ดั้งโด่งดอทคอม

ชื่อกระทู้: ขั้นตอนการทำศัลยกรรมและข้อดี-เสีย [สั่งพิมพ์]

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-17 16:10
ชื่อกระทู้: ขั้นตอนการทำศัลยกรรมและข้อดี-เสีย
น่ารู้ Soft Tissue Fillers สารเติมความงาม
Soft Tissue Fillers เป็นสารที่ใช้ฉีดลงไปที่ใบหน้า เพื่อเพิ่มความอวบอิ่มหรือใช้ Soft Tissue Fillers ในการแก้รอยเหี่ยวย่นหรือรอยบุ๋มต่าง ๆ ให้ดูเต็มขึ้น เรามาทำความรู้สาร Soft Tissue Fillers ให้ลึกซึ้งกว่านี้กันดีกว่าค่ะ
Soft tissue fillers

มีคนไข้หลายคน มาปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับการใช้สารฉีดหน้า เพื่อแก้ไขรอยย่น รอยบุ๋ม รวมทั้งเติมความอูมของส่วนต่าง ๆ อีกทั้งเมื่อนั่งตรวจคนไข้อยู่ทุกวันจะพบกับคนไข้กลุ่มหนึ่งที่มาให้แก้ไข ความผิดปกติของใบหน้าและอวัยวะหลายส่วนที่ได้จากการฉีดสารต้องห้าม เช่น พวกน้ำมันซิลิโคน พวกพาราฟิน หรือพวกไขมันเทียมอย่างที่หมอเถื่อนหรือนักฉีดพเนจร (ที่ ใช้ชื่อนี้เพราะว่าพวกนี้มักจะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แต่มักจะหิ้วกระเป๋าฉีดตามแฟลต คอนโด หรือห้องแถวต่าง ๆ และอาศัยการหาคนไข้โดยผ่านทางระบบนายหน้าหรืออาศัยการกล่อมคนที่ไม่รู้อิ โหน่อิเหน่ให้หลงเข้าไปให้ฉีด แต่เมื่อฉีดแล้วกลับไปหาตัวก็มักจะหาไม่เจอเพราะย้ายที่อยู่ไปเรียบร้อย แล้ว) ใช้เรียกกันเลยทำให้ได้ความคิดว่าน่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับสารฉีดสารเติม ความอูมที่ใช้ในท้องตลาดขณะนี้ให้ได้อ่านกันอย่างกว้าง ๆ สักหน่อย เผื่อเวลาไปเจอชื่อเรียกของสารเหล่านี้ในหน้าหนังสือหรือนิตยสารที่ทันสมัย หน่อยจะได้มีแนวทางมาเปรียบเทียบว่าสารนั้น ๆ เป็นสารพวกไหนและมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด บทความนี้เป็นเพียงบทความเสนอแนะคร่าว ๆ เท่านั้นไม่ได้ลงไปในรายละเอียดเหมือนที่หมอ ๆ เค้าเรียนกันที่จะลึกซึ้งถึงระดับโมเลกุลเลยทีเดียว แต่คุณผู้อ่านคงจะได้ความรู้ไว้กว้าง ๆ ประดับสมองบ้างไม่มากก็น้อย
ความนิยมในการเสริมความงามนั้นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน แต่สิ่งที่มักจะเป็นหัวข้อที่ต้องการของคนไข้นั้นก็มักจะอยู่ในแนวทางดังนี้ คือ ควรจะหายเร็วไม่มีความผิดปกติให้เห็นชัดนานเกินไปได้ผลดีหรือดีเลิศรวมทั้ง มีความปลอดภัยสูง ซึ่งทั้งนี้การผ่าตัดก็มีข้อจำกัดอยู่บางส่วนทำให้ในบางกรณีการใช้สาร บางอย่างฉีดเข้าไปที่ใบหน้าและสามารถแก้ไขปัญหาได้ นอกเหนือจากการผ่าตัดจึงเป็นแนวทางหนึ่งที่คนไข้มักจะนิยมเลือกใช้และทำให้ ปัจจุบันนี้มีการค้นคว้าหาวัสดุหรือสารที่ฉีดเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี ดังจะเห็นได้จากสถิติของการใช้ injectable soft tissue filler ในอเมริกามีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากผิดหูผิดตาตั้งแต่ปี 1997-2000 เช่นการใช้ collagen ฉีดเพิ่มขึ้นถึง 71% การใช้ไขมันตนเองฉีดมีอัตราเพิ่มถึง 121% เป็นต้น
ถึงแม้ว่า soft tissue filler ที่สมบูรณ์ในอุดมคติในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถผลิตออกมาได้ก็ตาม แต่เราก็สามารถจะบอกได้ว่าสารที่น่าจะนำมาฉีดได้ผลดีและเป็นที่ต้องการในแง่ ทางการแพทย์ควรจะมีลักษณะเช่นใด (ขอให้ดูตารางที่ 1 ประกอบ) โดยมากหมอมักจะคิดถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นประการแรก (safety first) ติดตามมาด้วย ผลสำเร็จของการใช้ (efficacy) นอกจากนั้นก็คงเป็นเรื่องของการติดเชื้อหรือความต้านทานต่อการติดเชื้อได้ดี ความง่ายในการฉีดหรือการใช้ โดยมีแผลเล็กหรือน้อย การหายสนิทของแผลในช่วงเวลาสั้น ๆ รวมทั้งสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติได้อย่างรวดเร็วและที่สำคัญคือควร จะมีผลอยู่คงทนถาวรพอสมควร (โดยปกติหากฉีดแล้วอยู่ได้เกินกว่าหนึ่งปีเราก็มักจะถือได้ว่าได้ผลพอสมควรแล้ว แต่ถ้านานกว่านี้ได้ก็ถือว่าสอบผ่าน) หลังฉีดแล้วควรจะให้ความรู้สึกที่เหมือนกับผิวหนังปกติและควรจะมีความคงทนถาวรต่อการถูไถและการสัมผัสได้ดี (ไม่ใช่ว่าฉีดแล้วห้ามแตะต้องบริเวณนั้น ๆ เลยก็ไม่ไหวเหมือนกัน) และในประเด็นเกี่ยวกับการเลาะเอาออกได้ง่ายเมื่อไม่ต้องการก็เป็นเรื่องที่ น่าใส่ใจด้วยเหมือนกัน (หากฉีดแล้วแก้ไขไม่ได้เลยก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงพอสมควร)


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-17 16:12
ประการสุดท้ายก็คือ เรื่องของการก่อมะเร็งและการเป็นพิษภัยต่อสุขภาพโดยรวมของร่างกายหรือต่อ ทารกในครรภ์ก็ต้องไม่มีในสารนั้น ๆ ซึ่งแน่นอนที่สุดในประเทศที่ผลิตเพื่อวางขายก็คงต้องมีระบบทดสอบและตรวจ สอบอย่างเข้มงวดในปัจจุบันจึงจะผ่านออกมาขายได้ ดังนั้นการจะใช้สารฉีดชนิดใด ๆ ที่ใบหน้าหรือร่างกายของเราก็ตามสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาหาความรู้กัน ให้ถ่องแท้เสียก่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจเมื่อเกิดผลข้างเคียงตามมา ในภายหลัง ซึ่งบางครั้งก็ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนมาสู่สภาพเดิมได้อีกด้ว

ความปลอดภัย ประสิทธิภาพ
ต้านทานต่อการติดเชื้อได้ดีพอควรใช้ได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นการฉีดหรือการผ่าตัดเสริม
ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อหายได้ไว
ไม่ก่อให้เกิดการแพ้คนนอกมองไม่รู้ (not visible)
ไม่เป็นพิษ (nontoxic) ได้ผลยั่งยืนพอควร (มากกว่า 1 ปี)
ไม่ก่อมะเร็ง (noncarcinogenic) ลักษณะคล้ายหรือเหมือนเนื้อหนังธรรมชาติ
noncomedogenic ทนทานต่อการเสียดสี ถูไถ ง่ายต่อการเอาออก เมื่อไม่ต้องการ

คราวนี้หากเราจะทำการแยกชนิดของสารที่ใช้ฉีดเราจะแบ่งออกได้กี่ประเภท อันนี้เราพอจะพิจารณาชนิดของสารฉีดที่มีอยู่ในท้องตลาดออกได้ด้วยกัน 4 ชนิดได้แก่ 1.สารที่มาจากธรรมชาติอันสกัดมาจากเนื้อเยื่อของมนุษย์ 2. สารที่มาจากการเตรียมมาจากเนื้อเยื่อของสัตว์ 3. สารสังเคราะห์ที่มาจากสิ่งมีชีวิต หรือจากมนุษย์ 4. สารสังเคราะห์ที่เป็นสารเคมีล้วน ๆ รายละเอียดเกี่ยวกับสารฉีดแต่ละจำพวกจะเล่าให้ฟังต่อดังต่อไปนี้
1. สารที่มาจากธรรมชาติ ที่สกัดมาจากเนื้อเยื่อมนุษย์

สารที่อยู่ในกลุ่มนี้ตัวอย่าง เช่น acellular dermal material (Alloderm เป็นต้น) เป็นสารที่มีมาตั้งแต่ปี 1990 และสามารถใช้โดยการเปิดแผลเล็ก ๆ แล้วเติมเข้าไปในส่วนที่ต้องการ แต่ในเวลาต่อมาพบว่ามีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับการสลายตัวไปรวดเร็วประมาณ 6 เดือนถึงหนึ่งปีเท่านั้น จึงมีสารตัวอื่น ๆ เช่น cadaver-derived human collagen (Dermalogen) ออกมาใช้แพร่หลายในเวลาต่อมา แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการสลายตัวและอาจจะเกิดการแพ้ได้ นอกจากนั้นยังมีตัวอื่น เช่น Autologen (autologous dermal material) ซึ่งอยู่คงทนมากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม autologen นั้นเป็นสารที่ใช้ฉีดได้ค่อนข้างยากและการฉีดที่ไม่ดีพอจะทำให้เกิดการขรุ ขระได้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้ autologous dermal fat อาจจะได้ผลดีเหมือนกันแต่ก็ยังมีผลเกี่ยวกับผลในระยะยาวเหมือนกันและยังขึ้น อยู่กับเทคนิกในการสกัดจากร่างกายด้วยเหมือนกัน ในระยะหลัง ๆ นี้มีการเปิดตัวสารใหม่คือ Cymetra (micronized acellular dermal material) ซึ่งทางผู้ผลิตคิดว่าน่าจะอยู่ได้ยาวนานกว่าสารตัวอื่น ๆ แต่เนื่องจากเป็นตัวใหม่อยู่จึงต้องติดตามผลการรักษาในระยะยาวเสียก่อนจึงจะ บอกผลได้ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร

2. สารที่สกัดมาจากสัตว์

สารในกลุ่มนี้มีการใช้มาตั้งแต่ช่วงปี 1980 มาแล้ว ได้แก่พวก zyplast, zyderm แต่ผลการรักษานั้นดูจะยังไม่ค่อยน่าจะประทับใจเท่าไหร่ เพราะมีปัญหาหลายอย่างเช่นเรื่องของการแพ้ การเกิดการอักเสบ (low grade inflammation) และยังมีปัญหาเรื่องการสลายตัวเมื่อเวลาผ่านไปด้วย สารชนิดอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันนี้ที่เป็นตัวใหม่ ๆ ก็ได้แก่พวก Permacol ซึ่งเป็น collagen มาจากหมูและผลิตออกมาเป็นแผ่น ๆ แต่เมื่อนำมาใช้ก็พบว่าผลการรักษาก็ดูจะคล้าย ๆ กับกลุ่ม zyderm, zyplast เรียกว่าไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-17 16:12
3. สารสังเคราะห์ที่มาจากสิ่งมีชีวิตหรือมนุษย์

สารกลุ่มนี้ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ Gore-Tex ซึ่งได้มีการใช้และรายงานในวารสารทางการแพทย์มาอย่างต่อเนื่องนานหลายปีแล้ว และยังมีตัวที่พัฒนามาจาก Gore-Tex คือ SoftForm ซึ่งต่อมาก็พบว่ามีปฏิกริยาต่อผิวหนังและเยื่อบุค่อนข้างมากจึงถูกถอดออกจาก ท้องตลาดไปตั้งแต่ปี 2000

มีสารสังเคราะห์ที่ได้จาก hyaluronic acid ซึ่งพบว่าเป็นสารที่ดูน่าจะดีสำหรับการเอามาฉีดเสริมส่วนต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากสารตัวนี้สามารถพบได้ในเนื้อเยื่อของคนเราอยู่แล้ว โดยเป็นส่วนประกอบของ chondroitin sulfate, collagen เป็นต้น ดังนั้นสารนี้จึงถูกนำมาผลิตและขายในท้องตลาดในหลายรูปแบบด้วยกัน ได้แก่ Hylaform, Hyalaform gel, Synvisc, Biomatrix, Restylane, Restylane-5, Perlane เป็นต้น แต่สารกลุ่มนี้บางชนิดจัดว่ายังเป็นของใหม่จึงอาจจะยังไม่ผ่านการรับรองของ FDA ในบางประเทศ ผลข้างเคียงของสารกลุ่มนี้อาจจะมีบ้างเช่นการเกิดปฏิกริยาของร่างกาย การสลายตัว (Resorption) ซึ่งผู้ผลิตต่าง ๆ ก็พยายามที่จะทำให้สารเหล่านี้บริสุทธิ์ขึ้นเพื่อจะได้มีปฏิกริยาลดลงแต่ กระนั้นก็ยังแก้ปัญหาเรื่องการสลายตัวยังไม่ดีพอ (คิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกหน่อยก็คงจะได้สารที่คงสภาพได้ดีมากขึ้น)

4. สารสังเคราะจากสารเคมีล้วน ๆ

สารในกลุ่มนี้ที่เราพอจะรู้จักกันดีได้แก่ Silicone, Bioplastique,Artecoll เมื่อไม่นานมานี้ทาง FDA ของสหรัฐได้ยอมรับการใช้ Silicone เหลว 2 ชนิดคือ Adatosil 5000 และ Silikon 1000 สำหรับการใช้ในการรักษา retinal detachment (แต่ไม่ใช่รักษาหรือฉีดเสริมสวยอย่างที่เรานำมาใช้กันในเมืองไทยโดยหมอเถื่อนซึ่งไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีการรับรอง) ส่วน Bioplastique ซึ่งผลิตโดย Geleen ประเทศเนเธอร์แลนด์นั้นเป็นสารที่ประกอบด้วย microparticles ของ solid-state polydimethylsiloxane (หรือซิลิโคนนั่นเอง) แต่ได้รับการผสมด้วย biocompatible carrier gel หุ้มภายนอกอีกทีหนึ่งและเคยมีการใช้ในอเมริกาอยู่ช่วงสั้น ๆ แต่ก็สาบสูญหายไปโผล่ในประเทศแถบยุโรปและเอเซียแทน ส่วนผลการรักษานั้นดูจะไม่ค่อยแน่นอนนักและยังต้องการการศึกษาทั้งในด้าน ความปลอดภัยและเทคนิกการฉีด และที่สำคัญสำหรับสารชนิดนี้คือการเลาะออกหากไม่ต้องการค่อนข้างจะยากและอาจ จะต้องเสียเนื้อเยื่อรอบด้านไปด้วย

Artecoll เป็นสารที่ผลิตออกมาโดยหวังผลของคุณสมบัติที่ดีของสารฉีดในอุดมคติ โดยตัวมันประกอบด้วย polished polymethylmethacrylate bead (plexiglass) แล้วนำมาเคลือบด้วย collagen matrix อีกทีหนึ่งทำให้การสลายตัวของมันเกิดขึ้นได้ยากกว่าโดยเมื่อถูกฉีดเข้าไปใน ร่างกายแล้ว ร่างกายจะสร้างพังผืดมาทดแทน collagen ที่มีอยู่เดิมแล้วสลายตัวไปหลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน ดังนั้นผลข้างเคียงจึงมักจะเกิดจากการเกิดพังผืด อาการบวมแดง หรืออาจจะคลำก้อนได้ตะปุ่มตะป่ำ แต่อย่างไรก็ตามสารตัวนี้ก็เป็นอีกตัวหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการรับรองจาก US FDA ในปัจจุบัน

หากจะพิจารณาเรื่องเกี่ยวกับสารฉีดในปัจจุบันนี้เท่าที่มีการใช้และรายงาน กันอยู่ในวารสารต่าง ๆ ดูเหมือนว่า artecol และ hyaluronic acid น่าจะเป็นสารที่ดูจะปลอดภัยและเป็นที่นิยมมากในอเมริกา และถึงแม้ว่าทาง FDA ยังไม่ได้รับรองแต่ในอนาคตหากมีการใช้กันนานกว่านี้และมากขึ้นแพร่หลายก็อาจ จะทำให้ความเข้าใจและการวิจัยเกี่ยวกับสารฉีดเหล่านี้และตัวอื่น ๆ พัฒนาต่อไปเพื่อจะได้สารฉีดที่สมบูรณ์แบบในอนาคตได้


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-17 16:13
อันตรายจากกลูต้าไธโอน "ของผิวขาว"
เมื่อพูดถึงกลูต้ไธโอนในวงการผู้หญิงอยากขาวคงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเจ้าสารกลูต้าไธโอนชนิดนี้ แต่คุณรู้บ้างไหมว่าอันตรายจากกลูต้าไธโอนนั้นมีอะไรบ้าง มีผลข้างเขียงอย่างไรบ้าง หากว่าคุณคิดอยากจะมีผิวขาวสวยอมชมพูก็ต้องคิดกันสักนิดเพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อยู่ยั่งยืนคู่กับคุณไปจนแก่ นั้นมาดูอันตรายจากกลูต้าไธโอนและประโยชน์ของกลูต้าไธโอนกันค่ะ
อันตรายจากกลูต้าไธโอน

สารกลูต้าไธโอนเป็นโปรตีนที่ร่างกายเราสังเคราะห์ได้เองทำหน้าที่ปกป้อง เนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วน โดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายช่วยตับขจัดสารพิษ โดยเฉพาะตัวยาหรือสารพิษที่ไม่ละลายน้ำ เช่น โลหะหนัก สารฆ่าแมลง เมื่อรวมตัวกับสารกลูต้าไธโอนจะช่วยให้ละลายน้ำได้และถูกกำจัดออกจากร่างกาย ช่วยปกป้องดีเอ็นเอของเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดมะเร็ง นั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า ผู้ที่อายุยืนยาวและมีสุขภาพแข็งแรงมักจะตรวจพบสารกลูต้าไธโอนปริมาณสูงใน กระแสเลือด ต่อมาวงการแพทย์ได้นำสารกลูต้าไธโอนมาใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับระบบเส้น ประสาทบกพร่อง เช่น โรคตับ โรคไต พาร์กินสัน อัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะ และมะเร็งต่อมลูกหมาก มานานกว่า 30 ปี โดยฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ

เนื่องจากร่างกายเราสร้างกลูต้าไธโอนได้เองเมื่อต้องเสริมกลูต้าไธโอนใน ปริมาณมากเพื่อมุ่งรักษาโรค จึงมีผลข้างเคียงโดยกลูต้าไธโอนมีฤทธิ์ไปยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งทำให้ เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาวทำให้ผิวขาวขึ้นใน เวลาอันสั้น จึงเกิดการแตกตื่นและนำกลูต้าไธโอนมาเป็นอาหารเสริมเพื่อชะลอวัย และหวังผลให้ผิวขาวใสหรือผิวขาวอมชมพู
กิน-ฉีดให้ขาว อันตรายถึงชีวิต

ในความเป็นจริงยาเม็ดที่เป็นอาหารเสริมไม่มีผลให้ผิวขาว เพราะสารชนิดนี้ไม่สามารถดูดซึมและจะถูกขจัดออกจากร่างกายในที่สุด จึงได้มีการดัดแปลงนำมาผสมกับวิตามินซีแล้วฉีดเข้าเส้นเลือดหรือกล้ามเนื้อ ครั้งละ 600 มิลลิลิตร สัปดาห์ละครั้ง ราคา 4,000-5,000 บาท ติดต่อกัน 3-5 สัปดาห์ ผิวจะเริ่มขาวขึ้นหลังฉีดครั้งแรกประมาณ 1 เดือน หลังจากนั้น 2 เดือนผิวจะกลับมาเป็นสีเดิมจึงต้องฉีดซ้ำอยู่เป็นระยะ

ต่อมาองค์การอาหารและยาได้ประกาศห้ามใช้กลูต้าไธโอนเพื่อช่วยผิวขาวแล้ว เนื่องจากกลูต้าไธโอนทั้งชนิดเม็ดและชนิดฉีดเพื่อมุ่งผิวขาวมีกลูต้าไธโอน สูงถึง 500-1,000 มิลลิกรัม ซึ่งมากกว่าปริมาณที่แพทย์อนุญาตให้ผู้ป่วยใช้ คือ ไม่เกิน 250 มิลลิกรัมต่อวันและอาจทำให้แพ้ยาจนช็อกถึงขึ้นเสียชีวิตเฉียบพลันหรือส่งผล ในระยะยาว เช่น สะสมในร่างกายส่งผลเสียต่อตับและไตได้ และทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังเนื่องจากผิวไวต่อแสงแดดเพราะเม็ดสีผิวถูก ทำลายเสริมกลูต้าไธโอนด้วยการกิน

แม้การบริโภคกลูต้าไธโอนในปริมาณมากจะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีโรคแทรกซ้อนอาจทำให้ปริมาณกลูต้าไธโอนที่ร่างกาย ผลิตได้ลดลงทำให้ร่างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ผิวแห้งเหี่ยวเร็ว ไม่เปล่งปลั่ง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ (ในกรณีที่ป่วย) หรือเลือกกินอาหารที่ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างกลูต้าไธโอนได้ดีขึ้น ได้แก่ ปลา เนื้อหมู เนื้อวัว นม ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม มะเขือเทศ และผลไม้ เช่น แตงโม สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น อะโวคาโด

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:05
อันตรายจากการฉีดสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย

ใน ปัจจุบันจะพบว่าคนหนุ่มสาวในวัยทำงานมีความสนใจในส่วนต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น  ทั้งผิวพรรณใบหน้ารูปร่าง    มีการผ่าตัดเพื่อเสริมเติมแต่งส่วนที่ขาดส่วนที่บกพร่อง ให้ดูดียิ่งขึ้น  และมีการแก้ไขส่วนที่ไม่พึงพอใจในร่างกาย ด้วยการฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด เพื่อแก้ไขริ้วรอย   โดยสารที่ฉีดที่ได้มาตรฐานจะไม่มีปฏิกิริยาต่อร่างกาย  ไม่แพ้  ไม่เป็นสารก่อมะเร็ง  สาร เหล่านี้ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ที่ได้รับการฝึกฝนมาโดยเฉพาะ และจะต้องฉีดด้วยความระมัดระวังเนื่องจาก อาจจะมีผลข้างเคียงจากการฉีดเกิด ขึ้นได้  และยังมีสารอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่สมควรที่จะฉีดเข้าสู่ร่างกาย เนื่องจากมีผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมามากมาย  แต่ก็มีการนำมีฉีดโดยบุคคลที่แอบอ้างว่าเป็นแพทย์   ในที่นี้จะกล่าวถึงสารกลุ่มที่สามารถฉีดเข้าสู่ร่างกายก่อนและในตอนท้ายจะ กล่าวถึงกลุ่มที่ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย

กลุ่มที่สามารถฉีดเข้าสู่ร่างกายได้มีดังนี้
1.        ฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาด  เช่นแก้มตอบ มีร่องแก้ม เบ้าตาโบ๋ลึก เป็นต้น   การฉีดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดนั้น สามารถใช้ไขมันของร่างกายตัวเองโดยแพทย์จะ ดูดไขมันจากหน้าท้อง จากสะโพกหรือต้นขาในจำนวนที่เหมาะสม แล้วนำมาฉีดเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการแก้ไข ก็จะสามารถทำให้แก้มที่ตอบดูเต็ม ขึ้น ร่องแก้มตื้นขึ้น ส่วนบริเวณเบ้าตาคงจะต้องฉีดด้วยความระมัดระวัง ข้อดีของการใช้ไขมันของตัวเองนั้นไขมัน จะอยู่ในร่างกายอย่างถาวรแต่อาจจะถูก ดูดซึมไปบ้างหลังฉีด  ข้อเสียคือต้องมีขั้นตอนของการดูดไขมันเพิ่มขึ้น
2.        ฉีดเพื่อลดรอยร่องลึกบนใบหน้า เช่นรอยร่องบริเวณหัวคิ้ว ร่องแก้ม ร่องรอบริมฝีปาก แผลเป็นที่เป็นหลุมลึก  และยังใช้ฉีดใช้ริมฝีปากให้อูมอิ่มขึ้นอีกด้วย ที่นิยมใช้ในปัจจุบันเป็นสารที่สังเคราะห์ขึ้นคือ  ไฮยารูโลนิกแอซิดที่เรียกสั้นๆ ว่า เอชเอ โดยทั่วไปเป็นสารที่เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของผิวหนัง น้ำในข้อ ของเหลวในดวงตาอยู่แล้ว   ข้อดีคือโอกาสแพ้สารชนิดนี้น้อยมาก ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก  และไม่ต้องทดสอบก่อนฉีด  แต่ข้อเสียคือฉีดแล้วอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน รอยร่องต่างๆ ก็จะกลับเป็นขึ้นเหมือนก่อนฉีด และราคาค่อนข้างแพง  อีกชนิดหนึ่งที่เคยเป็นที่นิยมคือ คอลลาเจน  แต่ปัจจุบันใช้ลดน้อยลงคุณสมบัติโดยทั่วไปคล้ายๆ กับเอชเอ แต่ก่อนใช้ต้องทดสอบก่อนว่าแพ้หรือไม่
3.        ฉีด เพื่อลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์บนใบหน้าเช่นรอยตีนกา รอยย่นบนหน้าผาก และรอยย่นระหว่างคิ้วที่เกิดจากการขมวดคิ้ว ร่องรอยเหล่านี้สามารถใช้สารที่สกัดจากแบคทีเรียที่เรียกว่าโบทูลินั่มทอกซิ น โดยที่สารชนิดนี้สามารถยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อ  จะเห็นว่าถ้าต้องการให้กล้ามเนื้อในตำแหน่งใดหยุดทำงาน ก็เพียงฉีดสารชนิดนี้เข้าไปที่กล้ามเนื้อนั้นๆ   เช่น ต้องการให้รอยตีนกาหายไปก็จะฉีดเข้าบริเวณดังกล่าว หลังจากฉีดแล้ว 1-2 วันรอยตีนกาก็จะลดน้อยลงเนื่องจากกล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้  แต่ ก็เป็นการหยุดทำงานชั่วคราวเท่านั้น หลังจากนั้น 4-6 เดือนเมื่อหมดฤทธิ์ของสารสกัดดังกล่าวรอยตีนกาก็จะกลับมาเหมือนเดิม ถ้าต้องการให้ริ้วรอยหายไปอีกก็ต้องฉีดซ้ำ  ข้อเสียคือริ้วรอยหายชั่วคราวไม่ถาวร  สิ้นเปลือง  และ หากขาดความชำนาญในการฉีดสารสกัดดังกล่าว อาจจะไหลไปในตำแหน่งไม่พึงประสงค์ก็ จะทำให้มีผลต่อกล้ามเนื้ออื่นๆใกล้เคียง เช่นไหลเข้าที่เปลือกตาบนทำให้หนังตาตก  ไหลเข้ากล้ามเนื้อตาทำให้ตาดก  แต่อาการแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถหายได้หลัง 4-6 เดือนเมื่อหมดฤทธิ์ยา
4.        ฉีดเพื่อลดขนาด เช่นกรามใหญ่ น่องโต ปกติแล้วภาวะดังกล่าวสามารถแก้ไขได้โดยการผ่าตัด  แต่ปัจจุบันยังมีการใช้โบทูลินั่มทอกซินในการลดขนาดของกล้ามเนื้อ  กรามที่ใหญ่กางออกการฉีดกล้ามเนื้อที่บริเวณมุมกรามจะทำให้กล้ามเนื้อลดขนาด ลงกรามจะดูเรียวขึ้น  กล้ามเนื้อน่องก็เช่นกันสามารถฉีดแล้วทำให้น่องเล็กลงได้  แต่ข้อเสียคือราคาค่อนข้างแพง หลังฉีดกรามอาจทำให้เคี้ยวอาหารที่แข็งลำบากขึ้น  ต้องฉีดทุกๆ 4-6 เดือนและหลายครั้ง เมื่อหยุดฉีดแล้วระยะเวลาหนึ่ง กล้ามเนื้อดังกล่าวอาจกลับมาโตเหมือนเดิม


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:06
กลุ่มที่ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย

สารสังเคราะห์กลุ่มนี้เป็นสารที่ไม่ได้มาตรฐาน ได้แก่ซิลิโคนเหลว พาราฟิน น้ำมันมะกอก เป็นต้น สารเหล่านี้ไม่ควรฉีดเข้าสู่ร่างกายเนื่องจาก พบว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ประชาชนมานานนับสิบปี   นอกจากบุคคลทั่วไปแล้วยังมีนักแสดงนักร้องมีปัญหาจากการฉีด  สื่อต่างๆ ทั้งวิทยุโทรทัศน์ได้นำเสนอถึงอันตรายที่เกิดขึ้น ทางสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทยก็ได้ประชาสัมพันธ์ถึงผลเสียต่างๆ  แต่ปัญหาก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ตาม กฎหมายนั้นบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่แพทย์ ไม่สามารถฉีดสารใดก็ตามเข้าสู่ร่างกาย ผู้อื่น และการทำการรักษาพยาบาลต้องทำในสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณะสุขเท่านั้น  โดยจะมีบุคคลที่อ้างตัวเป็นแพทย์นำสารดังกล่าวโดยเฉพาะซิลิโคนเหลว   หลอกประชาชนว่าเป็นไขมันเทียมบ้าง คอลลาเจนบ้าง ฉีดเพื่อให้จมูกโด่งขึ้น  คางยาวขึ้น  แก้มอูมขึ้น  ฉีดหน้าอก สะโพก ตามแต่อยากจะให้ส่วนใดอูมใหญ่ขึ้น    โดยที่ซิลิโคนเหลวมีราคาถูกและอยู่ถาวร แต่มีภาวะแทรกซ้อนมากมายตั้งแต่อักเสบเป็นๆ หายๆ   ไหลย้อยไปสู่ตำแหน่งอื่น บริเวณที่ฉีดดูอูมบวมแข็งเป็นไต  ทำให้หน้าตาดูประหลาดผิดธรรมชาติ   เมื่อมีปัญหาคนไข้ก็จะมาพบแพทย์เพื่อให้แก้ไข  บาง คนเข้าใจผิดนึกว่าสามารถดูดออกได้ ความจริงแล้วสารดังกล่าวไม่สามารถดูดออกได้ และการผ่าตัดยังไม่สามารถเอาส่วน ที่ฉีดออกมาได้หมดเลยอีกทั้งยังต้องตัดเอาเนื้อเยื่อที่ดีของคนไข้ที่มีสาร แปลกปลอมแทรกอยู่ออกมาอีกด้วย  เช่นหากสารเหล่านี้อยู่บริเวณแก้มบริเวณขมับที่มีเส้นประสาทอยู่  การผ่าตัดอาจทำอันตรายต่อเส้นประสาททำให้ปากเบี้ยว  ยักคิ้วไม่ขึ้น  มีบางคนได้รับการฉีดเพื่อให้หน้าอกโตขึ้นผลคือหน้าอกแข็งเป็นก้อน  บางรายแตกเป็นแผลเรื้อรัง เป็นที่น่าเสียดายที่ทำให้การผ่าตัดรักษาต้องตัดเนื้อหน้าอกทิ้ง  และยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าอกอีก
นอกจากนั้นยังมีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ชายที่นำพาราฟินเหลว  น้ำมันมะกอก  มาฉีดเข้าบริเวณอวัยวะเพศเพื่อเพิ่มขนาด  หาก มีความรู้และมีสติคงจะไม่ทำการกระทำดังกล่าวเนื่องจากว่าสารดังกล่าวเป็นสาร แปลกปลอมที่ร่างกาย ะมีปฏิกิริยาต่อต้านไม่รับสารเหล่านั้นอย่างแน่นอน  หากฉีดสารดังกล่าวเข้าจะมีการอักเสบแข็งเป็นไต เจ็บปวด แตกเป็นแผลเรื้อรังในอนาคต  และสุดท้ายแล้วอวัยวะส่วนนี้ของร่างการจะไม่สามารถทำงานได้ปกติ  ต้องมาพบศัลยแพทย์ให้ผ่าตัดรักษา        ซึ่งแม้จะผ่าตัดรักษาให้แล้วรูปร่างและการทำงานก็ไม่สามารถกลับเป็นปกติ เหมือนเดิม

