้นแสดงว่าการกินซีลีเนียมป้องกันมะเร็งในสัตว์ทดลองในแล็บ มันยังแสดงให้เห็นถึงการชะลอการแก่วัย และบรรเทาอาการผิวไหม้จากรังสีได้ด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:36
วิตามินที่บำรุงผิวพรรณ "ช่วยชะลอความเสื่อมโทรม"
วิตามินที่บำรุงผิวพรรณมีมากมายหลากหลายชนิดแล้วแต่ที่คุณ จะเลือกใช้อย่างถูกต้องและถูกวิธี และวันนี้เราจะแนะนำ วิตามินที่บำรุงผิวพรรณ ที่ช่วยในการชะลอความเสื่อมโทรมให้กับผิวของคุณให้แลดูเปล่งปลั่งสดใสอยู่ เสมอ มาดูกันดีกว่าค่ะว่า วิตามินที่บำรุงผิวพรรณ นั้นมีอะไรบ้างเอ่ยเพื่อให้คุณผู้หญิงได้ไปลองหาซื้อมาลองรับประทานกันดูค่ะ
วิตามินที่บำรุงผิวพรรณ

โดยการสร้างพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้องเพื่อจะได้รู้จักเลือกทานอาหารที่ ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงรวมทั้งการทานผลิตภัณฑ์วิตามินที่บำรุงผิวพรรณที่ ให้สารอาหารซึ่งสามารถซ่อมแซมและบํารุงโครงสร้างผิวได้รวมทั้งชะลอผิวเสื่อม โทรมและทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นอีกด้วย

วิตามินที่บำรุงผิวพรรณในที่นี้ ได้แก่ Collagen ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในโปรตีนคุณภาพสูง, Vitamin C, Vitamin E, Vitamin A & Beta-carotene, Zinc และ Grape Seed Extract ซึ่งมีอยู่ในพืชผักผลไม้ และธัญญาหารหลายชนิด

การบํารุงผิวพรรณจากภายนอก

ในที่นี้มักจะมีในรูปเครื่องสําอางบํารุงผิวพรรณชนิดต่าง ๆ ที่ผลิตออกมา ซึ่งจะมีความหลากหลายทั้งรูปแบบและชนิดสารสําคัญที่เติมลงไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการบํารุงประเภทนี้มักจะออกฤทธิ์ได้เฉพาะบริเวณที่เป็นผิว หนังชั้นตื้น ๆ เท่านั้น

ซึ่งในส่วนนี้จะต้องพิจารณาถึงเทคโนโลยีในการผลิตเครื่องสําอางชนิดนั้น ๆ ออกมาว่ามีระบบการนําส่งผ่านตัวยาสําคัญที่จะบอกถึงประสิทธิภาพของเครื่อง สําอางชนิดนั้นได้มากน้อยเพียงใด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก daradaily


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:36
27 วิธีทําให้ผิวขาว
หากพูดถึงวิธีทำผิวขาวผู้หญิงหลายคนอาจหูผึ่งและยิ่งเมื่อได้รู้ว่ามีวิธีที่จะสามารถทำให้คล่ำ ๆ ของคุณทำให้กลาย เป็นผิวขาวใสขึ้นได้ คุณผู้หญิงหลายคนคงจะไม่ปฏิเสธถึงเคล็ดลับ 27 วิธีทำให้ผิวขาว ที่เรากำลังจะบอกคุณ ๆ ใช่ไหม

วิธีทําให้ผิวขาว ได้แก่

1. วิธีขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้ารากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบน สุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่าอยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้วเซลล์ผิวเก่า ก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวาและดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิวก็ ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่าง ๆ เช่น ใยบวบหรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และ หากขัดมากเกินไปก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่น ๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดออกไปผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือผิวจะหม่นหมองดูแล้วมีความมันหรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดีทำให้ของเสียเกิดการสะสม ตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้าก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัดเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบและผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำ ผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบา ๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนใช้น้ำล้างออกให้สะอาดซับให้แห้งแล้วทาครีม บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็นเม็ดกลมเพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอกขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาดแล้วล้างออก ด้วยน้ำมาก ๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติเป็น อุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไปอาจทำให้แสบผิวได้เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสากและ หยาบ เวลาขัดจึงควรขัดเบา ๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำและเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้ แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิวโดยใช้ร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่างเติมเกลือเม็ดลงไปและเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่าง ให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบา ๆ ให้ทั่วตัวและล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบา ๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไปหรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้นควร เริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนาน ๆ

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:37

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็ก ๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ น้ำตาล อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอมอีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่าย ๆ ด้วย การใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อยแต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคืองมี น้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคลมี ความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิวทำให้ผิวขาวใสมีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิ แดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อน ๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ววิตามินสูงแต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรดเหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวังลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรกแต่ไม่เป็นกรดมาก

18. ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถนำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่าย ขึ้น

19. เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น เกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคืองและกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคมจึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจาก นั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20. ถ้าคุณมีผิวมัน ใช้มะขามเปียกหรือสับปะรดซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติมโยเกิร์ตช่วยบำรุงผิวก็ได้

