ดั้งโด่งดอทคอม

ชื่อกระทู้: ขอถามเรื่องเริมค่ะ [สั่งพิมพ์]

โดย: namkang99    เวลา: 2011-4-17 17:24
ชื่อกระทู้: ขอถามเรื่องเริมค่ะ
คือเคยเป็นเริมที่จมูกอะคะ แล้วแบบนี้จะสามารถเสริมจมูกได้ไหมคะ
จะมีโอกาศติดเชื้อไหมคะ เครียดมากๆเลยอะคะ อยากเสริมจมูกมากๆเลย
แต่อุปสรรคก็เยอะมากๆเลยค่ะ สงสัยชาตินี้คงไม่มีโอกาศเสริมจมูกแน่ๆเลย
โดย: alexandra    เวลา: 2011-4-17 17:52
การเกิดโรคซ้ำ

อาการแผลของเริมนี้อาจเกิดเป็นซ้ำได้อีก เนื่องจากเชื้อไวรัสเริมนี้จะเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในปมประสาท (ganglion) และมักจะทำให้เป็นเริมซ้ำที่บริเวณเดิม หรือใกล้เคียงกับตำแหน่งเดิมเสมอ ปัจจัยที่ทำให้เป็นเริมซ้ำได้อีกมีดังนี้
การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
ความเครียด วิตกกังวล เช่น ทำงานหนัก ใกล้สอบ เป็นต้น
ความเจ็บป่วย ช่วงที่สุขภาพอ่อนแอ ทรุดโทรม ไม่ค่อยสบาย จะกลับเป็นเริมได้อีก
อากาศร้อน แสงแดด
ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ระหว่างมีประจำเดือน
[แก้]ลักษณะของโรคเริม

เมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายประมาณ 6-8 วัน จะทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดตุ่มน้ำพองใสเป็นกลุ่ม ๆ กลุ่มละ 2-10 เม็ด ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ ผู้ป่วยจะมีอาการคันหรือแสบร้อนรอบ ๆ ตุ่มใสนี้ ซึ่งต่อมาจะแตกออกเป็นแผลตื้น ๆ หลายแผลติดกัน ตกเสก็ด และหายไปในที่สุด ซึ่งมักจะไม่ก่อให้เกิดแผลเป็น


โดย: namkang99    เวลา: 2011-4-18 18:30
เป็นแบบนี้แล้วคงเสริมจมูกไม่ได้แน่ๆเลยใช่ใหมคะ
โดย: alexandra    เวลา: 2011-4-19 06:46
พอดีวันก่อนเเม่สามีเเกเจ็บหลังเลยเอามือจับๆ เเต่มันเป็นตุ่มใสๆ คนที่บ้านพากันตกใจรีบพากันไป รพ เพราะคิดว่าเเกเป็นมะเร็ง เนื่องจากเเกพึ่งผ่าตัดมะเร็งเต้านมมาเมื่อปีกว่าๆ
เเต่พอตรวจเเล้วปรากฎว่าเเกเป็นงูสวัด เเพมเลยหาข้อมูลว่ามันเกิดจากอะไรเพราะได้ยินชาวบ้านพูดกันเมื่อก่อนว่า ใครเป็นงูสวัดก็เป็นเอดส์หละ เนื่องจากมันเป็นโรคเเทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นกับคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เลยหาข้อมูลเรื่องโรคติดต่อไปด้วยเลย เเต่
โรคงูสวัด
สาเหตุ เป็นโรคผิหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่เรียกว่า Hepes Varicella Zoster เป็นชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคไข้สุกใส ผู้ที่เป็นโรคไข้สุกใสมาก่อนจะยังคงมีเชื้อไวรัสนี้ที่ปมประสาทสันหลัง ซึ่งเมื่อร่างกายอ่อนแปเชื้อสามารถสร้างเพิ่มจำนวน ทำให้เกิดโรคงูสวัดได้ แต่จะเกิดเฉพาะแนวประสาท ไม่ลุกลามกระจายออกไปเพราะร่างกายมีภูมิต้านทานต่อเชื้ออยู่แล้ว แนวเส้นประสาทที่พบบ่อยได้แก่ บริเวณเอว ก้นกบ ตา ใบหน้า ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เช่นผู้สูงอายุ หรือจากโรคเช่น เอดส์ การรับประทานยา steroid จะมีโอกาสที่จะเกิดโรคงูสวัดสูง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคจากการสำรวจพบว่าผู้ใหญ่ร้อยละ 90 จะมีภูมิต่อเชื้องูสวัด ดังนั้นกลุมคนเหล่านี้จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นงูสวัดประมาณ 1.5-3 ต่อประชากร 1000 คน ผู้ที่อายุมาก มะเร็ง หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิ ผู้ที่เปลี่ยนถ่ายอวัยวะ ผู้ป่วยเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัด

เเพมยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสเลยค่ะ เลยต้องระวังการกิน การดื่ม เเละการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกันกับเเม่สามี เพราะถ้าเป็นอีสุกอีใสตอนนี้ หุหุ คงเกิดหละเเผลเป็น เอาไม่หายเเน่ๆ

เล่ายังไม่จบเรื่องโรคเริม ออกนอกเรื่องไปนิด เอ้อเรื่องโรคเริมนี้ก็เหมือนกันค่ะ ข้อมูลจะอยู่ในจำพวกไวรัส เดี๋ยวเเพมลงต่อข้างล่างนะ

โดย: alexandra    เวลา: 2011-4-19 06:59
อาการปวดตามตัวมักจะไม่มีไข้ ต่อมาจะมีอาการทางผิวหนังอาจจะแค่คันผิวหนัง บางคนปวดแสบปวดร้อน บางคนเสียวที่ผิวหนัง สำหรับคนที่เป็นเส้นประสาทที่หน้าจะมีปวดศีรษะ เห็นแสงจ้าไม่ได้ อีก1-5วันจะมีผื่นแดงอยู่กันเป็นกลุ่ม ต่อมาเกิดเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นอยู่ซีกหนึ่งของร่างกายไปตามเส้นประสาทต่มน้ำใสจะคงอยู่ประมาณ 5 วันต่อมาผื่นตกสะเก็ดและหายใน 2-3 สัปดาห์และอาจจะทิ้งรอยแผลเป็น ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแรงเช่นโรคมะเร็ง,เอดส์,หรือได้ยากดภูมิเช่น prednisolone ผู้ป่วยกลุ่มนี้พบโรคงูสวัดได้บ่อยและเป็นมาก
การวินิจฉัย การวินิจฉัยทำได้จากประวัติและลักษณะของผื่น แต่ผื่นของผู้ป่วยบางคนตำแหน่งที่เกิดและลักษณะผื่นไม่เหมือนงูสวัดจึงจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่ม ได้แก่การเพาะเชื้อไวรัสการย้อมด้วยวิธี Direct immunofluorescence assay


โดย: alexandra    เวลา: 2011-4-19 06:59
การปฏิบัติตน

งูสวัด เป็นโรคที่เชื่อว่าไม่ติดต่อ เป็นแล้วหายไปเองได้ เพียงแต่รักษาแผลให้สะอาด ในระยะเป็นตุ่มน้ำใสที่มีอาการปวดแสบปวดร้อนให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลืออุ่นๆ หรือ กรดบอริก 3% ปิดประคบไว้ เมื่อผ้าแห้งก็ชุบเปลี่ยนใหม่ ทำเช่นนี้วันละ 3-4 ครั้งๆ ละประมาณ 15 นาที ในระยะตุ่มน้ำแตกมีน้ำเหลืองไหลต้องระมัดระวังการติดเชื้อแบคทีเรียที่จะเข้าสู่แผลได้ ควรใช้น้ำเกลือสะอาดชะแผลแล้วปิดด้วยผ้าก๊อสที่สะอาด ถ้า ปวดแผลมากรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล
ในรายเป็นมากหรือรุนแรงจะต้องเข้ารับการตรวจรักษากับแพทย์ทันที เช่น ผู้ป่วยสูงอายุที่มีอาการปวดและอับเสบรุนแรง ในคนที่มีภูมิต้านทานต่ำจากการได้ยากดภูมิต้านทานไว้ ได้แก่ ยาฆ่าเซลล์มะเร็ง หรือจากการได้รับการฉายรังสี หรือในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งของตอมน้ำเหลือง เป็นต้น
ในรายที่เป็นบริเวณในหน้า จมูก อาจมีโอกาสลุกลามเข้าไปในแก้วตาได้ จะต้องปรึกษาจักษุแพทย์ เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง
ถ้าสงสัยหรือไม่แน่ใจว่าใช่โรคงูสวัดหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อได้ รับการวินิจฉัย และคำแนะนำในการปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง
โดย: alexandra    เวลา: 2011-4-19 07:05
มาถึงเรื่องเริมที่ จขกท สงสัย ละ

เริม คือ เชื้อ Herpes simplex
     เชื้อ herpes virus [HSV]เป็นสาเหตุที่สำคับของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปากและอวัยวะเพศและอาจจะติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกายและอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบสีแดง
เชื้อ herpes มีสองชนิดคือ

      Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไปเกิดที่ปากเรียก Herpes labialis โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
     Herpes simplex virus 2 (HSV-2) เชื้อมักเกิดบริเวณอวัยวะเพศและติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalis

เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในชั้นของผิวหนังเชื้อจะแบ่งตัวทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ปมประสาท ganglia เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการแบ่งตัวถ้าหากปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมเชื้อก็เกิดการแบ่งตัว ทำให้เกิดอาการเป็นซ้ำผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปากจะมีอัตราการเกิดซ้ำประมาณร้อยละ 20-40 สำหรับเริมที่อวัยวะเพศจะมีอัตราการเกิดเป็นซ้ำประมาณร้อยละ 80 ปัจจัยที่กระตุ้นไม่แน่นชัดเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแสงแดด ไข้ การมีประจำเดือน ความเครียด การเกิดเป็นซ้ำจะมีอาการน้อยกว่าและหายเร็วกว่าการเกิดเป็นครั้งแรก
อาการของการติดเชื้อ herpes simplex

อาการเริมต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตำแหน่งที่ได้รับเชื้ออาการของการติดเชื้อที่ปาก และที่อวัยวะเพศจะเหมือนๆกันเพียงแต่ขึ้นกันคนละที่อาการจะแบ่งเป็น การเป็นครั้งแรก Primary Infection ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding และอาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections
-การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อนต่อมาจะมีอาการบวม และอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดงตุ่มน้ำแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ด ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆ อาจจะโตและอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัว
-ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding ช่วงนี้เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร เชื้ออาจจะแบ่งตัวและสามารถติดต่อได้โดยเฉพาะเชื้อที่อวัยวะเพศแม้ว่าจะไม่มีผื่น
-อาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections มีอาการน้อยกว่า และเป็นพื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ และมักเป็นบริเวณใกล้กับที่เดิมโดยเฉพาะที่อวัยวะเพศอาจจะกลับเป็นซ้ำได้ 5 ครั้งต่อปี
โดย: alexandra    เวลา: 2011-4-19 07:08
ปัจจัยกระตุ้นในการกลับเป็นซ้ำ
ทุกๆคนจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ herpes simplex โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานะไม่ดี โดยเชื้อ (HSV-1) จะติดต่อทางสารหลั่งในปาก ส่วน (HSV-2) จะติดต่อทางอวัยวะเพศ ทวารหนัก เมื่อเชื้อเข้าทางผิวหนังเชื้อจะไปตามเส้นประสาททำให้เชื้อลามเป็นบริเวณกว้างและอาจจะเกิดผื่นที่บริเวณใหม่
มีการศึกษาว่าแม้จะไม่มีผื่นหรืออาการเชื้อก็สามารถแพร่ออกมาได้ ดังนั้นไม่มีหลักประกันว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่มีอาการจะปลอดภัยจากโรคเริม
โรคแทรกซ้อนของการติดเชื้อ herpes simplex
การวินิจฉัย



โดย: alexandra    เวลา: 2011-4-19 07:08
การรักษา
มียารับประทานให้เลือก 3 ตัวให้เลือกในการรักษา ยาทั้ง 3 ตัวมิไดให้หายขาดเพียงแต่ลดความรุนแรง ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็น ยาทั้ง 3 ได้แก่ Acyclovir,Valacyclovir,Famciclovir การให้ยามีได้ 2 ลักษณะคือ
  • Acute therapy หมายถึงการเริ่มให้ยาตั้งแต่เริ่มมีอาการคือปวดแสบปวดร้อนโดยที่ยังไม่มีผื่นขึ้น ถ้ามีผื่นขึ้นจะไม่ได้ผล ให้ยาครบ 5 วัน
  • Suppress therapy คือการให้ยาเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำจะเลือกให้ในรายที่เกิดกรกลับเป็นซ้ำบ่อย หรือมีโรคประจำตัว
สำหรับยาทายังไม่มียาทาที่ได้ผลดี ยาทาอาจจะได้ผลในแง่ลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็วยาที่นิยมใช้คือ acyclovir ครีมซึ่งได้ผลเฉพาะ primary lesion ยาทาไม่ช่วยลดจำนวนเชื้อหรือลดระยะเวลาที่เป็นโรค สำหรับยาอื่นต้องเลือกให้ดีเพราอาจจะมีแอลกอฮอล์ หรือสารที่ระคายอย่างอื่นซึ่งทำให้แผลหายช้ายาซึ่งมีส่วนผสมของ steroidก็ไม่ควรใช้เพราะแผลจะหายช้า
เป็นครั้งแรก
(รักษา 7-10 วัน)
กลับเป็นซ้ำ
(รักษา 5 วัน)
การป้องกัน
acyclovir(Zovirax)
400mg 3ครั้ง/วัน
หรือ
200mg 5ครั้ง/วัน
400mg 3ครั้ง/วัน
หรือ
200mg five times/day
หรือ
800mg 2ครั้ง/วัน
400mg 2ครั้ง/วัน
famciclovir
(Famvir)
250mg 3ครั้ง/วัน
125mg 2ครั้ง/วัน
250mg 2ครั้ง/วัน
valacyclovir
(Valtrex)
1000mg 2ครั้ง/วัน
500mg 2ครั้ง/วัน
500mg วันละครั้ง
or
1000 mg วันละครั้ง