จะเห็นได้ว่าสารสังเคราะห์ที่จะฉีดเข้าสู่ร่างกายนั้น มีทั้งที่สามารถฉีดเข้า สู่ร่างกายได้ และไม่สมควรฉีดเข้าสู่ร่างกาย ได้ทราบถึงข้อดีข้อเสียของสารแต่ละชนิด  ดังนั้นหากคิดจะฉีดเพื่อแก้ไขส่วนใดก็ตามทางที่ดีที่สุดควรจะปรึกษาแพทย์  และ ต้องฉีดด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นถึงจะปลอดภัย ไม่ควรไปรับการฉีดจากบุคคลที่ไม่ใช่แพทย์ในสถานที่ที่ไม่ใช่คลินิกหรือโรงพยาบาล เพราะอาจจะทำให้เกิดข้อภาวะแทรกซ้อน ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อร่างกายและจิตใจ

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:18
AHA กับ BHA
AHA (Alpha Hydroxy Acid)
     AHA คือสารสกัดจากธรรมชาติที่ได้จากผลไม้นนาชนิด รวมไปถึงนมเปรี้ยว ผลไม้ที่นำมาสกัดได้แก่ มะนาว สับปะรด แอปเปิล มะเขือเทศ มะขาม องุ่น อ้อย ฯลฯ ซึ่งเป็นสารสกัดที่มีความปลอดภัยสูงเพราะได้มาจากธรรมชาติล้วนๆ
     AHA เรียกอีอย่างว่ากรดผลไม้ก็ได้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการผลัดผิวใหม่ให้ผิวแลดูสดใสเปล่งปลั่ง ช่วยสร้างอีลาสตินและคอลาเจนให้ผิวดูเรียบเนียน ไร้ริวรอย และมีความนุ่มยิ่งขึ้น และยังช่วยลดจุดด่างดำได้อีกด้วย
     AHA ที่ใช้ในเครื่องสำอางค์บำรุงผิวจะทำงานได้ดีเมื่อมีค่า ph อยู่ที่ 1-2 และมีความเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 5% ยิ่งค่า AHA สูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องระวัง เพราะจะทำให้ผิวที่ได้รับ AHA นั้นมีความไวต่อแส
มากกว่าเดิมและอาจทำให้เกิดความระคายเคืองได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มี AHA ควรเลือกที่มีค่า ph อยู่ระหว่าง 3-5 และมีในเครื่องสำอางค์สำหรับผิวหน้า 3-10 % ก็เพียงพอแล้ว
BHA(Beta Hydroxy Acid)
     BHA เป็นสารสังเคราะห์จากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็มีบางส่วนที่สกัดจากพืชเช่นกัน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากรดซาลิไซลิก สามารถซึบซาบเข้าไปในผิวได้ลึกกว่า AHA จึงทำให้ผิวหนังหลุดลอกเพิ่มขึ้น โดยไม่ทำอันตรายต่อเกราะป้องกันผิวแต่ BHA จะละลายได้ดีในไขมันและซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึก ๆ ได้มากกว่า
ค่า ph ของ BHA ที่เหมาะสมสำหรับหารบำรุงผิวพรรณจะอยู่ที่ประมาณ 2.8 และควรอยู่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ เพียงแค่ 1-1.5 % ก็เพียงพอ
ทำความเข้าใจกับการผลัดเซลล์ผิว
AHA กับ BHA

เป็นวิธีการเบื้องต้นในการผลัดเซลล์ผิวจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็น alpha hydroxy acid (AHA) หรือ beta hydroxy acid (BHA) ซึ่งตัวหลังนี้มีอยู่ชนิดเดียวเท่านั้นคือ Salicylic acid ในขณะที่ AHA มีค่อนข้างหลากหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น Glycolic, Lactic, Malic, Citric, Mandelic และ Tartaric
สิ่งที่ AHA และ BHA ทำ หน้าที่เหมือนกันก็คือ ทำให้เซลล์ผิวเก่าที่อยู่ชั้นนอกสุดของผิวแยกออกจากการเกาะตัวกันแล้วหลุด ออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่มีสุขภาพดีกว่าได้ขึ้นมาอยู่ที่ชั้นบนสุดแทน การขจัดเซลล์ผิวเก่าออกไปได้นั้นจะทำให้สภาพผิวแลดูดีขึ้นทั้งโครงสร้างและ สีผิว ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน ช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมลงผิวได้ดียิ่งขึ้น ทั้ง AHA และ BHA นั้นก็ทำงานโดยให้ผลกับผิวชั้น นอกสุด ในคนที่ผิวถูกแสงแดดทำลายจะทำให้ผิวชั้นนอกสุดหนามากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการปกป้องผิวจากแสงแดดตามธรรมชาติ ทำให้ผิวแลดูหมองคล้ำ หยาบกร้าน ไม่เรียบ
เนื่องจาก AHA และ BHA ทำ งานโดยกระบวนการทางเคมี ดังนั้นจึงทำให้การซึมลงผิวและผลที่ได้ดีกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ขัดผิว ที่เพียงแค่เปิดผิวและรูขุมขนเท่านั้น และการใช้ AHA หรือ BHA ก็ไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงใด ๆ กับผิว โดยเทคนิคแล้วการทำงานของ AHA และ BHA จะ ลงไปที่ผิวจนถึงจุดหนึ่งของระยะเวลาที่เพียงแค่ลอกเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือเซลล์ผิวที่ถูกทำลายให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ได้เผยออกมาได้แทน ดังนั้นจึงจะเห็นว่าการผลัดเซลล์ผิวด้วยวิธีนี้จะต้องมีเรื่องระยะเวลาที่ เหมาะสมในการทิ้งให้ออกฤทธิ์บนผิวหน้า ผลที่ได้จากกการใช้วิธีนี้ในครั้งแรก ๆ (เมื่อผิวเก่าที่เคยสะสมไว้ ผิวหยาบกร้าน สีผิวไม่สม่ำเสมอ ได้ถูกลอกออกไป) จะรู้สึกว่าผิวดีขึ้นชัดเจนกว่าการใช้อย่างต่อเนื่อง (เพราะการใช้ต่อเนื่องต้องใช้ในความเข้มข้นต่ำ  ค่อย ๆ ผลัดทุกวัน จึงไม่เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเท่ากับการใช้ความเข้มข้นสูง แล้วนาน ๆ ทำครั้ง) และหลังจากการลอกเซลล์เก่าออกไปแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ BHA เพื่อคงความสดใส เนียนเรียบของผิวให้ยาวนานขึ้นไปเรื่อย ๆเป็นประจำทุกวัน
ข้อแตกต่างที่สำคัญมากระหว่าง AHA และ BHA คือ AHA ละลายในน้ำ ส่วน BHA นั้นละลายในน้ำมัน คุณสมบัติที่โดดเด่นเช่นนี้ของ BHA จึง ทำให้สามารถซึมเข้าไปได้ในรูขุมขนซึ่งมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ จึงสามารถผลัดลอกเซลล์ผิวเก่าที่สะสมอยู่ในรูขุมขนที่อาจทำให้อุดตันหลุดออก ไปได้ BHA จะให้ผลดีเมื่อใช้ในบริเวณที่มีสิวอุดตันแบบหัวดำหรือผิวสีหมองคล้ำ ส่วน AHA ก็จะเหมาะสำหรับผิวที่ถูกแสงแดดทำลาย, ผิวหยาบกร้านหนา, ผิวแห้ง และต้องไม่เป็นสิวอักเสบ



โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:19
BHA (Beta hydroxy acid : Salicylic Acid)

-เป็น ผลงานการค้นคว้าวิจัยของนายแพทย์ อัลเบิร์ต คลิกแมน  ศาสตราจารย์ด้านโรงผิวหนังแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา และคณะวิจัยของบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชั้นนำแห่งหนึ่งของโลก

BHA เป็นสารที่วงการแพทย์ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ มานานกว่า 100 ปี เช่น สิว รังแค หูด ตาปลา เชื้อรา หรือผิวแห้งพันธุกรรม ฯลฯ นับเป็นสารที่แพทย์ผิวหนังคุ้นเคยเป็นอย่างดี

การใช้ BHA กับผิวหน้า ใช้ได้ 2 รูปแบบ คือ
1. BHA สำหรับบุคคลทั่วไป ( ความเข้มข้น 2 - 5%)
- เป็นซาลิซิลิกในความเข้มข้นที่ไม่สูงมาก มีค่าความเป็นกรด-ด่างที่พอเหมาะ
- ใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า
- ช่วยผลัดเซลล์ผิวทั้งบนพื้นผิว และในรูขุมขนที่อุดตัน ผิวจึงสดใส เนียนเรียบขึ้น รูขุมขนอุดตันน้อยลง
- ไม่ค่อยก่อให้เกิดอาการระคายเคืองถ้าใช้ในความเข้มข้นที่ไม่สูงมาก เพราะออกฤทธิ์กับผิวชั้นนอก และใช้ได้ผลดีแม้ใช้ในความเข้มข้นที่ต่ำ จึงสามารถใช้ได้เองเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง

2. BHA ในความเข้มข้นสูง ใช้สำหรับแพทย์ ( ความเข้มข้น 10 - 20%)
- แพทย์ผิวหนังใช้ในการลอกผิวให้คนไข้
- มีประสิทธิภาพสูงในการผลัดผิวทั้งที่พื้นผิว และในรูขุมขนที่อุดตัน
- อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองบ้าง
- แพทย์ใช้ลอกหน้า รักษาสิว และแผลเป็นจากสิว
- ใช้เพื่อการกัดลอก หูด ตาปลา

สรุปว่า  BHA หรือกรดซาลิซิลิก  มีประโยชน์หลายประการ

สำหรับแพทย์ - ใช้เป็นยารักษาโรคหลายชนิดอาจใช้ในความเข้มข้นสูงเพื่อลอกผิว

สำหรับบุคคลทั่วไป - ใช้เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าในรูปของ BHA เพื่อความผ่องใสอ่อนเยาว์ของผิว

สำหรับคนที่เป็นสิวอักเสบ อยู่การใช้ glycolic acid (AHA)จะไปเป็นการเร่งให้มันอักเสบมากขึ้น การใช้ BHA salicylic acid เป็นทางเลือกที่ดีสามารถ handle สิวได้ดีกว่า glycolic acid  แล้วก็ เหมาะกับคนผิวบอบบาง ด้วย

Salicylic acid (BHA) เป็นสารละลายได้ดีในน้ำมัน  oil-soluble ช่วยให้มัน
สามารถซึมเข้าไปที่รูขุมขนทึ่อุดตันได้ด้วย ทำให้มันทำงานได้ดีกว่า

ปัญหา คือว่า salicylic acid ที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด ตามห้าง และร้านขายยา  จะมี salicylic acid ไม่เกิน 2% จะให้มัน effective มันต้องเข้มข้นเหมือนกับ glycolic acid คือ 8-20%  ทำให้ใช้แล้วต้องใช้เวลานาน ดูเหมือนไม่ประสิทธิภาพในการผลัดผิวเท่ากับ glycolic acid (8-15%) ที่หาซื้อได้ตามท้องตลาด

ในการน้ำยาผลัดเซล ผิวหนัง Exfoliating serum ทั้ง AHA/BHA อาจมีลักษณะผิวลอก หรือ อาการระคายเคืองเป็นเรื่องปกติ (ถ้ามันแสบยุบยิบชั่วคราว)  และกระบวนการ turnover ของผิว อย่างต่ำ 30-40 วัน ผิวใหม่ถึงจะขึ้นมาอยู่ด้านบนสุด ดังนั้นใจเย็นๆ อดทน ให้เวลากว่าอาการหมองคล้ำ หรือริ้วรอยจะจาง

นอกจากนี้ถ้าซากผิวชั้นบนสุดที่ตายแล้วถูกผลัดออกไปอย่างสม่ำเสมอ ขนก็งอกออกมาตามปกติ ปัญหาสิวอุดตันก็ไม่เกิดขึ้นด้วย

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:21
Ratin A   อาจเป็นยาวิเศษที่ทำให้คนหน้าใส ถ้าใช้เป็น  (เพื่อนใช้เกือบทุกคน ผิวเนียนกิ๊กเลย)
อาจทำให้หน้าไหม้ ถ้าใช้ไม่เป็น

วิธีใช้ยาตัวนี้นั้นเราขอแนะนำให้ใช้เฉพาะ เวลากลางคืนนะค่ะ
       เริ่มจากการล้างหน้าให้สะอาด แล้วเอาผ้าขนหนูสะอาดๆซับหน้าให้แห้ง ซับแบบเบาๆนะค่ะ
อย่าเช็ดหน้ากันแบบรุนแรงมากเกินไปนะครับ เพราะจะเป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย
พอซับหน้าแห้งแล้วก็รออีกสักสิบนาทีให้ผิวหน้าเราแห้งสนิทจริงๆก่อนใช้ Retin-A นะค่ะ
เพราะถ้าหน้ายังชื้นๆอยู่เวลาทายาไปอาจจะทำให้ระคายเคืองมากขึ้นได้นะ
หลังจากนั้นก็บีบ Retin-A ออกจากหลอดสักขนาดเม็ดถั่วเขียวนะค่ะ
ไม่ต้องบีบยาออกมาเยอะมากเกินไป เพราะผิวหน้าคนเรานั้นมีความสามารถในการดูดซับยาได้เพียงแค่ระดับหนึ่งเท่านั้นเอง
ถ้าบีบมาเยอะมากเกินไปก็เปลืองยาเปล่าๆ แล้วก็อาจทำให้ผิวเราระคายเคืองได้มากขึ้นอีกด้วยต่างหาก
จากนั้นก็แต้มยานี้ไปที่สามจุด แก้ม หน้าผาก แล้วก็คาง จากนั้นจากนั้นให้ใช้ปลายนิ้วนางหรือปลายนิ้วก้อยเกลี่ยยาเบาๆให้ทั่วผิว หน้า
โดยเว้นบริเวณส่วนที่บองบางไว้เช่น ใต้ตา มุมปาก มุมจมูก ไม่ต้องไปทามันนะค่ะเดี๋ยวผิวจะลอกจนแสบเอาเปล่าๆ
วิธีดูว่าเราบีบยาออกมาเยอะเกินไปไหมก็ดูที่ว่า เมื่อเราทายาแล้วมันซึมไปหมดไหม ถ้าซึมไม่หมด มีคราบขาวๆเหลืออยู่
ก็แสดงว่าเราบีบยาออกมาเยอะเกินไปแล้วล่ะ แล้วก็ถ้าไม่เคยใช้เรตินเอมาก่อน
แนะนำว่า หลังทายาเสร็จแล้ว สักยี่สิบนาทีก็ให้ล้างออกด้วยน้ำ
แล้วก็เข้านอนไปเลย ยังไม่ต้องไปทาครีมอะไรเพิ่มเติม แต่ถ้าเคยใช้มาบ้างแล้ว
ผิวเริ่มปรับสภาพได้แล้ว ก็ให้ทาทิ้งไว้แล้วเข้านอนได้เลย
พอเช้ามาก็ล้างหน้าให้สะอาดกันอีกครั้งนะคะ แล้วคราวนี้ก็ลงมอย์เจอไรเซอร์กันได้เต็มที่เลย จากนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทาครีมกันแดด
เลือกสักเอสพีเอฟ 30 เลยก็ได้สำหรับแดดเมืองกรุง
แต่ถ้าใครไม่ค่อยได้เจอแดดก็เลือกสักเอสพีเอฟ 15 ก็ได้นะค่ะ แค่นี้ก็เป็นอันจบขั้นตอนการใช้เรตินเอแล้วค่ะ

ข้อควรระวังนะค่ะ

1. Retin-A มีความระคายเคืองสูง หน้าลอกกระหน่ำมากๆในช่วงที่ใช้ ดังนั้นไม่แนะนำให้ใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ประมาณว่า สามสี่เดือนก็ใช้สักอาทิตย์สองอาทิตย์ แล้วก็หยุดใช้แล้วอีกสามสี่เดือนค่อยใช้ใหม่แบบนี้จะดีกว่า โดยส่วนตัวหกเดือนถึงจะใช้สักสองอาทิตย์ค่ะ

2. ช่วงกลางคืนที่ทาเรตินเอ ไม่แนะนำให้ใช้ครีมอื่นร่วมด้วยเลย ถ้าจะใช้ครีมอื่นๆเช่นพวกมอยซ์เจอไรเซอร์ให้รอตอนเช้า ล้างหน้าเสร็จแล้วค่อยใช้ดีกว่านะค่ะ

3. ช่วงที่ใช้เรตินเอ ห้ามใช้ครีมใดๆที่มีฤทธิ์ลอกหน้าหรือผลัดเซลผิวเช่นพวก AHA ทั้งหลายเลยนะคะ รวมไปถึงครีมที่มี salisylic เป้นส่วยประกอบทุกชนิดด้วยค่ะ

4. ช่วงที่ใช้เรตินเอ งดใช้เครื่องสำอางค์ที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่นะครับ โดยเฉพาะพวกโทนเนอร์ทั้งหลายแหล่นี่งดไปเลยค่ะ

5. กันแดดเป็นมิตรกับความหน้าตาดีค่ะ อย่าลืมใช้กันแดดทุกวันก่อนออกจากบ้าน แล้วถ้าระหว่างวันเติมกันแดดได้ก็เติมหน่อย อาจจะไม่สะดวกทาครีมกันแดดเพิ่มก็ขอแนะนำให้เลือกใช้พวกแป้งตลับ หรือแป้งฝุ่นที่มีเอสพีเอฟตบเพิ่มระหว่างวันซํกหน่อยแล้วกันนะ โดยเฉพาะคนที่ทำงานหน้าจอคอมอ่ะ แม้ไม่ได้เจอแดดโดยตรง แต่รังสีจากหน้าจอก็ทำร้ายผิวหน้าได้นะค่ะ

6. ตรงไหนที่ผิวมีการอักเสบอยู่ เช่นเป็นหัวสิวบวมแดงเป่งอยู่ ห้ามทาเรตินเอนะค่ะ เพราะจะยิ่งทำให้บริเวณนั้นระคายเคืองมากขึ้น ให้ทาบริเวณนั้นด้วยยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่จะดีกว่า แล้วก็ไม่ต้องล้างหน้าบ่อยไปกว่าวันละสองครั้งนะค่ะ เพราะน้ำมันตามธรรมชาติมันจะสูญเสียมากเกินไป เดี๋ยวหน้าแห้งไปแล้วมันจะแย่เอานะ ผิวแห้งเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าผิวมันนะค่ะ

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:25
ความรู้ทั่วไป
ปัจจุบันนี้ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า มีเครื่องสำอางหลายชนิด ที่โฆษณาว่า มีส่วนผสมของ AHA ในความเข้มข้นที่มากบ้างน้อยบ้าง แตกต่างกันไป คงจะสร้างความงุนงงให้กับผู้ที่รักความสวยงามไม่มากก็น้อยว่า AHA นี้คืออะไรกันแน่แล้ว ดีอย่างไร ผู้คนถึงให้ความสนใจมากนัก
ที่จริงแล้ว AHA เป็นคำย่อมาจากคำว่า Alpha Hydroxy Acid หรือบางคนเรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า กรดผลไม้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว AHA นี้ไม่ใช่ของใหม่ เพราะผู้ที่รักสวยรักงามในสมัยก่อนเขาเริ่มรู้จักใช้กันมานานแล้ว
เราคงเคยได้ยินหรือได้รู้เกี่ยวกับ การที่สาวในสมัยโบราณ เอาผลไม้บางชนิด เช่น แตงกวา แอปเปิล สตอเบอรี่ มาฝานเป็นแผ่นๆ แล้ววางบนหน้า แล้วทำให้หน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง ซึ่งในผลไม้เหล่านี้ มีสารบางอย่าง ที่เชื่อว่าสามารถทำให้ผิวหนังดูสดใสขึ้นได้ ซึ่งก็คือ AHA นี้เอง แต่ในบางครั้งพบว่า ในผลไม้บางอย่างอาจมีสารที่อาจจะระคายต่อผิวหนังโดยตรง หรือบางครั้งสารในผลไม้นั้นเมื่อถูกแสงแดดอาจเปลี่ยนเป็นสาร ที่ระคายต่อผิวหนังได้ ฉะนั้นในปัจจุบันจึงมีการสกัดสาร AHA มาใช้โดยตรง เพื่อความสะดวกในการใช้ และลดปัญหาเรื่องสารที่ระคายต่อผิว
      AHA มีอยู่ในผลไม้หลายชนิดไม่ว่าจะเป็นอ้อย(Giycolic), แอปเปิล(Malic), องุ่น(Tarmaric)หรือในนมเปรี้ยว(LActic) แต่ AHA ที่มีโมเลกุลเล็กและเชื่อว่า สามารถแทรกซึมลงสู่ชั้นผิวหนังได้ง่ายที่สุดคือ Glycolic acid ซึ่ง AHA นี้จะไปมีผลลดแรงยึดเหนี่ยวของเซลล์ในชั้นบนของหนังกำพร้า ซึ่งเป็นเซลล์ที่ตายแล้วมีการทับถมกันของเซลล์ ให้หลุดออกไปง่ายขึ้น และขณะเดียวกันก็สามารถกระตุ้นให้สร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ๆ ที่แข็งแรงกว่าแทนที่ อีกทั้งยังเชื่อว่า AHA ในความเข้มข้นที่พอเหมาะ จะสามารถกระตุ้นให้สร้างสารในชั้นหนัง แท้ได้ โดยรวมแล้ว ผลที่จะได้คือ ทำให้ผิวดูสดใสขึ้น เนียนขึ้น ผิวหนังมีความยืดหยุ่น แข็งแรงมากขึ้น ริ้วรอยตื้นๆ แลดูลดลง ซึ่งจริงๆ แล้วในวงการแพทย์เราใช้ AHA ในความเข้มข้นที่สูง เพื่อใช้ในการรักษาโรคทางผิวหนังบางอย่าง เช่น หูด ติ่งเนื้อ เป็นต้น
      ในปัจจุบันนี้ได้มีการนำเอา  AHA ในความเข้มข้นที่ต่ำๆ มาผสมในเครื่องสำอาง หลายชนิด เป็นที่นิยมใช้กันแต่ยังไงก็แล้วแต่ AHA ถึงแม้จะมีประโยชน์ แต่ก็ต้องรู้จักวิธีใช้ เพราะในคนที่ผิวแห้งหรือมีผื่นผิวหนังอักเสบบางอย่าง อาจเกิดระคายต่อผิวหนังเป็นผื่นแดงคันได้ ฉะนั้น ถ้าจะให้ดี ควรจะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังก่อนใช้เพื่อความปลอดภัย  
ประเภทของกรดผลไม้ในปัจจุบัน
กรดผลไม้ (Hydroxy Acid) ได้มีการพูดถึงกันอย่างแพร่หลาย โดยได้นำกรดผลไม้มาใช้ในการช่วยเพิ่มหรือเร่งอัตราการหลุดลอกของเซลล์ผิวหนังชั้นนอก เพื่อแก้ไขปัญหาผิวหน้าหยาบกร้าน รอยดำ ฝ้า ริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือรอยหลุม โดยอาจจะผสมในครีม ด้วยความเข้มข้นแตกต่างกัน หรือแพทย์ผิวหนังได้นำมาใช้ในการทำ Peeling เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาผิวพรรณมากขึ้น นอกจากจะใช้ทาเพียงอย่างเดียว

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:26
กรดผลไม้ในปัจจุบันมีหลายชนิดจำแนกในปัจจุบันได้ดังนี้  
1. AHA (Alpha-hydroxy acid)
คงเคยได้ยินกันบ่อยๆ  นะค่ะ เป็นกรดผลไม้ชนิดแรก  ที่นำมาใช้ในการรักษาปัญหาผิวพรรณ  โดยมีความเข้มข้นแตกต่างกันใน การใช้ประโยชน์  โดยมากในเคาน์เตอร์ความงาม จะพบเห็นแพร่หลาย ในส่วนประกอบของครีมบำรุง โดยมักจะผสมในความเข้มข้น ไม่เกิน 10 % การที่จะผสมให้ความเข้นข้นสูงกว่านี้จะถือว่าเป็นยาดังนั้นจะพบได้เฉพาะในคลินิกผิวหนังเท่า นั้น นอกจากนี้ ประสิทธิภาพของ AHAs ยังขึ้นอยู่กับค่า pH (ความเป็นกรดด่าง) โดยถ้ายิ่ง pH ต่ำจะมีประสิทธิภาพดีกว่า pH สูงแต่ก็ระคายเคืองผิวหนังมากกว่า และไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวแพ้ง่าย
2. BHA (Beta-hydroxy acid)
เป็นกรดผลไม้อีกชนิดหนึ่ง  ที่ออกมาสู่ท้องตลาด ในเวลาไม่กี่ ปีมานี้  BHA เป็นสารพวก organic aromatic compound ซึ่งมี hydroxy group ที่ beta position (ขณะที่ AHA มีที่ alpha positions) ซึ่งสารตัวนี้ จะละลายในไขมันจึงซึมแทรกลงไปในรูขุมขนได้ดี ทำให้บางคนอนุมานว่าจะดีกว่า AHAs ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ต้องอยู่ที่จุดประสงค์ในการใช้แก้ปัญหา คือ AHA จะเหมาะกับการทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นนอกหลุดลอกได้ดี หลังใช้ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น ริ้วรอยแลดูลดลงผิวหน้านุ่มขึ้น แต่ BHA จะเหมาะกับการรักษาผิวหน้าที่ลึกกว่า ใช้แก้ปัญหาการหลุดลอกของสิวอุดตัน สิวเสี้ยน และกระชับรูขุมขน เพราะ BHA สามารถลอกผิวหนังบริเวณที่มีต่อมไขมันมากได้ดีกว่า AHA โดยเฉพาะบริเวณปลายจมูก นอกจากนี้ จากการทดลอง พบว่า BHA ไม่ทำให้เกิดการสูญเสียเกราะป้องกันของผิวหนัง (Transepidermal waterloss)จึงใช้ได้ในคนที่ผิวแพ้ง่าย  
3. CHA (Combined hydroxy acid)
เป็นการผสมผสานของกรดผลไม้หลายชนิดแต่ไม่นิยมเพราะเตรียมยาก  

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:26
4. PHA (Poly-hydroxy acid)
  จะเป็นกรดผลไม้ตัวล่าสุด โดยคาดกันว่า PHA ผลิตขึ้นเพื่อจะมาแทนที่ AHA ในอนาคต โดยมีการปรับให้มีโมเลกุลใหญ่ ทำให้ดูดซึมเข้าไปในผิวหนังลดลง จึงไม่ระคายเคืองผิว และใช้ได้กับคนที่ผิวแพ้ง่าย โดยมีแนวโน้มในการใช้ลอกผิวหนังได้โดยไม่จำเป็นต้องทำลายเกราะ ป้องกันผิวพรรณ ดังนั้นPHA อาจจะเป็นของใหม่ ในศตวรรษนี้ ที่จะกล่าวถึงกันมาก แต่ในปัจจุบันทั้ง AHA, BHA ก็ยังมีประโยชน์ต่อการรักษาทั้งสองตัว
5. AFA (Amino Fruit Acids)
เป็นสาร ใหม่  เป็นกรดผลไม้ชนิดหนึ่ง  ที่มีโครงสร้างคล้าย AHA แต่ AFA มีกลุ่มไอออนถึง 3 กลุ่ม ที่จะคอยทำลายอนุมูลอิสระ ในขณะที่ AHA มีกลุ่มไอออนเพียง 1 กลุ่ม ซึ่งหมายความว่า AFA จะสามารถทำหน้าที่ เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากกว่า นั่นแสดงว่า สารนี้จะชะลอการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ดีกว่าด้วย นอกจากนี้ โครงสร้างของ AFA จะมีหมู่กรดอะมิโนอยู่ด้วย ซึ่งเป็นสารสำคัญในการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว
วิธีเลือกเครื่องสำอางผสมกรดผลไม้
เมื่อเลือกซื้อเครื่องสำอางประเภท  AHA และ BHA ผู้บริโภคต้องทราบ 2 เรื่องนี้ เรื่องแรกคือ ความเข้มข้นของตัวกรดและเรื่องที่ 2 คือ ค่ากรดด่าง (pH) ของผลิตภัณฑ์นั้น
เครื่องสำอาง AHA ส่วนใหญ่มีความเข้มข้นของกรด AHAตั้งแต่ร้อยละ 1-15 ความเข้มข้นของ AHA ที่ต่ำที่สุดที่ทำให้ผิวลอกได้ คือร้อยละ 4 ถ้าความเข้มข้นสูงถึงร้อยละ 8-15 ผิวจะลอกมาก และอาจทำให้ผิวระคายเคือง
สำหรับค่าความเป็นกรดด่างนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่าความเป็นกรดด่างระหว่าง 3-5 ถ้าค่าต่ำกว่านี้ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นกรดมากและทำให้ระคาย เคืองสูง ถ้าค่า pH สูง ผลิตภัณฑ์จะมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำให้ผิวไม่ลอก คือใช้แล้วก็ไม่ได้ผลนั่นเอง ก่อนซื้อควรดูฉลาก เพื่อตรวจสอบส่วนผสม ถ้าพบว่าชื่อของ AHA เป็นส่วนผสมที่อยู่ท้ายๆ ของรายชื่อสารเคมีทั้งหมด อาจแสดงว่าผลิตภัณฑ์ยี่ห้อนั้นมีส่วนผสมของ AHA น้อยเกินไปจนไม่ออกฤทธิ์ ในทางตรงข้าม ถ้าชื่อของ AHA ปรากฏเป็นอันดับแรกของรายชื่อ ก็แสดงว่าอาจมี AHA สูงเกินไป จึงควรปลอดภัยไว้ก่อนด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อ AHA เป็นลำดับรองหรือกลางบัญชีรายชื่อ ถ้าผลิตภัณฑ์ใดมีส่วนผสมของทั้ง AHA และ BHA ก็ต้องแน่ใจว่าทั้ง 2 นี้ไม่ได้มีความเข้มข้นมาก ด้วยกันทั้งคู่ เพราะจะยิ่งเสริมฤทธิ์ทำให้ผิวระคายเคืองมาก เนื่องจากกรดผลไม้ทำให้ผิวลอก และระคายเคืองได้ง่าย จึงต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่มากเพราะจะยิ่งทำให้ ผิวระคายเคือง ควรเลือกซื้อกระปุกที่เล็กที่สุดมาลองใช้ดูก่อน ถ้าเป็นไปได้ลองเตรียม กระปุกสะอาดไปเองและขอแบ่งผลิตภัณฑ์มาลองใช้ดูก่อน ขั้นแรกอาจลองทาดู ที่ท้องแขนสัก 1 สัปดาห์ ถ้าผิวไม่แดงไม่ลอกจึงค่อยลองใช้กับใบหน้า
เมื่อเริ่มใช้เครื่องสำอางกลุ่มนี้ ต้องจำไว้ว่าผิวจะลอกและระคายเคืองง่ายอยู่แล้ว จึงต้องงดเว้นการใช้สบู่ที่ผสมเม็ดขัดถูใบหน้า งดการใช้ผ้าขนหนู ฟองน้ำ ใยบวบ หรือสิ่งใดๆ ก็ตามมาขัดถูใบหน้า  
      ธรรมชาติของผิวจะต้องมีการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมแล้วให้หลุดไป โดยทั่วไปทุก 28 วัน จะต้องผลัดเซลล์แต่เมื่ออายุมากขึ้นการทำงานดังกล่าวเริ่มช้าลงทำให้ผิวหมอง คล้ำ ขาดความชุ่มชื้น ริ้วรอยตื้นๆเริ่มเกิดขึ้นหากปล่อยไว้นานจะกลายเป็นริ้วรอยลึก ซึ่งรักษาได้ยากมาก พร้อมปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำหากปล่อยไว้นานอาจเป็นปัญหาซึ่งยากจะแก้ไขดังนั้นจำเป็นต้องใช้ เครื่องสำอางที่มีผลช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวช่วยให้ผิวกลับมากระจ่างใส ดูมีน้ำมีนวลเหมือนเดิม