21. ถ้าคุณมีผิวแห้ง ใช้ส้มเช้งเป็นส่วนผสมหลักปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22. ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23. การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่นและเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคน ผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิวแต่เกรงว่าผิวจะแห้งเกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดีเพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้วน้ำมัน ยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24. การเพิ่มนม โยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรืออื่น ๆ ที่ช่วยบำรุงผิวสามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไปลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืด เล็กน้อยจับตัวอยู่บนผิวได้และสะดวกแก่การขัด

25. ใครที่ชอบความหอมรื่นรมย์ สามารถ เสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหยเข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26. คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมาก ขึ้น

27. ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อย ๆ เน้นไปที่ร่องจมูกเลี่ยงจุดที่บอบบางมาก ๆ เช่น รอบดวงตา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 247freemag

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:40
วิธีรักษารอยหลุมสิว "บนใบหน้า"
คุณผู้หญิงหรือใครก็ตามที่กำลังมีเรื่องกลุ้มใจเรื่อง ผิวขรุขระ บนใบหน้าที่เกิดจากรอยหลุมสิวเป็นต้องเหตุ วันนี้เรานำวิธีรักษารอยหลุมสิวบน ใบหน้ามาให้คุณได้ลองเลือกใช้กันดูค่ะ ด้วย 7 วิธีรักษารอยหลุมสิว จะช่วยให้คุณมีผิวหน้าที่เรียบเนียนขึ้นและรอยหลุมสิวที่เป็นต้นเหตุให้ ผิวขรุขระ ไม่น่ามองก็จะตื้นเขินจนหายไป ลองนำ 7 วิธีรักษารอยหลุมสิว ของเราไปลองใช้กันดูนะค่ะ แล้วคุณจะได้มีผิวหน้าที่สดใสได้อย่างไม่ต้องอายใครอีกต่อไปด้วยค่ะ

7 วิธีรักษารอยหลุมสิว

1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทาในกรณีที่เป็นไม่มากนักหรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเองแต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็น การใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยาซึ่งนิยมใช้คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพื่อให้รอย บุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วยโฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนังโดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็น การผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิวส่วนคราบไคลและหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผล โดยใช้เครื่องเลเซอร์ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้นแต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อนข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์ โดยแพทย์จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผลเพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์



โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:41
ลดรอยแผลวิธีรักษารอยแผลเป็น "บนใบหน้า"
เพื่อให้ใบหน้าของคุณทุกคนสวยใสหากไกลรอยแผลเป็นอันไม่พึงประสงค์ยิ่งโดยเฉพาะใบหน้าด้วยแล้วคงไม่มีใคร อยากให้มีด้วยกันทั้งนั้น วันนี้เราจึงนำวิธีรักษารอยแผลเป็นมา ฝากคนที่กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจที่ต้องมีแผลเป็นบนใบหน้าให้ได้สวยใสกันทุกคน เลยค่ะ ว่าแล้วเราก็มาเริ่ม วิธีรักษารอยแผลเป็น เพื่อหน้าสวยกันเถอะค่ะ
  
วิธีรักษารอยแผลเป็น

1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทาในกรณีที่เป็นไม่มากนักหรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์แล้วจึงหลุดไปเองแต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วยไอออนโต (IONTO) เป็น การใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยาซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพื่อให้รอย บุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนังโดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็นเป็น


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 10:42
ลดรอยแผลเป็น "เพื่อผิวสวย"
รอยแผลเป็นนั้นพอได้เป็นแล้วก็มักจะหายยากหรือใช้เวลานานมากหรืออาจจะไม่หายเลยก็เป็นได้ หากคุณผู้หญิงอยาก ลดรอยแผลเป็น "เพื่อผิวสวย" แล้วล่ะ เราก็นำวิธี ลดรอยแผลเป็น แบบเบื้องต้นมากฝากคุณผู้หญิงทั้งหลายเพื่อให้คุณได้มีผิวสวยและเรียบเนียน ขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

ลดรอยแผลเป็น

มีคำถามจากน้องคนหนึ่งถามว่า "หนูมีปัญหาเกี่ยวกับแผลเป็นที่เรียวขาค่ะ เหมือนว่าจะเกิดจากต่อมน้ำเหลืองเสียและยุงกัดไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแผลถึงจะ หายไปได้คะ" แผลเป็นแบบนี้มักจะทำให้เกิดรอยด่างดำซึ่งปกติจะค่อย ๆ จางไปได้เอง การแก้ไขให้ดีขึ้นที่แบบง่าย ๆ ที่สุดก็ให้ทาครีมที่มีส่วนผสมของไวเทนนิ่ง เช่น เอเอชเอ ลิโคไรซ์ ซึ่งมีขายอยู่ทั่วไปทาตรงบริเวณที่ลาย ๆ นั่นแหละ หรือถ้าจะเอาแบบธรรมชาติก็ให้ใช้มะนาว ผสมกับดินสอพองแล้วก็ทำให้มันเข้ากันก่อนจะนำมาพอก ๆ ทา ๆ ให้ทั่วแขนขาที่เป็นรอยมันก็พอช่วยได้ดีไม่ดีทำบ่อย ๆ บวกความดีที่สั่งสมขาอาจเกลี้ยงเกลาเนียนขาวกว่าสาวอื่นๆ ก็ได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึก




ยินดีต้อนรับสู่ ดั้งโด่งดอทคอม (http://dungdong.com/) Powered by Discuz! X3.2