โดย: alexandra    เวลา: 2011-4-19 07:18
การเป็นเริมในจมูกสามารถทำจมูกได้ค่ะ ถ้าหากช่วงที่จะทำจมูกไม่มีอาการโรคเริม
สำหรับการลุกลามไปยังอวัยวะภายในนั้น เกิดได้น้อยมาก อาจเกิดในรายที่มีโรคแทรกซ้อนหรือเกิดการติดเชื้อ
เท่าที่ค้นหาข้อมูลมานะ
โรคเริมไม่มียาที่รักษาให้หายขาด มีแต่ลดความรุนแรง ลดความถี่และลดระยะเวลาที่เป็นเท่านั้น
ก็คือ จขกท ต้องสังเกตตัวเองสักพักว่ามีอาการกลับมาเป็นโรคเริมหรือไม่ เเละดูเเลตัวเองไม่ให้กลับมาเป็นอีก
เเละหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหรือใช้ช้อนซ่อมกับบุคคลที่เป็นเริมค่ะ เพราะมันจะเป็นวนไปวนมาหากันได้อีก

ชักเปลืองพื้นที่ จขกท ละ
ไม่ต้องคิดมาก นอนหลับ พักผ่อนนะคะ
โดย: namkang99    เวลา: 2011-4-19 21:52
ขอบคุณมากๆค่ะพี่แพม ไม่รู้ว่าที่หนูตั้งกระทู้มานี่จะทำให้น่ารังเกียจหรือป่าวคะ
คือหนูเคยเป็นครั้งแรกในชีวิต คือตอนอายุประมาน 13 ขวบ ตอนนั้นเพิ่งออกจากโรงพยาบาล
เพราะเป็นไข้มาเลเรียค่ะ นอนโรงบาลเกือบอาทิตย์เลย พอออกจากโรงบาลก็รู้สึกว่ามีตุ่มขึ้นจมูก
สงสัยตอนอยู่โรงบาลคงจะติดเชื้อจากในนั้นแน่เลยมั้งคะ ยังไงก็ขอขอบคุณพี่แพมมากๆนะคะ
ที่ไม่รังเกียจ
โดย: kei_kakura    เวลา: 2011-4-19 23:03
สู้ๆ นะค่า  เป็นกำลังใจให้
ผู้หญิง...อย่าหยุดสวยค่า:)
โดย: alexandra    เวลา: 2011-4-19 23:32
    ไม่รังเกียจหรอกจ้า เเต่มันจะเป็นๆหายๆ ต้องพักผ่อนเเล้วหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นให้กลับมาเป็นซ้ำาอีก
ก็คิดว่าคนจะรังเกียจไง เลยหาข้อมูลมาเเปะให้เพื่อจะได้เข้าใจสาเหตุว่าที่มันเกิดขึ้นเพราะอะไร บางคนคิดไปโน่น เเต่จริงๆเเล้ว
สถานพยาบาลเป็นสถานที่ๆสะอาดที่สุดสกปรกที่สุด  เเละมีเชื้อโรคเรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นหนะ

โดย: namkang99    เวลา: 2011-4-20 17:07
ขอบคุณค่ะ
โดย: namkang99    เวลา: 2011-4-25 14:13
พี่คะแล้วถ้าทำจมูกมาแล้ว แล้วเริมเกิดขึ้นที่จมูกมาอีกหล่ะคะจะเป็นอันตรายไหมคะ
จะทำให้จมูกติดเชื้อหรือป่าวคะ (หมายถึงแผลทำจมูกหายแล้ว) ขอบคุณค่ะ
โดย: alexandra    เวลา: 2011-4-25 15:52
ถ้าเราทำเเล้ว เเผลเเห้งเเล้ว เเต่มาเป็นทีหลังไม่เป็นไรจ้า
เเต่เเหม มันไม่ได้เ็ป็นบ่อยๆนะจ้าหนู
เเต่ไม่ทำตอนที่กำลังเป็นเท่านั้นจ้า เพราะมันจะมีตุ่มใสๆ จะเเตกเเล้วเชื้อไวรัสตัวนี้มันจะลามไปติดส่วนที่เป็นเเผลสดหรือเข้าไปในกระเเสเลือดในปอด
โดย: namkang99    เวลา: 2011-4-25 16:02
จ้าจ้า ขอบคุณค่ะ พอดีเป็นคนขี้สงสัยไปหน่อยอะคะ (สงสัยบ่อยเหลือเกินอิอิิ)





ยินดีต้อนรับสู่ ดั้งโด่งดอทคอม (http://dungdong.com/) Powered by Discuz! X3.2