AHA ช่วยผิวคุณอย่างไร AHA เมื่อถูกทาลงบนผิวหนังจะถูกดูดซึมไปยังผิวหนังชั้นในสุด และไปทำลายแรงยึดเกาะระหว่างเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วในชั้น horny layer ลดการจับตัวกันของ corneocyte ในผิวหนังชั้น stratum corneum โดยรบกวนพันธะ ไอออนิค (ionic bond) ระหว่างเซลล์ จึงมีฤทธิ์เป็น mild keratolyticหรือ skin peeling ทำ ให้ผิวชั้นล่างปรากฏขึ้นมาใหม่ทำให้เซลล์เหล่านี้ลอกหลุดง่ายขึ้น ซึ่งผลให้เซลล์ชั้นล่างลงไปขึ้นมาแทนที่ เป็นผิวที่เรียบนุ่มนวล และอ่อนเยาว์กว่า เปลี่ยนแปลงกระบวนการสังเคราะห์glycosaminoglycan และ ground substance ใน ชั้นหนังแท้ทำให้ผิวอุ้มน้ำได้ดี มีความยืดหยุ่น และเซลล์ในชั้น hormy layer ที่เกาะติดกันแน่นไม่หลุดลอกออกซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ได้หลุดลอกออกแล้ว จึงช่วยให้เกิดสิวลดลงด้วย

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:30
ศัลยกรรม การดึงหน้า

การผ่าตัดดึงหน้าเป็นการผ่าตัดใหญ่ใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง มักนิยมผ่าตัดโดยใช้การดมยาสลบมากกว่าการฉีดยาชาเฉพาะที่ ดังนั้น ขั้นตอนในการเตรียมคนไข้ให้พร้อมก่อนการผ่าตัดเพื่อความปลอดภัยแก่คนไข้จึง มีความสำคัญมาก โดยทั่วไปแพทย์จะต้องตรวจดูความแข็งแรงของร่างกายเป็นพื้นฐานก่อนการผ่าตัด เรียกว่าคนไข้จะต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงพอสมควรจึงจะทำการผ่าตัดได้ สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่มีผลต่อการดมยาสลบควรแจ้งให้แพทย์ทราบ ก่อนเสมอ ส่วนบางท่านที่ทานยาบางชนิดอยู่เป็นประจำ เช่น ยากลุ่มแอสไพริน ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนบางชนิดเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะเพื่อรักษาภาวะหมดประจำเดือนหรือเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ฯลฯ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบด้วย เพราะปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการผ่าตัด และการสมานของแผลทั้งทางตรงและทางอ้อมหรือในรายที่สูบบุหรี่จัดก็ขอให้หยุด สูบทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดจนกว่าแผลจะหายสนิทแล้วเหล่านี้เป็นตัวอย่างของ การเตรียมคนไข้ก่อนผ่าตัด
- ขั้นตอนการผ่าตัดการดึงหน้า

เริ่มจากแพทย์จะเปิดแผลบริเวณเหนือหูขึ้นไปถึงบริเวณขมับ โดยผ่านผิวหนังหลังแนวผมเข้าไปตามขอบใบหูด้านหน้าและอาจจะเว้าขึ้นไปที่ติ่ง หน้ารูหูเล็กน้อย แล้วต่อลงมาที่ติ่งหูด้านล่างโค้งอ้อมติ่งหูไปทางด้านหลังหูตรงบริเวณซอก หลังใบหูขึ้นไป จากนั้นจึงลากผ่านเข้าไปในผมอีกทีเพื่อซ่อนแผลไว้ในแนวเส้นผมด้วยวิธีดัง กล่าวแผลที่โผล่มาให้เห็นจะอยู่ตรงบริเวณขอบหูด้านหน้าเท่านั้น ซึ่งเมื่อแผลหายสนิทแล้วก็มักจะมองไม่ค่อยเห็นชัดส่วนบริเวณอื่น ๆ จะถูกซ่อนเอาไว้อย่างดีตามแนวเส้นผม

จากนั้นแพทย์จะเปิดผิวหนังส่วนบนของใบหน้าหรือส่วนที่หย่อนยานขึ้น เมื่อเปิดได้กว้างเพียงพอแล้วก็จะเปิดยกผืนพังผืดและกล้ามเนื้อขึ้นอีกชั้น หนึ่งเพื่อจะได้ตึงเป็น 2 ชั้น (คือชั้นตื้นและชั้นลึก) โดยแพทย์จะเริ่มจัดการกับกล้ามเนื้อต่าง ๆ ที่มีผลต่อริ้วรอยของใบหน้า เช่น กล้ามเนื้อหางตา กล้ามเนื้อหน้าผาก หว่างคิ้ว กระทั่งกล้ามเนื้อที่คอด้านข้างแพทย์ก็จะจัดการเย็บขึงให้ตึงขึ้นแล้วเย็บ ติดกับส่วนที่แข็งแรงเพื่อตรึงเอาไว้เป็นแห่ง ๆ เมื่อเรียบร้อยแล้วแพทย์จึงจะดึงหนังส่วนบนให้ตึงและตัดหนังส่วนเกินที่ หย่อนออกไป แล้วเย็บผิวหนังปิดเข้ากับที่ใหม่ด้วยไหมเล็ก ๆ ให้แข็งแรงเป็นชั้น ๆ อีกทีก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ปัจจุบันมีการนำไหมเหล็กเหมือนลวดเย็บกระดาษมาใช้เย็บแผลในบางส่วน เช่น แผลที่ซ่อนอยู่ในผม ซึ่งช่วยทุ่นเวลาการผ่าตัดลงได้มากทีเดียวดังนั้นไม่ต้องตกใจหากตื่นขึ้นมา พบลวดเย็บแผลชนิดนี้เข้า

อีกอย่างหนึ่งหลังผ่าตัดแพทย์อาจจะใส่ท่อเล็ก ๆ สำหรับช่วยดูดเลือดที่บริเวณแผลผ่าตัด เพื่อป้องกันเลือดที่อาจจะค้าวคาหลังจากเย็บแผลเรียบร้อยแล้ว อันนี้ก็ไม่ต้องตกใจเช่นกันนะค่ะ ท่อนี้แพทย์จะเอาออกให้ในเวลาไม่นานนักอาจจะคาเอาไว้แค่วันสองวันเท่านั้น

- หลังการผ่าตัดการดึงหน้า

โดยทั่วไปก็มักจะไม่มีอาการผิดปกติอะไรอาจมีปวดแผลผ่าตัดบ้างแต่ก็ สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยยาแก้ปวดหรือการประคบเย็บที่ใบหน้า การประคบเย็นยังช่วยป้องกันอาการบวมที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผ่าตัดได้อีกด้วย (หากไม่มีปัญหาใด ๆ อาการบวม หรือฟกช้ำก็มักจะหายสนิทในเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ และรูปโฉมใหม่จะเริ่มเข้าที่ให้เห็นประมาณ 1 เดือนไปแล้ว) ส่วนไหมที่เย็บไว้รวมทั้งไหมเหล็กนั้นแพทย์มักจะถอดออกหลังผ่าตัดประมาณ 7-10 วัน

โดยปกติภายหลังการดึงหน้าความตึงของผิวหน้ามักจะอยู่ได้นานหลายปีเดียว แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคนไข้ด้วย ถ้าอยากชะลอความแก่ตามธรรมชาติที่จะมาเยือนอีกรอบให้นานออกไปควรหลีกเลี่ยง ปัจจัยบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่ การอยู่ท่ามกลางมลภาวะต่าง ๆ การตรากตรำกรำแดดเป็นประจำโดยไม่มีอะไรปกป้อง การถูนวดหน้ารุนแรงหรือผิวหนังขาดการบำรุง เป็นต้น นอกจากนั้นควรบำรุงสุขภาพโดยรวมด้วย เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ และคลายเครียดด้วยกิจกรรมต่าง ๆ

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:33
ศัลยกรรมโหนกแก้ม
เสริมโหนกแก้มเพิ่มความนูน

คนที่มีปัญหาโหนกแก้มแบนหรือเล็กเกินไปสามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดเสริม โหนกแก้ม หลักการก็คือแพทย์จะเสริมความนูนโหนกของปุ่มกระดูกโหนกแก้มให้มีมากขึ้นโดย ให้มีความกลมกลืนกับกระดูกโหนกแก้มเดิมมากที่สุด

วัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมโหนกแก้มีด้วยกัน 2 อย่าง คือ การเสริมด้วยกระดูกจริงซึ่งกระดูกที่นำมาใช้เลาะมาจากบางส่วนของร่างกาย เช่น กระดูกเชิงกราน กระดูกซี่โครง แต่วิธีนี้มีเงื่อนไขและข้อจำกัดหลายด้านโดยเฉพาะจะต้องมีแผลเป็นเพิ่มมาอีก ที่หนึ่ง และมักจะได้ความนูนของกระดูกโหนกแก้มไม่มากอย่างที่ต้องการ ดังนั้นความนิยมของวิธีนี้จึงน้อยลงไป

ส่วนอีกวิธีหนึ่ง เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนั่นคือ การเสริมด้วยแผ่นซิลิโคนหรือสารสังเคราะห์อื่นโดยซิลิโคนที่นำมาใช้นั้นมี ทั้งชนิดที่เป็นแผ่นสำหรับแพทย์นำมาเหลาขึ้นรูปเอง และชนิดที่ทำสำเร็จเป็นรูปโหนกแก้มมาแล้วในขนาดต่าง ๆ กันตามแต่ความต้องการ ส่วนจะเลือกใช้ชนิดใดนั้นขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ซึ่งจะพิจารณาให้เหมาะสม กับคนไข้แต่ละราย ใครที่เป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยขอเรียนว่า วัสดุที่ใช้เป็นวัสดุที่ปลอดภัยและไม่ค่อยก่อปฏิกิริยาต่อร่างกาย นอกจากนั้นยังหมดห่วงว่าจะมีแผลเป็นเพิ่มอีกที่หนึ่งด้วยเพราะไม่ได้ไปตัด หรือเลาะมาจากส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเลย

คนไข้ที่จะผ่าตัดเสริมโหนกแก้มจะต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจดูโครงสร้างของใบหน้าอย่างละเอียดรวมถึงประเมินขนาดของซิลิโคนที่จะใช้ จากนั้นแพทย์จะผ่าตัดเปิดแผลเพื่อเอาแผ่นซิลิโคนที่เตรียมไว้จัดขวางที่โหนก แก้มตามต้องการซึ่งในส่วนของขั้นตอนนี้แพทย์สามารถปฏิบัติได้ 2 วิธี คือ ผ่าตัดเข้าทางด้านในปากและผ่าตัดเข้าทางแผลใต้ตาล่าง

การผ่าตัดเข้าทางปาก จะเริ่มต้นด้วยการฉีดยาชาที่กระพุ่งแก้มด้านในบริเวณเหนือซอกเหงือกจากนั้น จะผ่าตัดเปิดแผลยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร แล้วแยกกล้ามเนื้อที่เกาะกระดูกใบหน้าขึ้นไปจนถึงบริเวณโหนกแก้มหลังจากนั้น จะเปิดเยื่อหุ้มกระดูกให้เป็นช่องที่มีขนาดพอเหมาะกับขนาดของซิลิโคนที่ เตรียมไว้แล้วจึงวางแผนซิลิโคนไว้ในช่องเยื่อหุ้มกระดูกตรงตำแหน่งของโหนก แก้มพอดี เมื่อตรวจสอบตำแหน่งเรียบร้อยแล้วจึงเย็บปิดด้วยไหมละลายและเพื่อไม่ให้แผ่น ซิลิโคนขยับเขยื้อนจากตำแหน่งที่จัดวางไว้ แพทย์อาจจะใช้พลาสเตอร์ปิดทับภายนอกบริเวณเหนือโหนกแก้มหลังจากนั้นก็รอเวลา ที่แผ่นซิลิโคนจะติดแนบกับกระดูกต่อไป

ส่วนการผ่าตัดเปิดแผลที่เปลือกตาล่างในตำแหน่งที่ชิดกับขนตาแพทย์จะแยกชั้น กล้ามเนื้อผิวหนังขึ้น เพื่อเข้าไปหารอยต่อของขอบกระดูกเบ้าตา จากนั้นจะเปิดเยื่อหุ้มกระดูกโหนกแก้มเป็นช่องขนาดที่ต้องการ เช่นเดียวกับวิธีแรกแล้วจึงวางแผ่นซิลิโคนลงไปที่ตำแหน่งโนหกแก้ม แม้วิธีนี้จะมีแผลที่บริเวณเปลือกตาแต่แผลที่ตำแหน่งนี้มักจะหายโดยไม่ค่อย ทิ้งร่องรอยให้สังเกตเห็นชัดเจนนัก

ภายหลังการผ่าตัด คนไข้จะต้องระมัดระวังการกระทบกระเทือนบริเวณโหนกแก้มเพราะอาจทำให้เกิดการ ขยับเขยื้อนของแผ่นซิลิโคนออกจากตำแหน่งที่แพทย์วางไว้ โดยปกติแผ่นซิลิโคนจะใช้เวลาติดแนบแน่นกับกระดูกประมาณ 4 สัปดาห์ขึ้นไป

การผ่าตัดเสริมโหนกแก้ม มักจะไม่ค่อยมีผลข้างเคียงตามมามากนักหากคนไข้ปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่าง เคร่งครัดอาการบวมที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะยุบบวมเข้าที่ภายในหนึ่งเดือนส่วนอาการขาบริเวณโหนกแก้มและริมฝีปาก อาจเกิดขึ้นได้แต่มักเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ส่วนการเสริมโหนกแก้มด้วยวิธีที่ผิด ๆ เช่น ฉีดน้ำมันซิลิโคนเหลวเข้าไปนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่งและยุ่งยากในการแก้ไข ภายหลัง ดังนั้นจึงไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของบรรดาหมอเถื่อนทั้งหลายเพื่อ ความปลอดภัยของท่านเอง

ลดโหนกแก้ม

คนที่มีโหนกแก้มนูนสูงเกินไปก็สามารถผ่าตัดแก้ไขได้เช่นกัน แต่ควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดี-ข้อเสีย รวมถึงขั้นตอนการทำอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำเพราะเมื่อผ่าตัดให้โหนก แก้มลดลงแล้วจะมาเปลี่ยนใจอยากแก้ไขด้วยว่าไม่ชอบใจหรือเหตุผลอื่นใดก็แล้ว แต่จะทำให้ยากครับ


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:33
ขั้นตอนการผ่าตัดลดโหนกแก้มนั้น แพทย์จะต้องวางยาสลบคนไข้ทุกรายและภายหลังทำต้องนอนพักฟื้นที่ รพ. 1-2 คืน เพื่อที่แพทย์จะได้ดูแลต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่งจึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ โดยขั้นตอนการทำมีด้วยกัน 2 วิธี ซึ่งแพทย์จะเลือกวิธีใดก็คงต้องประเมินจากสภาพของคนไข้เป็นสำคัญ

เริ่มจากวิธีแรกก่อน วิธี นั้นแพทย์จะใช้วิธีการเหลาหรือกรอให้กระดูกเรียบลงแม้ว่าวิธีนี้จะง่ายกว่า อีกวิธีหนึ่งที่จะกล่าวถึงต่อไป แต่ก็มีข้อจำกัดนั่นคือ จะทำในกรณีที่ต้องการลดไม่มาก เช่น ในรายที่มีโหนกแก้มสูงเล็กน้อยโดยแพทย์จะผ่าตัดเข้าทางช่องปากด้านบน 2 ข้าง แล้วใช้เครื่องมือกรอกระดูกบริเวณด้านนูนของกระดูกโหนกแก้มลง วิธีนี้สามารถทำให้ความกว้างของใบหน้าส่วนกลางแคบลงไปมากนัก

ส่วนอีกวิธีหนึ่ง แพทย์จะผ่าตัดเลื่อนหรือยุบกระดูกโหนกแก้มโดยอาจผ่าตัดเข้าทานเหนือศีรษะโดย รอบจากหน้าหูด้านหนึ่งไปด้านบนกระหม่อมแล้ววกกลับมาอีกด้านหนึ่งเหนือหูหรือ อาจเลือกผ่าตัดเข้าทางช่องปากก็ได้ โดยผ่าตัดตรงรอยต่อระหว่างกระดูกโหนกแก้ม, กระดูกเบ้าตา และกรามบนให้หลุดจากกัน หลังจากนั้นก็เลื่อนกระดูกโหนกแก้มจากจุดยืดเกาะเดิมลงด้านในเพื่อให้ส่วน นูนและความกว้างของใบหน้าลดลงจากนั้นยืดตรึงกระดูกให้อยู่กับที่ด้วยเหล็ก ยืดชนิดพิเศษ (Titanium) แม้ว่าวิธีนี้จะทำได้ค่อนข้างยากและใช้เวลานาน (โดยเฉพาะถ้าผ่าตัดจากในช่องปากเพื่อหลีกเลี่ยงแผลเป็นบริเวณหนังศีรษะ) แต่ก็ไม่ถือว่ายากจนกินไปหากอยู่ภายใต้การดูแลองศัลยแพทย์มือดีมีประสบการณ์ โดยตรง

สำหรับอาการบวมหรือฟกช้ำดำเขียวจากการผ่าตัดก็คงต้องเตรียมใจเอาไว้แต่ต้นนะ ครับเพราะเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับจนกระทั่งเข้าสู่ภาวะปกติได้เอง ส่วนอาการชาบริเวณโหนกแก้มและริมฝีปากที่อาจพบได้นั้นเป็นเพราะในระหว่างผ่า ตัดอาจมีการดึงรั้งของเส้นประสาทในบริเวณดังกล่าว แต่ก็ไม่ต้องกังวลเพราะจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ท่านที่มีปัญหาโหนกแก้มนูนสูงเกินไปหรือไม่ก็แบบเกินไปคง จะรู้สึกนั่นใจมากขึ้นนะครับ อย่างน้อยก็ทราบว่าปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ ส่วนว่าจะตัดสินใจอย่างไรก็คงต้องประเมินผลดีผลเสียกันเอาเอง แต่ถ้าตัดสินใจไม่ตกเพราะยังไม่กระจ่างในแง่ของรายละเอียดหรือขั้นตอนการ รักษาควรคุยปรึกษาหารือกับแพทย์ก่อน

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:37
การผ่าตัดกราม "แก้ไขรูปหน้า"
ผู้หญิงหลายคนอาจไม่พอใจในเรื่องของรูปหน้าของตัวเองและมีความต้องการที่จะเพิ่งศัลยกรรม การผ่าตัดกราม เพื่อจะได้แก้ไขรูปหน้าของตนเองให้ดูดี ดูเรียว และสวยงามกว่าเดิม แต่ก็ที่คุณจะคิดเรื่อง การผ่าตัดกราม "แก้ไขรูปหน้า" นั้น คุณควรจะศึกษาถึงรายละเอียดต่าง ๆ ใน การผ่าตัดกราม ซะก่อน ฉะนั้นวันนี้เราจึงมีคำแนะนำดี ๆ มาฝากกันค่ะ
ใบหน้าของคนทั่วไปจะสามารถแบ่งส่วนออกเป็นสามส่วนหลัก ๆ จากบนลงล่างคือ ส่วนบนสุด ได้แก่ กระโหลกและหน้าผาก ส่วนกลาง คือ ส่วนกรามบนจมูกและเบ้าตารวมทั้งโหนกแก้ม ส่วนล่างสุดคือส่วนกระดูกกราม การมีสัดส่วนของใบหน้าที่ใหญ่เกินเหมาะสมย่อมจะทำให้รูปร่างของใบหน้าดูไม่ งามได้ ในผู้หญิงทั่วไปนิยมรูปใบหน้าที่เรียวยาวมากกว่าใบหน้ากว้าง กลม หรือเหลี่ยม การแก้ไขสัดส่วนของใบหน้าในส่วนต่าง ๆ สามารถทำให้โครงสร้างของใบหน้าเปลี่ยนแปลงได้

ในคนไทยและเอเซียเช่นญี่ปุ่น เกาหลี มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับใบหน้าส่วนกลางและส่วนล่าง คือ มีความโหนกของกระดูกโหนกแก้ม และกราม ทำให้ได้รูปทรงใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม การตัดแต่งกระดูกในส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจึงเป็นต้องการของผู้ที่อยากจะได้รูปหน้าที่เรียวขึ้น ในปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าทางการผ่าตัดกระดูกใบหน้าและศีรษะได้พัฒนาไปอย่าง รวดเร็วทำให้การผ่าตัดแก้ไขโครงสร้างของใบหน้าสามารถทำได้มากยิ่งขึ้นและมี ความปลอดภัยมากขึ้น เช่นเดียวกับการแก้ไขกรามเพื่อความสวยงามก็เป็นที่นิยมมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ในบทความนี้จะกล่าวถึงการตัดแต่งมุมกรามที่ไม่ใช่การตัดกรามเพื่อแก้ไขความ ผิดปกติของการสบฟันและการขบเคี้ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและมีรายละเอียดมากกว่า รวมทั้งการตัดแต่งกระดูกโหนกแก้มซึ่งจะนำมาเสนอในโอกาสต่อ ๆ ไป

เมื่อพิจารณากรามที่ยื่นทางด้านหลังนั้นมีส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องด้วยกัน ได้แก่ กระดูกกรามด้านหลังหรือมุมกราม กล้ามเนื้อที่คลุมมุมกราม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการบดเคี้ยวอาหารซึ่งในบางคนมักจะมีขนาดใหญ่และหนาด้วย เส้นประสาทที่มุดในกระดูกกรามเพื่อรับรู้ความรู้สึกของซี่ฟันล่างส่วนหลัง และริมฝีปากส่วนล่าง การตัดแต่งมุมกรามนั้นมีขั้นตอนในการดูแลได้แก่ แพทย์ผู้รักษาจะต้องตรวจดูสภาพของกระดูกกรามทั้งหมดเสียก่อนอันได้แก่ ความหนาความสูงของกระดูกกรามทั้งอัน ความสัมพันธ์ระหว่างกระดูกกรามและกระดูกใบหน้าส่วนบนรวมทั้งการสบฟันว่า ผิดปกติด้วยหรือไม่ ความหนาของกล้ามเนื้อมุมกรามดังกล่าว ความผิดปกติของกระดูกกรามส่วนอื่น เช่น คาง ข้อขากรรไกร รวมทั้งฟันซี่ต่าง ๆ ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อจะได้นำข้อมูลมาประกอบการตัดกรามว่าจะสามารถทำให้ใบหน้ามีการ เปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด และจะได้รูปร่างของใบหน้าสมดุลย์กับส่วนอื่นของใบหน้าหรือไม่ หลังจากนั้นต้องมีการตรวจภาพถ่ายรังสีเพื่อดูกระดูกกรามทั้งหมดและความยื่น ของกระดูกกราม ฟันซี่ต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาแนวในการตัดกระดูกกรามว่าจะตัดในแนวใดจึงจะเหมาะสม เป็นต้น
การผ่าตัดกรามนั้นจำเป็นต้องทำร่วมกับการดมยาสลบ เนื่องจากจะต้องมีการใช้เครื่องมือซึ่งเป็นเลื่อยอันเล็ก ๆ สอดเข้าไปตัดที่มุมกราม  โดยทั่วไปแล้วจะสามารถเข้าไปตัดกระดูกได้ โดยการผ่าตัดได้สองทางด้วยกัน คือ


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:38
1. การผ่าตัดจากภายนอกช่องปาก

เป็นการผ่าตัดที่แพทย์จะเปิดแผลจากภายนอกบริเวณใกล้ ๆ กับมุมกรามแล้วค่อย ๆ เลาะผ่านกล้ามเนื้อและหลบเส้นประสาทสำคัญเส้นหนึ่งที่จะไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ มุมปาก หลังจากนั้นจึงตัดแยกกล้ามเนื้อมุมกรามออกเข้าหากระดูกมุมกราม เมื่อสามารถเปิดกระดูกมุมกรามส่วนที่ต้องการจะตัดได้เรียบร้อยแล้วจึงใช้ เลื่อยตัดกระดูกตามแนวที่ต้องการแล้วเอาชิ้นกระดูกที่เกินนั้นออกไป ตกแต่งมุมกระดูกให้เรียบร้อยแล้วจึงทำการเย็บแผลปิด วิธีนี้แพทย์สามารถผ่าตัดได้ง่ายเนื่องจากไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรพิเศษมาก นักและไม่ต้องผ่านช่องปากเข้าไปหากระดูกอาการบวมจึงมักจะน้อยกว่า แต่วิธีนี้มีโอกาสที่แพทย์อาจจะกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาทที่มาเลี้ยงมุม กรามได้ แม้จะเป็นการชั่วคราวแต่ก็สามารถทำให้เกิดการเอียงหรือเบี้ยวของมุมปากได้ใน ระยะแรก และสิ่งสำคัญคือแผลผ่าตัดที่มุมกรามนั้นบางรายอาจจะสามารถเห็นและสังเกตได้ และบางรายก็เกิดอาการแผลปูดนูนตามมาในระยะหลังได้ซึ่งจะต้องทำการรักษาต่อไป

2. การผ่าตัดจากภายในช่องปาก

วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างจะยุ่งยากมากกว่า และจำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือที่พิเศษกว่าการตัดจากภายนอก แพทย์จะทำการเปิดแผลที่ในช่องปากตรงบริเวณหลังฟันกรามซี่สุดท้ายในแนวดิ่ง แล้วค่อย ๆ เลาะแยกเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวรวมทั้งกล้ามเนื้อที่คลุมมุมกรามออก หลังจากนั้นจึงเลาะเยื่อหุ้มกระดูกออกให้กว้างเพียงพอที่จะสอดใส่เครื่องมือ เข้าไปที่มุมกรามเพื่อจะให้เห็นมุมกรามและกรามส่วนหลังได้ชัดเจน หลังจากนั้นจึงใช้เลื่อยที่มีรูปร่างเป็นเลื่อยมุมฉากเข้าไปทำการตัดตามแนว ที่ต้องการเลื่อยชนิดนี้จะมีความยาวเพียงพอที่จะทำให้การตัดในแนวตั้งฉาก สามารถทำได้ หลังจากนั้นแพทย์จึงนำชิ้นกระดูกที่ถูกตัดขาดออกมาพร้อมกับการตกแต่งกระดูก ส่วนที่เหลือให้กลมมนตามปกติ แล้วจึงเย็บแผลปิดตามเดิม ปัญหาของการตัดด้วยวิธีนี้นั้นส่วนมากมักจะเป็นเรื่องเทคนิกการผ่าตัดซึ่ง มักจะต้องอาศัยประสบการณ์ความชำนาญของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด รวมทั้งต้องการเครื่องมื่อที่เหมาะสมด้วยจึงจะทำให้การผ่าตัดได้ผลดีและ กระดูกที่ตัดออกมานั้นมีขนาดที่พอเหมาะ การผ่าตัดจากภายในปากนี้มีการดึงรั้งกล้ามเนื้อและเยื่อบุปากมากกว่าจึงมี อาการบวมค่อนข้างจะมากกว่าการตัดจากภายนอกปาก แต่ไม่มีแผลเป็นให้เห็นจากภายนอกและการกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาทก็มักจะ ไม่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ

การดูแลหลังการผ่าตัด

หลังการผ่าตัดนั้นโดยมากมักจะมีอาการบวมไม่มากก็น้อยผู้ป่วยมักจะปวดบริเวณ ที่ผ่าตัดบ้างพอสมควร แต่มักจะเข้าที่ทั้งหมดในเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ส่วนอาการบวมที่มุมกรามมักจะมีอยู่ประมาณ 1-2 เดือนจึงจะเห็นรูปร่างกระดูกกรามใหม่ การฝึกการอ้าปากนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะแนะนำโดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการผ่าตัดจาก ในช่องปาก ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการติดแข็งของพังผืดที่อยู่รอบกรามและใกล้ ๆ กับข้อของขากรรไกรส่วนการอักเสบที่รุนแรงนั้นมักจะพบได้น้อยและไม่ค่อยมี ปัญหากเรื่องดังกล่าว

ผลข้างเคียงของการผ่าตัดลดมุมกรามนั้นมีได้เหมือนกันครับที่เคยพบมาก็ได้แก่

1. ปัญหาเรื่องแผลผ่าตัดอักเสบติดเชื้อ สามารถ พบได้ทั้งการผ่าตัดจากภายในและภายนอกช่องปาก แต่ทั้งนี้มักจะเป็นการอักเสบที่ไม่ค่อยจะรุนแรงนัก และสามารถรักษาให้หายได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะธรรมดาก็มักจะเพียงพอมีส่วนน้อย มากที่จะลุกลามเป็นการติดเชี้อที่กระดูกกราม


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:38
2. ความไม่เท่ากันของกระดูกกราม ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากกระดูกกรามที่ไม่เท่ากันตั้งแต่ก่อนการผ่าตัดหรือรวม ทั้งการตัดกระดูกกรามที่ไม่เท่ากันหรือเนื่องจากการบวมที่แตกต่างกันทั้งสอง ข้าง

3. การกระทบกระเทือนต่อเส้นประสาทที่เลี้ยงริมฝีปากและเหงือก ซึ่งโดยทั่วไปหมอจะพยายามที่จะรักษาและหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนต่อเส้น ประสาทดังกล่าว และในกรณีที่ผ่านอกปากหมอจะพยายามเลี่ยงต่อเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อ มุมปากล่าง แต่การดึงรั้งอาจจะทำให้เกิดการขยับปากหรือเกิดอาการชาที่ริมฝีปากได้ ซึ่งมักจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนก็จะหายเป็นปกติได้

4. การเกิดกระดูกกรามหัก เป็นข้อแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้น้อยมากแต่ในกรณีที่การตัดไม่ถูกต้องก็อาจจะ เกิดขึ้นได้ ซึ่งการแก้ไขก็อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาเช่นเดียวกับกระดูกกรามหัก ได้แก่ การยึดตรึงกระดูกด้วยโลหะหรือการจัดฟันให้เข้าที่ในช่วงเวลาหนึ่ง

สรุป

การผ่าตัดกระดูกมุมกรามให้เล็กลงสามารถแก้ไขลักษณะของใบหน้าที่กางเหลี่ยม ให้ดูเล็กลงและเรียวขึ้นได้ แต่ทั้งนี้ควรได้รับการผ่าตัดและตรวจอย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้มีความชำนาญและ มีอุปกรณ์ผ่าตัดที่ครบถ้วน เพื่อผลการผ่าตัดที่น่าพอใจและมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:48
การศัลยกรรมตาสองชั้น หรือ การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตา (Blepharoplasty)

ดวงตาเป็นส่วนกลางของใบหน้าเป็นส่วนที่สื่อสารกับบุคคลรอบข้างโดยไม่ต้องใช้ เสียง ดังคำที่ว่าดวงตาเป็นสื่อของหัวใจเมื่อมองใบหน้าของบุคคลหนึ่งส่วนที่เราจะ มองอันดับแรกคือดวงตา ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบรอบดวงตาจึงเป็นส่วนที่จะทำให้ใบหน้ามี การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหรือเลวลงอย่างชัดเจน


การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตา แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ คือ

1. การผ่าตัดทำเปลือกตา 2 ชั้น (ทำเล่าเต็ง)

2. การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาที่หย่อน (ย้อย, ถุงใต้ตา)


1. การผ่าตัดทำเปลือกตา 2 ชั้น (ทำเล่าเต็ง) (Double eyelid)

คนไทยและคนเอเชียจะมีเปลือกตาบนไม่เห็นรอยชั้น (ตา 2 ชั้น) ประมาณ 50 % ลักษณะดังนั้นไม่ได้ทำให้ใบหน้าโดยรวมไม่สวยงาม ดังตัวอย่างที่มีดาราภาพยนตร์หรือนักร้องในเอเชียหลายคนที่มีเปลือกตาบนเป็น ชั้นเดียว ดังนั้น การทำตา 2 ชั้น (ขอใช้คำสั้น ๆ เท่านั้น) ควรจะทำให้เห็นรอยชั้นตาบนเล็กน้อยแต่พองาม ซึ่งจะทำให้ดวงตาดูโตขึ้น คมขึ้น โดยไม่ได้เปลี่ยนลักษณะเปลือกตาที่เป็นคนเอเชียไปทั้งหมด

- อายุเท่าไรที่จะทำผ่าตัดได้

ใบหน้าของเราจะโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 18 ปี ในผู้ชาย และ 15 ปี ในผู้หญิง แต่วุฒิภาวะในการตัดสินใจด้วยตัวเองจะเริ่มประมาณ อายุ 18 ปี ดังนั้นได้ทำผ่าตัดตา 2 ชั้น เมื่ออายุ 18 ปี ขึ้นไป ก็จะเหมาะสมแต่ก็อาจจะมีข้อยกเว้นในรายที่มีความผิดปกติของการเปิดเปลือกตา คือ ไม่สามารถจะลืมตาเต็มที่ (หนังตาตก) (eyelid ptosis) ในกรณีนี้อาจจะแก้ไขตั้งแต่อายุน้อยกว่า 18 ปี ได้

- ก่อนผ่าตัดควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

การทำตา 2 ชั้น เป็นการผ่าตัดเล็กใช้เวลาทำผ่าตัดประมาณ 20 นาที ? 1 ชั่วโมง ใช้ยาชาเฉพาะที่ฉีดที่เปลือกตาบน ดังนั้นหลังผ่าตัดสามารถกลับบ้านได้ อาจจะมีอาการบวมช้ำที่เปลือกตาได้บ้าง อาการเหล่านี้จะมีอยู่ประมาณ 3 ? 4 วัน


ขั้นตอนการทำตาสองชั้น

ก่อนผ่าตัดแพทย์จะตรวจร่างกายความพร้อมและซักถามประวัติเกี่ยวกับความ สมบูรณ์ของร่างกาย และการแพ้ยาต่าง ๆ แพทย์จะตรวจการมองเห็น การเปิดตาทั้งสองและความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจจะมีอยู่ หลังจากนั้นแพทย์อาจจะประเมินชั้นตาและซักถามความคาดหวังของผู้ป่วยว่า ต้องการรูปเปลือกตาที่จะคิดว่าต้องการจะให้เป็นเมื่อเข้าใจตรงกันแล้วผู้ ป่วยจะได้รับการเตรียมใบหน้าถึงความสะอาดเพื่อผ่าตัดในห้องผ่าตัดแพทย์จะ เริ่มขีดรอยที่จะผ่าตัด

ขั้นตอนการทำตาสองชั้น อาจจะแบ่งเป็น 2 วิธีใหญ่ คือ

1. แบบเจาะรู (Non incision) แบบนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีไขมันในเปลือกตาน้อย

2. แบบเปิด (Incisional) แบบนี้สามารถจะเอาไขมัน และเย็บชั้นตาได้ชัด

โดยทั่วไปรอยแผลผ่าตัดจะเห็นได้น้อยมาก ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม หลังจากฉีดยาชาเฉพาะที่แล้ว แพทย์จะเจาะ หรือ กรีดที่ผิวหนัง อาจจะเอาไขมันที่เปลือกตาออกบางส่วน แล้วใช้ไหมเย็บเพื่อให้เกิดชั้นตาขึ้น แพทย์อาจจะบอกให้ผู้ป่วยลืมตาขึ้น เพื่อตรวจดูความเหมาะสมของชั้นตาที่เกิดขึ้นใหม่


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:49
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย joy234 เมื่อ 2011-4-22 18:10

การดูแลหลังผ่าตัดทำตาสองชั้น

หลังผ่าตัดแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยประคบเย็นที่เปลือกตาทั้งสองข้างเป็นเวลา 24 ชั่วโมง โดยทั่วไปผู้ป่วยสามารถจะล้างหน้าได้ประมาณ 3 วัน หลังผ่าตัดถ้ามีไหมที่แผลด้านนอกแพทย์จะนัดเพื่อดึงไหมออกประมาณ 3-5 วัน หลังผ่าตัดชั้นตาจะดูเป็นธรรมชาติประมาณ 1-2 เดือน หลังผ่าตัด

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น

การทำตา 2 ชั้นมีผลแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้ประมาณ 10 % โดยทั่วไปเป็นผลแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรง เช่น ชั้นตา 2 ข้างไม่เท่ากัน, ชั้นตาที่ทำไว้หายไป

2. การผ่าตัดแก้ไขเปลือกตาหย่อน, ตก, ห้อย, ถุงไขมัน (Blepharochalasia,Dermatochalasia, Baggy eyelid)

เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้นผิวหนังส่วนต่าง ๆ จะเริ่มหย่อนยาน บริเวณรอบดวงตาจะเป็นบริเวณแรกในใบหน้าที่จะเห็นได้ก่อนส่วนอื่น หนังตาบนจะหย่อนลงมาปิดขอบขนตาโดยทั่วไป จะเริ่มจากด้านข้างก่อน เริ่มเห็นมีถุงโป่งใต้เปลือกตาล่างเกิดรอย (ตีนกา) บริเวณหางตา หัวตา ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยหน่ายไม่สดชื่นการตัดตกแต่งเปลือกตาจะแก้ไขภาวะเหล่า นี้ได้

เมื่อไรควรจะทำผ่าตัดตกแต่งเปลือกตา

เมื่อคุณรู้สึกว่าชั้นตาบนคุณหายไปรู้สึกมองภาพด้านหางตาลำบากเหงื่อไหลเข้า ตามากขึ้นมีถุงหรือร่องใต้ตาเมื่อมีภาวะเหล่านี้คุณสามารถจะได้รับการผ่าตัด ตกแต่งได้แล้ว

ก่อนผ่าตัดควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาหย่อนจะใช้เวลาประมาณ  1 ชั่วโมงต่อเปลือกตาบนหรือล่างการผ่าตัดจะใช้ยาชาเฉพาะที่ ดังนั้นคุณสามารถจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้อาการบวมช้ำรอบตาอาจจะมีได้ ประมาณ 3-5 วัน ถ้าคุณกินยากันเลือดแข็งตัว เช่น แอสไพริน คุณต้องหยุดยานั้นก่อนผ่าตัด 2 อาทิตย์

ขั้นตอนการผ่าตัด

แพทย์จะประเมินถึงความต้องการของคุณ และตรวจร่างกาย รวมถึงความดันโลหิต โรคประจำตัวของคุณ และความผิดปกติของลูกตาที่อาจจะมีอยู่ หลังจากพร้อมแล้วคุณจะได้รับการทำความสะอาดบริเวณใบหน้าเพื่อเตรียมผ่าตัด การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาบนหย่อนจะต้องตรวจดูว่ามีลักษณะของหน้าผากหย่อนร่วม ด้วยหรือไม่เพราะอาจจะต้องแก้ไขร่วมกันหรือแก้ไขอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยทั่วไปขั้นตอนการผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาบนหย่อนจะลงบาดแผลที่รอยชั้นของ เปลือกตาบนจะมีการตัดผิวหนังกล้ามเนื้อ และไขมันที่เกินออกบางส่วน การผ่าตัดตกแต่งแก้ไขถุงไขมันโป่งที่เปลือกตาล่างโดยทั่วไปจะเปิดแผลที่ใกล้ ขอบขนตาหลังจากนั้นจะเอาไขมันที่เกินออกบางส่วนแล้วจะขึงดึงกล้ามเนื้อใต้ ผิวหนังให้ตึงร่วมกับผิวหนังที่เกินออกบางส่วน ในกรณีที่ผิวหนังไม่หย่อนอาจจะเปิดแผลในเปลือกตาเพื่อเอาไขมันใต้ตาบางส่วน ออกก็ได้

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ภาวะแทรกซ้อนจากการทำผ่าตัดตกแต่งเปลือกตาบนมีดังนี้คือ รอยชั้นตาไม่เท่ากัน เปลือกตาบวม การตกแต่งเปลือกตาล่าง ผลแทรกซ้อนที่จะมีได้คือ หนังตาล่างมีการดึงรั้งลงทำให้ เห็นตาขาวมากเกินภาวะนี้อาจจะพบได้ชั่วคราวประมาณ 1-2 เดือน อาจจะมีภาวะเยื่อตาขาวบวมน้ำ เลือดออกใต้ตาขาว ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจจะหายได้เอง หรือหายได้หลังจากมีการผ่าตัดแก้ไข
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:50
ไขข้อสงสัย! การเสริมจมูกด้วยไขมัน
คุณผู้หญิงหลายคนที่กำลังคิดที่จะทำศัลยกรรมจมูกคงกำลังเกิดความสังสัยว่าจะใช้การเสริมจมูก แบบไหนดี จะใช้การเสริมจมูกด้วยไขมันหรือจะการเสริมจมูก ด้วยซิลิโคนดี แต่วันนี้เราจะพาไปไขข้อสงสัยถึงข้อดีและข้อเสียของ การเสริมจมูกด้วยไขมัน ว่าจะแตกต่างกับการเสริมจมูกด้วยซิลิโคนอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ


การเสริมจมูกด้วยไขมัน

1. การเสริมจมูกด้วยการฉีดไขมันเป็นวิธีใหม่จริงหรือไม่ ?

-  การเสริมจูมกด้วยไขมันไม่ใช่วิธีการใหม่ได้มีการทำกันมามากกว่า 30 ปีแล้ว


2. การเสริมจมูกด้วยแท่งซิลิโคนจะทำให้ทะลุทุกรายตามที่แพทย์ท่านนี้พูดหรือไม่ ?

- การเสริมจมูกด้วยซิลิโคนยังเป็นวิธีการมาตรฐานสำหรับจมูกเพื่อเสริมความงาม ถ้าทำอย่างถูกวิธีและได้มาตรฐานและศัลยแพทย์ได้รับการฝึกอบรมอย่างถูกวิธี อัตราการเกิดปัญหาซิลิโคนทะลุไม่ควรจะเกิน 0.5 เปอร์เซ็นต์


3. การเสริมจมูกด้วยการฉีดไขมันมีวิธีการอย่างไร ผลเป็นอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ?

- การเสริมด้วยไขมันสามารถทำได้ 2 วิธี คือ

3.1 ใช้วิธีการดูดไขมันด้วยการใช้เข็มดูดขนาดเล็กดูดไขมันจากหน้าท้องหรือต้นขา แล้วแยกเอาไขมันที่กลายเป็นน้ำออกเอาเฉพาะส่วนไขมันที่ยังคงสภาพเป็นเซลล์ อยู่นำไปฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่จะเสริมจมูก

3.2 ตัดไขมันจากบริเวณหน้า, ต้นขา, ก้นกบ มาเป็นชิ้นแล้วนำไปสอดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณจมูกที่ต้องการเสริม

ข้อดีของการใช้ไขมัน

1. เป็นเนื้อของเราเองโอกาสการไม่ยอมรับของร่างกายจะไม่มี

2. ความรู้สึกที่แตะต้องอาจจะรู้สึกธรรมชาติ

ข้อเสียของการใช้ไขมัน

1. ไขมันที่นำไปฉีดหรือปลูกมีการย่อยสลายได้ประมาณ 40-60 % ดังนั้นรูปร่างของจมูกจะไม่คงอยู่ตามต้องการ

2. รูปร่างของจมูกอาจจะไม่ได้ตามต้องการเหมือนการเสริมด้วยซิลิโคนหรือวัสดุที่คงรูปกว่า

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:53
การผ่าตัด เสริมจมูก

การเสริมจมูกเป็นการตกแต่งเพื่อเปลี่ยนรูปทรงของจมูกเพื่อให้รับกับใบหน้า เป็นผ่าตัดติดอันดับยอดนิยมของต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยไม่ได้เก็บสถิติแต่เชื่อว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมความงาม เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งบางรายก็ประสบตามความคาดหวัง แต่บางรายก็ผิดหวัง
การผ่าตัดเสริมสวยจมูกสามารถทำได้ทั้ง เพิ่มขนาด หรือลดขนาด เปลี่ยนรูปทรง เปลี่ยนรูปทรงของปลายจมูก ทำให้รูจมูกเล็กลง และแก้ไขความพิการของจมูกเนื่องจากพิการแต่กำเนิด หรือจากอุบัติเหตุ หากคุณตั้งใจจะต้องการเสริมจมูกบทความนี้อาจจะช่วยให้ท่านตัดสินใจ แต่อาจะไม่สามารถไขความข้องใจของคุณได้หมดรายละเอียดที่คุณต้องการต้อง ปรึกษาจากแพทย์ที่คุณจะไปทำการผ่าตัด
ใครเหมาะสมที่จะผ่าตัดเสริมจมูก
การผ่าตัดเสริมหรือเปลี่ยนแปลงจมูกจะทำ ให้ท่านดูดีขึ้น แต่ไม่สามารถทำให้ท่านมีบุคลิกเปลี่ยนแปลง ดังนั้นก่อนที่จะทำการผ่าตัดท่านต้องปรึกษากับแพทย์ว่าท่านคาดหวังอะไรจาก การผ่าตัด และมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ผู้ที่เหมาะสมในการผ่าตัดคือ
•        การผ่าตัดจะทำให้จมูกดูดีขึ้น แต่การผ่าตัดไม่สามารถที่จะทำให้ผลดีออกมา 100% ตามที่ท่านคาดหวัง ท่านต้องเผื่อใจไว้บ้าง หากท่านคิดว่าทำใจไม่ได้ก็อย่าไปผ่า
•        สุขภาพกายดี
•        สุขภาพจิตดี
•        อายุมากกว่า 15 ปี
ชนิดของการผ่าตัดแก้ไขความไม่สมดุลของจมูก
1.        ลดขนาดของจมูก ส่วนที่มีปัญหาได้แก่เนื้อจมูกhump ปลายจมูก และรูจมูกกว้างเกินไป การผ่าตักแก้ไขอาจจะต้องผ่าตัดเอากระดูก และกระดูกอ่อนเอาเพื่อขนาดของจมูก
2.        เพิ่มขนาดของจมูกได้แก่พวกที่มีจมูกเล็ก หรือไม่มีดั่งจมูก การผ่าตัดก็ใช้วิธีเสริมดั่งจมูกโดยใช้ซิลิโคน หรือกระดูกอ่อนจากร่างกายตัวเองเสริม
3.        แก้ไขความพิการของจมูก เช่นสันจมูกคด จมูกเบี้ยวเป็นต้น

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:53
ข้อจำกัดของการผ่าตัด
•        การผ่าตัดจะเพื่อความงามหรือแก้ไขความ พิการไม่สามารถแก้ได้ 100 % ซึ่งขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง ท่านจะต้องปรึกษาแพทย์ถึงข้อจำกัดดังกล่าว
•        คุณไม่สามารถเลือกรูปร่าง หรือขนาดของจมูกจากหนังสือ เนื่องจากลักษณะใบหน้าหรือส่วนประกอบของใบหน้าไม่เหมือนกัน จมูกแต่ละแบบก็เหมาะสำหรับใบหน้าแต่ละแบบ
•        การผ่าตัดจมูกเป็นการแก้ไขความไม่สมดุล มิใช่การแกะสลัก
•        การผ่าตัดจมูกไม่สามารถผ่าตัดนำเนื้อเยื่อออกมากเกินไป เพราะจะทำให้จมูกไม่คงรูป
•        ผิวหนังบริเวณจมูกก็ไม่สามารถตัดทิ้งมากได้เหมาะจะทำให้เกิดการดึงรั้ง
•        ลักษณะผิวหนัง อายุ และความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับจมูก จะเป็นข้อจำกัดของการผ่าตัด
การผ่าตัดมีโรคแทรกซ้อนมากน้อยแค่ไหน
สำหรับคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามเมื่อ ตัดสินใจจะทำการผ่าตัดเสริมจมูกแล้ว ท่านต้องตระหนักถึงโรคแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญแล้วก็ตาม โรคแทรกซ้อนที่อาจจะพบได้คือ
•        มีการติดเชื้อ
•        เลือดกำเดาไหลออก แต่มักจะเป็นไม่มาก
•        แพ้ยาชา
•        อาจจะเกิดแผลเป็น
•        อาจะเกิดการผิดรูป เนื่องจากอาจจะเกิดพังผืดยึดกระดูกอ่อนทำให้จมูกผิดรูป
•        ประมาณ 1 ใน10รายต้องผ่าตัดอีกครั้งเพื่อแก้ไข
•        ให้ระลึกอยู่เสมอว่าการผ่าตัดแก้ไขหรือเสริมความงามไม่สามารถรับประกันได้ 100%ว่าจะออกมาสมบูรณ์แบบ
การวางแผนการผ่าตัด
เมื่อท่านตัดสินใจว่าเอาละชาตินี้จะต้อง เปลี่ยนรูปร่าง หรือขนาดของจมูก เพราะมองกระจกทีไรมันหงุดหงิดหัวใจจริงๆ ท่านจะต้องเลือกแพทย์ที่จะทำการผ่าตัดซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดมีทั้งแพทย์ที่เป็นแพทย์ธรรมดาทั่วไป แพทย์ที่รักษาหูคอจมูก แพทย์ศัลยกรรมทั่วไป แพทย์ศัลยกรรมพลาสติก ท่านจะต้องเลือกแพทย์โดยดูจากความรู้ ประสบการณ์ของแพทย์
เมื่อท่านได้เลือกแพทย์แล้วท่านต้อง ปรึกษากับแพทย์ว่าท่านต้องการจมูกแบบไหน เมื่อแพทย์ทราบความต้องการของท่าน แพทย์จะพิจารณาว่าทำได้หรือไม่ เพราะการที่จะทำให้ดูดีจะต้องคำนึงถึงปัจจัยอย่างอื่น เช่นหน้าสั้น หรือยาว หน้ากลมหรือแบน คางสั้นหรือยาวเป็นต้น แพทย์อาจจะไม่ทำตามความต้องการของท่านก็ได้หากพิจารณาแล้วว่าทำไม่ได้หรือ ไม่น่าดู
เมื่อแพทย์พิจารณาแล้วว่าสามารถผ่าตัด แก้ไขความพิการได้ แพทย์ก็จะอธิบายวิธีการเตรียมตัวก่อนมาผ่าตัด เช่นการรับประทานอาหาร การดื่มน้ำ การสูบบุหรี่ให้งดสูบบุหรี่สักระยะหนึ่งเพราะการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยง ของโรคหัวใจและหลอดเลือด ไม่ควรรับประทานยาแก้อักเสบเพราะจะทำให้เกิดเลือดออกง่าย และการผ่าตัด โรคแทรกซ้อน สถานที่ผ่าตัด ระยะพักพื้น ที่สำคัญอย่าลืมถามราคา เพราะอาจจะทำให้ท่านเป็นลมเลยก็ได้ และให้ถามอีกว่า หากต้องผ่าตัดแก้ไขจะต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่
โดยทั่วไปจะผ่าตัดที่คลินิก นอกเสียจากว่าจะต้องผ่าตัดใหญ่หรือผู้ป่วยมีโรคประจำตัวจำเป็นต้องดูแลระหว่างผ่าตัดอย่างใกล้ชิด แพทย์จะแนะนำให้ผ่าในโรงพยาบาล
การระงับความรู้สึกหรือยาชา โดยมากแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่ให้ท่าน สำหรับท่านที่แก้ไขมากหรือตื่นตระหนก แพทย์อาจจะพิจารณาให้ยาคลายความวิตกกังวลแก่ท่าน สำหรับท่านที่ใช้การดมยาสลบท่านก็จะหลับตลอดการผ่าตัด
การผ่าตัด
โดยมากการผ่าตัดใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง หรือแก้ไขความพิการก็อาจจะใช้เวลามากกว่านี้ ในการผ่าตัดแพทย์จะผ่าตัดผิวหนังบริเวณรูจมูก แต่แพทย์บางท่านก็ผ่าผิวหนังบริเวณขอบจมูก เพื่อแยกให้เห็นกระดูกจมูก แพทย์แก้ไขรูปทรงโดยการเลาะกระดูกอ่อนทั้งหมด หรือแก้ไขบางส่วน หรือใส่วัสดุเทียมแทนที่กระดูกจริง แต่งให้ได้รูปทรง แล้วจึงเย็บปิด
หลังผ่าตัดเสร็จแพทย์จะทำการดามจมูกของ ท่านเพื่อให้ได้รูปทรง ในรูจมูกอาจจะใส่พลาสติกเล็กเพื่อให้จมูกได้รูปทรงเมื่อผ่านไปได้ 3 วันจึงเอาออก

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:55
หลังผ่าตัด
หลังผ่า 24 ชั่วโมงคุณอาจจะรู้สึกปวดศีรษะ ปวดบริเวณจมูก บวมบริเวณใบหน้าให้นอนหนุนหมอนสูง และให้พักมากที่สุด ช่วงแรกจะมีอาการเขียวคล้ำของขอบตาบ้างแล้วแต่บุคคล จะเป็นมากที่สุดใน2-3 วันแรกซึ่งเกิดจากเลือดไปคั่ง การดูแลให้ประคบเย็นจะทำให้ยุบบวม หลังจากผ่าตัด 2 สัปดาห์อาการบวมหรือเขียวคล้ำจะหายไป
ช่วยหลังผ่าตัดคุณอาจจะมีเลือดกำเดาไหล แพทย์จะแนะนำมิให้คุณสั่งน้ำมูก มีอาการคัดจมูกเนื่องจากเยื่อบุช่องจมูกบวม
หลังจากผ่าตัด 1 สัปดาห์คุณสามารถไปทำงานได้แต่ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่างเช่น การวิ่ง การว่ายน้ำ การก้ม การมีเพศสัมพันธ์ 2-3 สัปดาห์หลังผ่าตัด หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูก การขยี้จมูก หรือถูกแดดเผาเป็นเวลา 8 สัปดาห์หลังการผ่าตัด
หากท่านใส่ contact lens ท่านสามารถใส่ได้ทันที แต่หากท่านสวมแว่น ท่านต้องใช้เทปติดขอบแว่นไว้ที่หน้าผาก จนกระทั่งจมูกแข็งแรงซึ่งใช้เวลา 6-7 สัปดาห์จึงจะสวมแว่นได้ตามปกติ

จมูกสวย" ด้วย "การตัดปีกจมูก"
เมื่อพูดถึงการศัลยกรรมจมูกหลายคนคงจะนึกถึงการเสริมดั้งให้โด่ง แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องของจมูกสวยนั้นไม่ใช่แค่ เรื่องการเสริมดั้งแต่เพียงอย่าง เพราะบางคนยังคงมีปัญหาอีกเรื่องก็คือ ปีกจมูก นั่นเอง จึงมีเรื่องของ การตัดปีกจมูก เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มความสวยของจมูกของผู้ที่ไม่ชอบในปีกจมูกของตัวเอง
การตัดปีกจมูก

ท่านที่มีปัญหาปีกจมูกใหญ่และกางออกด้านข้างมาก ๆ รวมถึงรูจมูกที่กว้างกว่าปกติ หากทำใจยอมรับได้ก็สบายไป แต่ถ้าทำใจยอมรับไม่ได้ก็สามารถมาพบแพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเพื่อทำการแก้ไขข้อ บกพร่องดังกล่าวได้

การผ่าตัดปีกจมูกเป็นการตกแต่งบริเวณจมูกส่วนล่างให้มีความเหมาะสมกับบริเวณ สันจมูกและจมูกส่วนบน โดยแพทย์จะแก้ไขปีกจมูกที่ใหญ่ตัดปีกจมูกที่กางและลดขนาดรูจมูกที่กว้างให้ เล็กลง ซึ่งการผ่าตัดลดขนาดปีกจมูกโดยมากมักจะแก้ไขเฉพาะส่วนปีกจมูกจึงแทบมองไม่ เห็นแผลเป็นเลย ดังนั้นท่านที่เป็นกังวลเรื่องของแผลเป็นก็วางใจได้
การผ่าตัดปีกจมูกเริ่มจากแพทย์จะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์อ่อนเพื่อให้คลาย ความวิตกกังวลและเมื่อฉีดยาชาจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ จากนั้นทำความสะอาดบริเวณที่จะผ่าตัดและในโพรงจมูกก่อนจะฉีดยาชาเฉพาะที่ บริเวณปีกจมูกแล้วจึงผ่าตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินออกและจัดฐานปีกจมูกรวมทั้ง กำหนดความกว้างของรูจมูกใหม่ก่อนจะเย็บปิดแผลซึ่งขั้นตอนการผ่าตัดจะใช้เวลา ประมาณ 1ชั่วโมง

หลังผ่าตัดเสร็จสามารถกลับบ้านได้ เมื่อคนไข้รู้สึกตัวเต็มที่แล้ว

หลังการผ่าตัดควรนอนศีรษะสูงและประคบด้วยผ้าเย็นเพื่อลดอาการบวม ส่วนพลาสเตอร์ที่ปิดแผลสามารถแกะออกได้ในวันที่ 3 หลังผ่าตัดและใช้ไม้พันสำลีป้ายยาหรือขี้ผึ้งปฏิชีวนะทาแผลผ่าตัดวันละ 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันแผลอักเสบติดเชื้อ นอกจากนั้นควรระมัดระวังไม่ให้แผลถูกน้ำเพื่อให้แผลแห้งสนิทและหายได้เร็ว ขึ้น อย่าลืมมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อตัดไหมด้วยค่ะ

การตัดปีกจมูกจะทำให้ผู้มารับการรักษามีจมูกที่สวยงามได้รูปทรงตามต้องการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อความปลอดภัยและผลการรักษาที่น่าพึงพอใจอย่างแท้จริง ควรเลือกรักษากับศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทาง


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 17:56
ริมฝีปากหนา สวยด้วย "ศัลยกรรม"
หากว่าคุณคือหนึ่งคนที่มีปัญหาริมฝีปากหนาขอบอกเลยค่ะว่า ศัลยกรรมช่วยให้คุณมีริมฝีปากที่ บางเรียวได้ค่ะ และวันนี้เราก็นำความรู้และขั้นตอนต่าง ๆ ของการศัลยกรรม ริมฝีปากหนา มาฝาก เพื่อช่วยเป็นทางเลือกในการตัดสินใจของคุณ และต่อไปนี้คุณก็จะสวยหล่อได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องอายใครอีกต่อไปแล้วล่ะ ค่ะ

ริมฝีปากหนา

เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเผยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ... ด้วยริมฝีปากที่เรียวบาง เนื่องจากแพทย์มีวิธีตกแต่งแก้ไขริมฝีปากหนาให้เรียวบางลงได้ เห็นทีคงถึงเวลาโบกมือลาริมฝีปากหนา ๆ กันสักที

แต่ก่อนอื่นคนที่มีปัญหาริมฝีปากหนาจะต้องเขาใจก่อนว่า ความหนาของริมฝีปากในแต่ละบุคคลนั้นมีสาเหตุไม่เหมือนกัน คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าความหนาของริมฝีปากเกิดจากตัวริมฝีปากหนาเอง จริง ๆ แล้วคนที่ประสบปัญหาจากสาเหตุดังกล่าวมีเพียงบางส่วนเท่านั้น ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงสร้างในส่วนใกล้เคียงผิดปกติ เช่น มีโครงกระดูกหน้ายื่นมีฟันหน้ายื่นคางสั้น หรือกระดูกขากรรไกรหน้าไม่เจริญเติบโตตามที่ควรจะเป็นจึงทำให้ริมฝีปาก เผยอออกด้านนอกมากกว่าปกติค่ะ

ดังนั้นก่อนรักษาแพทย์จะต้องตรวจโครงสร้างริมฝีปากของคนไข้ทุกรายเพื่อดูว่า ความหนาของริมฝีปากมีสาเหตุมาจากอะไรเพื่อจะได้แก้ไขได้ตรงจุดมิฉะนั้นผลที่ ได้อาจไม่ดีเท่าที่ควร อย่างเช่นในกรณีปัญหาเกิดจากโครงสร้างที่ใกล้เคียงผิดปกติ เมื่อแพทย์แก้ไขในจุดที่ผิดปกติให้แล้วริมฝีปากก็จะดูดีขึ้นได้โดยอัตโนมัติ แต่ถ้ามัวไปแก้ด้วยการผ่าตัดเฉพาะที่ริมฝีปากอย่างเดียวคุณอาจมานั่งหงุด หงิดใจไหนจะต้องเจ็บตัวกับการผ่าตัดแถมผลที่ได้ยังไม่เป็นอย่างใจต้องการ เสียอีก

แต่ถ้าปัญหาเกิดจากตัวริมปากหนาเองก็จะใช้วิธีผ่าตัดแก้ไขเฉพาะที่ริมฝีปาก ค่ะ การผ่าตัดสามารถทำได้ภายในวันที่คนไข้มาพบแพทย์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มจากแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่พร้อมทั้งให้ยานอนหลับอย่างอ่อนเพื่อลดความ เจ็บปวดและช่วยลดความกังวลใจของคนไข้
จากนั้นแพทย์จะค่อย ๆ ตัดเนื้อริมฝีปากด้านในรวมถึงเยื่อบุช่องปากที่อยู่บริเวณเดียวกันออก แล้วเย็บรั้งเข้าหากันด้วยไหมละลายซึ่งจะทำให้ความสูงของริมฝีปากลดลงและริม ฝีปากบางลง ซึ่งความบางของริมฝีปากที่จะได้ขึ้นอยู่กับปริมาณพื้นผิวของริมฝีปากด้านใน และเยื่อบุช่องปากที่ตัดออก ส่วนความแนบเนียนและสม่ำเสมอของริมฝีปากจะอยู่ที่ประสบการณ์และความชำนาญของ แพทย์เพราะเนื้อเยื่อบุช่องปากเมื่อเกิดบวมขึ้นจากการฉีดยาชาจะมีการยืดตัว ได้มากและไม่สม่ำเสมอกัน ดังนั้น หากแพทย์มีความชำนาญโอกาสจะกะระยะผิดพลาดจึงเป็นไปได้ยาก จากนั้นแพทย์จะเย็บปิดแผลให้อีกครั้งด้วยไหมละลากก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย รอยแผลจากการผ่าตัดจะถูกซ่อนไว้ขอบภายในของริมฝีปากเมื่อแผลหายสนิทแล้วมัก จะมองไม่เห็นรอยแผลเป็น

หลังผ่าตัดแพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้เมื่อยาชาและยานอนหลับหมดฤทธิ์แล้ว (ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง) หลังทำในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกควรปฏิบัติตัวดังนี้ ในช่วง 48 ชั่วโมงแรกควรประคบความเย็นบริเวณริมฝีปากเพื่อลดอาการบวมหมั่นรักษาความ สะอาดภายในช่องปากโดยบ้วนปากหลังอาหารทุกมื้อ ป้องกันแผลผ่าตัดติดเชื้อจากเศษอาหารที่หมักหมมหลีกเลี่ยงการพูดในช่วง 1 สัปดาห์แรก ควรรอจนกว่าแผลจะติดและแห้งสนิทเสียก่อนในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกควรเลือกรับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่ายและรสไม่จัดและงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แล้วอย่าลืมรับประทานยาตามแพทย์สั่งและมาพบแพทย์ตามนัดด้วยค่ะ

โดยทั่วไปอาการบวมจะเป็นอยู่ประมาณ 5-10 วัน หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ รูปทรงของริมฝีปากจะเริ่มเข้าที่และเมื่อยุบบวมแล้วอาจต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์เพื่อปรับตัวเข้ากับรูปทรงริมฝีปากใหม่บ้างจึงจะปิดปากได้สนิทเหมือน เดิมเนื่องจากยังเคยชินกับความหนาของริมฝีปากเดิมอยู่

ถึงเวลานั้นจริงก็รีบปรับตัวให้เคยชินเสียนะคะ เพราะต่อไปริมฝีปากหนาที่เคยสร้างปัญหาก็จะอันตรธานไปเหลือไว้แต่ริมฝีปาก สวยเรียวบางให้คุณยิ้มอวดใครๆ ได้อย่างมั่นใจค่ะ

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:04
เสริมคาง
ศัลยกรรมเสริมคาง เพื่อใบหน้าเรียวสวย
กระแสนิยมใบหน้าเรียวยาว มาแรงไม่หยุดค่ะ สาวๆ จึงมองหาวิธีแก้ไขรูปหน้าที่ไม่สมส่วนให้ดูเรียวยาวขึ้น การทำ ศัลยกรรมเสริมคาง ช่วยได้ไม่ยากค่ะ
การ เสริมคาง มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้คางมีส่วนยื่นออกมาด้านหน้ามากขึ้น ช่วยเติมเต็มรูปร่างของคางให้สมบูรณ์ ทำให้ใบหน้าดูยาวเรียว รูปหน้าได้สัดส่วนที่ดีขึ้น
สำหรับผู้ที่มีรูปใบหน้าเป็นรูปเหลี่ยมและต้องการให้ใบหน้าดูยาวขึ้น โดยไม่ต้องตัดกราม การเสริมคางเป็นวิธีที่ง่าย ไม่ต้องดมยาสลบและสามารถแก้ไขกลับเป็นปกติได้ถ้าไม่ต้องการ
วิธีที่ใช้ในการเสริมคาง
เทคนิคที่ 1 ใช้ซิลิโคนแท่ง
วิธีนี้ใช้ในกรณีที่ต้องการ เสริมคาง น้อยหรือปานกลาง โดยทั่วๆ ไป อาจทำได้ 2 วิธี คือ การเปิดแผลในปาก หรือ การเปิดแผลภายนอก
ซิลิโคนคาง มี 2 แบบ คือ
แบบปกติ ใช้สำหรับเสริมบริเวณกลางของคาง
แบบทรงธรรมชาติ
เทคนิคที่ 2 การฉีดคางเพื่อ เสริมคาง เป็นการฉีดสารเติมเต็มโดยอาจใช้สารคอลลาเจน หรือ สารอื่นๆ
การเตรียมตัวก่อน ผ่าตัดเสริมคาง
1. งดยาต้านการอักเสบ ( NSAID ) เช่นแอสไพริน บุหรี่ อาหารเสริมบางตัวที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น กระเทียม น้ำมันปลา อย่างน้อย 2 อาทิตย์ ก่อนการผ่าตัด
2. สมุนไพรบางชนิดเช่นอีฟนิ่งพริมโรส ยาวิตามินอีปริมาณสูง ๆ อาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรส กระเทียม หัวหอม ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง อาจทำให้เลือดออกมากผิดปกติหรือมีปัญหาระหว่างผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพราะอาจต้องหยุดรับประทานสมุนไพรก่อนเข้ารับการผ่าตัด ประมาณ 3-5 วัน
3. แปรงฟันและทานอาหารให้พร้อมก่อนผ่าตัด เนื่องจากหลังผ่าตัดมักทานอาหารได้น้อย
4. ลาหยุดงานประมาณ 3 วัน
5. ควรพาเพื่อนมาด้วยในวันผ่าตัด
6. ปรึกษาแพทย์ถึงความยาวและความกว้างของคางที่ต้องการเสริม
คำแนะนำหลัง ผ่าตัดเสริมคาง
1. ประคบเย็นตรงบริเวณที่ทำการ เสริมคาง ให้บ่อยที่สุด นาน 2 วัน หรือ จนกว่าจะยุบบวม
2. นอนศีรษะสูง 2 วัน สามารถนอนตะแคงศีรษะได้
3. ระมัดระวังเวลายิ้มอย่ายิ้มกว้างมากในช่วงแรก
4. สามารถใช้ลิปสติกได้ 1 อาทิตย์หลังผ่าตัด
5. งดรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดจัดหรือแข็งมาก
6. ดื่มน้ำโดยใช้หลอดและหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหรืออาหารที่ร้อนหรือเย็นเกินไป
7. ผักผลไม้ที่นำมารับประทานควรล้างให้สะอาดไม่ควรกินปลาดิบหรือเนื้อที่ไม่สุก
หรืออาหารที่มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรคได้มาก
8. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกฮอร์ใน 2 อาทิตย์แรกหลังการผ่าตัด
9. งดการสูบบุหรี่ 3 อาทิตย์หลังการผ่าตัด
10. ดื่มน้ำมากๆ
11. บ้วนปากบ่อยๆ ด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาดหรือน้ำยาบ้วนปาก
12. อย่าใช้ลิ้นดุนหรือใช้มือดึงไหมที่เย็บแผลในปาก
13. ทำกิจวัตรประจำวันที่ไม่หนักได้ตามปกติ งดออกกำลังกายหนัก 10 วัน
14. ระวังการกระแทกบริเวณคางหรือนั่งค้ำดันคาง
15. งดออกกำลังกายที่อาจต้องมีการปะทะเช่นฟุตบอล บาสเกตบอล แฮนด์บอลประมาณ 4 อาทิตย์
16. สามารถเอาผ้าพันแผลออกได้ภายใน 1-5 วัน
17. แพทย์จะนัดตรวจดูอาการในวันที่ 7 และ 21

หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 1 - 2 เดือน อาการบวมจะยุบลงและได้รูปร่างของคางใหม่ โดยแท่งซิลิโคนจะเกาะติดแน่นกับขอบกระดูกและไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป แบบปกติ

แบบปกติ ใช้สำหรับเสริมบริเวณกลางของคาง.jpg.jpg (5.17 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 0)

แบบปกติ ใช้สำหรับเสริมบริเวณกลางของคาง ...

แบบปกติ ใช้สำหรับเสริมบริเวณกลางของคาง ...

แบบปกติ ใช้สำหรับเสริมบริเวณกลางของคาง2.jpg.jpg (5.11 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 0)

แบบปกติ ใช้สำหรับเสริมบริเวณกลางของคาง1 ...

แบบปกติ ใช้สำหรับเสริมบริเวณกลางของคาง1 ...

แบบทรงธรรมชาติ.jpg (7.04 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 1)

แบบทรงธรรมชาติ

แบบทรงธรรมชาติ

แบบทรงธรรมชาติ2.jpg (6.64 KB, ดาวน์โหลดแล้ว: 0)

แบบทรงธรรมชาติ1

แบบทรงธรรมชาติ1

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:18
       การเสริมหน้าอก นับได้ว่า เป็นการทำศัลยกรรมเสริมความงามที่นิยมกันมากที่สุดอย่างหนึ่ง เนื่องจากการมีหน้าอกที่สวยงาม สมส่วนนั้น เป็นการแสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงอย่างแท้จริง ดังนั้น ขนาดและรูปทรงของหน้าอก จึงถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุดสำหรับผู้หญิง การเสริมหน้าอกจึงมีผลกระทบทางบวกในเชิงจิตวิทยา สำหรับผู้หญิงที่มีขนาด เต้านมที่เล็ก หรือ หย่อนยาน ไม่ได้สัดส่วน
ใครสามารถทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกได้บ้าง?
ทุกคนที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง สามารถทำได้
ชนิดของวัสดุที่นำมาเสริมหน้าอก ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
มีการนำวัสดุ 2 ชนิด มาใช้ในการเสริมหน้าอก
     1. ซิลิโคน แบบเจล
     2. ถุงน้ำเกลือ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดได้รับการรับรองแล้วว่า มีความปลอดภัยสูงสุด
ขั้นตอนในการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกเป็นอย่างไร?
          การเสริมหน้าอกสามารถทำได้แบบผู้ป่วยนอก (ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล) ถึงแม้การทำผ่าตัด อาจใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที แต่จะต้องมีขั้นตอนในการเตรียมการทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด รวมแล้วอย่างน้อย 4-5 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้ป่วย
การลงบาดแผลผ่าตัดเสริมหน้าอกสามารถทำได้กี่วิธี อะไรบ้าง?
การลงบาดแผลผ่าตัดสามารถทำได้ 3 ตำแหน่งด้วยกัน คือ
     1. ส่วนใต้ฐานเต้านม : เป็นตำแหน่งที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากบาดแผลจะหายได้เร็ว และง่ายต่อการวางตำแหน่งของวัสดุให้สวยงามสมส่วน
     2. รอบปานนม
     3. รักแร้
สิ่งที่คาดว่าจะได้รับหลังการทำผ่าตัดเสริมหน้าอก คืออะไร?
          แพทย์จะให้ผู้ป่วยสวมใส่ผ้ารัดกระชับรูปทรงหน้าอกในช่วงประมาณ 1 อาทิตย์แรก และนัดติดตามผล เพื่อตัดไหม 5-7 วันหลังการผ่าตัด งดการเคลื่อนไหวแขนบ่อย ๆ ในช่วงอาทิตย์แรก อาจพบรอยบวม ช้ำในช่วง 1-2 อาทิตย์แรก และจะหายไปในสัปดาห์ที่ 3 ผู้ป่วยจะได้รับการสอนเทคนิค การนวดคลึงเต้านมซึ่งจะเริ่มทำในช่วงสัปดาห์ที่ 2 หลักการผ่าตัด เพื่อป้องกันการเกิดเนื้อเยื่อพังผืดเกาะเต้านม

          Breast Reconstruction เป็นวิธีการผ่าตัดสร้างสร้างเต้านม เพื่อทดแทนเต้านมที่ตัดทิ้งไปในรายที่เป็นมะเร็งเต้านม อุบัติเหตุ หรือความพิการแต่กำเนิด เช่น Poland's syndrome โดยจะมีการสร้างขนาด รูปร่างของเต้านม รวมถึง หัวนมและลานหัวนม
มีผู้หญิงจำนวนมากที่ตัดเต้านมทิ้งไปสามารถที่จะมีเต้านมใหม่ได้ ส่วนผู้ที่มีการตัดเฉพาะก้อนเนื้อออกไปไม่จำเป็นต้องมีการสร้างเต้านมขึ้นมา ใหม่ ( Conservative Breast surgery) ซึ่งอาจจะต้องมีการรักษาอื่นร่วมด้วย รวมถึงการดูแลติดตามหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด
     
       ข้อมูลเหล่านี้เป็นทางเลือกใหม่เพื่อใช้ในการตัดสินใจ และควรมีการปรึกษาโดยตรงกับ ศัลยแพทย์ตกแต่ง ของท่านร่วมด้วย
ทางเลือกใหม่ของการสร้างเต้านมใหม่
   
      ทุกๆปีจะพบว่ามีผู้หญิงอเมริกันกว่า 200,000 คนพบว่าเป็นมะเร็งเต้านม วันนี้จะได้ทราบถึงการรักษาที่แตกต่างจากในอดีตผู้หญิงจำนวนมากที่เป็น มะเร็งเต้านม อาจจะมีการตัดเฉพาะส่วนที่เป็นก้อนเนื้อออก หรือบางคนอาจมีการตัดเต้านมออกทั้งหมด แต่ยังสามารถที่จะสร้างเต้านมขึ้นมาใหม่ได้โดยมีการปรึกษากับศัลยแพทย์ ตกแต่งที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ก่อน เพื่อมีการวางแผนในการรักษา
เป้าหมายในการสร้างขึ้นมาใหม่
     1. เพื่อความสมดุลย์ในการสวมใส่ชุดชั้นใน
     2. เพื่อทำให้มีเต้านมอย่างถาวร
     3. เพื่อความสะดวกสบายกับผู้ที่ไม่ต้องการใส่ของเทียมไว้ภายนอก
เต้านมที่สร้างขึ้นมาใหม่กับเต้านมที่มีอยู่อาจมีความแตกต่างกันบ้าง แต่ถ้ามีการสวมชุดชั้นในคุณจะมีภาพลักษณ์ที่ดูดีขึ้นมาก เมื่อเปรียบกับการตัดเต้านมเพียงอย่างเดียว
     ในการตัดสินใจควรจะได้รับข้อมูลอย่างละเอียดก่อนโดยพูดคุยกับแพทย์ถึงสิ่งที่ดีที่สุด ผลลัพธ์ และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
ข้อควรพิจารณาในการสร้างเต้านมใหม่     
การผ่าตัดที่ทำมานานแล้วก็สามารถสร้างเต้านมใหม่ได้โดย
     1. การ ใส่เต้านมเทียม( Mammary Prosthesis)
     2. การใช้แผ่นผิวหนังเนื้อเยื่อของตัวเอง(Skin Flap) โดยจะมีการตัดแผ่นเนื้อเยื่อ ที่มี ผิวหนัง ไขมันและกล้ามเนื้อ จากส่วนท้อง (TRAM flap) หลัง (LD flap) หรือบริเวณอื่นของร่างกาย ย้ายมาอยู่บริเวณหน้าอก
     3. หรืออาจจะทำทั้งสองอย่าง


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:19
การสร้างเต้านมใหม่ในรายที่เป็นมะเร็งเต้านม
          การ สร้างเต้านมใหม่สามารถทำได้เลยหลังจากที่มีการตัดเต้านมทิ้ง(Immediate Reconstruction) โดยเนื้อเยื่อบริเวณหน้าอกต้องไม่ได้รับความเสียหายจากการ ฉายแสง หรือมีบาดแผล และการผ่าตัดไม่ควรใช้เวลานานเกินไป ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น2ทีม โดยทีมแรกจะทำการตัดเต้านมร่วมกับการหาเส้นเลือดเพื่อเตรียมทำการตัดต่อภาย ใต้กล้องกำลังขยายสูง (Microvascular surgery) ส่วนทีม2จะไปเตรียมเนื้อส่วนที่จะมาใช้ ซึ่งส่วนใหญ่ที่ใช้ก็คือ เนื้อหน้าท้องต่ำกว่าสะดือ (DIEP flap harvesting)

ปัจจัยที่ช่วยในการตัดสินใจ
     1. สุขภาพร่างกาย : ควรแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว
     2. ระยะของการเกิดมะเร็งเต้านม : ควรเป็นในระยะเริ่มต้น คือ ระยะ 1 หรือ 2
     3. ขนาดเต้านมที่มีอยู่ : ต้องมีขนาดเหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไป
     4. ลักษณะของเนื้อเยื่อที่นำไปใช้ เช่น ถ้ามีรูปร่างผอมมากอาจจะไม่มีเนื้อส่วนเกินมาใช้ได้
     5. ความต้องการมีรูปร่างที่เข้ากันได้ เป็นธรรมชาติ
     6. ประเภทของการผ่าตัด: เป็นการผ่าตัดใหญ่ ซับซ้อน ค่าใช้จ่ายสูงกว่าการผ่าตัดเสริมหน้าอกแบบธรรมดาที่ใช้การเสริมซิลิโคน
     7. ขนาดของเต้านมเทียม และเต้านมที่จะสร้างใหม่

ปัจจัยอื่นที่ใช้ในการตัดสินใจ

     1. ต้องมีการสมัครใจในการทำผ่าตัด
     2. การมีแผลเป็นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้หลังผ่าตัด
     3. ควรปรึกษาแพทย์ผู้เกี่ยวข้องหากมีประวัติเลือดออกผิดปกติหรือมีแนวโน้มว่าจะเป็นแผลเป็น
     4. ความสามารถในการหายของแผลอาจน้อยลงจาก การเคยผ่าตัดมาแล้ว การให้เคมีบำบัด การฉายแสง การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ โรคเบาหวาน การใช้ยาหลายชนิด และปัจจัยอื่น

โดย: BOBBY    เวลา: 2011-4-22 18:23
เอาข้อมูลมาจากไหน ควรใส่ refer ไว้ด้วยน่ะครับ
จะได้ให้เครดิตกับ จข ข้อมูลครับ
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:25
การสร้างเต้านมใหม่ด้วยวิธีต่างๆ
      การใช้เต้านมเทียม (Mammary Prosthesis)
      ที่ใช้กันมากเป็นซิลิโคนชนิดเติมน้ำเกลือ และซิลิโคนชนิดเป็นเจล จากการศึกษาที่ผ่านมาเต้านมเทียมไม่จะไม่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

     ขั้นแรก การสร้างเต้านมใหม่ทันที หลังจากผ่าตัดเต้านมออกไปแล้ว ศัลยแพทย์จะใส่เต้านมเทียมเข้าแทนที่เท่ากับขนาดเนื้อเยื่อที่ตัดออกไป
   
     ขั้นสอง การสร้างเต้านมขึ้นภายหลังจากผิวหนังบริเวณหน้าอกราบเรียบจะมีการใส่วัสดุ เข้าไปใต้กล้ามเนื้อให้เนื้อเยื่อมีการขยายตัว(Tissue Expander) หลังจากที่ผิวหนังบริเวณหน้าอกมีการขยายตัว จะมีการนำวัสดุออกแล้วมีใส่เต้านมเทียมเข้าไปแทนที่
การสร้างเต้านมใหม่ด้วยแผ่นผิวหนัง (Skin Flap)

     โดยจะใช้เนื้อเยื่อจาก หน้าท้อง หลัง ต้นขา หรือ จากก้น มาสร้างเป็นเต้านม เดิมมีการผ่าตัดอยู่ 2 ชนิดที่ใช้แผ่นผิวหนัง มาสร้าง คือ TRAM flap ซึ่งจะใช้แผ่นผิวหนังบริเวณหน้าท้อง และ Latissimus dorsi flap ซึ่งจะใช้แผ่นผิวหนังบริเวณหลังช่วงบน การผ่าตัดจะมีแผล 2 ที่ จากแผ่นผิวหนังที่นำไปใช้ กับเต้านมที่สร้างใหม่ อาจจะมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นเช่น ไส้เลื่อน4-9% กล้ามเนื้ออ่อนแรง ความแตกต่างของขนาดและรูปร่างของเต้านมทั้ง 2 ข้าง
TRAM (transverse rectus abdominis muscle) flap: การใช้ส่วนที่เป็นแผ่นผิวหนังไขมัน กล้ามเนื้อ ที่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยง จากหน้าท้อง ย้ายมาสร้างเป็นรูปร่างเต้านมใหม่โดยไม่ต้องใช้วัสดุแปลกปลอมใดๆ จะทำได้ 2 วิธี คือ

     1. Pedicle flap ใช้แผ่นผิวหนังที่ยังมีเส้นเลือดไปเลี้ยง สอดไปใต้ผิวหนังที่มีช่องว่างบริเวณหน้าอก
     2. Free flap ตัดส่วนที่เป็นผิวหนังไขมัน เส้นเลือด และ กล้ามเนื้อ โดยมีการต่อ เส้นเลือด บริเวณส่วนหน้าอกโดยอาจจะต้องใช้กล้องขยายมามาใช้ในการต่อ ซึ่งจะใช้เวลาผ่าตัดนานกว่า Pedicle flap แต่จะมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า

     Latissimus dorsi flap การย้ายแผ่นผิวหนังไขมัน เส้นเลือด และ กล้ามเนื้อ บริเวณแผ่นหลังด้านบน สอดมาใต้กล้ามเนื้อด้านหน้าของหน้าอก ที่มีการทำให้ขยายตัว บางท่านอาจจะมีความรู้สึกเมื่อยล้าบริเวณ หลัง หัวไหล่ และแขน ได้หลังการผ่าตัด มักต้องใส่ถุงซิลิโคนร่วมด้วย

     เมื่อ ค.ศ. 1989 โดย Dr. Isao Koshima เป็นศัลยแพทย์ตกแต่งท่านแรกที่ได้ทำการผ่าตัดตกแต่งแก้ไขขาหนีบและลิ้น โดยใช้ Paraumbilical free flap without muscle ซึ่งก็คือ Free deep inferior epigastric flap (DIEP) นั่นเอง ทำให้donor morbidityลดลงอย่างมากเพราะกล้ามเนื้อหน้าท้องยังแข็งแรงเหมือนเดิม และได้พัฒนามาใช้ในการผ่าตัดเสริมเต้านมคนไข้หลังตัดเต้านม โดยมีรายละเอียดดังนี้
     DIEP (deep inferior epigastric artery perforator) flap: เป็นวิธีการผ่าตัดแบบใหม่ ที่ใช้ผิวหนังเช่นเดียวกับ TRAM flap โดยมีการใช้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องย้ายมาใส่บริเวณหน้าอกซึ่งแต่จะมีการต่อ เส้นเลือดที่มาเลี้ยงส่วนหน้าอกที่ลึกกว่าโดยใช้กล้องขยายช่วย ใช้เวลาในการผ่าตัดนานกว่าวิธีอื่น
     Gluteal free flap: เป็นวิธีใหม่อีกวิธีหนึ่งที่ใช้เนื้อบริเวณก้นย้ายมาทำเป็นเต้านมใหม่ ที่ไม่สามารถใช้เนื้อบริเวณท้องมาใช้ได้เนื่องจากผอมมาก
การสร้างหัวนมและลานหัวนม
     ทำภายหลังจากการสร้างเต้านมแล้ว 3-4 เดือน เพียงฉีดยาชาเฉพาะที่เท่านั้น การทำหัวนมโดยใช้หัวนมข้างที่เหลือ ใบหู หนังตา ขาหนีบ ต้นขาด้านใน หรือจากก้น ส่วนการทำลานนมรอบๆจะใช้วิธีการสักสีเพื่อให้ได้มีสีตามธรรมชาติ
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด
      คุณสามารถที่จะปรึกษาการสร้างเต้านมใหม่ตั้งแต่ทราบว่าเป็นมะเร็งเพื่อการ วางแผนที่ดีที่สุดโดยมีการเช็คประวัติการรักษาตรวจร่างกายเพื่อเป็นทางเลือก ที่เหมาะสมสำหรับอายุ สุขภาพ สรีระ ร่างกาย การดำรงชีวิต และจุดมุ่งหมาย


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:26
รายละเอียดของวิธีการผ่าตัด
     - วิธีการวางยาสลบ
     - บริเวณที่จะใช้ผ่าตัด
     - ความคาดหวังหลังผ่าตัด
     - การวางแผนเพื่อติดตามผล การเตรียมตัว
     - คำแนะนำในการรับประทานอาหาร
     - คำแนะนำในการเลิกสูบบุหรี่
     - หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ใช้มาระยะนึงก่อนการผ่าตัด ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
     - เลือดซึม
     - เกิดอาการปวดและบวม
     - การเกิดแผลเป็น
     - การติดเชื้อ
     - มีเนื้อตายเกิดขึ้น
     - ความรู้สึกสัมผัสเปลี่ยนไป
     - ปัญหาที่เกิดขึ้นจาการวางยาสลบ
       ความเสี่ยงในผู้ที่สูบบุหรี่ : การใช้ยาสูบจะทำให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อน้อยลง ทำให้หายช้าอาจเกิดแผลเป็นและใช้เวลาพักฟื้นนาน
       ความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อ : อาจจะเกิดขึ้นได้หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์แรก ถ้าเกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อที่ใส่เข้าไปจะต้องนำออกก่อนหลังจากที่รักษาการติด เชื้อแล้วก็สามารถใส่เข้าใหม่ได้ในเวลาต่อมา
หลังผ่าตัดสร้างเต้านมใหม่
สำหรับผู้ที่ได้รับการใส่เต้านมเทียม ควรได้รับการตรวจหาความผิดปกติทุกๆ 3 ปีหลังผ่าตัด และทุกๆ 2 ปีหลังจากไม่พบความผิดปกติใดๆ
การมีเต้านมใหม่ กับ การเกิดซ้ำของมะเร็ง
     
       จากการศึกษาที่ผ่านมาการมีเต้านมใหม่ไม่มีผลต่อการเกิดมะเร็งเต้านมซ้ำ อย่างไรก็ตามควรมีการตรวจเอกเรย์คอมพิวเตอร์กับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคโดย เฉพาะ อย่างต่อเนื่อง และควรได้รับการแนะนำจากแพทย์ และ พยาบาล ในการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง
เสริมหน้าอก...เพื่อทรวงอกที่สวยงาม ได้สัดส่วน
           หน้าอก เป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ความเป็นสตรีเพศและช่วยเพิ่มความงามของร่างกายได้ อีกจุดหนึ่ง การมีหน้าอกที่สวยงามได้ขนาดพอเหมาะยังเป็นส่วนเพิ่มความมั่น ใจในการใช้ชีวิตในสังคม การผ่าตัดเสริมทรวงอกจึงเป็นการผ่าตัดที่นิยมและถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องใน ด้านเทคนิคและวัสดุที่ใช้ในการเสริมหน้าอก ปัจจุบันสามารถทำได้อย่างปลอดภัยผลการรักษาเป็นที่พอใจสูง
ถุงนมเทียมที่ใช้ในการเสริมทรวงอก ปัจจุบันที่นิยมใช้มี 2 ชนิด คือ
1.ชนิดน้ำเกลือ     
2.ชนิดซิลิโคนเจล
ขั้นตอนการเสริมหน้าอก...และการดูแลหลังการผ่าตัด
            -  ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการดมยาสลบเพื่อผ่าตัดเสริมหน้าอก จึงต้องตรวจสุขภาพร่างกาย สภาพหน้าอก วัดขนาด เลือกชนิด และขนาดถุงที่พอเหมาะ รวมถึงการตรวจเลือดก่อนการผ่าตัด
งดอาหารและน้ำก่อนการผ่าตัด อย่างน้อย 6 ชั่วโมง
            -  แผลผ่าตัดส่วนมากจะอยู่ที่รักแร้ ปานนม ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ป่วย
ถุงนมเทียมจะวางอยู่ใต้เนื้อเต้านมหรือใต้ฐานนม ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของผู้ป่วยแต่ละรายและแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาตามความ เหมาะสม แผลผ่าตัด ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ จะติดสนิทและตัดไหมได้
            - เมื่อการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย ต่อไปก็เป็นขั้นตอนของการดูแลหลังการผ่าตัด คุณจะต้องนอนพักในโรงพยาบาล ประมาณ 1 วัน เพื่อแพทย์จะได้ดูแลเรื่องอาการปวดบวมรวมทั้งอาการทั่วไป เมื่ออาการทั้งหลายคงที่แล้ว คนไข้สามารถกลับบ้านได้ และแพทย์จะนัดมาตรวจหน้าอก และตัดไหมในอีกประมาณ1 สัปดาห์
      
        แต่การดูแลที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งที่คนไข้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คือ การนวดหน้าอก ทั้งนี้เนื่องจากร่างกายจะสร้างพังผืดมาล้อมตัวถุงนมเทียมไว้เสมอ หาก ถูกล้อมไว้จนแคบเกินไปหน้าอกอาจจะเกิดอาการตึงแข็งได้หรือบางครั้งมีการบิด เบี้ยวของเต้านม
      
        ดังนั้นแพทย์จึงมักจะกำชับให้คนไข้หมั่นนวดคลึงหน้าอกเพื่อให้ถุงนมนั้น สามารถเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลาเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าวและทำให้เต้านมสวย งามเป็นธรรมชาติ โดยการนวดนั้นควรต่อเนื่องกันอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปี เป็นดีที่สุด

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:29
แผลจากการผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอก
     การเลือกแผลผ่าตัดโดยทั่วไปขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวของคนไข้ โดยทั่วไปแผลผ่าตัดที่สามารถใช้เสริมหน้าอกได้ มีดังนี้
1.    รักแร้
2.    ปานนม
3.    ใต้ราวนม
4.    สะดือ
5.    ผ่านแผลผ่าตัดอื่นๆ เช่น แผลผ่าตัดไขมันหน้าท้อง หรือ การเสริมหน้าอกร่วมกับการกระชับที่หน้าอก
          การเลือกแผลผ่าตัด อยู่กับความชำนาญของศัลยแพทย์ โดยทั่วไปแพทย์บางท่านอาจมีแผลผ่าตัดบางตำแหน่งที่ ชำนาญและทำได้ดีก็อาจต้องเลือกแผลตามความถนัดของแพทย์ ถ้าเลือกถุงซิลิโคนขนาดใหญ่อาจไม่เหมาะที่จะเข้าทางปานนมที่มีขนาดค่อนข้าง เล็ก หรือแผลทางเข้าที่สะดือก็ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ที่ต้องมีการเตรียมอุปกรณ์ ผ่าตัดเพิ่มเติม
ความยาวของแผลขึ้นอยู่กับลักษณะของซิลิโคนโดยทั่วไป การใช้ถุงน้ำเกลือที่ต้องฉีดน้ำเกลือภายหลังสามารถเปิดแผลเล็กๆได้ เพราะถุงที่ใส่ผ่านแผลเป็นถุงเปล่า ขณะที่สอดถุงผ่านแผลผ่าตัดสามารถม้วนถุงให้มีขนาดเล็กได้ ขณะที่ถุงเจลจะมีการใส่เจลในถุงมาก่อนจากบริษัท ขณะที่ใส่ถุงที่มีเจล ผ่านผ่าตัดทำให้แผลทางเข้าต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร นอกจากนั้นแล้วถุงเจลผิวเรียบและผิวทรายก็มีผลต่อขนาดของแผลเหมือนกัน ถุงผิวเรียบมีลักษณะนิ่มกว่า และสามารถจับเปลี่ยนรูปร่างได้มากกว่าถุงเจลผิวทราย ทำให้ใส่ผ่านแผลขนาดเล็กได้ง่ายกว่า ดังนั้นถ้าใช้ถุงเจลผิวเรียบ ก็จะสามารถเปิดแผลที่มีขนาดเล็กกว่าผิวทราย

ในที่นี้จะกล่าวถึงข้อดีหรือข้อเสียของการใช้แผลทางเข้าแบบต่างๆ
1.    แผลรักแร้ โดยทั่วไปจะมีขนาด 2-3 ซ.ม. ด้านในของรักแร้ บริเวณกึ่งกลางตำแหน่งของแผลมักเลือกบริเวณที่มีรอยลึกที่สุดของรักแร้ เพื่อช่วยให้แผลเป็นในรอยร่องรักแร้เดิม ถ้าดูแลแผลได้ดี แผลที่รักแร้จะมองไม่ค่อยชัดหลังจากภายหลังแล้ว นอกจากนั้นหลังการเข้าทางรักแร้ ช่วยให้บริเวณหน้าอกไม่มีแผลเป็นเลยรักแร้เป็นตำแหน่งที่คนทั่วไปไม่ค่อยให้ ความสนใจ ดังนั้นจะมักไม่เป็นที่สังเกต นอกจากนั้นถ้าเลือกตำแหน่งที่ลงแผลในรักแร้จริงๆแล้ว เย็บปิดแผลอย่างดี แผลเป็นก็จะดีมาก ทำให้ไม่เป็นที่สังเกต
        การเสริมหน้าอกโดยทั่วไปใช้แผลรักแร้จะทำได้ดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแพทย์แต่ละท่าน
         วิธีการนี้สามารถ ใส่ถุงเต้านมได้ทั้งตำแหน่ง เหนือกล้ามเนื้อ, ใต้กล้ามเนื้อบางส่วน และใต้กล้ามเนื้อทั้งหมด เป็นตำแหน่งที่ดีมาก สำหรับการใส่ใต้กล้ามเนื้อเพราะสามารถยกกล้ามเนื้อขึ้นได้ทั้งหมด การเข้าทางรักแร้ ช่วยให้บริเวณเต้านมไม่มีแผลเป็น โดยที่แผลเป็นซ่อนอยู่ในรักแร้
ข้อเสียก่อนการผ่าตัดรักแร้ คือ ถ้าต้องการแก้ไขหลังผ่าตัดครั้งแรก อาจจำเป็นต้องเปิดแผล ตำแหน่งอื่นๆ เช่น หัวนมหรือให้ราวนม เพราะแผลทางรักแร้ไม่สามารถมองเห็นตำแหน่งที่ถุงเต้านมอยู่ได้ชัดเจน การแก้ปัญหาบางชนิด เช่น การที่ถุงเต้านมเลื่อนลง หรือการตัดพังพืด สามารถทำได้ค่อนข้างยาก ถ้าใช้แผลรักแร้ ดังนั้น ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นภายหลังอาจต้องเปิดแผลหัวนมหรือปานนมแทน ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือการที่แผลผ่าตัดอยู่ไกลจากตำแหน่งของเต้านม การเลาะเปิดช่องใส่เต้านมอาจเปิดช่องว่างได้ไม่ดีหรือไม่กว้างพอ โดยเฉพาะการเสริมเหนือกล้ามเนื้อ
1.    แผลผ่าตัดที่รักแร้ จะเจ็บหลังผ่าตัดมากกว่าแผลที่หัวนมหรือฐานนม เนื่องจากมีการเปิดช่องว่างในถุงเต้านมในระยะทางยาวกว่า
2.    แผลหัวนมอาจเรียกว่าแผลปานนม (AREOLAR, NIPPLE) โดยการเปิดแผลที่บริเวณขอบล่าง ของปานนมเป็นรอยต่อของสีเข้มกับสีอ่อนของหน้าอก
   สามารถทำการผ่าตัดใส่ถุงเต้านมเหนือหรือใต้กล้ามเนื้อ
   สามารถประมาณตำแหน่งที่เราผ่าตัดได้ชัดเจน สามารถเปิดช่องใส่ถุงเต้านมได้พอดี
   แผลที่เปิดบริเวณขอบล่างของปานนมเป็นตำแหน่งที่ ผิวหนังสีเข้มต่อกับผิวหนังสีขาวของเต้านมแพทย์บางคนอาจลงแผลกลางปานนมก็ได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป กรณีที่ลงแผลขอบล่างปานนม แผลที่ลงควรลงไปตำแหน่งของรอยต่อ ปานนมและเนื้อนมพอดี ไม่ควรลงด้านในของปานนม เพราะถ้าแผลหายดีบริเวณแผลเป็นจะมีลักษณะเป็นสีขาวทำให้เห็นแผลเป็นได้ชัด    แผลหัวนมถ้าหายดีจะมองเห็นไม่ชัด แต่ถ้าแผลหายช้ามักมีปัญหา แผลเป็นแผลหลังติดเชื้อจะมองเห็นแผลเป็นได้ชัดกว่าแผลที่หายเป็นปกติ

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:29
    กรณี ที่ต้องการยกกระชับหน้าอกร่วมกันกับเสริมหน้าอกแผลหัวนมเป็นแผลที่ควรใช้มาก ที่สุดเพราะการยกกระชับหน้าอก จะต้องเปิดแผลบริเวณหัวนมด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นในการที่จะต้องยกกระชับหน้าอกด้วย ควรเลือกแผลนี้เป็นทางเข้า
    ข้อจำกัดของการใช้แผลหัวนมคือถ้าปานนมเล็กแต่ต้องการใส่ถุงขนาดใหญ่มากอาจ ไม่สามารถทำได้คน ทั่วไปจะคิดว่าการเปิดแผลปานนมไม่สามารถใส่ถุงเต้านมใต้กล้ามเนื้อได้แต่ใน ความจริงแล้วแผลใต้ปานนมสามารถใส่ถุงเต้านมไว้ได้ทำเหนือหรือใต้กล้ามเนื้อ การใส่ใต้กล้ามเนื้อจะเจ็บกว่าเพราะจะมีการเปิดชั้นกล้ามเนื้อด้วย
       ข้อเสียของการลงแผลที่หัวนมคือ เนื่องจากแผลอยู่กลางหัวนม ถ้าแผลมีปัญหาเช่นอักเสบ บวมมาก แผลเป็นก็จะเห็นได้ชัดมาก แผลมีผลต่อการให้นมบุตรในกรณีที่หัวนมขนาดเล็ก อาจมีอาการชาที่หัวนมในระยะแรกได้และเนื่องจากการผ่าตัดต้องผ่าผ่านท่อน้ำนม มีความเชื่อว่าอาจมีการปน เปื้อนของเชื้อโรคในท่อน้ำนมไปยังตำแหน่งที่วางถุงเต้านมทำให้มีโอกาสเกิด พังพืดขึ้นได้
3.    แผลใต้ราวนม เป็นแผลผ่าตัดที่นิยมทำกันมากในต่างประเทศ แผลใต้ราวนมสามารถใช้สำหรับใส่ถุงเต้านมที่ระดับเหนือกล้ามเนื้อหรือใต้ กล้ามเนื้อ และสามารถใช้ได้ดีในกรณีต้องการเอาถุงเต้านมออก เมื่อไม่ต้องการการลงแผลแบบนี้ช่วยให้สามารถระบุตำแหน่งของช่องว่างสำหรับ ใส่ถุงเต้านมได้ดี ทำให้วางถุงเต้านมได้ถูกต้องอย่างดี และแผลผ่าตัดจะไม่มีการตัดผ่านท่อนม ทำให้โอกาสที่มีเชื้อแบคทีเรียเข้ามาปนเปื้อนมีน้อย
       การเปิดแผลแผลจะลงที่ตำแหน่งขอบล่างของเต้านม ซึ่งจะเป็นรอยพับของเต้านมพอดีถ้าลงในตำแหน่งที่ดีแผลเป็นจะอยู่ที่รอยพับพอ ดีทำให้มองไม่ค่อยเห็นแผลเป็นเวลายืนหรือนั่ง แต่อย่างไรก็ตาม เวลานอนก็จะเห็นแผลเป็นได้ชัดเจนส่วนใหญ่แล้วผ่าตัดแพทย์จะลงแผลต่ำกว่ารอย พับใต้ราวนมเดิมเล็กน้อยเพื่อให้ดูแผลเป็นถูกปิดบังโดยเต้านมทำให้มองไม่ เห็น
ข้อดีของ การลงแผลใต้ราวนม คือเมื่อจำเป็นที่ต้องผ่าตัด แก้ไขจากปัญหาอื่นๆ เช่นพังพืด,ถุงนมเลื่อนลงหรือถุงนมเข้ามาชิดกัน สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด ถ้าเริ่มผ่าตัดครั้งแรกด้วยแผลรักแร้แล้ว ต้องแก้ไข บางครั้งอาจต้องลงแผลใหม่ เป็นแผลที่ราวนมหรือหัวนม ในการผ่าตัดครั้งที่ 2 ทำให้มีแผลเป็น 2 ที่
        ปัญหาของการเปิดแผลนี้ พบในคนที่มีเนื้อนมน้อยมากจนไม่มีขอบใต้ราวนมทำให้เวลาเปิดแผลต้องเอาคาดเดา เอาว่าขอบของเต้านมที่จะเกิดขึ้นใหม่ หลังการเสริมเต้านมจะเป็นบริเวณใด แต่โดยทั่วไปศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ มักจะวางแผนเลือกแผลทางเข้าได้ดี จึงมักไม่ค่อยมีปัญหานี้ นอกจากนั้นแล้ว แผลเป็นบริเวณนี้จะเปลี่ยนระดับสูงขึ้นหรือต่ำลงขึ้นอยู่กับขนาดของถุงเต้า นม ดังนั้นก่อนผ่าตัดจะต้องวางแผนให้ดีเกี่ยวกับเรื่องขนาด คนไข้จะต้องแน่ใจเรื่องขนาด เพราะการเปลี่ยนขนาดในภายหลังอาจทำให้แผลเป็นเห็นชัดขึ้น กล่าวคือ
        โดยทั่วไปหลังการเสริมหน้าอกโดยใช้แผลใต้ราวนม เราจะเอาจุดศูนย์กลางของถุงอยู่ที่หัวนม และขอบของถุงอยู่ที่ขอบล่างของราวนมพอดี ดังนั้นในคนคนเดียวกัน ถ้าใช้ถุงขนาดใหญ่มากแผลทางเข้าจะอยู่เลื่อนสูงขึ้นกว่าขอบราวนมเดิมเพราะ รอยพับของเต้านมจะเลื่อนลง ดังนั้นถ้าคนที่เคยใส่ถุงขนาดเล็กแล้วเปลี่ยนเป็นไซด์ใหญ่ขึ้น  แผลเป็นก็จะเปิดสูงขึ้นกว่าขอบราวนมทำให้แผลไม่อยู่พอดีที่รอยพับใต้ราวนม แต่จะอยู่สูงกว่ารอบพับเล็กน้อย  ขณะเดียวกันถ้าผ่าตัดเปลี่ยนขนาดเป็นขนาดเล็กลง แผลเป็นก็จะขยับต่ำลง ถ้าเปลี่ยนใจเอาถุงนมออก แผลเป็นก็
จะเห็นชัดเจน เพราะไม่มีเนื้อนมบังแผลเป็น
    การเปิดแผลราวนม เหมาะกับผู้ที่อยู่ประเทศตะวันตกเพราะคนผิวขาวแผลเป็นจะดี หลังจากผ่านไป 3-6 เดือน ก็มองเห็นไม่ชัด และเหมาะกับคนที่มีเนื้อนมมากพอสมควรที่เต้านมจะต้องสามารถปิดแผลเป็นได้ใน คนไทยหรือคนเอเชียการเปิดแผลแบบนี้ อาจต้องระมัดระวังเพราะแผลเป็นหลังผ่าตัดอาจเห็นได้ชัดนี่คือเหตุผลว่าทำไม คนไทยถึงไม่นิยมใช้แผลแบบนี้ แผลเป็นการผ่าตัดนี้จะสามารถเพิ่มความยาวกว่าแผลอื่นๆกรณีที่ต้องใส่ถุงขนาด ใหญ่มาก

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:31
1.    ผ่าตัดทางสะดือ(TUBA-TRANUMBILICAL,NAVEL)
       วิธีนี้มักกระทำมามากกว่า 15 ปี แต่เนื่องจากเทคนิคยุ่งยากและต้องใช้เครื่องมือพิเศษจะไม่ค่อยนิยมทำแผลทาง นี้สามารถวางถุงเต้านม ได้ทั้งเหนือและใต้กล้ามเนื้อ
การผ่าตัดทำโดยเปิดแผลขนาดเล็กที่สะดือ และใช้กล้องส่องทางใต้ผิวหนัง ในตำแหน่งที่เสริมหน้าอก  ขยายช่องว่าง หลังจากได้ช่องว่างพอเหมาะ ใส่ถุงน้ำเกลือ ม้วนผ่านกล้อง เข้าไปยังตำแหน่งที่ต้องการและเติม น้ำเกลือจนได้ขนาดของเต้านมที่ต้องการ
         ข้อดี ของ การเลือกทางสะดือคือ แผลเย็บไม่เห็นที่เต้านมเลย และมีความเจ็บปวดน้อยเนื่องจากการส่องกล้องจะขยายช่องทางเล็กๆ แต่การเจ็บหน้าอกจากการขยาย การเจ็บของเต้านมไม่แตกต่างจากวิธีอื่น
          ข้อเสียของ วิธีนี้คือ การใช้กล้องส่อง จะต้องมีการผ่านทางหน้าท้อง บางครั้งหลังผ่าตัดอาจจะเห็นแผลเป็นได้ชัดเป็นรูป ตัว V ที่ผนังหน้าท้อง เหนือสะดือแต่ปัญหานี้พบได้ไม่บ่อย
การใช้แผลสะดือ ถ้าต้องการใส่ใต้กล้ามเนื้อ การผ่าตัดจะค่อนข้างยากและเสียเวลานานและบางครั้งถ้าเปิดแผลสะดือแล้ว จัดวางถุงเต้านมได้ไม่ดี อาจต้องเปลี่ยนเป็นเปิดแผลที่ปานนมหรือราวนมขณะที่ทำการผ่าตัดนอกจากนั้น แล้ว จะเห็นว่าตำแหน่งทางเข้าของแผล และตำแหน่งของเต้านม ห่างไกลกันมากดังนั้นการจัดวางถุงเต้านมบางครั้ง ค่อนข้างยากหรือได้ตำแหน่งที่ไม่ค่อยดี
          การผ่าตัดทางสะดือ สามารถใช้ได้เฉพาะถุงน้ำเกลือไม่สามารถใช้ถุงเจลได้
ความเห็นของผู้เขียน คิดว่าการผ่าตัดผ่านสะดือ เป็นเพียงเทคนิคการแสดงเทคนิคการผ่าตัดของ
ศัลยแพทย์ บางท่านว่าทำได้ การผ่าตัดและการดูแลหลังผ่าตัด ล้วนแล้วแต่มีปัญหา เทคนิคมีการพัฒนามา 15-20 ปี แต่มีคนนิยมทำกันน้อยมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุผลก็คือการเสริมหน้าอก เพื่อเปิดช่องใส่ถุงเต้านม เทคนิคการผ่าตัด  แม้ว่าจะเปิดช่องได้แต่ก็ไม่สามารถจัดวางตำแหน่งของถุงได้ดีเท่าวิธีอื่นๆ หากต้องมีการแก้ไข ก็ไม่สามารถทำ จากแผลเดิมได้ บางครั้งการผ่าตัดในเคส ที่ค่อนข้างยาก อาจต้องเปลี่ยนมาเปิดแผลทางหัวนมหรือใต้ราวนมทำให้  มีแผลถึง 2 แผล ในปัจจุบันยังไม่ถือเป็นวิธีมาตรฐานเหมือนกับ 3 วิธีแรกและบริษัทผู้ผลิตเต้านมเทียมก็ไม่
รับประกันถ้ามีการแตกรั่วของถุงในระหว่างการผ่าตัดโดยผ่านทางสะดือ ถ้ามีข้อผิดพลาดระหว่างผ่าตัดอาจมี  ค่าใช้จ่ายของถุงเต้านมเพิ่ม
2.    เข้าทางแผลผ่าตัดอื่นๆ
        การผ่าตัดอื่นบางครั้งมีแผลผ่าตัดอยู่แล้ว อาจทำการผ่าตัดเสริมหน้าอกผ่านทางแผลนั้นๆได้เลยโดยไม่ ต้องเปิดแผลใหม่ โดยที่มีการเสริมหน้าอกโดยใส่ถุงซิลิโคนทางแผลผ่าตัดได้แก่
ผ่านแผลผ่าตัดไขมันหน้าท้อง การตัดไขมันหน้าท้องจะมีการยกผิวหนังหน้าท้องขึ้นตั้งแต่ใต้สะดือ จนถึงขอบซี่โครงและลิ้นปี่ บริเวณเหนือต่อขอบซี่โครงจะเป็นตำแหน่งของเต้านมสามารถเสริมหน้าอกผ่านช่อง ทางนี้ได้โดยไม่ต้องเปิดแผลผ่าตัดแยกอีกแผลหนึ่ง
      
       การเสริมหน้าอกในตำแหน่งนี้ สามารถใช้ได้กับการวางถุงเต้านมในตำแหน่ง เหนือกล้ามเนื้อหรือใต้กล้ามเนื้อ แต่การเสริมโดยวางใต้กล้ามเนื้อจะค่อนข้างยากและสามารถทำได้ในคนไข้บางคน เท่านั้น ในคนที่อ้วนมากๆไม่สามารถทำได้ ถุงเต้านมสามารถใช้ได้ทั้งถุงน้ำเกลือและถุงเจล ในกรณีถุงน้ำเกลือจะใส่ขนาดใหญ่เท่าไหร่ก็ได้แต่สำหรับถุงเจลไม่ควรมีขนาด ใหญ่เกินไปเพราะการใส่ถุงทำได้ค่อนข้างยาก

      
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:32
โดยทั่วไปพบว่าในคนที่มาตัดหน้าท้อง จากการที่หน้าท้องหย่อนยานก็มักจะมีเต้านมยานด้วย การเสริมหน้าอกก็มักเลือกเสริมเหนือกล้ามเนื้ออยู่แล้วเพื่อให้ลักษณะเต้านม ยานดีขึ้นจึงสามารถเสริมผ่านแผลนี้ได้
       ข้อจำกัดของวิธีการนี้คือ ปัญหาเรื่องของแผลผ่าตัดไขมันเพราะเมื่อมีการเสริมหน้าอกด้วยจะมีการเปิด ช่องใต้ราวนม ทำให้มีการตัดเส้นเลือดบางส่วนทั่วไปที่ผิวหนังหน้าท้อง ทำให้มีปัญหาเรื่องแผลหน้าท้องได้วิธีนี้ จะไม่แนะนำในคนที่มีผนังหน้าท้องหนามากๆและคนที่มีแผลผ่าตัดตามขวางที่หน้า ท้อง รูปตัดไขมันหน้าท้องที่ B (s)
การเสริมผ่านแผลผ่าตัดเต้านมออก วิธีสำหรับการผ่าตัดที่เป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมสร้างไม่ใช่การผ่าตัดเพื่อ ความสวยงามในผู้ที่ต้องผ่าตัด  เต้านมออกเนื่องจากเป็นมะเร็งและต้องการทำเต้านมต่อเลยอาจผ่าตัดใส่ถุงเต้า นมเทียมไว้ได้เลยถ้าแน่ใจได้ว่าไม่ต้องฉายแสง

การผ่าตัดลดขนาดหน้าอก
การมีหน้าอกที่ใหญ่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ดูดีเสมอไป ในผู้หญิงที่มีหน้าอกที่ใหญ่มากอาจจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น ปวดไหล่และคอ หายใจไม่สะดวก และอาจจะทำให้หมดความมั่นใจในตนเอง
ผู้ที่จะรับการผ่าตัดควรมีหน้าอกที่เจริญเต็มที่แล้ว ยกเว้นในรายที่มีหน้าอกใหญ่มากๆ
หลักสำคัญในการลดขนาดหน้าหน้าอก
1. ต้องมีการตัดเต้านมส่วนเกินออก
2. ตัดแต่งผิวหนังและไขมันรอบเนื้อนมที่หย่อนยานออก เพื่อเย็บสร้างเต้านมให้มีรูปทรงและขนาดที่เหมาะสมสวยงามขึ้น รวมทั้งกระชับส่วนที่หย่อนยานด้วย
ขั้นตอนการผ่าตัด
1. ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกโดยให้คนไข้ดมยาสลบ
2. แพทย์จะทำการวัดและกำหนดจุดต่างๆ ที่สำคัญสำหรับการผ่าตัดที่หน้าอก เพื่อจะได้ทราบขนาดและตำแหน่งของหัวนมใหม่ จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องตำแหน่งผิดพลาดและขนาดของเต้านมจะได้ใกล้เคียงกันมาก ที่สุด
ระยะเวลาในการผ่าตัดและพักฟื้น
ศัลยแพทย์ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 3 ชั่วโมง หลังทำการผ่าตัดคนไข้จะต้องนอนพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 3 วัน เพื่อศัลยแพทย์จะได้ดูอาการต่างๆ จนปลอดภัยและกลับคืนเป็นปกติ เมื่อแผลเรียบร้อยดีแล้วจึงสามารถกลับบ้านดูแลได้ด้วยตนเองประมาณ 1-2 สัปดาห์แพทย์จะนัดมาตัดไหมออกและตรวจเต้านมอีกครั้ง
วิธีการดูแลหลังการผ่าตัด
1. งดการยกสิ่งของเหนือศีรษะเป็นเวลา 3-4 อาทิตย์
2. ไม่ควรทำกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังมากเป็นเวลา 1 เดือนหลังจากการผ่าตัด
3. สามารถใส่ยกทรงได้ตามปกติ แต่ไม่ควรใช้ยกทรงชนิดที่มีส่วนประกอบของโลหะในช่วงเดือนแรกของการผ่าตัด


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:37
การผ่าตัดแก้ไขหัวนมบอด
หัวนมบอด เกิดจากท่อน้ำนมสั้น หรือมีพังผืดสั้นดึงรั้งไว้ ทำให้หัวนมโผล่ออกมา หรือโผล่ออกมาแล้วก็หดกลับคืน
ขั้นตอนการผ่าตัด
1.ให้ยานอนหลับชนิดที่มีฤทธิ์สั้นเพื่อคลายความวิตกกังวลและเมื่อฉีดยาชาจะไม่รู้สึกเจ็บ
2.ทำการผ่าตัดตามที่ได้ปรึกษากันไว้โดยการผ่าตัดจะนิยมทำกัน 2 วิธี คือ
•  วิธีที่ 1 ดึงหัวนมขึ้นแล้วทำการผ่าตัดลงไปบริเวณฐานของหัวนม จากนั้นเลาะยืดพังผืดและท่อนมแล้วเย็บรวบที่ฐานของหัวนมให้เล็กลงต่อจากนั้น ทำการเย็บปิด
•   
•  วิธีที่ 2 ผ่าตัดเข้ากลางหัวนม แล้วเข้าไปตัดพังผืดหรือท่อนมส่วนที่ดึงรั้งอยู่ออกต่อจากนั้นทำการเย็บกลับคืน
3.หลังจากยกหัวนมขึ้นจะใช้ไหมเย็บเพื่อป้องกันหัวนมหดเข้าไป แล้วเย็บปิดแผลผิวหนัง
ระยะเวลาในการผ่าตัดและพักฟื้น
ศัลยแพทย์ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 30-60 นาที
คนไข้สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 วัน ก็สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
วิธีการดูแลหลังการผ่าตัด
1.หลังผ่าตัด 1 วัน แพทย์จะนัดมาดูแผลของหัวนมหลังจากถูกยกขึ้นแล้ว แผลห้ามถูกน้ำประมาณ 2-3 วัน
2.โดยทั่วไปจะนัดตัดไหมประมาณ 7 วัน
3.หลังผ่าตัด ถ้ามีปัญหาเลือดออกมาก ควรมาพบแพทย์ทันที

การผ่าตัดยกกระชับหน้าอก

•        ใครคือผู้ที่มีคุณสมบัติ?

ถ้าคุณกำลังประสบปัญหาหน้าอกหย่อนยานหลังคลอดหรือให้นมบุตรการศัลยกรรมยก กระชับทรวงอกสามารถช่วยคุณได้การยกกระชับหน้าอกในประเทศไทยนี้ช่วยให้หน้าอก ของคุณเต่งตึงและเข้ารูปสวยงามมากขึ้น
•        ควรจะต้องอยู่ในประเทศไทยกี่วันเพื่อการเสริมหน้าอก?

ผู้ป่วยควรอยู่ในประเทศไทยอย่างน้อย 10 วันโดยวันแรกพักผ่อนในโรงแรมและไปพบแพทย์ในวันถัดไปการผ่าตัดการะชับหน้าอก จะต้องนอนที่โรงพยาบาล 2 คืน และหลังจากผ่าตัด 7 วันจะต้องกลับไปตรวจเช็คและตัดไหม

•        การกระชับหน้าอกทำอย่างไร?

การผ่าตัดจะอยู่บริเวณปานนมลงมาจนถึงใต้ฐานนมนายแพทย์จะยกกระชับและเปลี่ยน แปลงรูปทรงทรวงอก ผิวหนังส่วนเกินจะถูกตัดออกหัวนมและปานนมจะถูกยกให้สูงขึ้นเพื่อความเป็น ธรรมชาติ หน้าอกของคุณจะดูกระชับสวยงาม และอ่อนเยาว์ขึ้นการยกกระชับทรวงอกสามารถทำร่วมกับการเสริมทรวงอกได้เพื่อ ความสวยงาม
มากยิ่งขึ้น
•        จะต้องมีการใช้ยาสลบหรือไม่?

การผ่าตัดกระชับหน้าอกจะใช้ยาสลบและการผ่าตัดใช้เวลาประมาณ 1-2 ช.ม.
•        การดูแลรักษาหลังผ่าตัดต้องทำอย่างไร?

หลังจากผ่าตัด ผู้ป่วยไม่ควรยกของเหนือศีรษะประมาณ 3-4 อาทิตย์และห้ามออกแรงหรือทำกิจกรรมหนักหนักเป็นระยะเวลา 1 เดือนผู้ป่วยสามารถใส่เสื้อชั้นในได้ตามปกติแต่ยกเว้นเสื้อชั้นในแบบมีโครง ในช่วงเดือนแรก
.
•        รอยแผลจะมีลักษณะอย่างไร?

การผ่าตัดยกกระชับทรวงอกจะปรากฏบาดแผลเป็นรูปตัวทีหัวคว่ำแต่รอยแผลจะค่อยๆจางลง
•        มีความเสี่ยงและอาการแทรกซ้อนอะไรบ้างที่อาจเกิดขึ้น?

ความเสี่ยงโดยมากที่อาจเกิดขึ้น คือ อาการบวม ช้ำแผลมีเลือดออก แผลติดเชื้อ เป็นแผลเป็นตลอดจนการขาดความรู้สึกช่วงคราวแต่การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ สามารถช่วย
ลดความเสี่ยงและอาการแทรกซ้อนข้างต้นได้

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:38
ตอบกระทู้ BOBBY ตั้งกระทู้

รวบรวมมาจากหลายเว็บและหนังสือหลายเล่มค่ะ
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:46
เอามาจากหนังสือวิชาการทางการแพทย์ของเพื่อนค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:49
งั้นต้องลบก่อนไหมค่ะ แล้วค่อยลงข้อมูลเพิ่มเติมว่าเอาข้อมูลมาจากที่ไหน ขอบโทษจริง ๆค่ะ เพราะเห็นว่าข้อมูลมันน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ได้อ่านมาก ๆ
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-22 18:55
งั้นลบกระทู้ไปเลยจะดีกว่า แล้วมาลงใหม่ทีหลังพร้อม refer  ต้องขอโทษคุณ BOBBY ด้วยนะค่ะ เพราะเห็นว่าเนื้อหามีประโยชน์จริง ๆ ตอนนี้ต้องรีบไปทำธุระ ขอบพระคุณมากค่ะ
โดย: BOBBY    เวลา: 2011-4-22 23:45
งั้นก็เอา refer ตามมาใส่ละกันน่ะครับ ^^
โดย: bermuda    เวลา: 2011-4-23 05:43
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย bermuda เมื่อ 2011-4-23 06:06


ต้นฉบับโพสต์โดย BOBBY เมื่อ 2011-4-22 23:45
งั้นก็เอา refer ตามมาใส่ละกันน่ะครับ ^^


ขอแชร์ไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ สำหรับ ผู้โพสท์ และ แอดมิน

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีเวบดังระดับประเทศ เวบหนึ่ง
สมาชิกขาประจำท่านหนึ่ง ชอบหาความรู้ มากมายหลายเรื่องมาจาก กูเกิ้ล มาแชร์ให้เพื่อนๆเสมอๆ เป็นข้อมูลยาวรายละเอียด
เนื้อหายาวเหยียด คล้ายๆ สารานุกรม  
ก็มีทั้ง สมาชิก ที่ชอบอ่าน และ ไม่ชอบอ่าน ( หมายถึง ชอบ ไม่ชอบ ข้อมูลนะคะ ไม่เกี่ยวกับคนโพสท์ )

พวกเล่นเน็ต จนชำนาญ ก็ มองว่า สามารถ หาอ่านเองได้ เค้าก็ ไม่อ่าน
มือใหม่ หรือ คนหาข้อมูลในเน็ต ยังไม่เก่ง ก็มองว่า ดีจัง มีคน เอามาโพสท์ ให้อ่าน ตอนนั้น พี่ก็ อ่านหมด พี่ก็ มือใหม่
คนไม่ชอบอ่าน อะไรเยอะๆ จากหน้าจอคอม ก็ บอกว่า โอ๊ย ตาลาย อ่านไม่ไหว

คนโพสท์ ก็ เจตนาดีค่ะ อะไรมีประโยชน์ ก็ ไปหา ไปก็อปเอามาบอก แทบทุกเรื่อง

แต่ ไม่เคย อ้างอิง ถึง แหล่งที่มา ข้อมูล สักครั้ง

วันหนึ่ง ก็มี จดหมาย มาถึง แอดมิน ขู่ว่า จะส่งทนาย มาฟ้อง
โทษฐาน ที่ เอา ข้อมูล ที่เวบเค้าเขียนขึ้นมา มาเป็นของตนเอง
และ ตำหนิ แอดมิน ต่างๆนาๆ ที่ไม่ดูแล ไม่รักษา มารยาท ในการนำข้อมูล ของ ผู้อื่น มาเผยแพร่
การไม่บอกที่มา เท่ากับ เป็น การทึกทักเป็นของตนเอง

แอดมิน อารมณ์เสีย ของขึ้น ติสท์แตก มาตำหนิ ผู้โพสท์ อย่างรุนแรง
ผู้โพสท์ ก็ เสียใจ น้อยใจ อับอาย ทำไม ต้องมาว่ากันแรงๆด้วย
สมาชิก ก็ แยก ออกเป็น สองพวก สามพวก เข้าข้าง แอดมินมั่ง คนโพสท์มั่ง

ผลคือ ไม่มีใครได้อะไรเลย

บรรยากาศ เวบก็เสีย
แอดมินก็ซวย โดนตำหนิ
คนโพสท์ ก็ ซวย เจตนาดี ไหงเป็นงี้

ไม่อยากให้เรื่อง แบบนี้ เกิดขึ้นที่นี่
ดังนั้น พวกเรา ทุกคน ควร ให้เกียรติ เจ้าของข้อมูล เสมอ
ความรู้ กว่า จะรู้ กว่า จะเขียนออกมา ไม่ใช่ง่าย
เราเอา ของเค้ามาถ่ายทอด ง่ายมาก
ถือว่า เผยแพร่ สิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ ขณะเดียวกัน ไม่ว่า ความรู้นั้น สิ่งๆนั้น จะเป็นของใคร
เรื่องอะไร เพลงอะไร หนังสืออะไร ข่าวอะไร มาจากไหน
เสียเวลานิด แต่ ทุกๆชีวิต จะ สงบสุข และ ปลอดภัย

ขอบคุณค่ะ
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-23 07:13
รับทราบค่ะ
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-23 09:13

น่ารู้ Soft Tissue Fillers สารเติมความงาม ขอขอบคุณข้อมูลจาก >สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
อันตรายจากกลูต้าไธโอน "ของผิวขาว" ขอขอบคุณข้อมูลจาก Health&Cuisine
อันตรายจากการฉีดสารแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ขอขอบคุณข้อมูลจาก >สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

AHA กับ BHA Reference
-        Archives of Dermatologic Research

- Dermatologic Surgery

- Experimental Dermatology

- Global Cosmetic Industry
ขอขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

Ratin A เครดิต คัดลอกมาจากโซนไอที

ศัลยกรรม การดึงหน้า ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์

ศัลยกรรมโหนกแก้ม ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์
การผ่าตัดกราม "แก้ไขรูปหน้า"  ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

การศัลยกรรมตาสองชั้น หรือ การผ่าตัดตกแต่งเปลือกตา (Blepharoplasty) ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

ไขข้อสงสัย! การเสริมจมูกด้วยไขมันขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

การผ่าตัด เสริมจมูก ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
จมูกสวย" ด้วย "การตัดปีกจมูก" ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือสวยด้วยแพทย์

ริมฝีปากหนา สวยด้วย "ศัลยกรรม ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์

เสริมคาง ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
การเสริมหน้าอก ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-23 09:14
ตอบกระทู้ BOBBY ตั้งกระทู้

ขอบคุณค่ะ
โดย: BOBBY    เวลา: 2011-4-23 12:11
ใต้ คอมเมนต์ทุกคอมเมต์ จะมีคำว่า แสดงความคิดเห็นอยู่ คุณจอย กด แล้วก็ใส่เข้าไปก็ได้ครับ จะได้รูว่าอันไหนมาจากไหนครับ เพราะที่ดูข้อมูลมันเยอะมากครับ
โดย: BOBBY    เวลา: 2011-4-23 12:14
อย่างที่ผม ทำให้ดูเรื่องหน้าอกเปนต้นครับ ลองใส่ดูนะครับ
คนจะได้รู้ว่าอันไหนมาจากไหนครับ
ขอบคุณครับ
โดย: SIWAPAT    เวลา: 2011-4-23 12:19
ขอบคุณสำหรับข้อมูลเยอะๆแน่นๆเป๊ะๆๆนะจ๊ะๆ   หามามากๆๆๆกว่านี้อีกจาได้เป็นทางเลือกหั้ยกะผู้ที่กำลังหาข้อมูลเพื่อใช้ในการทำศัลยกรรมต่อไปจ๊ะ เริดมากกกก....
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-24 11:35
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ IPL
อ.นพ.สิทธิโชค ทวีประดิษฐ์ผล
สาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่ง ภาควิชาศัลยศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
IPL (ย่อมาจาก Intense Pulsed Light) เป็นเครื่องมือที่ให้ลำแสงที่มีความเข้มข้นสูง มี
ความยาวของคลื่นแสงตั้งแต่ 515 ถึง 1,200 นาโนเมตร และสามารถปรับความยาวของคลื่นและ
ระยะเวลาการปล่อยลำแสงที่พอเหมาะในการใช้งานโดยการใช้ฟิลเตอร์
หลักการทำงานของ IPL แตกต่างจาก Laser ตรงที่คลื่นแสงที่ถูกปล่อยออกมาจะมีช่วงความ
ยาวของคลื่นแสงที่กว้างกว่า
IPL ถูกนำมาใช้งานในการรักษารอยโรคบางชนิดบนผิวหนัง และใช้ในการปรับสภาพผิวหน้า
ในผู้ป่วย ปัจจุบันมีเครื่อง IPL หลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน
ออกไป
รอยโรคทางผิวหนังที่สามารถรักษาได้โดย IPL ได้แก่
1. รอยโรคของเส้นเลือด เช่น ปานแดงตั้งแต่กำเนิด, จุดเส้นเลือดขอด
2. รอยโรคที่เกิดจากเม็ดสีของผิวหนัง เช่น ปานดำตั้งแต่กำเนิด, กระ, ฝ้า เป็นต้น
3. การถอนขน
4. การปรับสภาพผิวหน้าให้กระชับ
5. การรักษาสิวโดยใช้ร่วมกับสารเคมีบางชนิด เช่น 5-ALA
6. การรักษาแผลเป็นนูน
การรักษาโดย IPL สามารถทำในลักษณะผู้ป่วยนอกได้เหมือนการทำ Laser โดยทั่วไปใช้
ระยะเวลาในการรักษา 4-6 ครั้ง แต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที เว้นระยะห่างครั้งละ 3-6
สัปดาห์
ข้อดีของการรักษาโดย IPL ได้แก่
1. ลำแสงของ IPL จะไม่ทำลายผิวหนังชั้นบนสุดซึ่งแตกต่างจาก Laser
2. ไม่ทำให้เกิดบาดแผล
3. ใช้เวลาในการรักษาแต่ละครั้งน้อย และผู้ป่วยสามารถทำงานได้ตามปกติ
ผลข้างเคียงของการรักษาโดย IPL เกิดขึ้นบ้างแต่ไม่รุนแรง เช่น
1. อาการเจ็บขณะที่ทำการรักษา
2. ในบางรายอาจมีผิวหนังแดง
3. ปวดแสบร้อน ซึ่งมักจะพบได้ใน 2-3 วัน หลังให้การรักษา
4. บางรายอาจจะเกิดเป็นรอยด่างขาว ซึ่งจะค่อยๆ จางหายได้เอง
ในบางรายอาจจะมีสีของผิวหนังเข้มขึ้นได้ แต่สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดด
หรือใช้ครีมทากันแดด เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจากสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย
THE SOCIETY OF AESTHETIC PLASTIC SURGEONS OF THAILAND
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-24 11:43
น่ารู้! เรื่อง เลเซอร์ Fraxel Laser "แก้ริ้วรอย"
อีกหนึ่งนวัตกรรมเลเซอร์ที่ซึ่งสมัยนี้ได้รับความนิยมและการตอบรับเป็นอย่างดีถึงแนวทางการรักษา เลเซอร์ Fraxel Laser ก็เป็นอีกหนึ่งตัวที่สามารถ แก้ไขริ้วรอย ผิวขรุขระ ความเหี่ยวย่น รอยฝ้า จุดด่างดำ รวมถึงแผลเป็นที่เกิดจากสิว เลเซอร์ Fraxel Laser จัดเป็นนวัตกรรมเลเซอร์อีกหนึ่งตัวที่ดีมาก ๆ เลยค่ะ วันนี้เราเลยขอพาคุณผู้หญิงมาทำความรู้จักกับ เลเซอร์ Fraxel Laser ให้มากยิ่งขึ้นเพื่อใครกำลังคิดที่จะใช้นวัตกรรม เลเซอร์ Fraxel Laser ตัวนี้กันอยู่นะค่ะ
เลเซอร์ Fraxel Laser

ตามต่อกันอีกกับปัญหาผิวลาย ที่ ภาษาหมอ วันนี้ขอว่าด้วยเรื่องการรักษา ซึ่งแพทย์ผิวหนังใช้แก้ไขริ้วรอยร่องคลื่นขรุขระที่เกิดขึ้นได้

นวัตกรรมล่าสุดที่นำมาอัพเดทนั้นคือ Fraxel Laser เป็นการใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1410 นาโนเมตร ปล่อยคลื่นแสงลึกสุดถึงชั้นคอลลาเจนแบบตรงตำแหน่งที่ต้องการรักษา เพื่อปรับสภาพผิวที่มีปัญหาให้กลายเป็นเซลล์ผิวเก่าและจะถูกผลักให้หลุดลอกออกภายใน 2 สัปดาห์ โดยเซลล์ผิวใหม่จะเข้าไปแทนที่

ระหว่างการรักษาอาจรู้สึกเจ็บและมีลักษณะแดงบริเวณผิวที่ถูกเลเซอร์เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการรักษาแบบอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือมีผลข้างเคียงมากกว่านี้ เช่น การกรอผิวด้วยคริสตัลบริสุทธิ์ขนาดเล็กหรือการลอกผิวด้วยกรดผลไม้

การแก้ปัญหาผิวด้วย Fraxel Laser ใช้ได้กับทุกสภาพและสีผิว รักษาเรื่องริ้วรอย ความเหี่ยวย่น จุดด่างดำ รอยฝ้า รอยแผลเป็นจากสิวใช้กับผิวหนังบริเวณทั้งใบหน้า ลำตัวรวมทั้งรอบดวงตา ให้ผลการรักษาสูงถึงร้อยละ 60-90 ถือว่าดีที่สุดในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม Fraxel Laser ผ่านการรับรองมาตรฐานองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐ (US FDA Approved) แล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-24 12:09
น่ารู้! กรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion)
วันนี้พาคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงามมารู้จักกับกับนวัตกรรมกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion) ด้วยวิธี กรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี นี้สามารถช่วยลดรอยสิว จุดด่างดำ และแผลต่าง รวมถึงรอยแตกลายให้เรียบขึ้นได้ ฮันแน่...รู้ขนาดนี้ก็ดูน่าสนใจสำหรับเรื่อง กรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี กันแล้วใช่ไหมล่ะค่ะ นั้นเรามทำการรู้จักกันแบบเจาะลึกไปกับกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion) กันเลยดีกว่า เพื่อว่ามีคุณผู้หญิงคนไหนที่กำลังหาความรู้ถึงเรื่องกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณีหรือกำลังคิดที่จะวิธีการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณีอยู่ค่ะ

กรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion)

MD หรือ ไมโครเดอร์มาเบรชั่น (Microdermabrasion) ก็คือการกรอผิวหนังในส่วนของหนังกำพร้าออกไปบางส่วนโดยไม่ถึงระดับที่จะทำให้เกิดแผล ซึ่งต่างจากการกรอผิวหนังด้วยเครื่องกรอหรือเลเซอร์ที่กรอลงไปจนถึงชั้นหนังแท้ทำให้หลังทำจะต้องเป็นแผลอยู่ระยะหนึ่ง


ความแตกต่างนี้ทำให้การดูแลหลังการทำ MD ค่อนข้างง่ายไม่ยุ่งยากอีกทั้งไม่จำเป็นต้องหยุดงานและก็ได้ผลการรักษาที่ดีในระดับหนึ่ง เพียงแต่ต้องอาศัยการทำอย่างต่อเนื่อง


ปัจจุบันมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้ในการทำไมโครเดอร์มาเบรชั่นอยู่หลายชนิด แต่ที่ใช้กันแพร่หลายเป็นเครื่องที่ใช้หลักการพ่นผงคริสตัลทำด้วยผลึกอลูมิเนียมออกไซด์ที่มีขนาดเล็กเท่ากับทรายละเอียดและผ่านการฆ่าเชื้อโรคแล้วลงบนผิวหนัง โดยอาศัยระบบการทำงานด้วยสูญญากาศ


คริสตัลเหล่านี้จะค่อย ๆ ลอกผิวทีละชั้น ๆ ของผิวหนังชั้นหนังกำพร้า โดยสามารถควบคุมระดับของความลึกให้เหมาะสมกับสภาพผิวช่วยให้มีการฟื้นฟูสภาพผิวและกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้น


สำหรับวิธีการทำนั้นเริ่มจากล้างหน้าให้สะอาดจากนั้นทายา 2-3 ชนิดเพื่อเป็นการเตรียมผิวประมาณ 5-10 นาที ต่อไปก็เป็นการกรอโดยการพ่นผงคริสตัลลงบนผิวหนังอีกประมาณ 15-30 นาที ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและพื้นที่ที่ทำ หลังจากนั้นก็จะเป็นการทายาอีกประมาณ 3-4 ครั้ง เพื่อช่วยให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้นรวมขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที

โดยทั่วไปหลังการทำ MD ผิวหนังบริเวณที่ทำอาจมีรอยแดงเกิดขึ้น แต่ไม่มีแผลเป็นรอยแดงจะหายไปได้เองภายในเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงหรือเต็มที่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง การทำไมโครเดอร์มาเบรชั่นนั้นโดยทั่วไปควรทำทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ต่อเนื่องกันอย่างน้อย 6-10 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของผิว
ประโยชน์ของการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion)

- ช่วยลดรอยดำหลังการหายของสิว ลดรอยดำจากฝ้า และรอยดำจากแผลต่าง ๆ

- ช่วยให้แผลเป็นหลุมที่เกิดจากสิวหรืออีสุกอีใสตื้นขึ้นทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น

- ช่วยให้แผลเป็นต่าง ๆ จากการผ่าตัดหรือจากอุบัติเหตุนิ่มลงและเรียบขึ้นได้บ้าง

- ช่วยลดรอยแตกลายตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้รอยแตกเรียบขึ้นและดูจางลงได้ในระดับหนึ่ง

- ช่วยให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้นลดริ้วรอยที่เกิดจากวัย และสิ่งแวดล้อม


ข้อควรระวัง ในการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (MD : Microdermabrasion)

หลังการทำไมโครเดอร์มาเบรชั่นคือ ควรหลีกเลี่ยงการทายาแสงแดดจัด ๆ และเครื่องสำอางบางประเภท เช่น AHA หรือกรดวิตามินเอในวันแรก ๆ หลังทำ MD ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ร่วมด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสารสวยด้วยแพทย์
โดย: IhateBio    เวลา: 2011-4-24 15:58
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย IhateBio เมื่อ 2011-4-24 15:59

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ค่ะคุณเจี๊ยบ  
เปลี่ยนล็อคอินใหม่ รูปใหม่ เกือบจำไม่ได้แน่ะ

แก้ไข...พิมพ์ผิดค่ะ
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-24 18:26
ไม่ใช่ค่ะชื่อจอย เป็นญาติกัน มีแต่คนทักว่าหน้าเหมือนกันมาก
โดย: IhateBio    เวลา: 2011-4-24 21:27
ต้นฉบับโพสต์โดย joy234 เมื่อ 2011-4-24 18:26
ไม่ใช่ค่ะชื่อจอย เป็นญาติกัน มีแต่คนทักว่าหน้าเหมือ ...

อ้าวเหรอ นึกว่าคนเดียวกันนะเนี่ย หน้าคล้ายกันจริงๆ ค่ะ  
พอดีเห็นโพสต์ในเวปอื่นด้วยน่ะค่ะ เคสแก้ไบโอกับหมอชาลีน่ะ
เลยคิดว่าเป็นคนเดียวกัน...ถ้าทักผิดคน ก็ขออภัยนะคะ
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 11:08
อันตรายจากขบวนการฟอกหน้าขาว
อันตรายจากขบวนการฟอกหน้าขาว (มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค)
โดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล   

          ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยนิยามแล้วหมายถึงผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงผิว ปกปิดผิว เสริมแต่งผิวหนังให้มีสีสัน มีความปลอดภัย จะเริ่มใช้และเลิกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ สามารถหาซื้อได้ทั่วไป แต่ปัจจุบันจะพบว่ามีผู้บริโภคบางส่วนได้รับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางปลอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งศูนย์บริการความงามที่เปิดกันมากมายทั่วเมือง มีทั้งนวดหน้า ขัดผิว ฟอกหน้าให้ขาวทันใจภายใน 3-7 วัน ส่วนใหญ่มักจะมีอุปกรณ์ไฮเทคทางการแพทย์ร่วมอยู่ด้วยเพื่อให้เกิดความทัน สมัย ความแปลกใหม่ที่จะดึงดูดลูกค้าได้ หลายแห่งขาดผู้มีความรู้ที่แท้จริง ก่อให้เกิดปัญหาความเสียโฉมตามมา

เครื่องมือไฮเทคกับการฟอกหน้าขาว

          เซล ผิวโดยธรรมชาติจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลใหม่ทุกๆ 28 วันโดยที่เราไม่ต้องไปเร่งรัดหรือทำอะไรเลย เซลผิวเก่าจะหลุดลอกและเซลใหม่จะขึ้นมาแทนที่ แน่นอนเซลผิวใหม่จะเปล่งปลั่งกว่าเซลเก่าที่เสื่อมโทรม ทำให้ภาพรวมผิวหนังแลดูอิ่มเอิบและขาวนวล เมื่อเซลผิวมีอายุมากขึ้นบวกกับการได้กระทบกับสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่นละออง รังสีดวงอาทิตย์ และสารเคมี ผิวหนังจะมีปฏิกิริยาปกป้องตัวเองโดยเอนไซม์ใต้ผิวหนังชื่อ "ไทโรซิเนส" จะกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างเม็ดสีทำให้ผิวหนังมีสีเข็มขึ้น ผลิตภัณฑ์ช่วยให้หน้าขาวที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป มีองค์ประกอบหลักคือสารยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ดังกล่าว เพื่อมิให้มีการสร้างเม็ดสี แต่ผู้บริโภคต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางได้ถูกออกแบบมาให้ปลอดภัย ดังนั้นจึงจะให้ผลในระยะยาว เพราะเป็นการบำรุงผิว ไม่ใช่เห็นผลได้ใน 3 วัน 7 วัน เนื่องจากไม่ใช่ยารักษาโรค

      
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 11:08
    การ ทำงานของสารกลุ่มช่วยให้หน้าขาวจะมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ และมักจะมีองค์ประกอบของสารช่วยเร่งรัดการลอกเซลผิวร่วมอยู่ด้วย มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนเช่นกัน ตัวอย่างเช่น กรดแลคติค กรดซาลิไซลิค เวลาพอกหน้าในปริมาณมากๆ ทำให้ผิวหน้าคันและแสบได้ ควรทาบางๆเว้นรอบดวงตา ศูนย์บริการความงามทั้งหลายที่มีอุปกรณ์ไฮเทคที่เรียกว่า ‘ไอออนโฟเรซิส' ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อให้กระแสไฟอ่อนๆกับผิวหนัง ทำให้กรดและเคมีที่พอกอยู่เข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็วในปริมาณที่อาจจะมากเกินไป สำหรับคนที่มีปัญหาผิวหนังเป็นทุนเดิม สิ่งที่ตามมาคืออาการอักเสบของเซลผิวคล้ายโดนน้ำกรดสาด นอกจากนี้ยังมีการใช้อุปกรณ์ไฮเทคอีกชนิดร่วมด้วยคือ "โฟโนโฟเรซิส" เป็นอุปกรณ์ที่ใช้นวดผิวหนังโดยใช้คลื่นความถี่สูงกระตุ้นผิวหนัง แรงสั่นสะเทือนทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยาย รูขุมขนขยาย เพื่อวัตถุประสงค์เสริมให้สารเคมีที่ต้องการเข้าสู่เซลผิวได้เร็วยิ่งขึ้น

          เครื่อง มือไฮเทคทางการแพทย์ที่กล่าวมานั้นออกแบบมาเพื่อให้แพทย์เป็นผู้ พิจารณาความเหมาะสมในการใช้งานเพื่อนำส่งตัวยาสำคัญเข้าสู่ผิวหนังสำหรับ รักษาโรค การนำมาประยุกต์ใช้ในด้านความงาม ควรจะมีผู้รู้เฉพาะทางร่วมอยู่ด้วยเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และการดูแลผิวก็ไม่ใช่เรื่องราวของระยะเวลาเพียง 3 วัน 7 วันตามที่เห็นในโฆษณา ต้องสม่ำเสมอและค่อยเป็นค่อยไป เพราะผิวหน้าไม่ใช่กระดาษ จะใช้น้ำยาลบคำผิดมาป้ายออกทันทีไม่ได้ เคมีที่รุนแรงและมากเกินไปทำให้เสียโฉมได้

          ผลิตภัณฑ์ สมุนไพรที่ใช้พอกหน้าพอกตัว ก็มีอันตรายได้หากได้มาอย่างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เพราะสมุนไพรสดนั้นเป็นอาหารเชื้อจุลินทรีย์อย่างดีทำให้เชื้อเจริญเติบโต ได้รวดเร็ว เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ผิวหนังมีแผลเปิด และหากผลิตภัณฑ์มีการใส่สารกันเสียมากเกินไป ผลเสียคือทำให้ผิวหน้าแพ้ คันและอักเสบได้ ผู้เขียนเองได้เคยไปทดลองใช้บริการพอกตัว (โชคดีที่ไม่กล้าเสี่ยงพอกหน้าด้วย) ที่ศูนย์บริการความงามด้วยสมุนไพรยี่ห้อดังเพื่อเก็บข้อมูลทางวิชาการ ผลคือมีอาการแพ้ คันไม่ทราบสาเหตุ เป็นตุ่มแดงทั่วตัวจนถึงรอบคอ (ผิวหนังทั่วตัวที่สัมผัสผลิตภัณฑ์สมุนไพร) ต้องใส่เสื้อแขนยาวปิดคอไปทำงานอยู่เป็นอาทิตย์ คาดว่าน่าจะเกิดจากองค์ประกอบในผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น อาจมีองค์ประกอบของสารกันเสียมากเกินไป หรือมีการผสมผสานเคมีอื่นลงไปในสมุนไพรของผู้ให้บริการฯอย่างไม่มีความรู้

เครื่องสำอางอันตรายกับหน้าขาว

เมื่อกล่าวถึงการฟอกหน้าขาว ก็ไม่ลืมที่จะเตือนผู้บริโภคถึงอันตรายของผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของสาร ต้องห้าม เช่น ปรอท ไฮโดรควิโนน และสารสเตียรอยด์ สารต้องห้ามเหล่านี้ยังพบในผลิตภัณฑ์หน้าขาวที่แอบวางจำหน่ายทั่วไปโดยเฉพาะ อย่างยิ่งตามชานเมือง สังเกตุได้ง่ายเมื่อทาครีมเหล่านี้ลงบนใบหน้าเพียง 1-2 สัปดาห์ ผิวหน้าจะผ่อง สิวฝ้าจะจางลงอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ หน้าจะเริ่มไหม้ดำและค่อยๆแผ่วงกว้างขึ้น ควรรีบหยุดใช้และไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง

ขอขอบคุณข้อมูลจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค


โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 11:09
ลอกหน้า ลอกผิว ต้องระวังอะไร

หลายคนคงคุ้นเคยกับการไปลอกหน้า...ลอกผิวมาแล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า วิธีนี้ทำอย่างไร มีข้อควรระวังและข้อแทรกซ้อนอย่างไรบ้าง

ที่ ว่าลอกหน้าลอกผิวนั้น ความหมายในที่นี้คือการลอกผิวด้วยสารเคมี ก่อนลอกหน้าแพทย์จะประเมินดูลักษณะผิวเหี่ยวแก่จากแสงแดด และลักษณะสีผิว เลือกสารเคมีให้เหมาะสมกับสภาพผิว เช็ดไขมันที่ผิวหนังออกด้วยอะซีโทน อาจต้องป้องกันบริเวณที่ผิวบอบบาง เช่น ที่ริมฝีปาก ในรูจมูก ร่องแก้ม ขอบตา ด้วยการทาขี้ผึ้ง

ข้อบ่งชี้ของการลอกด้วยสารเคมี
การ ลอกด้วยสารเคมีใช้รักษาโรคเนื้องอกของผิวหนังขั้นก่อนเป็นมะเร็ง (actinic keratosis) ผิวเหี่ยวแก่จากแสงแดด ภาวะสีผิวไม่สม่ำเสมอ แผลเป็นชนิดตื้น ผิวหนังอักเสบจากการฉายรังสี และสิว ใช้การลอกชนิดตื้นรักษาฝ้าซึ่งเป็นความผิดปกติของหนังกำพร้าส่วนบน เมื่อใช้ยาทารักษาฝ้าซึ่งยับยั้งการผลิตเม็ดสีแล้ว การลอกหน้าทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกออกไปเร็วขึ้น

มีรายงานแสดงว่า การรักษาฝ้าด้วยการลอกหน้าชนิดตื้นร่วมกับการใช้ยาทาฟอกสีมีประสิทธิภาพและ ปลอดภัย ส่วนรอยโรคที่ลึกกว่านี้ เช่น รอยเหี่ยวย่นชนิดลึก หรือรอยย่นรอบปากที่เป็นมาก ต้องลอกหน้าชนิดลึก

ส่วนรอยโรคที่ลึกปานกลาง (คืออยู่ในชั้นหนังแท้ส่วนบน) เช่น ผิวเหี่ยวแก่ที่เป็นน้อย ต้องการการลอกชนิดลึกปานกลาง

สารเคมีที่ใช้ลอกผิวหนัง
สารเคมีที่ใช้ลอกผิวหนังชนิดตื้น เช่น กรดไทรคลอโรอะเซติก ความเข้มข้นร้อยละ 10-35 น้ำยาเจสเนอร์ กรดซาลิไซลิก ความเข้มข้นร้อยละ 20-30 และกรดอัลฟาไฮดรอกซี ความเข้มข้นร้อยละ 10-70
สารเคมีที่ใช้ลอกผิวหนัง ชนิดปานกลาง นิยมใช้กรดไกลคอลิก และกรดไทรคลอโรอะเซติก ความเข้มข้นร้อยละ 35 น้ำยาเจสเนอร์ และกรดไทรคลอโรอะเซติก ความเข้มข้นร้อยละ 35

ข้อควรระวังก่อนลอกหน้าด้วยสารเคมี
ก่อนลอกหน้าแพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายดังนี้
1. ประเมินลักษณะผิวเหี่ยวแก่จากแสงแดด ผู้ป่วยที่ยังมีสภาพผิวดี มีรอยเหี่ยวแก่จากแสงแดดน้อย มีการเปลี่ยนแปลงของสีผิวน้อย ไม่เหมาะจะลอกหน้าชนิดลึก เพราะก่อผลเสียมากกว่าประโยชน์ที่ได้ ถ้าจะลอกควรลอกชนิดตื้น ส่วนผู้ที่มีภาวะผิวแก่จากแสงแดดอย่างรุนแรง ผิวเหี่ยวย่นทั้งใบหน้าควรลอกชนิดลึก
2. ประเมินลักษณะสีผิว ผู้ป่วยที่มีผิวสีน้ำตาลเข้มหรือผิวดำ ไม่เหมาะต่อการลอกหน้าชนิดปานกลางและชนิดลึก แต่อาจใช้การลอกหน้าชนิดตื้นได้
3. ถ้ามีประวัติการผ่าตัดเสริมสวยใบหน้ามาก่อน ควรรอให้แผลหายสนิทจึงลอกหน้า และต้องระวังในผู้ที่เกิดแผลเป็นคีลอยด์ง่าย
4. ในการลอกหน้าชนิดลึกด้วยฟีนอล ต้องระวังเพราะเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติได้ แพทย์จะตรวจการทำงานของตับ ไต สุขภาพทั่วไปก่อนลอก และตรวจคลื่นหัวใจระหว่างการลอก
5. ผู้ที่จะลอกหน้าต้องมีสุขภาพจิตดี
6. ประวัติการใช้ยา ผู้ที่กินยาคุมกำเนิดไม่ควรลอกหน้า เพราะยาคุมทำให้เป็นฝ้าอยู่แล้ว จะยิ่งทำให้รอยคล้ำหลังลอกเข้มมากกว่าปกติ ส่วนผู้ที่กินยาต้านการเกิดลิ่มเลือดไม่ควรลอกหน้าชนิดลึกเพราะมีเลือดไหล ซึมจากผิวที่ลอกได้
7. ผู้ที่เคยเป็นเริมที่ใบหน้า แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัสเริม 2 วันก่อนลอก และให้ต่ออีก 5 วันหลังลอก เพื่อลดการกำเริบของเริม
8. ต้องระวังการลอกหน้าในผู้ที่กินยากรดวิตามินเอ อาจต้องหยุดยาครบ 6 เดือนจึงลอก นอกจากนั้นก็ต้องระวังผู้ที่ฉายรังสีมาก่อน เพราะทั้ง 2 กรณีนี้ทำให้มีรูขุมขนน้อยลง ทำให้กระบวนการสร้างผิวใหม่ที่เกิดจากรูขุมขนเป็นไปได้ยาก

ผลแทรกซ้อน
การ ลอกด้วยสารเคมีทำให้เกิดผลแทรกซ้อนหลายอย่าง ได้แก่ ผิวเปลี่ยนสี รอยดำรอยไหม้ แผลเป็น การติดเชื้อแบคทีเรีย การกำเริบของเริม และผิวแดง มักจางหายไปใน 30- 90 วัน

ถ้าเป็นมากแพทย์อาจให้ยาทาสเตียรอยด์ อย่างอ่อน เช่น ไฮโดรคอร์ติโซน ในบางรายมีสิวเห่อหลังลอกหน้า มักเกิดในวันที่ 3-9 หลังลอก และอาจเกิดซีสต์ตุ่มขาวขนาดเล็ก (milia)

หลัง ลอกหน้าต้องหลีกเลี่ยงแสงแดด ทายากันแดด ถ้าผิวลอกเป็นขุยมากอาจทาครีมให้ความชุ่มชื้น ถ้ามีการติดเชื้อหรือการกำเริบของเริม ให้รีบกลับมาพบแพทย์
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม :
355
เดือน-ปี :
11/2551
คอลัมน์ :
ผิวสวย หน้าใส
นักเขียนหมอชาวบ้าน :
นพ.ประวิตร พิศาลบุตร

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-27 11:11

สารและตัวยาที่ทำให้หน้าขาวใส

          ทราบหรือไม่ว่า สารและตัวยาชนิดใดที่ทำให้หน้าขาวใส วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก...

  กลูตาไธโอน

          ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ต้านการเสื่อมของเซลล์ผิว ส่งผลให้ผิวหน้า ขาวสวยใส เปล่งปลั่งไร้รอยด่างดำ รวมถึงผิวทั่วเรือนร่าง เช่นใต้วงแขน บริเวณขอบชุดชั้นใน ริมฝีปาก และบริเวณหัวนม ให้ขาวอมชมพู

  สารสกัดจากเปลือกสน

          ทำให้ผิวขาวใส โดยลดปฏิกิริยาของผิวหนังเมื่อถูกแสงแดด ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดขนาดและความเข้มของฝ้า กระและช่วยปรับสภาพผิวให้กลับขาวใสขึ้น เนื่องจากเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้แรง

  สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

          ในเมล็ดองุ่นมีสารบางชนิด ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำให้เนื้อเยื่อโครงสร้างผิวแข็งแรง ปกป้องเนื้อเยื่อโครงสร้างผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ลดการเกิดริ้วรอย ลดความหยาบกร้าน หมองคล้ำ ทำให้ผิวใส เรียบเนียน

  ชาเขียวสกัด

          ปกป้องและรักษาผิวจากการทำลายของมลภาวะ โดยเฉพาะแสงแดด ช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพผิวให้กลับคืนสู่สภาพปกติ ช่วยให้ผิวขาวขึ้น ช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วรอย

  โคเอนไซม์คิวเทน

          ช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว บำรุงผิวให้แข็งแรง ลดการเกิดริ้วรอย ด้วยการเร่งการผลิตคอลลาเจน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่นแข็งแรง

b]วิตามินซี

          เสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยลดการเกิดริ้วรอย ลดการถูกทำลายของเซลล์ผิวจากอนุมูลอิสระ ช่วยคงความแข็งแรงของผิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและเผยผิวขาวเนียนสดใส

  สารสกัดจากมะเขือเทศ

          ลดรอยดำ และความหมองคล้ำจากผลกระทบโดยตรงหรือโดยทางอ้อมจากแสงแดด ลดการถูกทำลายของผิว ช่วยปกป้องจาการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยลดการเกิดริ้วรอย เสริมฤทธิ์กับชาเขียวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว

วิตามินอี

          เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย

  ซีลิเนี่ยม

          ลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิว ทำงานเสริมกับวิตามินซี และวิตามินอี


          รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าใครอยากมีผิวหน้าขาวใส ลองมองหาสารหรือตัวยาที่แนะนำมาใช้กันดูได้

ขอขอบคุณข้อมูลจากมติชน


โดย: พรอม    เวลา: 2011-4-27 11:40
เคยเห้นน้องทำมา หน้าเนียนขึ้นเยอะเลยค่ะ
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-29 18:16
ศัลยแพทย์ตกแต่งช่วยอะไรท่านได้บ้าง

การผ่าตัดดูแล รักษาผู้ป่วยค่อนข้างกว้างขวางมาก   รวมทั้งการแก้ไขความพิการแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ เกิดมามีใบหน้าผิดรูป , ศัลยกรรมทางมือในผู้ป่วยอุบัติเหตุ, ความพิการปกติทางมือแต่กำเนิด, การดูแลรักษาผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก    การดูแลรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่คอ,ปาก,ผิวหนัง ผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุมีบาดแผลที่หน้าและกระดูกหน้า กรามหัก, ทางด้านจุลศัลยกรรม  การผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์ เช่นการต่อนิ้วมือ รวมทั้งการย้ายเนื้อเยื่อจากที่หนึ่งไปปิดอวัยวะอื่นที่เนื้อขาดหายไป โดยการต่อเส้นเลือดและเส้นประสาท และสาขาสุดท้ายเป็นศัลยกรรมเสริมสวย    ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน      ของศัลยแพทย์ตกแต่งและเสริมสร้าง
การทำศัลยกรรมเสริมสวยให้ได้ผลดี และมีการพัฒนาวิธีการผ่าตัดใหม่ๆได้ แพทย์ควรจะได้รับการฝึกอบรมในด้านศัลยกรรมตกแต่งและเสริมสร้างให้ครบทุกสาขา วิชาที่แพทยสภากำหนด และได้รับวุฒิบัตร หรืออนุมัติบัตรรับรอง ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาศัลยศาสตร์ตกแต่ง
โดยสรุป     ศัลยกรรมตกแต่ง แบ่งเป็นสาขาได้ ๗ สาขาวิชา
สาขาที่ ๑  ศัลยกรรมที่แก้ไขความพิการแต่กำเนิด เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ ใบหน้าผิดรูป
สาขาที่ ๒  ศัลยกรรมทางมือ เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุ ทางมือจากโรงงาน  รถยนต์
สาขาที่ ๓  ได้แก่ การรักษาผู้ป่วยที่ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
สาขาที่ ๔  ได้แก่ การรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งที่หน้าและคอ
สาขาที่ ๕  การดูแลผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บกระดูกหักที่หน้า ส่วนใหญ่จากอุบัติเหตุรถยนต์
สาขาที่ ๖  ได้แก่ จุลศัลยกรรม การผ่าตัดด้วยกล้องจุลทัศน์ เช่น การต่อนิ้วมือผู้ป่วย
สาขาที่ ๗ได้แก่ ศัลยกรรมเสริมสวย และความงาม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-29 18:19
การผ่าตัดดูดไขมัน

การดูดไขมัน หมายถึง การใช้เครื่องมือที่ลักษณะคล้ายท่อยาวใส่เข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดูดเอาไขมัน ส่วนเกินออกมาจากบริเวณต่างๆ เช่น หน้าท้อง,สะโพก,ก้น,ต้นขา,ต้นแขน,คอ เป็นต้น การดูดไขมันนี้ไม่สามารถจะใช้ลดความอ้วนทั่วร่างกายได้แต่สามารถจะลดจำนวน ไขมันบริเวณส่วนต่างๆ ที่สะสมอยู่เฉพาะที่ได้

ผู้ที่จะได้รับผลดีจากการดูดไขมัน
    ท่านต้องอย่าหวังว่าการดูดไขมันจะช่วยให้ท่านดูรูปร่างเพรียวบาง แต่จะทำให้รูป ร่างท่านดูดีขี้น และมีความรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ส่วนใหญ่ผู้ที่จะได้รับผลดีจากการดูดไขมันควรจะไม่อ้วน,ผิวหนังควรมีความ ยืดหยุ่นดี และมีไขมันสะสมเฉพาะที่ ท่านควรมีร่างกายแข็งแรง,สมบูรณ์,มีจิตใจที่ปกติ ท่านที่มีอายุก็สามารถจะทำการดูดไขมันได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้จะผ่าตัดถึงผลที่จะได้รับให้เข้าใจดีเสียก่อน
การวางแผนการผ่าตัด
     ท่าน ควรจะต้องปรึกษากับศัลยแพทย์ตกแต่งถึงความเป็นไปได้ของผลการผ่าตัดที่ท่าน หวัง วิธีการเลือกการผ่าตัด,ผลแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น ศัลยแพทย์ควรเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับวุฒิบัตรศัลยแพทย์ตกแต่งของแพทย สภาหรือเทียบเท่าถ้าเป็นสถาบันจากต่างประเทศ
การผ่าตัด
     การดูดไขมันนี้จะมีการเสียเลือดบ้าง บางครั้งศัลยแพทย์ตกแต่งอาจจะให้ท่านเก็บเลือดของท่านไว้ก่อนผ่าตัดเพื่อใช้ ขณะผ่าตัด แต่ส่วนใหญ่จะไม่จำเป็นต้องให้เลือด การดูดไขมันอาจจะใช้การให้ยาชา เฉพาะที่ หรือดมยาสลบ ก็ขึ้นอยู่กับบริเวณและจำนวนที่จะดูดไขมัน การผ่าตัดอาจจะทำได้ที่คลินิกหรือโรงพยาบาล การดูดไขมันแพทย์จะต้องวาดตำแหน่งที่ต้องการเอาไขมันออกไว้ก่อน หลังจากนั้นจะเจาะที่ผิวหนังเป็นรอยเล็ก ประมาณ 0.5-1.5 cm แล้วใส่ท่อที่จะดูดไขมันเข้าไป ท่อนี้จะต่อกับเครื่องปั๊มสูญญากาศ หรือเครื่องอัลตราซาวด์ ปริมาณของไขมันที่ออกมาจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตำแหน่งและปริมาณไขมันที่ สะสม หลังผ่าตัดแพทย์จะใช้ผ้าพันบริเวณที่ดูดไขมันไว้ประมาณ 2-5 วัน
หลังผ่าตัด
    หลัง ผ่าตัดแพทย์จะเปิดผ้าพันแผลประมาณ 2-5 วัน ไหมที่เย็บไว้จะตัดออกประมาณ 5-7 วัน หลังจากนั้นท่านต้องพันผ้าในส่วนที่ดูดไขมันอีก หรือใส่เครื่องนุ่งห่มที่กระชับกับส่วนที่ได้รับการดูดไขมันไว้อีกประมาณ 1-2 เดือน บริเวณที่ดูดไขมันจะมีรอยซ้ำเขียวประมาณ 1-2 อาทิตย์ ผิวหนังบริเวณที่ดูดไขมันจะดูลักษณะเป็นลูกคลื่นได้ ซึ่งจะดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน ท่านสามารถจะกลับไปทำงานได้ประมาณ 5-7 วัน
ผลแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
     การ ดูดไขมันก็เหมือนกับการผ่าตัดทั่วไปที่อาจผลแทรกซ้อนขึ้นมาได้ ผลแทรกซ้อนอันนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย เช่น การติดเชื้อ,มีเลือดคั่ง,ผิวหนังเป็นลูกคลื่น,รอยแผลเป็นนูนหรือบุ่ม,ผิว หนังมีแผล,อาจจะมีผิวหนังเปลี่ยนสีได้บ้าง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-29 18:20
การผ่าตัดแปลงเพศ
ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางจิตใจในลักษณะที่เกิดความขัดแย้งของการรับรู้ เพศ และสภาพร่างกายไม่สอดคล้องกันมีคำเรียกทางการแพทย์ว่า gender dysphoria หรือ gender identity disorder ถือว่าเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งที่พบได้ค่อนข้างบ่อยในสังคม ในอดีตนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่สามารถที่จะรักษาตนเองได้เนื่องจากไม่กล้าที่ จะไปพบแพทย์และรวมทั้งแพทย์เองก็ไม่ค่อยมีความรู้ความเข้าใจผู้ป่วยกลุ่มนี้ อย่างดีพอ จึงทำให้การรักษาได้ผลที่ไม่ค่อยน่าพอใจ จนเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ในอดีตว่ามีผู้ป่วยบางคนใช้มีดตัดอวัยวะเพศของตนเองให้ขาดออกเนื่อง จากรังเกียจ หรือบางคนก็อยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ และบางคนก็กลายเป็นที่รังเกียจของคนที่อยู่รอบข้างทั้งพ่อแม่ เพื่อนร่วมงานที่ไม่เข้าใจ แต่หลังจากมีการศึกษาอย่างจริงจังและมีความเข้าใจถึงสาเหตุรวมทั้งลักษณะ ความผิดปกติของผู้ป่วยกลุ่มนี้อย่างลึกซึ้งแล้วพบว่าส่วนหนึ่งเกิดจากจากการ เลี้ยงดูที่ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่เด็กในช่วงอายุ 3-5 ปี และการพัฒนาการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ในปัจจุบันค่อนข้างได้ผลที่ดีพอสมควร และทำให้ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตในสังคมอย่างเป็นสุขมากขึ้นและเป็นคนที่มี ประโยชน์ต่อสังคมได้
ในปัจจุบันนี้เกือบจะเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าถ้าหากจะให้การรักษาเป็นไป อย่างถูกต้องครบถ้วนเป็นมาตรฐานที่สุดแล้วควรที่จะให้ผู้ป่วยสามารถรับการ รักษาในสถานที่แห่งเดียวทั้งนี้เนื่องจากว่าผู้ป่วยเหล่านี้ต้องการการรักษา ที่เป็นขั้นตอน และมีรายละเอียดที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่เราเคยรู้กันในอดีต ทั้งนี้ก่อนอื่นมีความจำเป็นต้องวินิจฉัยให้ได้ก่อนว่าผู้ป่วยที่มารักษา นั้นเป็นผู้ป่วยกลุ่มนี้หรือไม่ และการผ่าตัดจะสามารถทำได้หรือไม่นั้น จะมีขั้นตอนพิจารณาดังนี้
    1.ผู้ป่วยต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมในเพศที่ตรงข้ามกับร่างกายตลอดเวลา และประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตเป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน
    2.ผู้ป่วยต้องได้รับการตรวจและประเมินพฤติกรรมโดยจิตแพทย์อย่างน้อย 2 คน และหนึ่งในสองคนต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ
    3.ต้องได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนเพื่อเตรียมสภาพร่างกายให้อยู่ในเพศตรงข้ามเสียก่อน
    4.ก่อนจะผ่าตัดแปลงเพศต้องผ่าตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างอวัยวะเพศเสียก่อน

ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึง ทีมงานที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยเหล่านี้แล้ว จะพบว่า ทีมแพทย์ที่เหมาะสมจะต้องประกอบด้วยจิตแพทย์, นักจิตวิทยา, แพทย์ทางระบบต่อมไร้ท่อ หรือแพทย์ที่ดูแลเรื่องการใช้ฮอร์โมน, แพทย์ทางสูตินรีเวช, แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้เพื่อทำให้การรักษาได้ผลอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้เนื่องจากการผ่าตัดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ เท่านั้น ผู้ป่วยยังต้องได้รับ Hormone เพื่อรักษาสภาพภายในที่จะคงสภาพของเพศตรงข้ามอย่างถาวรตลอดไป รวมทั้งสภาพจิตใจของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดนั้นก็เป็นสิ่งที่จะต้องได้รับคำ ปรึกษาหากมีปัญหาเกิดในระยะยาว ปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าด้านการผ่าตัดมีมากแต่ความรู้ความเข้าใจในด้านการ รักษาด้วยฮอร์โมนสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมีน้อย จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่ายาฮอร์โมนกลุ่มใดที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่ต้อง การเปลี่ยนไปในเพศตรงข้าม และผลในระยะยาวต่อผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไรมีอันตรายมากน้อยเพียงใดยัง ไม่สามารถที่จะสรุปได้แน่นอน จึงต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์จึงจะปลอดภัยที่สุด
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-29 18:24
หลังจากเกริ่นมาแล้วถึงกระบวนการเลือกผู้ป่วยมาแล้วขอกล่าวถึงการผ่าตัด แปลง เพศจากชายเป็นหญิง (ซึ่งพบผู้ป่วยกลุ่มนี้มากกว่า) เพื่อความเข้าใจโดยคร่าว ๆ ดังต่อไปนี้
เป้าหมายในการสร้างอวัยวะเพศหญิงใหม่นั้น มีดังนี้คือ สร้างช่องคลอดเทียมที่มีขนาดลึกพอสมควรเพื่อรองรับการใช้งานในลักษณะของเพศ หญิง และการร่วมเพศได้, สร้างรูปร่างของอวัยวะเพศใหม่ให้ดูคล้ายกับอวัยวะเพศหญิงให้มากที่สุด ทั้งนี้ได้แก่แคมนอกและแคมใน, เปลี่ยนแนวทางของท่อปัสสาวะให้อยู่ในแนวที่ถูกต้อง เนื่องจากในผู้ชายจะปัสสาวะพุ่งไปด้านหน้า ส่วนในผู้หญิงจะมีทิศทางพุ่งลงล่าง, สร้างจุดรับสัมผัสหรือปุ่มคลิตอริส (หากทำได้เพื่อทำให้มีจุดรับสัมผัสที่ใกล้เคียงกับของผู้หญิงที่สุด)
ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง
       วางยาสลบโดยวิสัญญีแพทย์ เพื่อไม่ให้คนไข้ มี อาการเจ็บหรือปวดในระหว่างการผ่าตัด
กรรมวิธีการผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง แพทย์จะทำการสร้างช่องคลอดใหม่ โดยใช้เนื้อเยื่อในส่วนที่อยู่หน้าบริเวณท่อทวารหนัก ย้ายไปอยู่เหนือท่อทวารหนักในระดับที่อยู่ใต้ท่อปัสสาวะแล้วผ่าตัดเปิดผิว หนังให้เป็นช่องที่กว้างและลึกพอโดยมีระยะความกว้าง ประมาณ 1.5-2 นิ้ว ก็จะได้ช่องคลอดเทียมที่สร้างขึ้นใหม่ ลักษณะคล้ายช่องคลอดของเพศหญิง
จากนั้น จะดึงผิวหนังจากบริเวณอวัยวะเพศ ชาย ของคนไข้ไปติดกั้นเป็นผนังช่องคลอดโดยผนังที่ถูกนำไปปลูกบริเวณนี้ได้มาจาก หนังที่หุ้มอวัยวะเพศชายเดิม ความลึกของช่องคลอดจึงขึ้นอยู่กับความยาวของอวัยวะเพศชายเดิมด้วยเช่นกัน
       อีกเทคนิคหนึ่งในการสร้างช่องคลอดเทียม คือ การตัดต่อท่อปัสสาวะเพศชายที่ยาวให้สั้นลง แล้วตกแต่งให้ใช้งานเปิดปิดในตำแหน่งที่ สามารถนั่งปัสสาวะได้ เพราะหากเอาไว้ ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องเวลาที่นั่งปัสสาวะก็ อาจจะพุ่งขึ้นมาได้ จากนั้นจึงเปิดช่องบริเวณนั้น เพื่อสร้างช่องคลอดเทียม
      การตกแต่งรูปร่างภายนอกช่องคลอด เช่น แคมเล็กหรือแคมใหญ่ แพทย์จะใช้เทคนิค พิเศษเพื่อเลียนแบบแคมให้ได้ใกล้เคียงกับ อวัยวะเพศหญิง โดยใช้หนังบริเวณที่หุ้มลูก อัณฑะ ด้วยวิธีการตัดลูกอัณฑะออก แล้ว นำหนังและเนื้อเยื่อรอบๆ มาตกแต่งเพื่อสร้างรูปลักษณ์ของอวัยวะภายนอกให้เหมือนของอวัยวะเพศหญิงให้ มากที่สุด
     ขั้นตอนสุดท้าย คือ การตกแต่งประสาทรับความรู้สึกให้เป็นปุ่มรับความรู้สึกทางเพศหญิง เรียกว่าปุ่ม คลิตอริส (Clitoris) ซึ่งโดยทั่วไป พบว่าความรู้สึกทางเพศยังมีคงเดิม มีความมั่นใจมากขึ้น หลังการผ่าตัด แพทย์จะให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล ประมาณ 5 - 7 วัน เพื่อจะได้อยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และในช่วงเวลานั้น แพทย์จะแนะนำวิธี ปฏิบัติตัวที่ถูกต้องดังนี้
ให้ลดอาหารที่มีกากและเครื่องดื่มประเภท นมเพราะอาจทำให้มีกาก และเกิดการขับถ่าย ในช่วง 2 วันแรก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ เวลานอน ควรนอนในท่าที่ขาทั้งสองข้าง แยกออกจากกัน โดยอาจใช้ผ้าห่มคั่นกลางกันไว้ในขณะที่หลับ เพื่อไม่ให้แผลผ่าตัดถูกกดทับ ควรทำความสะอาดช่องคลอดด้วยน้ำยาป้องกัน และฆ่าเชื้อโรคหรือน้ำเกลือล้างแผล เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ควรเริ่มลุกเดินในระยะหลังผ่าตัด 5 วัน ให้ดูแลรักษาไม่ให้ช่องคลอดตีบตัน โดยใช้อุปกรณ์เทียมที่ทำจากแท่งซิลิโคนชนิดนุ่ม หรือ เทียนเหลาให้มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชาย  ในการรักษาความกว้างและช่วยเพิ่มความลึกของช่องคลอดให้คงที่ ควรหมั่นขยายช่องคลอดเทียมอย่างน้อยวันละ 2ครั้ง ครั้งละประมาณครึ่งชั่วโมง
ต้องงดมีเพศสัมพันธ์เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน หลังผ่าตัด
เริ่มรับประทานฮอร์โมนได้หลังการผ่าตัด 1 สัปดาห์ ให้พบแพทย์ตามนัด 1 สัปดาห์ หลังการผ่าตัดเพื่อตัดไหมและตรวจซ้ำเพื่อผลการรักษาที่ดี

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-29 18:25
การดูแลหลังการผ่าตัดในระยะแรกจะมีการดูแลเรื่องแผลผ่าตัดให้หายได้อย่าง ปกติไม่มีปัญหาเรื่องการติดเชื้อมักจะเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ผ่าตัดและเป็น หน้าที่ของผู้ป่วยจะดูแลในระยะต่อมาหลังจากนั้นผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้เครื่อง มือเพื่อทำการถ่างขยายช่องคลอดที่แพทย์สร้างไว้ให้คงความกว้างและความลึก อย่างน้อย 6-12 เดือน ทั้งนี้เนื่องจากแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดช่องคลอดตีบหรือตันได้ อันเป็นเหตุให้ผลการผ่าตัดไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร การใช้งานในการร่วมเพศสามารถใช้ได้ตามปกติเมื่อแผลหายดีและผิวหนังในช่อง คลอดหายสนิทดีแล้ว ส่วนมากใช้เวลาประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาฮอร์โมนบำบัดเพื่อ คงสภาพหญิงอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยแพทย์ทางนรีเวชและนอกจากนั้นจิตแพทย์จะ เป็นผู้ให้การดูแลประเมินผลสภาพจิตหลังการผ่าตัดแปลงเพศพร้อมทั้งแก้ไขปัญหา ด้านจิตใจต่อไป
ข้อแทรกซ้อนและผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดแปลงเพศนั้น สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่น ๆ พอสรุปปัญหาและการแก้ไขได้ดังต่อไปนี้
•   แผลผ่าตัดแยก หรือหายไม่สนิท : พบได้บ่อยพอสมควร ทั้งนี้เนื่องจากแผลผ่าตัดบริเวณนี้มีการเย็บต่อกันด้วยผิวหนังจากหลายส่วน ทำให้มีรอยต่อระหว่างรอยเย็บหลายแห่ง จึงเป็นไปได้ที่แต่ละตำแหน่งอาจจะมีโอกาสที่จะแยกออกจากกันได้ รวมทั้งการดูแลหลังผ่าตัดที่ไม่เหมาะสมหรือการใช้งานอวัยวะเพศใหม่เร็วเกิน กำหนด จะมีโอกาสที่แผลจะเกิดปัญหาได้ แต่หากการแยกของแผลไม่กว้างมากหรือไม่หลุดออกจนหมดสามารถที่จะรักษาให้หาย สนิทได้ในที่สุด แต่บางรายแพทย์อาจจะต้องทำการเย็บแผลให้ใหม่
•   ช่องคลอดใหม่หลุด หรือลอก : เกิดในกรณีที่ช่องคลอดใหม่ยังไม่ยึดติดกับช่องที่แพทย์เจาะไว้ให้ และมีการใช้งานหรือการดูแลที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ผิวหนังช่องคลอดปลิ้นหลุดออกกมาด้านนอก ในกรณีที่เกิดขึ้นแบบนี้ แพทย์มีความจำเป็นต้องจัดผิวหนังช่องคลอดให้ใหม่เพื่อให้ผิวบุช่องคลอดใหม่ อยู่ในสภาพเดิม
•   ช่องคลอดตีบ หรือปากช่องคลอดหดแคบ : เกิดได้จากการเจาะช่องคลอดให้ได้ไม่กว้างเพียงพอ อาจจะเนื่องจากโครงสร้างของเชิงกรานมีมุมแคบเกินไปที่จะทำช่องให้กว้างได้ มาก หรือเกิดจากพังผืดหดรัดบริเวณช่องคลอดใหม่ และการดูแลถ่างช่องคลอดหลังการผ่าตัดโดยผู้ป่วยเองทำได้ไม่เพียงพอ ในระหว่างที่ช่องคลอดยังไม่อยู่ตัวดี ทำให้ช่องคลอดตีบตัวลงมา และมีการคอดรัดของปากช่องคลอด ในกรณีที่เกิดขึ้นหลังผ่าตัดไม่นาน การถ่างขยายด้วยอุปกรณ์ถ่างช่องคลอดและเพิ่มขนาดตัวถ่างจะช่วยให้มีการยืด ตัวของพังผืดรอบ ๆ ได้ และช่องคลอดสามารถขยายตัวจนมีความกว้างที่เหมาะสมได้ แต่หากพังผืดติดแข็งมาก แพทย์อาจจะต้องผ่าตัดขยายช่องคลอดให้ใหม่
•   ช่องคลอดตื้น : เป็นผลตามมาที่พบได้บ่อย ทั้งนี้เนื่องจากการสร้างช่องคลอดใหม่นั้นมีความจำเป็นต้องอาศัยผิวหนัง จากอวัยวะเพศชายที่มีอยู่เดิม ซึ่งบางรายมีขนาดเล็กและยาวไม่มาก ช่องคลอดที่ได้จึงมีความตื้น และบางครั้งมีการหดตัวของช่องคลอดเนื่องจากพังผืด และเนื่องจากการถ่ายด้วยอุปกรณ์ถ่างช่องคลอดที่ไม่เพียงพอร่วมด้วยจึงทำให้ ความลึกของช่องคลอดใหม่มีไม่เพียงพอแก่การใช้งานตามปกติ หากเกิดขึ้นในระยะแรก อาจจะช่วยได้โดยการใช้อุปกรณ์ถ่างขยายช่องคลอด เพื่อเพิ่มความลึกให้มากขึ้น แต่หากเกิดขึ้นในระยะหลังและไม่สามารถขยายด้วยอุปกรณ์แล้ว การผ่าตัดแก้ไขมีความจำเป็นอาจจะต้องใช้เนื้อเยื่ออื่น ๆ มาทดแทนเพื่อสร้างช่องคลอดใหม่ เช่นการใช้ลำไส้ใหญ่เป็นต้น

โดย: joy234    เวลา: 2011-4-29 18:25
•   ท่อปัสสาวะตีบ : พบได้บ่อย เนื่องจากท่อปัสสาวะที่สร้างขึ้นใหม่ มีพังผืดล้อมรอบบริเวณรูเปิดทำให้การไหลของปัสสาวะไม่สะดวก หากเกิดขึ้นแล้วการรักษาโดยการถ่ายขยายท่อปัสสาวะด้วยเครื่องมือสามารถแก้ไข ปัญหานี้ได้ แต่ทั้งนี้เป็นการรักษาที่ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง หากเกิดอาการตีบรุนแรง จนปัสสาวะไม่ค่อยออก แพทย์อาจจะต้องทำการผ่าตัดแก้ไขท่อปัสสาวะให้กว้างขึ้นอีกครั้ง
•   ช่อง คลอดทะลุเข้าในช่องท้องหรือลำไส้ใหญ่ : เป็นข้อแทรกซ้อนที่ค่อนข้างจะรุนแรงและแก้ไขยาก เกิดเนื่องจากการดูแลหลังการผ่าตัดที่ไม่เหมาะสม เช่นใช้งานเร็วเกินไป การใช้อุปกรณ์ถ่างขยายที่ใหญ่หรือลึกเกินไป รวมทั้งการผ่าตัดที่เกิดการทะลุเข้าในลำไส้ใหญ่ ทำให้เกิดการติดต่อระหว่างช่องคลอดและลำไส้ใหญ่ขึ้น การรักษาจะทำได้โดยการผ่าตัดแก้ไขใหม่ โดยอาจจะเย็บซ่อมรูทะลุได้ถ้าหากรูไม่ใหญ่เกินไปแต่หากมีการทะลุรุนแรงและ เป็นรูใหญ่มาก และไม่สามารถเย็บซ่อมได้ อาจมีความจำเป็นต้องแก้ไข โดยการระบายอุจจาระออกทางหน้าท้องก่อนระยะหนึ่ง เพื่อมิให้อุจจาระมาปนเปื้อนบริเวณรูทะลุ หลังการเย็บซ่อมรูทะลุนั้น และเมื่อรูทะลุปิดดีแล้ว จึงค่อยผ่าตัดทำช่องคลอดให้ใหม่ด้วยลำไส้ใหญ่ส่วนปลายต่อไป
•   การหลุดลอกของปุ่มคลิตอริสที่แพทย์สร้างให้ใหม่ : การสร้างปุ่มคลิตอริสใหม่ร่วมกับการผ่าตัดแปลงเพศนั้น เป็นการผ่าตัดที่มีโอกาสกระทบกระเทือนต่อเส้นเลือดที่มาเลี้ยงปุ่มคลิตอริสได้ เนื่องจากเส้นเลือดและเส้นประสาทบริเวณนี้มีโอกาสถูกกดทับได้ง่าย ดังนั้นอาจทำให้ปุ่มคลิตอริสเกิดการขาดเลือดมาเลี้ยงและมีการลอกหลุดหรือบาง ครั้งตายไปได้ หากแก้ไขได้ทันท่วงที จะสามารถเก็บปุ่มคลิตอริสให้กลับคืนมาได้และใช้งานได้ตามปกติ ในกรณีที่แก้ไขไม่ได้และปุ่มคลิตอริสตายไป จะเหลือเพียงบางส่วนซึ่งอาจทำให้การใช้งานของปุ่มนี้ในการรับความรู้สึกได้ ไม่เต็มที่
สรุป: จะเห็นได้ว่า เมื่อดูโดยรวมแล้ว การผ่าตัดแปลงเพศเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของกระบวนการรักษา ผู้ป่วยที่มีภาวะการรับรู้เพศไม่ตรงกับสภาพร่างกาย ที่ไม่สามารถบำบัดด้วยวิธีทางจิตบำบัดแล้วเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด และหากผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ผู้ป่วยสามารถมีชีวิต
ในสังคมได้อย่างมีความสุขและสร้างประโยชน์ต่อตนเองและ สังคมได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาทั่วไป แต่ในอีกแง่หนึ่งหากทำการรักษาโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ถูกขั้นตอน เช่นผ่าตัดแปลงเพศเนื่องจากคำชักชวนของเพื่อน หรือเพื่อหวังผลด้านการพาณิชย์ หรือไม่มีการเตรียมผู้ป่วยทั้งการกายและใจก่อนผ่าตัดที่ดี อาจจะส่งผลต่อผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ทั้งในแง่ของร่างกาย ที่ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนมาได้ และทางด้านจิตใจที่อาจจะประสบปัญหาในการใช้ชีวิตในสังคมและคนรอบข้างได้ ในที่สุดจะส่งผลต่อการรักษาที่ล้มเหลวได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก สมาคมแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
โดย: joy234    เวลา: 2011-4-29 18:33
วิธีรักษารอยแผลเป็น "บนใบหน้า"
เพื่อให้ใบหน้าของคุณทุกคนสวยใสหากไกลรอยแผลเป็นอันไม่พึงประสงค์ยิ่งโดยเฉพาะใบหน้าด้วยแล้วคงไม่มีใคร อยากให้มีด้วยกันทั้งนั้น วันนี้เราจึงนำวิธีรักษารอยแผลเป็นมาฝากคนที่กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจที่ต้องมีแผลเป็นบนใบหน้าให้ได้สวยใสกันทุกคนเลยค่ะ ว่าแล้วเราก็มาเริ่ม วิธีรักษารอยแผลเป็น เพื่อหน้าสวยกันเถอะค่ะ

วิธีรักษารอยแผลเป็น


1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทาในกรณีที่เป็นไม่มากนักหรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์แล้วจึงหลุดไปเองแต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วยไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยาซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนังโดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็น




ยินดีต้อนรับสู่ ดั้งโด่งดอทคอม (http://dungdong.com/) Powered by Discuz! X3.2